รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ
ลึกลับ,เรื่องสั้น,ระทึกขวัญ,ดราม่า,ย้อนยุค,ผึ,สยองขวัญ,ผี,ดราม่า,ลึกลับ,ย้อนยุค,ชนบท,วัด,เรื่องเล่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club)รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ
ผีมีจริงหรือไม่?
คนเราตายแล้วไปไหน?
สโมสรหลังเมรุ(Cemetery Club) มีจุดกำเนิดจากการได้รับแรงบันดาลใจจากได้ฟังเรื่องผี เรื่องวิญญาณ ทว่าจุดเริ่มต้นที่แท้จริงเกิดจากพระภิกษุกลุ่มหนึ่งสนทนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรื่องเร้นลับทั้งประสบพบเจอเอง ได้ยินได้ฟังมาในระหว่างรอสวดมาติกาบังสุกุลศพในช่วงบ่ายและระหว่างรอสวดพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ในงานพิธีศพ บางคนอาจจะมองว่าการฟัง การอ่าน การชมเรื่องผีเป็นเพียงแค่ความบันเทิงเท่านั้น สำหรับผมเรื่องผีเป็นเรื่องที่มีเสน่ห์ชวนน่าหลงใหล มีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเอง เราอยากจะรู้ว่าประเทศนั้นประเทศนี้มีความเชื่อค่านิยม วัฒนธรรมที่สะท้อนอัตลักษณ์ตัวตนของประเทศนั้นๆ ผ่านการศึกษาเรื่องผี ผ่านคติความเชื่อในโลกหลังความตายได้ เรื่องผีบางเรื่องมีคติสอนใจซ่อนอยู่ มนุษย์ที่ตายไปแล้วไปสู่ภพภูมิที่ตนเองควรไป ยังวนเวียนอยู่กับมนุษย์เพราะความต้องการของเขา เธอทั้งหลายยังไม่บรรลุ ไม่ว่าจะเป็นการทวงความยุติธรรมให้แก่ตน การสั่งเสียอำลาคนที่เรารัก การใช้ตนเองเป็นธรรมทาน หรือแม้กระทั่งเป็นประจักษ์พยานในการแสดงผลของการทำความดีและผลของการทำชั่ว เรื่องผีบางเรื่องสะท้อนสภาพสังคมในแต่ละยุคอย่างเรื่อง นางนวล สะท้อนให้เห็นสภาพสังคมไทยในสมัยรัชกาลที่ 7 ที่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นปกครองกับชนชั้นสามัญชนคนธรรมดา แม้จะมีการเลิกทาสมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แต่ผู้คนมากมายก็ยังคงตกเป็นทาสของอำนาจเงิน อย่าง ซ่องเจ๊เนาและซุ้มยาดองยายนี สะท้อนสภาพบ้านเมืองของอำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานีในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
เรื่องนี้พรานผาดได้ยินมาจากผู้ใหญ่เงิน ชาวบ้านป่าแถบภาคอีสานได้เล่าให้ถึงประสบการณ์เข้าป่าไปเก็บเห็ดป่าในฤดูฝน
ย่างเข้าเดือนหก ฝนก็ตกพรำๆ ...
ฝนตกพรำๆ สร้างความชุ่มฉ่ำทั่วแผ่นดินที่แห้งแล้งแตกระแหง ป่าท้ายหมู่บ้านที่แห้งแล้งเหี่ยวเฉากลับฟื้นคืนมีชีวิตอีกครา ของป่าทั้งหลายเริ่มผลิดอกออกผลรวมทั้งเห็ดป่า ที่ชาวบ้านป่าถือเป็นขุมทรัพย์อันมีค่าที่ต้องเข้าป่าเก็บเห็ดนำไปกินไปขายสร้างรายได้ให้มีพออยู่พอกินไม่อัตคัดขัดสนยากจนเข็ญใจ
ยามพลบค่ำชาวบ้านป่าเก็บตัวอาศัยอยู่ในบ้านของตนเพราะเกรงกลัวอันตรายในยามราตรี ในเรือนเครื่องผูกหลังเล็กๆ หลังหนึ่งมีหญิงชราวัย 60 เศษๆ ชื่อยายนอม ยายนอมอาศัยอยู่กับหลานสาววัย 14 ปีชื่อจำเนียร พ่อแม่จำเนียรทำงานอยู่ที่ในเมือง ทุกวันหยุดเทศกาลจะกลับมาเยี่ยมมารดาและลูกสาวไม่ขาดหายไป ชีวิตยายหลานเรียบง่ายสมถะกินผักหญ้าเท่าที่มีไม่เดือดร้อนขัดสน หลังจากจำเนียรล้างจานข้าวแล้วมานั่งพักดูยายนอมเย็บผ้า ฝนเทลงมาดังซู่ๆ ไล่อากาศร้อนอบอ้าวก่อนหน้าให้เย็นฉ่ำสบาย
“ฝนตกซะที” จำเนียรพูดขึ้น
“ดีแล้วๆ เห็ดป่าจะได้ผุดขึ้นมา ยายจะได้เข้าป่าไปเก็บ นังหนูเอ๊ย ปีนี้เอ็งโตพอจะเข้าป่าไปช่วยยายเก็บเห็ดได้แล้ว ถ้าฝนตกไม่ทิ้งช่วงเห็ดป่าจะโตโผล่พ้นดิน” ยายนอมบอก
“จ้ายายจ๋า แล้วจะรู้ได้อย่างไรกันจ๊ะยายว่าเห็ดไหนเก็บได้หรือไม่ได้ หนูเห็นพี่ทองลูกชายลุงผู้ใหญ่เงินเก็บเห็ดเมามากินแล้วตาย” จำเนียรถามในใจนึกย้อนไปเมื่อปีกลาย ฤดูฝนมาถึง ชาวบ้านป่าก็เขาป่าหาของป่า ทองเก็บเห็ดสีสดสะดุดตามาต้มกินแล้วถูกพิษเห็ดน้ำลายฟูมปากแล้วตายไป
“ถึงเวลายายบอกเองแหละนังหนู เย็บเสื้อเสร็จเสียที นอนกันเถิดนังหนู” ยายนอมเก็บเสื้อและเข็มเย็บลงกล่องให้เรียบร้อย ปูที่นอนกางมุ้งเสร็จเรียบร้อย
“เดี๋ยวก่อนยาย หนูยังไม่ง่วงนอนเลยจ้า” จำเนียรบอกกับยาย
“แล้วแต่เอ็งก็แล้วกัน จะนอนก็ดับไฟให้เรียบร้อยล่ะ” ยายนอมมุดเข้ามุ้ง พนมมือกราบหมอนแล้วนอนหลับไป ส่วนจำเนียรนั่งพิงหน้าต่างมองดูสายฝนที่เทลงมาคิดใจลอยไปเรื่อยๆ จนหาวนอนแล้วดึงไม้ขัดหน้าต่างลงลั่นกลอนหน้าต่างอย่างแน่หนา ดับไฟมืดตื้อใช้คลำไปจนเจอชายมุ้งแล้วมุดเข้านอน
ผ่านไปเป็นสัปดาห์ ในตอนบ่ายวันหนึ่งยายนอมแหงนหน้าดูฟ้าเห็นเมฆขาวเมฆลายเป็นคลื่นติดกัน แสยะยิ้มในที แล้วเข้ามาหลบร้อนตรงชานเรือน
“นังหนูเอ๊ย พรุ่งนี้เข้าป่าเก็บเห็ดกัน เอ็งเตรียมตัวให้พร้อมนะ” ยายนอมบอกกับหลาน
“จ้ายาย” จำเนียรรับคำ
สองยายหลานหอบกระจาดและถุงกระสอบป่านเข้าป่าตั้งแต่เช้ามืดก่อนตะวันขึ้น ที่ต้องหาเห็ดในเวลานี้ก็มีเหตุผลเหมือนกัน
“หากเก็บเห็ดเอาไปขายต้องเลือกเห็ดดอกตูมๆ เดินไปหาเห็ดตรงที่เคยหาเมื่อปีกลาย ตรงป่าหญ้าเต็มไปด้วยเห็ดหลากชนิดขึ้นแซมหญ้าคาอยู่ ทั้งเห็ดเผิ่งทาม เห็ดหน้าแหล่ เห็ดระโงก เห็ดข่า เห็ดน้ำหมาก เห็ดก่อ เห็ดเผาะ โดยเห็ดเผิ่งทามหรือเห็ดผึ้งที่เคยเกิดเดิมก็เกิดขึ้นใหม่อีกครั้งซึ่งออกก่อนเห็ดจำพวกอื่น จากนั้นเห็ดออกตามมา คือ เห็ดดิน เห็ดหน้าแหล่ เห็ดระโงก พอเข้ากลางฤดูฝน เห็ดที่มักออกตามโคก ตามโพน หรือใกล้ห้วยหนอง เช่น ตระกูลเห็ดปลวกตาบ ปลวกฟาน ปลวกหยวกกล้วย ปลวกจิก ปลวกไก่น้อย” ยายนอมบอกกับจำเนียร
“ยายจ๋าเห็ดแบบไหนที่เก็บไปได้บ้างจ๊ะ” จำเนียรถาม
“เอ็งดูนี่นะ เห็ดที่กินได้กับกินไม่ได้มันขึ้นปนกัน ที่บอกว่าอย่าเก็บที่เห็ดสีฉูดฉาดมามันเป็นเห็ดเมา เห็ดเบื่อ มันถูกส่วนหนึ่ง เอ็งต้องดูว่าเห็ดมีแมงมาตอมไหม ผิวขรุขระไหม เห็ดบานแล้วจะดูผิวดูรอยแมงแทะง่ายกว่าเห็ดตูม ถ้ามันยากกว่านั้น กลับเรือนเอาเห็ดไปต้มรวมกับข้าวสาร ถ้าข้าวสารเปลี่ยนเป็นสีดำ นั่นแหละคือเห็ดพิษ” ยายนอมสอนหลาน “เอาล่ะลองเก็บมาดูสิ”
จำเนียรก้มเงยๆ ดูเห็ดอย่างถี่ถ้วนแล้วเก็บมาให้ยายนอมดู “ใช้ไดไหมจ๊ะยาย”
“ใช้ได้เลย เอ็งเก่งเนอะ หาเห็ดไปเรื่อยๆ นะ ได้เต็มกระจาดแล้วมาใส่ในกระสอบนะ หากกระสอบเต็ม เราค่อยกลับเรือนกัน เอ็งอย่าไปไกลนักนะนังหนู เดี๋ยวจะหลงป่า” ยายนอมสั่งความกับหลานแล้วเริ่มเก็บเห็ดก้มๆ เงยๆ งกๆ เงิ่นๆ จำเนียรก็เก็บเห็ดไม่ต่างจากยายนอม เก็บกันอย่างเพลิดเพลิน
สวบ... สวบ... ฟ่อ... ฟ่อ... ว้าย!
งูเห่าตัวเขื่องใหญ่เท่าแขนดำมะเมื่อมยาวเกือบ 2 เมตรเลื้อยออกมาจากจอมปลวก ชูคอแผ่แม่เบี้ยขู่สองยายหลานไม่ให้เข้ามาในอาณาบริเวณของตน ทั้งสองยายหลานตกใจทิ้งเห็ดทิ้งกระจาดวิ่งหนีหายไปคนละทิศคนละทาง ยายนอมกลับมาตั้งหลักหายตกใจจึงได้รู้ว่าจำเนียรหายไป ยายนอมจึงออกตามหาในละแวกนั้นแต่ไม่พบ หาอยู่นานหลายชั่วโมงก็ไม่พบ ยายนอมไปบอกผู้ใหญ่เงิน ผู้ใหญ่เงินและชาวบ้านช่วยกันออกตามหาจำเนียรจนแต่ยังไม่พบจนค่ำมืดต้องเลิกออกตามเพราะสัตว์ป่าสัตว์ร้ายเริ่มออกหากิน ยายนอมอยู่ไม่เป็นสุขที่หลานพลัดหลงหายไป กินก็กินไม่ได้นอนก็นอนไม่หลับ วันแล้ววันเล่า ผู้ใหญ่เงินเกณฑ์ชาวบ้านช่วยกันออกตามหาจำเนียรแต่ไร้วี่แวว แม้จะใช้วิธีการปูพรมเรียงหน้ากระดานหาแทบจะพลิกป่าก็ยังไม่พบอยู่ดี จนยายนอมร้อนอกร้อนใจต้องหันเข้าหาที่พึงทางใจ ไปพบหมอมีหมอธรรมประจำหมู่บ้าน
“ข้าร้อนใจนักพ่อหมอ” ยายนอมบอกกล่าว “นังหนูมันจะเป็นตายร้ายดีเช่นไร”
“มันยังมีชีวิต ตอนนี้มันไปเที่ยวเล่นอยู่ในเมืองบังบด ถึงเวลามันจะกลับมาเองแหละ กลับมาแล้วค่อยทำพิธีสู่ขวัญให้” หมอมีตอบเพื่อให้ยายนอมสบายใจแต่ยายนอมกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น เพราะตั้งแต่เกิดมาจนล่วงเข้าวัยชราได้เรื่องราวของเมืองบังบดอยู่เนืองๆ เพราะตอนยังเป็นเด็กพ่อแม่ปู่ย่าตายายก็สั่งห้ามไม่ให้เข้าป่าไปโดยพละการเพราะอาจจะหลงเข้าไปเมืองบังบด แล้วอาจจะไม่ได้กลับคืนมา
พอครบเจ็ดวันมีชาวบ้านไปพบจำเนียรนอนสลบอยู่ข้างกอไผ่ใหญ่ในป่า อยู่ห่างจากจุดเก็บเห็ดไม่ไกลนัก สร้างความแปลกให้แก่ยายนอม ผู้ใหญ่เงินและชาวบ้านเป็นอย่างมาก จำเนียรพักฟื้นกินหยูกยากินข้าวต้มจนมีเรี่ยวแรงเป็นปกติ ยายนอมและชาวบ้านทำพิธีบายศรีสู่ขวัญจำเนียร โดยมีหมอมีหมอธรรมประจำหมู่บ้านเป็นพ่องานประกอบพิธีเชิญขวัญเรียกขวัญ [1] ให้ จัดพิธีที่เรือนผู้ใหญ่เงิน ชาวบ้านจัดพานบายศรีปากชาม หมอมีจัดที่ทางให้เหมาะสมแล้วจัดการผูกสายสิญจน์ด้ายมงคล แล้วเริ่มทำพิธี หมอหมีนั่งตรงข้ามกับจำเนียร ส่วนยายนอมและผู้ใหญ่เงินนั่งทางทิศเหนือของจำเนียร และชาวบ้านคนอื่นๆ นั่งล้อมรอบ โดยมีพานบายศรี เครื่องเซ่น หมอมีและจำเนียรนั่งอยู่ตรงกลาง จำเนียรผูกฝ้ายผูกแขนให้หมอหมี เพื่อเป็นการบูชาครู โดยฝ้ายที่ใช้ผูกนั้นก็จะมีการมัดธนบัตรเป็นค่าบูชาหมอมี ตามสถานภาพทางการเงินของยายหลาน เมื่อจำเนียรผูกฝ้ายเสร็จแล้ว หมอมีก็คลี่ฝ้ายที่เตรียมไว้ที่พานบายศรี แล้วดึงฝ้ายให้โอบล้อมผู้คนในพิธีทั้งหมดจากนั้นเด็กสาวก็จะยกมือไหว้พ่อพราหมณ์ แล้วใช้มือขวาจับพานบายศรีและตั้งจิตอธิษฐานขอให้เทวดาบันดาลให้เป็นไปตามที่หมอมี ยายนอม และผู้ร่วมงานก็จะจับฝ้ายแล้วอธิษฐานให้จำเนียรเช่นกัน หมอมีจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย สวดคาถาชุมนุมเทวดาสัคเคกาเมจะรูเปเป็นปฐม
“พุทธัง วันทามิ ธัมมัง วันทามิ สังฆัง วันทามิ ข้าฯ ขอไหว้พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า ขออานุภาพของ พระรัตนตรัย จงขจัดผีป่าออกไปอย่าให้เข้ามาใกล้ ขอให้เอิ้นขวัญเด็กน้อยจำเนียร ผู้ป่วยไข้ให้กลับบ้าน ขอให้เรียกเอาเข้ามาในกระติบเดี๋ยวนี้ ก็ข้า เทอญฯ” หมอมีส่งกระติ๊บใหม่ให้ผู้ใหญ่เงินที่ใส่หมากพลู หวีเสนียดของใช้จำเนียรและฝ้ายผูกแขน 2 เส้นไว้ข้างใน ผู้ใหญ่และชาวบ้านส่วนหนึ่งลงจากเรือนเดินเข้าป่าไปแถวบริเวณที่พบเจอจำเนียรนอนสลบอยู่แล้วร้องเรียกทำพิธีส่อนขวัญ
"จำเนียรเอย จำเนียรเอย อย่าสิมาอยู่ค้างกลางไฮ่แกมหมู่กา อย่าสิมาอยู่ค้างกลางนาแกมหมู่ ไก่ อย่าสิมาอยู่ค้างไพรกว้างบ่แม่นเฮือน มาสา มาเมืออยู่เฮือนอยู่ซานเฮา" ผู้ใหญ่เงินร่ำร้องเรียกขวัญ
มีผีเสื้อตัวหนึ่งบินว่องๆ มาวนเวียนอยู่กับผู้ใหญ่เงิน ผู้ใหญ่เปิดกระติ๊บนั้น ผีเสื้อตัวนั้นบินเข้าในกระติ๊บอย่างง่ายดาย เพราะตามความเชื่อถ้าเป็นขวัญมันจะรู้จักของที่ตนเคยใช้ มันจะรีบเข้าไปทันที
"จำเนียรมาแล้ว ไปกลับบ้านเฮา" ทุกคนร้องพร้อมกัน ผู้ใหญ่เงินรีบปิดกระติ๊บ รีบกลับเรือน นำกระติ๊บไปวางข้างจำเนียรแล้วทำพิธีสวดเชิญขวัญ หมอมีเอาด้ายสองเส้นในกระติ๊บผูกข้อมือจำเนียร
"ขวัญจำเนียรมาฮอดแล้วให้มาเข้าสู่ตัว โส อัตถะ ลัทโธ สุขิโต วิรุฬโห พุทธะสาสะเน อะโรโค สุขิโต โหหิ สะหะ สัพเพหิ ญาตีภิ ขวัญจำเนียรมาฮอดแล้วให้มาเข้าสู่ตัว โส อัตถะ ลัทโธ สุขิโต วิรุฬโห พุทธะสาสะเน อะโรโค สุขิโต โหหิ สะหะ สัพเพหิ ญาตีภิ ขวัญจำเนียรมาฮอดแล้วให้มาเข้าสู่ตัว โส อัตถะ ลัทโธ สุขิโต วิรุฬโห พุทธะสาสะเน อะโรโค สุขิโต โหหิ สะหะ สัพเพหิ ญาตีภิ พุทโธรักษา ธัมโมรักษา สังโฆรักษา เจ้าอย่าได้หนี ไปหนีมา ให้อยู่กับเนื้อกับตัวนี้ อมสะวาหะ" คนที่ร่วมงานเป็นผู้ชายต่างร้องเรียกเชิญขวัญเข้าสู่จำเนียร
"ขวัญจำเนียรมาฮอดแล้วให้มาเข้าสู่ตัว สา อัตถะ ลัทธา สุขิตา วิรุฬหา พุทธะสา สะเน อะโรคา สุขิตา โหหิ สะหะ สัพเพหิ ญาตีภิ ขวัญจำเนียรมาฮอดแล้วให้มาเข้าสู่ตัว สา อัตถะ ลัทธา สุขิตา วิรุฬหา พุทธะสา สะเน อะโรคา สุขิตา โหหิ สะหะ สัพเพหิ ญาตีภิ ขวัญจำเนียรมาฮอดแล้วให้มาเข้าสู่ตัว สา อัตถะ ลัทธา สุขิตา วิรุฬหา พุทธะสา สะเน อะโรคา สุขิตา โหหิ สะหะ สัพเพหิ ญาตีภิ พุทโธรักษา ธัมโมรักษา สังโฆรักษา เจ้าอย่าได้หนี ไปหนีมา ให้อยู่กับเนื้อกับตัวนี้ อมสะวาหะ" คนที่ร่วมงานที่เป็นผู้หญิงก็ร้องเชิญขวัญสู่จำเนียรเช่นเดียวกัน
“ผูกก้ำซ้ายให้ขวัญมา ผูกก้ำขวาให้ขวัญอยู่ ว่ามาเยอขวัญเอยขวัญเจ้า ไปกินปลาข่อนอยู่หัวนา ก็ให้มามื้อนี้วันนี้ ขวัญเจ้าไปเฮ็ดนากินข้าวก็ให้มามื้อนี้วันนี้ ว่ามาเยอขวัญเอย ขวัญเจ้าไปปั้นเบ้าหล่อเงินทองก็ให้มามื้อนี้วันนี้ ขวัญเจ้าไปขายของอยู่ในตลาด ก็ให้มามื้อนี้วันนี้ ขวัญเจ้าไปเบิ่งนักปราชญ์ เจ้าก่อสร้างกระทำบุญ ก็ให้มามื้อนี้วันนี้ ขวัญเจ้าไปนำดอมขุนและยศใหญ่ ก็ให้มามื้อนี้วันนี้ ขวัญเจ้าไปอยู่สุขสมสร้างกินทานทุกเช้าค่ำ เชิญขวัญหัวเกศเกล้าให้ยืนหมั่นหมื่นปี อายุ วัณโณ สุขัง พะลังฯ” หมอมีเป็นคนแรกที่ผูกแขน ยามนอม ผู้ใหญ่เงินผูกแขนจำเนียรเป็นลำดับถัดๆ ไป และชาวบ้านที่มาร่วมงานจนหมด ก่อนจบพิธี หมอมีนำไข่ต้มบนยอดบายศรีมาผ่าเสี่ยงทาย ไข่ที่ผ่ามีลักษณะสวยงามเรียบร้อยแล้วส่งให้จำเนียรกินซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าบัดนี้ขวัญที่เตลิดหายไปได้กลับคืนสู่เจ้าของกายสังขารแล้ว เสร็จพิธีบายศรีสู่ขวัญ ผู้ใหญ่เงินก็เลี้ยงข้าวปลาอาหารทุกคนที่มาร่วมงานแล้วแยกย้ายกันกลับเรือน เรือนใครเรือนมัน ความสงบสุขจึงกลับคืนมาอีกครา
หลายวันต่อมา... ช่วงเวลาพลบค่ำ ยายนอมและจำเนียรพูดคุยกันก่อนจะเข้านอน
“นังหนู เอ็งหายไปไหนมา ไปเจออะไรในป่ามาบ้าง” ยายนอมถาม
“หนูไปเจออะไรหลายอย่างเลยจ้ะยาย ในป่านั่นมีคนอยู่กันมากมายเลย”
“ยังไงรึ เอ็งลองเล่ามาสิ” ยายนอมใคร่รู้แต่ไม่กล้าบอกกับหลานว่าในป่าไม่มนุษย์อาศัยอยู่หรอก
จำเนียรเล่าไปว่า หลังจากวิ่งหนีงูเห่าเตลิดไป เข้าไปในป่าลึก เธอมารู้ตัวอีกทีก็พบว่ารอบๆ ตัวเป็นป่าไผ่รกเรื้อ ด้วยเพราะหลงเข้าป่ามาครั้งแรก อยู่ตรงนั้นร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร จนเวลาผ่านเคลื่อนไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ จำเนียรหิวจนไส้กิ่ว ในป่าแม้จะมีผักหญ้าส้มสูกลูกไม้แต่จำเนียรไม่เคยเข้าป่าจึงไม่อาจแยกแยะได้อันไหนมีพิษหรือไม่มีพิษ พืชผักบางอย่างกินดิบไม่ได้เพราะมีพิษต้องปรุงสุกเท่านั้นจึงจะรับประทานได้ จำเนียรหิวจนหมดเรี่ยวหมดแรงเป็นลมหมดสติไป
จำเนียรฟื้นมาอีกทีพบว่าอยู่ในเรือนเล็กๆ หลังหนึ่ง เธอสำรวจเรือน นี่มันไม่ใช่เรือนที่เธออยู่ จำเนียรแอบส่องดูผ่านหน้าต่าง ข้างนอกมืดมิด บ้านเรือนปลูกชิดกันภายใต้ดงต้นไม้สูงใหญ่ ด้วยความมืดมิดทำให้แยกแยะออกไม่ได้ว่าต้นไม้ที่เห็นเป็นต้นไม้อะไรกัน บ้านเรือนที่ปลูกติดกันเรียงรายมีลักษณะต่างกันไป บางหลังใหญ่โตตามไฟสว่างไสวราวกับเป็นเวลากลางวัน บางหลังเล็กซอมซ่อ เสียงคนเปิดประตูเข้ามาดังคร่อกแคร่ก จำเนียรหันมาดู เห็นผู้หญิงสาวสวยสะคราญ หล่อนผู้นี้มีผิวขาวสะอาดกรุ่นกำจายหอมกลิ่นดอกไม้ ใบหน้าคมขำเกล้าผมสูงปักดอกคูนสีเหลืองสวมชุดผ้าซิ่นไหมตีนจกสีน้ำเงินสลับขาว เสื้อแขนกระบอกสีขาวทับด้วยสไบเฉียงสีน้ำเงินถือถาดสำรับอาหารเข้ามา
“ฟื้นแล้วหรือจ๊ะ” หญิงสาวถาม “กินข้าวกินปลาเสียก่อนเถิด คงจะหิวโซแล้ว”
จำเนียรกินข้าว รสชาติอาหารอร่อยเลิศรส กินไปก็ลอบมองสำรวจไปเรื่อยๆ แล้วก็ถามขึ้นมาว่า “ที่นี่ที่ไหนจ๊ะ”
“กลางป่าจ๊ะ ฉันชื่อแก้ว หนูชื่ออะไรจ๊ะ” หญิงสาวชื่อแก้วแนะนำตน
“หนูชื่อจำเนียรจ้า” จำเนียรตอบ
“กินข้าวเสร็จไปอาบน้ำผลัดผ้าผ่อนที่ชานเรือนนะ” แก้วสั่งความแล้วลุกขึ้นออกไป
จำเนียรกินข้าวเสร็จออกมาจากห้อง ตรงชานเรือนมีตุ่มน้ำและราววางผ้าผ่อนท่อนสไบและตะเกียงจ้าวพายุแขวนไว้ จำเนียรนุ่งกระโจมอกอาบน้ำก็ดูบรรยากาศรอบๆ ท้องฟ้าแต่เมฆแดงฉานเหมือนจะมีฝนตกในไม่ช้านี้ มีกลิ่นหอมฟุ้งแปลกๆ ล่องลอยมาตามลม เป็นที่ไม่อาจจะแยกแยะได้เป็นกลิ่นของดอกไม้ชนิดไหน เสียงดนตรีพื้นบ้านอย่างโปงลางแคนดังแว่วมา จำเนียรสงสัยใคร่รู้แต่ก็อาบน้ำ น่าแปลกที่น้ำในโอ่งอุ่นไม่หนาวเย็นอย่างที่คิดไว้ อาบเสร็จผลัดผ้าที่แก้วตระเตรียมให้ ยืนมองหาแก้วว่าอยู่ตรงไหนแต่ก็ไม่เจอ ตากผ้าที่เปียกไว้ตรงราว
“เจ้าเอามนุษย์มาสู่แดนเราเยี่ยงนี้ จะทำให้มนตราเสื่อมสลาย แดนแห่งนี้จะเกิดหายนะ” เสียงหญิงปริศนาดังมาโดยไม่รู้ทิศรู้ทาง
“ฉันสงสารเด็กมันจ๊ะ ถ้าฉันไม่ช่วย เด็กคงไม่รอด ต้องเป็นเหยื่อสัตว์ร้ายเหยื่อผีป่าผีโพง” เสียงคนที่โต้ตอบกับหญิงปริศนา จำเนียรจำได้ว่าเป็นเสียงของแก้ว แล้วทั้งสองคุยกันที่ไหนกันเล่า
“เจ้าต้องนำมนุษย์ผู้นั้นกลับไป เพราะหล่อนผู้นั้นต้องมีชีวิตไปตามยถากรรม เจ้าไม่มีสิทธิ์ในการรั้งหล่อนไว้แดนนี้ เมื่อกลิ่นกายอันเหม็นสาบของมนุษย์จะมาปะปนกับกลิ่นกายอันหอมกรุ่นของพวกเรา พวกเราจะเสียพลัง อำนาจมนตราที่เสกสรรไว้จะเสื่อม พวกเราจะต้องไปจุติใหม่ตามบุพกรรม แดนแห่งนี้จะสูญสลายไป” เสียงปริศนายังคงย้ำเตือนถึงอันตรายที่คืบคลานมา จำเนียรไม่เข้าใจเลยว่าเขาพูดอะไรกัน จะไปดูให้คลายความสงสัยก็ใช่ทีจึงกลับห้องที่ตนอยู่ จำเนียรนั่งนิ่งพับเพียบเรียบร้อยคิดไปเรื่อยๆ เริ่มคิดถึงเรือน คิดถึงยายนอม ป่านฉะนี้คงจะเป็นห่วงตนเองที่พลัดหลงมา ไม่รู้ว่าอยู่หนแห่งตำบลไหนกันหนอ เวลาผ่านไปเรื่อยๆ เข้าล่วงยามดึกวิกาล จำเนียรไม่มีความคิดที่จะนอนหลับพักผ่อนเพราะยังไม่ง่วงหงาวหาวนอน คงด้วยสลบไสลมานาน
“ยังไม่นอนอีกรึจ๊ะหนูจำเนียร” แก้วเข้ามาในห้องถามจำเนียรอย่างเป็นมิตร
“ยังไม่ง่วงเลยจ้า พี่แก้วจ๋า หนูอยากกลับบ้านจ้า” จำเนียรขอร้อง
“ได้จ้า หนูจะได้กลับบ้านแน่นอน แต่ในเพลานี้ท้องฟ้ายังปิดอยู่ การเดินทางกลับมันยากลำบากนะจ๊ะ อีกอย่างฉันก็อยากจะให้อะไรหนูด้วย” แก้วตอบแล้วส่งยิ้มแป้นให้จำเนียร
“อะไรหรือจ๊ะ”
“ฉันจะมอบพรอันวิเศษให้หนู หนูจำเนียรสัญญาได้ไหมว่าจะไม่ผิดศีลข้อ 4 มุสาวาทา” แก้วบอก
“สัญญาจ๊ะ” จำเนียรตอบรับคำอย่างงๆ
“ดีมากจ้า เริ่มทำพิธีเลยนะ ยื่นหน้ามา” แก้วหยิบแผ่นทองคำเปลวมาปิดลงบนปากของจำเนียรแล้วเริ่มร่ายคาถางุบงิบๆ ฟังไม่ได้ศัพท์ “เอาล่ะ เสร็จแล้ว นี่ก็ใกล้เวลา ฉันจะพาหนูจำเนียรกลับเรือน ตามฉันมาสิ”
จำเนียรเดินตามแก้วออกไปนอกเรือน แหงนหน้ามองท้องฟ้าที่เคยแดงฉานเหมือนมีเมฆฝนกลับเป็นสีน้ำเงินมืดๆ ไร้เมฆบดบังเห็นดาวสลัวมัวเกลื่อน คงจะใกล้สว่างเต็มทีแล้วกระมัง เด็กน้อยจำเนียรเดินตามแก้วลงเรือนไป ผ่านเรือนหลังอื่นๆ ได้ยินเสียงดนตรีพื้นบ้านจำพวกโปงลาง แคน โหวดเล่นมาเบาๆ รู้สึกมีคนจับจ้องมองมา จำเนียรมองกลับไปแต่พบเพียงความว่างเปล่าไร้คน แก้วพาจำเนียรเดินก้าวล่วงผ่านพ้นบ้านเรือนเข้าดงไม้ เดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย แก้วก็ไม่พูดคุยอะไร จนผ่านพ้นดงไม้ แก้วหยุดเดินมองไปเบื้องหน้า ตรงหน้าที่จำเนียรเห็นเป็นหนองน้ำใหญ่สุดลูกหูลูกตายากที่จะว่ายน้ำข้ามไปได้ หมอกหนาสีขาวโรยตัวลงมาปกคลุมหนองน้ำ
“เราต้องข้ามไปไหมจ๊ะ” จำเนียรถาม
“เดี๋ยวมีเรือมารับจากฟากขะโน้นจ้า นั่นไงมาแล้ว” แก้วชี้ให้เห็นว่าฟากขะโน้นลิบๆ มีแสงไฟสีเหลืองอมส้มสลัวๆ ขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนเห็นว่ามีคนพายเรือข้ามมา ไม่แน่ชัดว่าเป็นชายหรือหญิงเพราะใส่เสื้อคลุมยาวปกปิดคลุมร่างกายไว้ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า
“ขึ้นมาสิ จ่ายค่าจ้างมาด้วยนะ” คนพายเรือชี้ชวนให้แก้วและจำเนียรขึ้นเรือ เสียงที่พูดมาทำให้ทราบว่าเป็นผู้หญิงแต่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องพูดช้าๆ เย็นๆ เนิบๆ เยี่ยงนั้นด้วยกันเล่า
“นี่จ๊ะ นี่เป็นเหรียญสุดท้ายแล้ว ขึ้นเรือกันเถิดจ้า” แก้วอ้าปากของตนแล้วใช้นิ้วควานหาเงินเหรียญมาเหรียญหนึ่งแล้วส่งให้หญิงพายเรือข้ามฟาก จำเนียรตาลุกวาว คนที่นี่แปลกประหลาดกันจัง ที่เก็บเงินเก็บสตางค์มีตั้งมากมายไม่เก็บกัน มาเก็บไว้ในปากนี่นะ แปลกดีแท้หนอ แก้วและจำเนียรขึ้นเรือไป นั่งเรียบร้อยแล้ว หญิงพายเรือพายจ้ำไป เรือเคลื่อนไปอย่างช้าๆ จนมาถึงกลางหนอง เกิดเรื่องแปลกประหลาดขึ้น มีตัวอะไรไม่ทราบที่อยู่ใต้น้ำดุนเรือจนโคลงเคลง จำเนียรตกใจร้องกรี๊ดกร๊าดเกาะกราบเรือไว้แน่น แต่ตัวอะไรใต้น้ำไม่ลดราวาศอก ดุนเรือจนเรือแตก จำเนียรตกน้ำไป และนั่นคือสิ่งสุดท้ายที่จำเนียรจำได้
“เรื่องทั้งหมดก็เป็นอย่างนี้แหละจ้ายาย” จำเนียรเล่าจบลง
“ดีแล้วล่ะที่เอ็งรอดมาได้นะนังหนู ได้เวลานอนแล้วล่ะ นอนดีกว่า” ยายนอมบอก สองยายหลานช่วยกันกางมุ้งปูที่นอน กราบหมอนไหว้พระเสร็จดับไฟล้มตัวลงนอน
ไม่นานนักหลังจากนั้นพ่อแม่ของจำเนียรมารับจำเนียรและยายนอมเข้าไปอยู่ในเมือง ช่วยกันทำมาค้าขายผลไม้ จำเนียรเป็นแม่ค้าตัวน้อยช่วยเหลือเรื่องค้าขายจนมีกำไรงาม ครอบครัวจำเนียรลืมตาอ้าปากได้ เมื่อจำเนียรโตขึ้นจึงทราบโดยในบัดดลว่าดินแดนที่ตนหลงเข้าไปเป็นเมืองบังบด ทั้งแก้วและคนในหมู่บ้านนั้นและหญิงพายเรือปริศนาล้วนไม่ใช่คนสิ่งที่แก้วทำให้ จำเนียรใช้ประโยชน์พูดจาทำมาค้าขายจนร่ำรวยและปฏิบัติรักษาศีล 5 อย่างเคร่งครัดตลอดชีวิต
[1] บทสวดสู่ขวัญ ที่มา> https://sites.google.com/site/sereerat2010/k2