รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ
ลึกลับ,เรื่องสั้น,ระทึกขวัญ,ดราม่า,ย้อนยุค,ผึ,สยองขวัญ,ผี,ดราม่า,ลึกลับ,ย้อนยุค,ชนบท,วัด,เรื่องเล่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club)รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ
ผีมีจริงหรือไม่?
คนเราตายแล้วไปไหน?
สโมสรหลังเมรุ(Cemetery Club) มีจุดกำเนิดจากการได้รับแรงบันดาลใจจากได้ฟังเรื่องผี เรื่องวิญญาณ ทว่าจุดเริ่มต้นที่แท้จริงเกิดจากพระภิกษุกลุ่มหนึ่งสนทนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรื่องเร้นลับทั้งประสบพบเจอเอง ได้ยินได้ฟังมาในระหว่างรอสวดมาติกาบังสุกุลศพในช่วงบ่ายและระหว่างรอสวดพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ในงานพิธีศพ บางคนอาจจะมองว่าการฟัง การอ่าน การชมเรื่องผีเป็นเพียงแค่ความบันเทิงเท่านั้น สำหรับผมเรื่องผีเป็นเรื่องที่มีเสน่ห์ชวนน่าหลงใหล มีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเอง เราอยากจะรู้ว่าประเทศนั้นประเทศนี้มีความเชื่อค่านิยม วัฒนธรรมที่สะท้อนอัตลักษณ์ตัวตนของประเทศนั้นๆ ผ่านการศึกษาเรื่องผี ผ่านคติความเชื่อในโลกหลังความตายได้ เรื่องผีบางเรื่องมีคติสอนใจซ่อนอยู่ มนุษย์ที่ตายไปแล้วไปสู่ภพภูมิที่ตนเองควรไป ยังวนเวียนอยู่กับมนุษย์เพราะความต้องการของเขา เธอทั้งหลายยังไม่บรรลุ ไม่ว่าจะเป็นการทวงความยุติธรรมให้แก่ตน การสั่งเสียอำลาคนที่เรารัก การใช้ตนเองเป็นธรรมทาน หรือแม้กระทั่งเป็นประจักษ์พยานในการแสดงผลของการทำความดีและผลของการทำชั่ว เรื่องผีบางเรื่องสะท้อนสภาพสังคมในแต่ละยุคอย่างเรื่อง นางนวล สะท้อนให้เห็นสภาพสังคมไทยในสมัยรัชกาลที่ 7 ที่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นปกครองกับชนชั้นสามัญชนคนธรรมดา แม้จะมีการเลิกทาสมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แต่ผู้คนมากมายก็ยังคงตกเป็นทาสของอำนาจเงิน อย่าง ซ่องเจ๊เนาและซุ้มยาดองยายนี สะท้อนสภาพบ้านเมืองของอำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานีในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ชีวิตของแต่ละคนเปลี่ยนแปลงไป เมื่อตะวันตกดิน ลูกเล็กเด็กแดงถูกสั่งห้ามให้ออกเล่นเตร็ดเตร่เป็นอันขาด มืดค่ำชาวบ้านทั้งหลายอยู่แต่ในบ้าน หากมีธุระสำคัญเช่นไปงานศพ ไปส่งคนลงเรือนอนไปเกาะก็ต้องยกโขยงกันไปเพื่อความอุ่นใจ ถ้าโดนผีหลอกก็จะได้สามัคคีกันกลัว คนที่ประกอบอาชีพกลางคืนทั้งอาชีพสีขาวสีเทาพากันลำบากอัตคัดเพราะไม่มีลูกค้า มีข่าวผีร้ายสามตนออกหลอกหลอนบ้าง ชีวิตของผู้คนลำบากแท้เพราะผี
“มันก็น่าแปลกอยู่นะ ไม่เคยมีพวกที่ท่าเรือเกาะไม่เคยโดนผีสามตัวนี้หลอกเลย” เจ๊กโหยวตั้งข้อสังเกต
“ไม่ต้องสงสัยหรอก แถวนั้นมีศาลเจ้าอยู่ ศักดิ์สิทธิ์พอดู อีกทั้งเรือนอนแต่ละรำมีแม่ย่านางคุ้มครองอยู่ พวกผีไม่กล้าแหย็ม” โกหลองให้เหตุผล จะจริงหรือเท็จประการใดก็ไม่อาจทราบ
เสร็จงานปลงศพยายสอน เรื่องผีร้านอ้ายธงออกอาละวาดในศาลาธรรมสังเวช ทำเอาทุกคนขวัญหนีดีฝ่อ ผ่านไปนานเกือบเดือนที่ชีวิตผู้คนเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีข่าวคราวของผีร้ายสามตนออกอาละวาดอีก จนใครๆ หลายคนย่ามใจ กลับมาใช้ชีวิตในตอนกลางคืนตามปกติ บรรดาขี้เมาทั้งหลายย่ามใจออกจากบ้านเตร็ดเตร่หาสุราเมรัยมาบำบัดความกระหายอยาก
“ผีเผอที่ไหนวะ จะมาหลอกกู เจอตีนกูกระทืบดีไหมวะ” ชายขี้เมาคนหนึ่งร้องท้าทายผีร้ายสามตนเพราะอัดอั้นตันใจมาเนิ่นนาน
“มึงก็พูดไปไอ้รูญ กินเหล้าเงียบๆ ปากเถอะนา กูขอ” เพื่อนในวงสุราขอร้อง
“ไอ้ขาม มึงกับกูเป็นเพื่อนเกลอชอบพอกันมานาน กูไม่นึกเลยมึงจะเป็นคนปอดแหกไปได้ ผีก็คือคนที่ตายไปแล้ว มันจะเอาชนะคนเป็นไปได้อย่างไร กูเองยังแข็งแรงดีไม่แก่หง่อมเหมือนยายสอนที่เห็นผีแล้วตกใจหัวใจวายตาย” นายจรูญเมาแล้วเรื้อนเริ่มลามปามไปถึงผู้วายชนม์ที่มีญาติมิตร
“พอเถอะไอ้รูญ มึงพูดมากไปแล้ว” นายขามปรามเกลอ
เพล้ง! โอ๊ย!
นายจรูญลุแก่โทสะใช้ชวดสุราขาวที่มีสุราเหลือค่อนขวดตีศีรษะนายขามผู้เป็นเพื่อนเกลอจนเลือดอาบ ทุกคนที่นั่งดวดสุราโต๊ะอื่นๆ พากันตกใจ โดยเฉพาะนายขามผู้ถูกทำร้าย รู้สึกเพียงชาๆ กว่าจะรู้สึกตัวว่าถูกทำร้ายก็เมื่อเห็นเลือดจากศีรษะแดงฉานไหลย้อยอาบหน้า เดือดร้อนให้ลูกค้าโต๊ะอื่นๆ ส่งตัวเขาไปสุขศาลาเพื่อทำการรักษาตัว ส่วนนายจรูญเมื่อทำร้ายเพื่อนเกลอเสร็จก็อาศัยช่วงชุลมุนชุลเกหลบหนีไป นายขามรักษาตนอยู่บ้านยังมีจิตเมตตาไม่ติดใจเอาความกับนายจรูญ แต่นายจรูญหายตัวไม่ได้กลับมาอยู่บ้านเรือนของตน ลูกเมียเดือดเนื้อร้อนใจต้องไปแจ้งความให้ตำรวจออกตามหาตัว นายขามผู้เคราะห์ร้ายต้องกลายเป็นผู้ต้องสงสัยถูกตำรวจเชิญตัวไปสอบปากคำทั้งๆ ที่ผ้าพันแผลพันรอบศีรษะ นายขามได้ให้การไปตามจริงทุกประการไม่มีอากัปกิริยาที่ส่อไปในทางพิรุธและมีพยานรู้เห็นความเคลื่อนไหวของนายขามอยู่ตลอด
“ปัดโธ่! นายหัว ผมโดนตีหัวแตกขนาดนี้จะมีกะจิตกะใจไปเก็บไอ้รูญทำไม ผมเองแม้จะโกรธเคืองมันที่จู่ๆ มันเอาขวดเหล้าขาวมาตีหัวผม ผมไม่คิดจะแจ้งความเอาเรื่องเพราะเข้าใจว่ามันเมา” นายขามให้การกับตำรวจ คำว่านายหัว เป็นคำที่คนภาคใต้ใช้เรียกคนที่มีอำนาจ เจ้านาย เจ้าของกิจการหรือข้าราชการต่างๆ ที่เป็นผู้ชายว่านายหัว
ไม่ทันข้ามวัน นายตำรวจที่ลาดตระเวนออกตามหานายจรูญ ได้พบนายจรูญที่กลายเป็นศพผูกคอห้อยต่องแต่งกับกิ่งยางนาในเขตป่าช้าดอนเมา สภาพศพของนายจรูญ หน้าเขียวคล้ำตาเบิกโพลง ตาขาวมีเส้นฝอยแตกทำให้ตาแดงก่ำ ปากอ้ากว้างลิ้นคับปาก มีข้อน่าสงสัยคือ กิ่งยางนาที่นายจรูญนำพาตนไปผูกคอมีความสูงจากพื้นดินถึง 4 เมตร นายขามถูกเค้นสอบสวนอีกครั้งแต่ไม่มีหลักฐานเพียงพอเชื่อได้ว่านายขามมีส่วนรู้เห็นหรือเป็นผู้กระทำการให้นายจรูญเสียชีวิต สุดท้ายตำรวจสรุปว่านายจรูญฆ่าตัวตายเพื่อหนีความผิดและปิดคดีเป็นที่เรียบร้อย ท่ามกลางข้อกังของลูกเมียนายจรูญ สุดท้ายจึงต้องไปพึ่งพาร่างทรงในการตามล่าหาความจริง
ณ เรือนไม้หลังหนึ่งที่อยู่ห่างไกลบ้านเรือนผู้คน รอบๆ บ้านเรือนเป็นสวนผลไม้ที่รกเรื้อไปด้วยวัชพืช บนเรือนจัดสัดส่วนบ้านเป็นปรัมพิธีมีโต๊ะหมู่บูชามีทั้งรูปปั้นเทพเจ้าต่างๆ รวมทั้งเศียรฤๅษีตั้งเป็นประธาน อาณาบริเวณปรัมพิธีอบอวลด้วยกลิ่นควันธูปแสงเทียนสว่างไม่หยุดหย่อนตลอดทั้งวันทั้งคืน ชายผู้วัยกลางคนรูปร่างท้วมผิวสองสีนุ่งขาวห่มขาวสวมสร้อยประคำคล้องคอนั่งสมาธิบริกรรมคาถาพึมพำๆ ก่อนจะตัวสั่นงันงกแล้วนิ่งไป ทุกอย่างที่ชายร่างทรงกระทำอยู่ในสายตาของลูกศิษย์ทั้งหลาย
“ก็มันไปลบหลู่ผีร้ายสามตัวเข้าอย่างจังน่ะสิ” ร่างทรงพ่อปู่ฤๅษีตาไฟกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งดุดันน่าเกรงขาม
“อีกแล้วรึ” เสียงลูกศิษย์ลูกหาร้องเซ็งแซ่งึมงำ มองหน้าเหลอหลากันไปมา
“ทำไม พวกมันต้องฆ่าผัวฉัน” ภรรยาของผู้ตายไถ่ถามแล้วร้องไห้
“ก็คนตายไปลบหลู่ดูหมิ่นผีเข้านะซี ไปด่าว่าเขา พวกผีมันแค้นใจ เลยสร้างเหตุการณ์ให้คนตายคุมสติไม่อยู่ ก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับเพื่อนเกลอ แล้วหนีเตลิดไปเรื่อยๆ จนล่วงเข้าเขตป่าช้าดอนเมา เลยถูกผีสามตัวฆ่าตายไป” ร่างทรงพ่อปู่ฤๅษีตาไฟบอกกล่าว
“แล้วจะทำอย่างไรให้ผีสามตัวนี้หยุดอาละวาดฆ่าคนล่ะพ่อปู่” ชายลูกศิษย์ถาม
“ที่พวกมันอำนาจมีอิทธิฤทธิ์เพราะพวกมันตายโหง อีกทั้งตอนที่พวกมันมีชีวิตอยู่มีนิสัยหยาบช้า ตายไปก็ยังเป็นผีอันธพาล มันมีอำนาจเหนือยากะลาตากะลีผู้เป็นนายป่าช้า โดยปกติแล้วป่าช้าดอนเมาใจดี ผีที่เอามาฝังเอามาในป่าช้าล้วนแต่เป็นสุจริตชน ไม่มีปัญหากับนายป่าช้าแต่อย่างใด แต่อ้ายผีร้ายสามตนเป็นผีที่มีนิสัยอันธพาลคิดตรองดูเถิด คนเฒ่าคนแก่สองคนจะสู้พละกำลังผีหนุ่มที่มีนิสัยดุร้ายได้เยี่ยงไร อีกอย่างสัปเหร่อที่ฝังศพลืมกระทำการพิธีสะกดข่มวิญญาณเพราะคิดว่าผีร้ายสามตนนั้นเป็นแค่ผีไม่มีญาติธรรมดาๆ เท่านั้น จึงต้องเสริมพลังให้ยายกะตากะลีมีพลังที่จะควบคุมผีร้ายสามตัวได้ ต้องนิมนต์ไปสวดบังสุกุลอุทิศส่วนกุศลและจัดเครื่องเซ่นบูชาให้นายป่าช้าทั้งสอง” ร่างทรงพ่อปู่ฤาษีตาไฟแนะนำ หลังจากนั้นพ่อปู่ฤาษีตาไฟถอยออกจาก เป็นอันว่าการเข้าประทับทรงในวันนี้จบลง
ก่อนจะจัดพิธีบูชาพลีกรรมยายกะลาตากะลี ก็เกิดเรื่องร้ายเมื่อร่างทรงพ่อปู่ฤาษีตาไฟเสียชีวิตลงด้วยลักษณะผิดธรรมชาติ คอหักหมุนรอบได้ ตำรวจทำคดีอย่างมืดแปดด้านเพราะไม่มีหลักฐานมากเพียงพอที่จะสาวไปถึงตัวฆาตกรได้สุดท้ายต้องแขวนคดีไว้ ลูกศิษย์ลูกหาต่างทราบดีว่าเป็นฝีมือของผีร้ายสามตนนั้นแต่ไม่มีคดีใดที่จะระบุและนำตัวผีร้ายสามตนมาดำเนินคดีได้ ในค่ำคืนหนึ่ง นวยอดีตลูกศิษย์ของร่างทรงปู่ฤาษีตาไฟนอนหลับฝันไปว่า ตนเองอยู่โยงรับใช้ร่างทรงปู่ฤาษีตาไฟอยู่ในเรือนไม้หลังนั้น
“นวย... นวย... มึงต้องไปทำพิธีพลีกรรมยายกะลาตากะลีตามที่กูเคยบอกนะ” ร่างทรงฤาษีสั่งก่อนหายตัวกลายเป็นหมอกควัน เป็นเวลาเดียวกันที่นวยตกใจตื่น
3 วันให้หลัง ชาวบ้านร้านตลาด ลูกหลายยายสอน ลูกเมียนายจรูญได้จัดพิธีพลีกรรมบูชายายกะลาตากะลีนายป่าช้าดอนเมา นิมนต์พระสงฆ์ 4 รูปมาศาลากลางป่าช้าสวดมาติกาบังสุกุล
“กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา อัพ๎ยากะตา ธัมมาฯ สุขายะ เวทะนายะ สัมปะยุตตา ธัมมา ทุกขายะ...” เพียงแค่พระสงฆ์ 4 รูปสวดขึ้นประโยคแรกบังเกิดลมแรงพัดต้นไม้ใบหญ้าโยกไหว ท้องฟ้าอากาศวิปริตมีเมฆฝนมืดครึ้มตั้งเค้ามา ผู้คนที่ตระเตรียมอาหารเพื่อเซ่นไหว้ที่ศาลยายกะลาตากะลีจึงชะลอก่อน
“สังกิลิฏฐะสังกิเลสิกา ธัมมา อะสังกิลิฏฐะสังกิเลสิกา ธัมมา อะสังกิลิฏฐาสังกิเลสิกา ธัมมาฯ ...” ฝนตกฟ้าร้องคะนองเทลงมาชุ่มฉ่ำกันถ้วนทั่ว แต่ทั้งพระสงฆ์และชาวบ้านร้านตลาดไม่ถอยหนีไป พระสวดต่อไปเรื่อยๆ ญาติโยมก็นั่งฟังต่อไป
“สะนิทัสสะนะสัปปะฏิฆา ธัมมา, อะนิทัสสะนะสัปปะฏิฆา ธัมมา, อะนิทัสสะนาป ปะฏิฆา ธัมมา” พระสงฆ์สวดบทสวดธัมมะสังคิณีมาติกาจบลง มหาฉ่ำเชื้อเชิญให้ญาติโยมที่มีผ้าไตรบังสุกุลไปวางพาดบนสายสิญจ์ที่โยงมาจากศาลยากะลาตากะลี
“อะนิจจา วะตะ สังขารา อุปปาทะวะยะธัมมิโน อุปปัชชิต๎วา นิรุชฌันติ เตสัง วูปะสะโม สุโขฯ สัพเพ สัตตา มะรันติ จะ มะริงสุ จะ มะริสสะเร ตะเถวาหัง มะริสสามิ นัตถิ เม เอตถะ สังสะโยฯ” สิ้นเสียงสวดบังสุกุลตาย บังเกิดเรื่องอัศจรรย์ใจเกิดขึ้น ฟ้าฝนที่ตกกระหน่ำไม่เป็นใจกลับหยุดนิ่งสนิทราวกับปิดก๊อกน้ำ ทุกคนรู้สึกโล่งใจที่ฝนหยุดตกเพราะขืนรอให้ฝนหยุดตกที่ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ จะเป็นอุปสรรคในการตั้งเซ่นสรวงพลีกรรม หากติดฝนไปเรื่อยนจนเย็นย่ำจะเป็นการไม่ดี หลังจากถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์แล้ว ผู้คนที่ตระเตรียมอาหารเพื่อเซ่นไหว้ที่ศาลยายกะลาตากะลีได้จัดเครื่องเซ่นคาวหวานใส่กระทงรวมทั้งสุราชุดใหญ่เป็นการเสร็จพิธี
นับจากนั้น... ผีร้ายสามตนไม่ได้ทำร้ายใครๆ แต่มีคนเจออยู่บ้างแต่จะเจอในวันโกนวันพระ ลักษณะติดตามไปจนคนที่เจอวิ่งแจ้นหลบหลีกให้ปอดบานตกใจเล่นๆ เสียมากกว่า แต่ไม่มีคิดว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายที่เป็นชนวนปลุกผีร้ายสามตนให้กลับมามีอิทธิฤทธิ์อีกครั้งหนึ่ง
คืนนั้นเป็นคืนเดือนดับ ผู้คนหลีกเลี่ยงการเตร็ดเตร่อยู่นอกบ้านเรือนของตน จึงไม่มีใครสังเกตว่ามีชายต่างถิ่นแต่งตัวแปลกๆ สามคนเข้ามาในพื้นที่ คนแรกเป็นชายสูงอายุใส่ชุดม่อห้อม,ม่อฮ่อม,หม้อห้อมแต่สวมสร้อยคอประคำสะพายย่ามเก่าๆ ซีดๆ ส่วนอีกสองคนเป็นชายวัยรุ่นคาดเดาอายุไม่เกิน 25 ปีถือถุงผ้ามาคนละถุง ทั้งสามคนเดินมาถึงป่าช้าดอนเมาตรงดิ่งไปที่ศาลยากะลาตากะลี หมอคงรับไต้มาจากนายบุญทันแล้วปักไว้ที่พื้นดิน ชายหนุ่มสองคนไปตัดใบตองในเขตป่าช้ามาสองแถวแล้วปูลาดหน้าศาล แล้วตั้งสำรับคาวหวานรวมสุรามาตั้งเซ่นพลีกรรม
“ข้านายคงและบริวารสองคนคือนายบุญทันและนายตรี ขออนุญาตยายกะลาตากะลี ประกอบพิธีกรรมอัญเชิญดวงวิญญาณนายธง นายดำและนายนองไปเป็นเป็นข้าช่วงใช้ ขอบุญบารมีของยายกะลาตากะลีผู้เป็นนายแห่งป่าช้าดอนเมาช่วยดลบันดาลการประกอบพิธีกรรมครั้งนี้ราบรื่นประสบความสำเร็จด้วยเถิด” ชายวัยกลางคนจุดธูปไหว้ศาลแล้วนำธูปไปปักไว้ในกระถางที่เก่าคร่ำคร่า จากนั้นให้นายบุญทันและนายตรีปักไม้ทำมุมสี่เสา ล้อมสายสิญจน์ หมอคงเข้านั่งขัดสมาธิ นายบุญทันและนายตรีนั่งอยู่เบื้องหลังหมอคง คอยมองดูรอบตัวอย่างหวาดๆ หมอคงสวดบริกรรมคาถาปลุกวิญญาณผีร้ายสามตน
บรู้วววววว.... ครืดคราด...ครืดคราด...
เสียงสุนัขหอนแว่วมาแต่ไกล ลมพัดต้นไม้ใบหญ้าดังครืดคราด นี่คงจะเป็นสัญญาณว่าผีกำลังจะมาเสียกระมัง นายบุญทันและนายตรีตื่นกลัวจึงขยับเข้ามาแนบชิดหลังหมอคง ไม่แค่แนบชิดแต่ใช้มือเกาะกุมหัวไหล่ซ้ายขวาของหมอคง ไหล่ซ้ายนายบุญทัน ไหล่ขวานายตรี พอมีเสียงแปลกๆ ที่ไร้ที่มาทั้งสองบีบหัวไหล่หมอคงแน่น
“ไอ้ห่าสองตัวนี้ มึงจะกลัวอะไรนักหนาวะ ถอยไปเลย กูเสียสมาธิหมด” หมอคงตะคอก ทำเอาสองหนุ่มถอยกลับไปกระจุกตัวเป็นกลุ่มก้อน หมอคงหลับตาบริกรรมคาถาต่อไป ลมพัดมาวูบใหญ่ทำเอาฝุ่นดินคละคลุ้ง
หึ... หึ... หึ...
เสียงหัวเราะเย็นเยือกดังขึ้นหลังจากลมหอบใหญ่สงบลง ผีร้ายสามตนในสภาพน่ากลัวเหมือนเมื่อแรกพบศพยืนจังก้าพร้อมที่จะปะทะอยู่เสมอ
“มาแล้วรึ ไปอยู่กับข้าเสียเถิด ไปเป็นบริวารของข้าซะโดยดี ข้าไม่อยากจะใช้กำลัง” หมอคงขู่
“พวกกูไม่ไป ก็มาสิ มึงจะมีคาถากี่คาถากันเชียว มึงสองตัวที่เกาะไอ้แก่นี่เป็นปลิง เตรียมขุดหลุมฝังไอ้แก่เปรี้ยวตีนนี่ไว้เลย” ผีอ้ายธงพูดท้าทายกับหมอคง ส่วนหมอคงหลับตาบริกรรมคาถางึมงำๆ อยู่เนิ่นนานจนเหงื่อไหลไคลย้อย
“โอ๊ย! โอ๊ย! โอ๊ย!” ผีร้ายสามตนร้องโอดโอยทำหน้าตาเหยเกเจ็บปวดรวดร้าว
“จะยอมแล้วรึยัง?” หมอคงถาม
“ยอมแล้ว ข้ายอมแล้ว” ผีสามตนร้องขอชีวิตพร้อมเพรียงกัน
“เออดี ไม่ต้องเหนื่อยมาก” หมอคงหยิบขวดแก้วไร้ฝามาจากย่ามแล้วบริกรรมคาถาเล็กน้อย ร่างของผีร้ายสามตนกลายเป็นควันกลุ่มก้อนใหญ่แล้วลอยลงขวดแก้ว หมอคงนำผ้ายันต์มาปิดขวดแก้ว มัดรัดรึงผ้ายันต์ให้แน่นหนาด้วยสายสิญจน์ที่ผ่านกรรมวิธีลงอาคมกำกับไว้อีกชั้น ในที่สุดหมอคงได้ในสิ่งที่เขาต้องการ ผีสามตนจะเสียท่าให้แก่พ่อมดหมอผีหรือกระไร
ทั้งสามคนเก็บข้าวของปรับพื้นที่ให้เป็นเช่นเดิมแล้วเดินกันมาตามถนนดินเพื่อไปลงเรือที่จอดเอาไว้ตรงท่าน้ำวัดโพธิ์ เดินกันมาเรื่อยๆ จู่ๆ บังเกิดฝนตกขึ้นมา ทั้งสามคนไม่คิดจะหลบฝน ดั้นด้นวิ่งฝ่าฝนไปให้ถึงท่าน้ำวัดโพธิ์ อนิจจาสภาพถนนดินเมื่อถูกฝนกลายสภาพเป็นทะเลโคลน นายบุญทันลื่นล้มตะครุบกบขวดแก้วที่กักขังดวงวิญญาณผีสามตนกลิ้งออกมาจากย่าม กลิ้งไปเรื่อยๆ จนไปกระทบก้อนหินแตกโพละ ผีร้ายสามตนหลุดออกจากที่กักขังพันธนาการ แล้วไปเล่นงานหมอคง
“ไปพัทธสีมา แล้วพวกมึงจะรอด” หมอคงพูดสั่งด้วยน้ำเสียงอ่อนเปลี้ย ผีร้ายสามตนเล่นงานหมอคงด้วยการบีบคอจนสิ้นชีพดับชีวี นายบุญทันและนายตรีตกใจหวาดกลัวกับภาพที่เห็น อาจารย์ของตนตายจากไปในสภาพที่น่าอนาถ แต่ไม่ทันจะทำอะไรมาก ทั้งสองตัดสินใจวิ่งหนีผีไปวัด
มึงต้องตายยยยย...