รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ

สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) - 37 ดงพญาไฟ โดย ท่าเพชร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ลึกลับ,เรื่องสั้น,ระทึกขวัญ,ดราม่า,ย้อนยุค,ผึ,สยองขวัญ,ผี,ดราม่า,ลึกลับ,ย้อนยุค,ชนบท,วัด,เรื่องเล่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ลึกลับ,เรื่องสั้น,ระทึกขวัญ,ดราม่า,ย้อนยุค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ผึ,สยองขวัญ,ผี,ดราม่า,ลึกลับ,ย้อนยุค,ชนบท,วัด,เรื่องเล่า

รายละเอียด

สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club)  โดย ท่าเพชร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ

ผู้แต่ง

ท่าเพชร

เรื่องย่อ

ผีมีจริงหรือไม่?

          คนเราตายแล้วไปไหน?

            สโมสรหลังเมรุ(Cemetery Club) มีจุดกำเนิดจากการได้รับแรงบันดาลใจจากได้ฟังเรื่องผี เรื่องวิญญาณ ทว่าจุดเริ่มต้นที่แท้จริงเกิดจากพระภิกษุกลุ่มหนึ่งสนทนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรื่องเร้นลับทั้งประสบพบเจอเอง ได้ยินได้ฟังมาในระหว่างรอสวดมาติกาบังสุกุลศพในช่วงบ่ายและระหว่างรอสวดพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ในงานพิธีศพ บางคนอาจจะมองว่าการฟัง การอ่าน การชมเรื่องผีเป็นเพียงแค่ความบันเทิงเท่านั้น สำหรับผมเรื่องผีเป็นเรื่องที่มีเสน่ห์ชวนน่าหลงใหล มีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเอง เราอยากจะรู้ว่าประเทศนั้นประเทศนี้มีความเชื่อค่านิยม วัฒนธรรมที่สะท้อนอัตลักษณ์ตัวตนของประเทศนั้นๆ ผ่านการศึกษาเรื่องผี ผ่านคติความเชื่อในโลกหลังความตายได้ เรื่องผีบางเรื่องมีคติสอนใจซ่อนอยู่ มนุษย์ที่ตายไปแล้วไปสู่ภพภูมิที่ตนเองควรไป ยังวนเวียนอยู่กับมนุษย์เพราะความต้องการของเขา เธอทั้งหลายยังไม่บรรลุ ไม่ว่าจะเป็นการทวงความยุติธรรมให้แก่ตน การสั่งเสียอำลาคนที่เรารัก การใช้ตนเองเป็นธรรมทาน หรือแม้กระทั่งเป็นประจักษ์พยานในการแสดงผลของการทำความดีและผลของการทำชั่ว เรื่องผีบางเรื่องสะท้อนสภาพสังคมในแต่ละยุคอย่างเรื่อง นางนวล สะท้อนให้เห็นสภาพสังคมไทยในสมัยรัชกาลที่ 7 ที่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นปกครองกับชนชั้นสามัญชนคนธรรมดา แม้จะมีการเลิกทาสมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แต่ผู้คนมากมายก็ยังคงตกเป็นทาสของอำนาจเงิน อย่าง ซ่องเจ๊เนาและซุ้มยาดองยายนี สะท้อนสภาพบ้านเมืองของอำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานีในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 

สารบัญ

สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 1 ไปสวดศพ(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 1 ไปสวดศพ(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 2 วิวาห์ผี,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 3 วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 3 วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 4 หอปรารถนาดี,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 5 โรงเรียนสยองขวัญ,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 6 ซ่องเจ๊เนา(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 6 ซ่องเจ๊เนา(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 7 นางนวล(ตอนที่ 1),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 7 นางนวล(ตอนที่ 2),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 7 นางนวล(ตอนที่ 3),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 7 นางนวล(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 8 ไปหาดใหญ่คราวนั้นฉันยังจดจำ,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 9 โค้งเขาท่าเพชร,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 10 อย่านึกถึงฉัน,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 11 รวมเรื่องเล่าในโรงพยาบาล,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 12 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 1),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 12 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 2),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 12 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 3),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 12 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 13 สามเณรใจสิงห์(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 13 สามเณรใจสิงห์(ตอนที่ 2),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 13 สามเณรใจสิงห์(ตอนที่ 3),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 13 สามเณรใจสิงห์(ตอนที่ 4),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 14 นางเบ็ด(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 14 นางเบ็ด(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 15 ดงพญาไฟ,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 16 ยายฉิมเก็บเห็ด,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 17 ปลายฝนต้นหนาว,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 18 พี่สุดสวยแห่งหอใน,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 19 นอนกลางขวัญผวา,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 20 บีผู้เจอผีระดับบอส,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 21 ผีอีเปรี้ยว,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 22 เพื่อนผู้จากไป,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 23 ปริศนาชายเสื้อลายแห่งห้อง 52xx,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 24 โค้งเขาท่าเพชร(อีกแล้ว),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -25 อย่านึกถึงฉัน,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -26 รวมเรื่องเล่าในโรงพยาบาล,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -27 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 1),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -28 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 2),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -29 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 3),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -30 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -31 สามเณรใจสิงห์(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -32 สามเณรใจสิงห์(ตอนที่ 2),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -33 สามเณรใจสิงห์(ตอนที่ 3),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -34 สามเณรใจสิงห์(ตอนที่ 4),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -35 นางเบ็ด(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -36 นางเบ็ด(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -37 ดงพญาไฟ,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -38 ยายฉิมเก็บเห็ด,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -39 ซุ้มยาดองยายนี(ตอนที่ 1),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -40 ซุ้มยาดองยายนี(ตอนที่ 2),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -41 ซุ้มยาดองยายนี(ตอนที่ 3),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -42 ซุ้มยาดองยายนี(ตอนที่ 4),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -43 ซุ้มยาดองยายนี(ตอนที่ 5),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -44 ซุ้มยาดองยายนี(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -45 ปอบงามล่มเมือง ตอนที่ 1

เนื้อหา

37 ดงพญาไฟ

เรื่องที่ 1. ดงพญาไฟ

ในบรรดาป่าในสยามประเทศนั้น ป่าที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคงจะเป็นป่าดงพญาไฟ ป่าแห่งนี้เป็นพรมแดนธรรมชาติคั่นระหว่างภาคกลางกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใครสัญจรผ่านป่าดงพญาไฟมักจะอกสั่นขวัญหายเพราะกริ่งเกรงในอาถรรพ์ของป่าแห่งนี้ พรานผาดเล่าว่า ป่าแห่งนี้มีอันตรายมากทั้งจากสัตว์ ผีป่าและโรคร้ายชุกชุม เลยมีธรรมเนียมการเข้าป่าแห่งนี้คือ ห้ามเข้าป่าเพียงลำพัง พรานที่เล่าเรื่องเร้นลับในป่าอาถรรพ์แห่งนี้ให้พรานผาดฟังมีชื่อว่า พรานว่อง เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อ สิงห์ เด็กหนุ่มวัยคะนอง เข้าป่าดงพญาไฟเพื่อล่าสัตว์เพียงลำพังโดยไม่ฟังคำทัดทานของนายตึก นางโรยผู้เป็นพ่อแม่ สิงห์แอบหนีเข้าไป พ่อแม่มารู้อีกทีก็หายเข้าป่าเป็นวันไปแล้ว นายตึกนางโรยร้อนใจที่ลูกชายสุดคะนองไม่กลับมา จึงขอให้พรานว่องและชาวบ้านช่วยกันเข้าป่าออกตามหา กลุ่มคนที่จะเข้าป่ามีพรานว่อง นายตึก นายกล่อม นายพูน และนายมุดรวมเป็นห้าคน ทั้ง 5 คนวางแผนกันว่าจะเข้าป่าแค่ 3 วันแล้วหากไม่เจอค่อยกลับออกมา จึงต้องเตรียมสัมภาระเสบียงและปืนผาหน้าไม้พร้อมกระสุนให้พร้อม แล้วทั้ง 5 คนเข้าป่าโดยไม่ลืมทำพิธีเปิดป่าก่อน นางโรยและชาวบ้านหลายๆ คนเดินมาส่งคนทั้ง 5 ที่ชายป่าด้วยความหวังที่พบเจอสิงห์ตัวเป็นๆ

ป่าดงพญาไฟเป็นป่าดงดิบ ต้นไม้ใหญ่สูงจำพวกยางอย่างยางมันหมู กะบาก ตะเคียนชันตาแมวขึ้นแน่นขนัดไม้เลื้อยรัดตรึงต้นไม้ใหญ่ บรรยากาศดูอึมครึมและเย็นวูบๆ แม้ในยามกลางวันที่นอกเขตป่าแดดจัด พรานว่องแกะดูรอยเท้าอยู่ครู่ก็เดินตามรอยไปเรื่อยๆ จนค่อนวัน

“อ้ายสิงห์ตัวดี มันจะเดินข้ามเขตเข้าปากช่องแล้วรึไงวะ” นายพูนบ่นอุบหลังจากเดินเท้ามาไกล

“พักก่อนเถอะพ่อพราน” นายตึกชักชวนให้คณะพักผ่อนกลางป่ารกดื่มน้ำดื่มท่าให้ชุ่มฉ่ำ

เสียงสัตว์ในป่าร้องเซ็งแซ่ทั้งชะนีร้องผัวๆ โหยหวน เสียงไก่ป่าร้องต็อกๆ นกป่าร้องระงม ฟังแล้วระรื่นหูสบายใจ แต่สำหรับพรานและนักล่าสัตว์คงจะกระหยิ่มใจราวกับเสียงสวรรค์ เพราะนี่คืออาหารอันโอชะ

“ร้องอยู่ได้ พ่อจะยิงเอามากินดีไหมนี่” นายมุดบ่นแล้วหยิบปืนแก๊บอัดลมขึ้นมาทำท่าเล็งอากาศเหมือนหมายจะยิงสัตว์

“อย่าเชียวนะเอ็ง” พรานว่องร้องห้าม “พวกเราเข้ามาตามหาอ้ายสิงห์ไม่ได้มาส่องสัตว์ล่าสัตว์ แค่นี้ก็เดือดร้อนกันมากแล้ว ตอนทำพิธีเปิดป่าก็ขอเพียงตามหาคนที่หาย ถ้าทำอะไรนอกเหนือไปจะเจอดีเข้าได้”

“โธ่! ลุง ข้าก็พูดล้อเล่นเท่านั้นเอง” นายมุดยิ้มร่าลดปืนลงเก็บไว้

“ถึงพูดเล่นก็ไม่ได้ ป่า ผีป่า เจ้าป่าไม่ใช่เพื่อนเล่นเอ็ง เขาถือเอาจริงหมด ทุกการกระทำของพวกเราอยู่ในสายตาของพวกเขาหมด” พรานว่องเตือน

“เอาเถอะๆ พวกเอ็งหายเหนื่อยกันแล้วรึยัง? เดินกันต่อเถิด” นายตึกห้ามทัพระหว่างนายพรานผู้เคร่งครัดกฎแห่งป่ากับหนุ่มบ้านป่าผู้ถือคติกฎมีไว้แหก

ทั้ง 5 คนเดินไปเรื่อยๆ จนตะวันคล้อย พรานว่องหาที่ทางหยุดพัก ป่าเช่นนี้ไม่อาจจะนั่งห้างได้ บังไพรก็ทำไม่ได้เพราะสัตว์ร้ายชุกชุม คงทำได้แต่ก่อกองไฟผลัดกันเฝ้าเวรยามคอยเติมไฟไม่ให้มอด พรานว่องเลือกที่พักแรมใกล้ลำธารเล็กๆ ได้ยินเสียงน้ำไหลจ๊อกๆ ปัดที่ทางพอนอนถูไถไปได้ พอใกล้ค่ำ นายกล่อมผู้นำหินเหล็กไฟมาด้วยก่อกองไฟโดยไม้ฟืนจากเศษไม้แห้ง ไม้ฟืนเชื้อไฟมีสำรองไว้ให้เติมตลอดทั้งค่ำคืน ได้เสียงร้องหงิงๆ คล้ายเสียงลูกสุนัขแว่วมาแต่ไกล

“อย่าไปสนใจมัน นั่นไม่ใช่เสียงลูกหมา นั่นมันเสียงงูเห่า เขาถึงเรียกว่างูเห่าเพราะมันทำเสียงร้องคล้ายหมาได้” พรานว่องเตือน

“ในป่าแห่งนี้ยังมีอะไรให้ตื่นเต้นอีกมากมาย พวกเอ็งเห็นอะไร ได้ยินอะไรก็อย่าไปทักเข้าล่ะ” นายตึกเตือน

“มีอะไรรึลุง” นายพูนถามอย่างทีเล่นทีจริง

“ผีตีนเดียว พ่อแม่พวกเอ็งไม่เคยเล่ารึไง ป่าแห่งนี้มีผีตีนเดียวอยู่” พรานว่องตอบ

“ฉันจำได้คลับคล้ายคลับคลา ตอนเด็กๆ พ่อแม่เล่าให้ฟังก่อนนอน ตอนนี้ลืมไปหมดแล้ว” นายกล่อมบอก

“ป่าผืนนี้กว้างใหญ่มาก เป็นเส้นทางสัญจรสำคัญระหว่างภาคกลางกับภาคอีสาน การเดินทางผ่านป่าต้องรวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนเรียกว่ากองคาราวาน ด้วยความที่ป้าแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาล กองคาราวานที่เดินทางผ่านป่ามาต้องพักค้างอ้างแรมในป่าถึง 2 คืน การค้างอยู่ในป่าต้องก่อกองไฟจัดเวรยามผลัดเปลี่ยนคอยเฝ้าดูเหมือนอย่างที่พวกเราทำกันอยู่ในตอนนี้แหละ เพราะมันมีทั้งสัตว์ป่า ไข้ป่าไข้ป่วง ผีป่าล้วนเป็นอันตราย บางคนออกมาจากป่าถึงเรือนชานนอนซมป่วยพิษไข้จนเพ้อแล้วตาย ส่วนผีตีนเดียวมันเป็นตำนานอยู่คู่ป่าแห่งนี้ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าหลวงแล้ว ตอนนั้นมีการสร้างทางรถไฟสายอีสานจากพระนครไปโคราช เส้นทางรถไฟตัดผ่านป่าแห่งนี้ มีคนงานมากมายมาทำงานใช้แรงงานก่อสร้างทางรถไฟรวมทั้งคนงานจีน เกิดเรื่องจนได้เมื่อมีคนงานทยอยตายไปแบบแปลกประหลาดคือนอนหลับตายหรือที่เขาเรียกกันว่าไหลตาย เป็นอย่างนี่มาเรื่อยๆ แต่มีคนงานชาวจีนคนหนึ่งรอดตายมาได้แล้วเล่าให้คนอื่นๆ ฟังว่า พบเห็นสิ่งประหลาดที่ไม่อาจสรุปได้ว่าเป็นคน สัตว์หรือผี ลักษณะของมันเตี้ยกว่าคนทั่วไป ผมเพ้ายาวรุงรังไร้เสื้อผ้าปกปิดแต่อย่างใดแต่ก็ยากจะบ่งบอกว่าเป็นชายหรือหญิง ลักษณะอีกอย่างคือมีขาเพียงขาเดียว ตีนหันหลังกลับทิศทางตรงกันข้าม พูดง่ายๆ ตีนกลับหลัง คนจีนที่รอดชีวิตแสร้งทำเป็นนอนนิ่งหลับตาปี๋ สิ่งประหลาดนั้นสำรวจดูเหมือนเลือกเหยื่อจนพอใจแล้ว อ้าปากแลบลิ้นยาวเฟื้อยเลียนิ้วหัวแม่โป้งเท้าจนชุ่มแล้ววิ่งหนีไปเหมือนคนวิ่งถอยหลัง เช้ามาจึงรู้ว่าคนที่ถูกเลียนิ้วเท้าตายไปแล้ว เขาจึงบอกทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ให้ระวังตัวกัน มีการจัดเวรยามเฝ้า ก่อกองไฟไว้ให้คนงานนอนล้อมรอบกองไฟอย่างเพื่อเพิ่มความอบอุ่นแก่ร่างกาย” พรานว่องเล่า

“ลุงจ๋า ข้าขอไปยิงกระต่ายหน่อยได้ไหมจ๊ะ” นายพูนร้องขอ

“ข้าก็ขอไปด้วยจ้า” นายมุดเออออขอติดตามนายมุดไปด้วย

“อย่าไปไกลนักล่ะ อ้อ! ดูทางลมด้วยล่ะ เยี่ยวทางใต้ล้มล่ะ กลิ่นจะได้ไม่ลอยมาถึงตรงที่พวกเรานอนกัน” พรานว่องแนะนำ

นายพูนและนายมุดพยักหน้ารับคำแล้วเดินฝ่าความมืดมิดไปในทิศทางใต้ลม จนพบที่เหมาะสมจัดการธุระของตนปลดปล่อยของเสียอย่างเต็มที่

“อ้ายมุดเว้ย ข้าว่านะ เข้าป่ามาตามอ้ายสิงห์คงจะคว้าน้ำเหลวแล้วล่ะ” นายพูนชวนนายมุดพูดคุย

“ทำไมเอ็งคิดอย่างนั้นล่ะวะ” นายมุดถามกลับ

“ข้าคิดไว้หลายทางทั้งทางดีและทางร้าย ทางที่ดีอ้ายสิงห์มันออกจากนี้ป่าไปแล้ว ไปเที่ยวเล่นถิ่นอื่น” นายพูนปัสสาวะเสร็จหยิบใบตองตึงและยาเส้นจากกระเป๋าย่ามม้วนเป็นยาจุดไฟสูบ

“แหม! ถ้าเป็นอย่างนั้นกูจะตามกระทืบแม่งถึงเรือนให้เต็มรักเลย เสียเวลากูฉิบหาย นอนที่เรือนอยู่ดีๆ ต้องมาเหนื่อย อดหลับอดนอนในป่า” นายมุดสบถแล้วก็หยิบยาเส้นมาสูบเช่นกัน

“ส่วนทางที่ร้าย กูว่ามันตายแล้ว” นายพูนบอก

“ทำไมคิดเยี่ยงนั้นเล่า” นายมุดถาม

“ในป่าอันตรายจะตาย อ้ายสิงห์แอบเข้ามาเยี่ยงนี้ มันก็น่าจะรอดยากแล้ว เข้ามาหลายวันแล้ว หลงอยู่ในป่าแห่งนี้ ก็ต้องเสี่ยงดูว่าจะหาซากมันเจอไหม” นายพูนตอบ

“เอาเถอะนะ พวกเราก็เดินป่าอีก 3 วัน มึงอย่าไปพูดอะไรให้อาตึกแกใจเสียเข้าล่ะ พูดตรงนี้จบตรงนี้ กลับกันเถอะ อยู่ตรงนี้นานๆ มันไม่ดี” นายมุดชักชวน

ทั้งสองกลับมารวมกับ 3 คน พรานว่องแบ่งเวรเฝ้าผลัดละ 2 คนผลัดนึงเฝ้า 2 ชั่วโมง โดยพรานว่องเฝ้าเวรผลัดสุดท้ายก่อนรุ่งสางเพียงคนเดียว ผลัดแรกนายตึกกับนายพูนอยู่เฝ้า ทุกอย่างเป็นปกติดี ป่าเงียบสงัดไม่มีสัตว์ป่ามารบกวน คนที่อยู่เฝ้ายามก็พูดคุยกันดื่มเหล้าโรงที่พกมาด้วยย้อมใจคล้ายความหนาวอีกชั้นโดยไม่ลืมที่จะโยนไม้ฟื้นเติมเชื้อไฟไม่ให้กองไฟมอดดับ จนผลัดสุดท้าย พรานว่องนั่งเฝ้ายามเพียงคนเดียว คนอื่นๆ นอนหลับส่งเสียงกรนครอกๆ จะว่าสบายก็ไม่ใช่ต้องมานอนกลางป่าเช่นนี้มันจะสบายกว่าในเรือนเคล้าคลึงกับเมียอันเป็นรักได้เช่นไร พรานไพรผู้ชำนาญป่านั่งระแวดระวังภัยให้สมาชิก 4 คนที่เหลือ

ก่อย... ก่อย... ก่อย...

เสียงอะไรกันที่ดังมาจากป่าลึก พรานว่องเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ เสียงดังก่อยๆ นั้นดังคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ พรานว่องนึกในใจมันคือเสียงอะไร สัตว์ป่าหรือตัวอะไรกัน พรานว่องรู้สึกไม่ชอบมาพากลจึงหยิบปืนลูกซองยาวมาประชิดตัวหมายจะยิงขู่ขึ้นฟ้าหากอันตรายเข้ามากล้ำกราย เสียงก่อยๆ ดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ไม่หยุดยั้ง พรานว่องมองไปทิศทางต้นเสียง สิ่งที่ดวงตาคู่นั้นของพรานว่องเห็นทำเอาพรานไพรที่ว่าแน่หัวใจแทบจะหลุดออกร่างกายตะลึงพรึงเพริด เขาเห็นร่างๆ หนึ่งที่ยากจะแยกแยะออกได้ว่าเป็นคนหรือสัตว์ มันคือผีตีนกลับ มีลักษณะรูปพรรณสัณฐานเหมือนอย่างเขาเล่าพรรณนาไว้ มันเคลื่อนไหวด้วยการกระโดดเพราะหากไม่กระโดดมันจะเดินไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่มันต้องการไปจึงเกิดเสียงดังก่อยๆ ผีตีนกลับกระโดดมาหาเหยื่อที่เป้นมนุษย์หมายจะดุดเลือดดื่มกินตามตำนานที่เล่าสืบต่อกันมา

แกรก... แกรก... โชะ... เปรี้ยง!

พรานว่องหายตกใจได้สติคืนมาลั่นไกปืนยิงปืนลูกขึ้นฟ้านัดหนึ่ง ผีตีนกลับกลายเป็นฝ่ายตกใจ วิ่งงกๆ เงิ่นๆ ไร้ทิศทางจนสะดุดล้มลงเข้ากองไฟแล้วอันตรธานหายไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งี่คนตกใจตื่นพร้อมกันราวกับนัดหมายไว้

“เช้าแล้วรึยัง?” นายตึกถามอย่างงัวเงีย

“ใกล้แล้วล่ะ ไม่ต้องนอนกันแล้ว ข้าเจอดีแล้ว” พรานว่องพูด

“เจออะไรลุง” นายพูนถาม

“เจอผีตีนกลับนะสิ รูปร่างหน้าตามันเหมือนอย่างที่ข้าเล่าให้พวกเอ็งฟัง มันคงจะมากินเลือดพวกเอ็งที่นอนอยู่ ข้าเลยต้องยิงปืนขู่ขึ้นฟ้าไป น่าแปลกที่ข้ายิงปืนเสียงดังลั่นขนาดนั้น พวกเอ็งยังไม่รู้สึกตัว ผีตีนกลับตกใจวิ่งมั่วซั่วจนตกเข้าไปในกองไฟแล้วก็หายไป” พรานว่องเล่า ทำเอาทั้งสี่คนหายง่วงเมาขี้ตาเป็นปลิดทิ้งเลยทีเดียว ทั้งสี่ตีวงขยับเข้ามาล้อมรอบใกล้กองไฟมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ไม่รู้เพราะต้องการความอบอุ่นจากไฟหรือความอุ่นใจที่ใกล้ชิดกับพวกพ้องจนแสงสีเงินโผล่จับขอบฟ้าแล้ว นกป่าร้องแซ็งแซ่พร้อมจะออกหากินในยามรุ่งอรุณ ทั้ง 5 คนทำธุระส่วนตัวจนเสร็จแล้วกินข้าวห่อที่เตรียมมาจากบ้าน

“เสียดายที่ข้าไม่ทันเห็น” นายพูนพูดขึ้นมา

“ก็ดีแล้วไม่ใช่รึ ข้าว่าเอ็งจะหายใจวายตายก่อน” นายมุดเย้ยแต่นายพูนไม่เล่นด้วย กินข้าวต่อไป

“เราจะไปทางไหนกันดีลุงพราน” นายกล่อมถาม

“ข้าก็ยังไม่รู้เลย พอเข้ามาในเขตป่ารก ร่องรอยของอ้ายสิงห์มันก็หายไป ป่าผืนนี้มันกว้างใหญ่มากเหมือนเรากำลังงมเข็มในมหาสมุทร” พรานว่องเป็นกังวล

“ข้าแต่เจ้าป่าเจ้าเขา โปรดช่วยชี้ทางด้วยเถิด ลูกชายของลูกช้างเป็นตายร้ายดีอย่างไร ขอให้เจอด้วยเถิด” นายตึกคุกเข่ากราบกรานเจ้าป่าเจ้าเขาที่มองไม่เห็น

ก่อย... ก่อย... ก่อย...

แว่วเสียงลอยมาจากแนวพุ่มไม้ด้านหลังพรานว่อง มันเป็นทิศทางเดียวกันกับที่ผีตีนกลับตนนั้นโผล่เข้ามาในบริเวณที่เขาทั้ง 5 พักแรมอยู่ จนพรานว่องยิงปืนขู่แล้วหายเข้าไปในกองไฟ

“รีบเก็บของดับไฟซะ” นายตึกสั่งทุกคน

“แล้วจะเชื่อได้เยี่ยงไรว่าให้ไปทางนั้น ไม่ใช่ผีตีนกลับหลอกพวกเราเอาไปแดก” นายพูนไม่อยากจะเชื่อมีความรู้สึกวิตกกังวล

“เหอะนาไปเถิด ผีตีนกลับมันกลัวเสียงปืน เอ็งมีปืนเอ็งจะไปกลัวทำไม ระวังตัวเองไว้มีสติทุกย่างก้าว” พรานว่องแนะนำทุกคนให้คลายความกังวลมีความมั่นใจขึ้นมา

หลังจากดับกองไฟแล้ว ทุกคนเก็บสัมภาระ เดินมุ่งหน้าเข้าป่ารกชัฏต่อไป แม้ว่าจะต้องหักร้างถางพงเดินไป ใช้เวลานานมาก จนกระทั่งพบเจอปืนผาหน้าไม้หนึ่งรางตกหล่นอยู่ นายตึกเข้าหยิบดู

“ของสิงห์” นายตึกบอกกับทุกคน

“มีรอยลากไป ข้าว่ามันเป็นเสือ ดูสิมีรอยตีนด้วย” พรานว่องเดินย่องตามรอยลากเข้าพงหญ้าสูงเทียมศีรษะ เขาแหวกพงหญ้า แล้วก็เจอ...

“เหม็นคาวเลือดว่ะ” นายกล่อมทักขึ้นหลังจากได้กลิ่นโชยมา

“ตึกมาดูสินี่ใช่อ้ายสิงห์ลูกชายเอ็งไหม?” พรานว่องเรียก

“โธ่! สิงห์ ไม่น่าเลย” นายตึกทรุดตัวลงกองกับพื้น คนอื่นๆ เข้ามาดูแล้วเบือนหน้าหนีเพราะสภาพศพนายสิงห์สยดสยองมาก ศพนั้นไร้หัวบริเวณลำคอมีรอยขาดกะร่องกะแร่งเหมือนกระชากอย่างแรง ร่างกายมีรอยขีดข่วน เสื้อผ้าขาดวิ่น

“ถูกเสือกัดตาย” พรานว่องฟันธงถึงสาเหตุการตายของสิงห์อย่างไม่ลังเล ทำเอานายกล่อม นายพูนและนายมุดตกใจทำหน้าเหวอ

“เอาอย่างไรกับศพอ้ายสิงห์ล่ะลุง” นายกล่อมถาม

“ก็ถามพ่อมันดูสิ ว่าจะเอาศพกลับไปไหม ถ้าไม่เอาไปก็ฝังไว้ตรงนี้แหละดีกว่าเป็นเหยื่อแร้งเหยื่อกา กลับไปค่อยแจ้งทางการโดยที่พวกเราเป็นพยาน ถ้าเอาศพกลับไปก็ต้องให้พวกเอ็งช่วยกันแบกหามไป แล้วก็ต้องนอนค้างกับศพในป่านี้อีกคืน” พรานว่องตอบ

“ข้าเอาผ้าขาวม้ามาสองผืน ช่วยๆ กันห่อแล้วหามศพกลับไป” นายตึกสั่ง

นายกล่อมตัดไม้ท่อนยาวมาท่อนหนึ่งเพื่อใช้ไม้คานสำหรับหาบคอนศพ นายตึกผูกผ้าขาวม้า 2 ผืนแล้วใช้ห่อศพลูกชาย ให้นายพูนและนายมุดผู้มีร่างกายกำยำหาบคอนศพอ้ายสิงห์ย้อนกลับมาตามเส้นทางเดิม เดินกลับมาแม้จะไม่ทุลักทุเลแต่ก็เดินกันมาช้าๆ ประวิงคอยท่าให้นายพูนและนายมุดเดินแบกศพมาทันท่วงที จนเย็นย่ำ พรานว่องให้ทุกคนหยุดพักค้างแรมกลางป่าอีกคืน ทุกอย่างเป็นเช่นเดิม ศพอ้ายสิงห์ต้องทำคบไม้แขวนเอาไว้อยู่ทางใต้ลม คนที่เฝ้ายามต้องเฝ้าระวังสัตว์ป่า ผีป่ามารบกวนคนที่นอนอยู่และศพอ้ายสิงห์ แต่คนที่นอนก็นอนหลับไม่เป็นสุขเท่าใดนักเพราะหวาดหวั่นอันตรายในป่ารวมทั้งเกรงกลัวผีอ้ายสิงห์ด้วย จนถึงเวรนายพูนและนายมุดทั้งสองอยู่ยามกันเงียบๆ คอยโยนไม้ฟืนเข้ากองไฟเรื่อยๆ

ฮือ...ฮือ...ฮือ...ฮือ...ฮือ...ฮือ...ฮือ...ฮือ...ฮือ...ฮือ...ฮือ...

“เสียงไรวะ” นายพูนทักขึ้นมา

“มึงอย่าทักดิวะ” นายมุดปราม

เสียงร้องไห้ของมนุษย์ดังลั่นป่า จนคนที่นอนอยู่อีก 3 คนตื่นขึ้นมา เสียงร้องไห้ยังคงดังอยู่ต่อเนื่องวนรอบบริเวณจุดพักแรม ไม่รู้ว่ามีสาเหตุอันใดที่ทำให้ผู้ชายที่มาร้องไห้วนรอบไม่ปรากฏตัวหรือเข้ามาใกล้มากกว่านี้

“สิงห์ นั่นใช่ไหม?” นายตึกเรียกทัก

“ใช่จ้าพ่อ ฮือ...ฮือ...ฮือ...” เสียงชายปริศนาโต้ตอบกลับมาแน่ชัดว่าเป็นอ้ายสิงห์

“เอ็งจะเอาอะไรอีกลูก พ่อมาตามเอ็งกลับบ้านแล้วแม้จะได้เพียงศพเอ็งเท่านั้น พ่อก็เอาศพเอ็งกลับไปเผาที่หมู่บ้านเรา กลับบ้านกันนะลูก” นายตึกบอกกล่าว

“จ้าพ่อ หนูไม่น่าดื้อเลย ป่าแห่งนี้มันน่ากลัวอย่างที่ใครๆ พูดกัน หนูคิดว่าตัวเองเก่งแล้ว แต่คืบก็ป่าศอกก็ป่า หนูหลงทางเตลิดมาเรื่อยๆ กลางคืนนอนในป่าเกือบถูกผีตีนเดียวเล่นงาน วิ่งเตลิดไม่รู้ทิศไม่รู้ทาง จนถูกเสือตะปบลากไปกินหัวตายอย่างอนาถากลางป่ารก ขอบใจทุกๆ คนที่มีน้ำใจช่วยเหลือหนู” เสียงจากวิญญาณอ้ายสิงห์ผู้ได้รับทุกขเวทนาร่ำร้องเล่าเหตุการณ์ก่อนจะวายชนม์ให้บิดา พรานว่องและผู้ติดตามฟังแล้วก็เงียบไป ทั้ง 5 คนนั่งล้อมรอบกองไฟอย่างเงียบๆ ไม่มีอะไรจะพูดคุยรอให้รุ่งอรุณมีแสงสว่างจากฟากฟ้ามองดูลายมือเห็นแล้วเดินทางกลับออกมาจากป่า

ศพอ้ายสิงห์ถูกจัดการทำความสะอาดและเปลี่ยนชุดโดยพวกผู้ชายในหมู่บ้านที่ใจกล้า เพราะสภาพศพที่น่าสยดสยองไร้ศีรษะทำให้ผู้หญิงที่พบเห็บขวัญหนีดีฝ่อหนีหายกันไปหมด แต่งศพนำขึ้นเชิงตะกอนในป่าช้า ชาวบ้านถือดุ้นไม้ฟืนคนละดุ้นสองดุ้นไปวางไว้ที่เชิงตะกอนถือคติมาร่วมด้วยช่วยกันเผาศพ นางโรยร่ำไห้อยู่ตลอดเพราะเศร้าโศกเสียใจที่ลูกตายจากไปอย่างผิดธรรมชาติเช่นนี้ ไฟที่เชิงตะกอนลุกโหมไหม้ลามเลียศพเด็กหนุ่มมีชะตาร้ายจนไหม้ไฟ จะว่าเป็นเพราะศพโดนไฟเส้นเอ็นยึดหรือเพราะอาถรรพ์อะไรก็ตามศพอ้ายสิงห์กระตุกลุกนั่งขึ้นมายกมือข้างขวาขึ้นมาโบกไปมาเหมือนจะบอกอำลา ทำเอาคนที่มางานศพวิ่งหนีแตกกระจายไปคนละทิศคนละทางได้สิตหายกลัวก็กลับบ้านกันไป เรื่องอ้ายสิงห์เป็นเรื่องเล่าเล็กๆ น้อยๆ ที่ชาวบ้านไว้เล่าเตือนลูกหลานของตนที่เติบโตใกล้ชิดกับป่าผืนนี้ว่าอย่าได้ประมาทกับป่าผืนนี้เป็นอันขาด ป่าคือป่า ผีป่า สัตว์ดุร้าย เรื่องอาถรรพ์ของป่าดงพญาไฟที่เปลี่ยนมาเป็นป่าดงพญาเย็นแล้วกลายเป็นอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อุทยานแห่งชาติแห่งแรกในประเทศไทยยังมีอีกมากมาย แม้ในปัจจุบันยังมีคำเตือนในการท่องเที่ยวอุทยานว่า อย่าเดินออกนอกเส้นทางศึกษาธรรมชาติหรือเข้าป่าลึกไปลำพังโดยไม่แจ้งเจ้าหน้าที่อุทยาน ก็ยังมีคนมากมายเข้าป่าแล้วพลัดหลงเป็นข่าว เจ้าหน้าที่อุทยานต้องออกตามหาพบเจอในสภาพที่อิดโรยหรือเป็นศพมีร่องรอยสัตว์แทะกินก็มี เพราะฉะนั้นเข้าป่าที่ไหนต้องเคารพกฎของป่า อย่าทำอะไรผิดป่าเป็นอันขาด เตือนแล้วนะ