รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ
ลึกลับ,เรื่องสั้น,ระทึกขวัญ,ดราม่า,ย้อนยุค,ผึ,สยองขวัญ,ผี,ดราม่า,ลึกลับ,ย้อนยุค,ชนบท,วัด,เรื่องเล่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club)รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ
ผีมีจริงหรือไม่?
คนเราตายแล้วไปไหน?
สโมสรหลังเมรุ(Cemetery Club) มีจุดกำเนิดจากการได้รับแรงบันดาลใจจากได้ฟังเรื่องผี เรื่องวิญญาณ ทว่าจุดเริ่มต้นที่แท้จริงเกิดจากพระภิกษุกลุ่มหนึ่งสนทนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรื่องเร้นลับทั้งประสบพบเจอเอง ได้ยินได้ฟังมาในระหว่างรอสวดมาติกาบังสุกุลศพในช่วงบ่ายและระหว่างรอสวดพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ในงานพิธีศพ บางคนอาจจะมองว่าการฟัง การอ่าน การชมเรื่องผีเป็นเพียงแค่ความบันเทิงเท่านั้น สำหรับผมเรื่องผีเป็นเรื่องที่มีเสน่ห์ชวนน่าหลงใหล มีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเอง เราอยากจะรู้ว่าประเทศนั้นประเทศนี้มีความเชื่อค่านิยม วัฒนธรรมที่สะท้อนอัตลักษณ์ตัวตนของประเทศนั้นๆ ผ่านการศึกษาเรื่องผี ผ่านคติความเชื่อในโลกหลังความตายได้ เรื่องผีบางเรื่องมีคติสอนใจซ่อนอยู่ มนุษย์ที่ตายไปแล้วไปสู่ภพภูมิที่ตนเองควรไป ยังวนเวียนอยู่กับมนุษย์เพราะความต้องการของเขา เธอทั้งหลายยังไม่บรรลุ ไม่ว่าจะเป็นการทวงความยุติธรรมให้แก่ตน การสั่งเสียอำลาคนที่เรารัก การใช้ตนเองเป็นธรรมทาน หรือแม้กระทั่งเป็นประจักษ์พยานในการแสดงผลของการทำความดีและผลของการทำชั่ว เรื่องผีบางเรื่องสะท้อนสภาพสังคมในแต่ละยุคอย่างเรื่อง นางนวล สะท้อนให้เห็นสภาพสังคมไทยในสมัยรัชกาลที่ 7 ที่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นปกครองกับชนชั้นสามัญชนคนธรรมดา แม้จะมีการเลิกทาสมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แต่ผู้คนมากมายก็ยังคงตกเป็นทาสของอำนาจเงิน อย่าง ซ่องเจ๊เนาและซุ้มยาดองยายนี สะท้อนสภาพบ้านเมืองของอำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานีในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
เรื่องนี้เป็นการเท้าความของพระอธิการอินทร์ อินทโชโต อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านใต้ เล่ามูลเหตุแห่งการบวชครองตนเป็นบรรพชิตที่มีเหตุมาจากความอาฆาตแค้นของปีศาจสาวตายทั้งกลม
ชีวิตความเป็นพระของอาตมาเจริญงอกงามตามครรลอง นี่ก็ล่วงเลยเข้าพรรษาที่ 5 แล้ว ในวันหนึ่งหลังจากที่ อาตมามาฉันเพลเสร็จ อาตมากลับมาพักผ่อนทบทวนธรรมะ เชตเด็กวัดผู้คอยอุปัฏฐากหลวงตาแก้วได้นำจดหมายโทรเลขมาถวายให้ จดหมายจ่าหน้าซองถึงอาตมา ผู้ส่งคือวิชาน้องชายต่างมารดาของอาตมาเอง อาตมาแกะซองจดหมาย เนื้อความระบุไว้ว่า
“เจ้าคุณพ่อเจ็บหนัก นิมนต์หลวงพี่มาพระนคร”
อาตมาร้อนรนรีบไปหาตาชมไวยาวัจกรวัดเพื่อเบิกเงินจำนวนหนึ่งแล้วไหว้หวานเจ้าขิตน้องเจ้าเชตเด็กวัดไปตีตั๋วรถไฟเข้าพระนครได้ตั๋วรถไฟด่วนชั้นสองเที่ยวค่ำ ส่วนอาตมาจัดแจงตระเตรียมสบง จีวร บริขารให้พร้อม ครั้นเวลา ๔ โมงเย็น อาตมาขึ้นทำวัตรเย็นถือโอกาสกราบลาหลวงตาแก้ว
“ไปดีมาดีเถิดคุณอินทร์ ทุกอย่างล้วนเป็นอนิจจัง อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด” หลวงตาแก้วอำนวยพรโดยแฝงปริศนาธรรมบางอย่างไว้
อาตมาได้ฟังแล้วพออนุมานได้ว่าไปดพระนครคราวนี้คงจะต้องไปนานแต่ก็ไม่ได้กังวลเพราะผ่านพ้นพรรษากาลและรับอานิสงส์กฐินเรียบร้อยแล้ว อาตมาก้มกราบลาแล้วถอยออกมากลับกุฏิพักผ่อนอยู่ครู่มองสำรวจบริขารต่างๆ ว่าครบถ้วนหรือไม่ พอถึงเวลาทุ่มเศษๆ อาตมาก็ห่มจีวรแบบคลุมสะพายย่ามบรรจุบริขารแน่นย่ามลั่นดานกุฏิแน่นหนา เดินเท้าออกจากวัดผ่านตลาดไปนิดเดียวถึงสถานีรถไฟ อาตมานั่งพักคอยตรงที่นั่งไม้บนชานชาลา รถไฟจะเทียบเข้าสถานีเวลาประมาณ / ทุ่ม นายสถานีนำน้ำฝนใส่ขันมาถวาย อาตมาพอคุ้นเคยกับนายสถานีผู้นี้เพราะเคยใส่บาตรอาตมาอยู่หลายหน เลยถือโอกาสพูดคุยปฏิสันถารกัน พอนายสถานีทราบว่าอาตมาเป็นคนพระนครก็อ้าปากค้างเพราะรู้สึกประหลาดใจที่อาตมาพลัดถิ่นฐานมาไกลถึงที่แห่งนี้ ไม่ทันได้พูดอะไรมาก นายสถานีขอตัวไปทำงานก่อนเพราะรถไฟกำลังเทียบสถานีแล้ว สักครู่รถไฟจอดเทียบเข้าสถานีรถไฟ อาตมาขึ้นรถไฟโดยมีนายสถานีคอยอำนวยความสะดวกให้ ที่นั่งของอาตมาถูกเจ้าหน้าที่ปรับเปลี่ยนเป็นที่นอนไปเสียแล้ว คนที่นอนเตียงล่างเป็นผู้ชายแหวกม่านที่กั้นไว้ออกมาดูแล้วหลบกลับไป อาตมาจำต้องอยู่เตียงบน หลังจากจัดการสัมภาระให้อยู่ในที่ทางเหมาะสมก็จวนเวลารถไฟออกจากสถานี นายสถานีกราบลาอาตมาแล้วลงจากตู้รถไฟไป เสียงตีระฆังเตือนบอกว่ารถไฟจะแล่นออกจากสถานีให้ทุกคนระมัดระวังและเร่งรีบไปอยู่ในบริเวณที่ปลอดภัย ชั่วครู่รถไฟแล่นออกจากสถานีไปตามรางเหล็กยาวเหยียด ไฟในตู้รถไฟค่อยๆ ดับเหลือไว้เพียงไฟบริเวณห้องส้วม อาตมาเลื่อนม่านมาปิดแล้วล้มตัวลงนอน ทว่าเสียงรถไฟแล่นไปดังรบกวนโสตประสาทจนหลับเสียไม่ได้ อาตมาคิดย้อนระลึกความหลังเมื่อหลายๆ ปีก่อน ทุกอย่างมีเหตุมีผล อย่างการบวชครองเพศบรรพชิตและรอนแรมมาจำวัดอยู่วัดบ้านนอกห่างไกลความเจริญ
หลายปีก่อน ในเช้ามืดวันหนึ่งที่สถานีรถไฟหัวลำโพง บรรยากาศช่างวุ่นวายสับสนเพราะรถไฟจากหัวเมืองไกลแล่นเข้าเทียบชานชาลาสถานี ตู้รถไฟท้ายๆ ขบวนเป็นรถไฟชั้นสามนั้น มีชายวัยกลางคนร่างท้วมศีรษะล้านและเด็กสาววัยรุ่นร่างเล็กไว้สั้นผิวขาวดุจแม่แตงร่มใบ สวมเสื้อแขนกระบอกสีเหลืองอ่อนนุ่งผ้าถุงสีเขียวเข้ม ทั้งสองหิ้วกระเป๋าสานและชะลอมใส่ส้มสูกลูกไม้พะรุงพะรังพอควร
“รีบเสียเถิดหนาอีนวล” ชายร่างท้วมผู้พ่อเร่งลูกสาวที่ยุรยาดลงจากตู้รถไฟ เด็กสาวสำรวจความโอ่อ่าของสถานีรถไฟหัวลำโพง ในสายตาของเด็กสาวที่เพิ่งเติบโตผ่านพ้นวัยเด็กที่วิ่งเล่นอยู่ตามทุ่งนา แมกไม้ ห้วยหนองคลองบึงลุกวาววาม มองรอบสองข้างทางถนน ตึกรามบ้านช่องใหญ่โตโอ่อ่าแปลกตา เด็กสาวรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ว่าย่านตลาดบ้านใต้คับคั่งและมีสภาพความเป็นเมืองแต่ยังน้อยกว่าพระนคร บ้านเรือนที่นวลเห็นเป็นตึกปูนสูงสองชั้น สามชั้น รูปทรงแปลกตา ตกแต่งประดับลายปูนปั้นอย่างสวยสดงดงาม ตึกแถวบางห้องเปิดประตูห้องหับเผยให้เห็นว่าเป็นร้านรวงจำหน่ายสินค้าหลากหลาย นวลแน่ใจว่าสินค้าบางอย่างที่จำหน่ายในร้านรวงแบบนี้คงจะเป็นของที่หล่อนไม่เคยเห็น เป็นของนำเข้าจากต่างประเทศ แน่นอนว่าราคาแพงเกินอาจเอื้อม
“เราจะไปบ้านคุณหญิงน้อมอย่างไรจ๊ะพ่อ” นวลถาม
“ไปสามล้อ” นายผลตอบพลางยาเส้นกับใบจากแล้วจุดไฟจากไม้ขีดสูบให้ชุ่มปอด ไม่นานนักมีคนถีบรถสามล้อถีบปุเลงๆ ผ่านมา “สามล้อ สามล้อ”
คนขับรถสามล้อชะลอรถสามล้อ” ไปไหนจ๊ะ”
“ไปที่นี่จ้า” นายผลหยิบซองจดหมายส่งให้ชายถีบสามล้อดู
“อ๋อ บ้านเจ้าคุณนรนิตย์ฯ ไปกู้เงินรึ” ชายถีบรถสามล้อทราบดี
“จ้า นาที่บ้านมันล่ม แม่แฉล้มแนะนำให้ฉันมากู้เงินจ้า” นายผลตอบ
“เขารู้กันทั้งพระนครแหละ คนบ้านนอกเข้าพระนครแล้วเรียกรถไปบ้านเจ้าคุณนรนิตย์ฯ ร้อยทั้งร้อยก็ไปกู้เงิน ขึ้นมาเถิด” ชายสามล้อเรียกนายผลและลูกสาวขึ้นรถถีบ เขาถีบไปเรื่อยๆ ตามถนน
“พ่อจ๊ะ นั่นที่ไหนจ๊ะ คนเยอะเชียว” นวลตื่นตาตื่นใจกับพระนครที่ไม่คุ้นตา ถามซอกแซกไปเรื่อยๆ
“นั่นมันโรงหมอน่ะอีหนู ในหลวงรัชกาลที่หกโปรดให้สร้าง เลยไปอีกหน่อยเห็นพระบรมราชานุสาวรีย์ท่าน เอ็งไหว้เอาบุญเถิดอีหนู” ชายถีบสามล้อทำหน้าที่มัคคุเทศก์ไปในตัวแนะนำสถานที่ต่างๆ ไปในตัว เขาถีบเรื่อยๆ จนมาถึงคลองพ่อยมแล้วหยุดจอดที่หน้ากำแพงสีเทาทึมๆ ของคฤหาสน์หลังหนึ่ง “ถึงแล้วล่ะ”
นวลและนายผลลงจากรถสามล้อ นายผลจ่ายค่าโดยสาร ทั้งสองจัดแจงนำสัมภาระที่ติดตัวอย่างกระเป๋าและชะลอมผลหมากรากไม้มาถือไว้มั่นในมือ
“มีใครอยู่ไหมจ๊ะ” นายผลตะโกนถาม
“มาหาใคร อีนี่นายจ๋า” แขกปาทานผู้ถูกว่าจ้างให้มาทำหน้าเป็นยามรักษาการณ์ดูแลคนเข้าออกบ้านโผล่ศีรษะออกมาจากบ้านหลังเล็กชิดริมรั้ว
“ฉันชื่อผลจ้า และนี่นังนวลลูกสาว มาหาแม่แฉล้มจ้า”
“มาแล้วหรือ แม่แฉล้มสั่งไว้แล้ว เข้ามาสิ เดินตามฉันมาล่ะ” แขกยามเปิดประตูเล็กข้างประตูรั้วบานใหญ่เชื้อเชิญให้ทั้งสองเข้ามา “เดินไปเงียบๆ อย่าเอะอะ”
นายผลและนวลเดินอาดๆ ตามไปข้างตึกใหญ่ เป็นตึกสามชั้นหลังคาทรงปั้นหยามุงกระเบื้องว่าวสีแดงสด ตัวตึกทาสีเหลืองมัสตาร์ด หน้าต่างเป็นบานกระทุ้งตีเกล็ดทาสีเขียวเข้ม เดินอ้อมตึกมาด้านหลังเป็นครัว ในครัวมีแม่ครัวผู้หญิงสองคนเตรียมผักหญ้าพร้อมปรุงอาหาร มีหญิงวัยใกล้ชราก้มๆ เงยๆ ใช้ทัพพีคนแกงในหม้อหน้าเตา
“มาหาใครล่ะยะพ่อคุณ” คนครัวนางหนึ่งในสองคนปรายตามองเอ่ยถามแล้วหั่นผักบุ้งต่อไป
“ฉันชื่อผลจ้าและนี่ลูกสาวฉันชื่อนวล ฉันมาหาแม่แฉล้มจ้า” นายผลตอบซื่อๆ หลังจากดื่มน้ำจากขัน
“มากู้เงินอีกล่ะซี” แม่ครัวใหญ่เลิกสนใจแกงในหม้อเขียวแล้วมาสนใจนายผลแทน “เอ็งสองคนไปอาบน้ำอาบท่าเสียเถิด แล้วมากินข้าวกินปลา กว่าแม่แฉล้มลงมาจากตึกก็น่าสายๆ ใกล้เพลโน่นแหละ”
นายผลและนวลแยกย้ายไปอาบน้ำแถวๆ เรือนพักคนรับใช้หลังครัวแล้วกลับมารับประทานอาหารเช้า อาหารสำหรับคนงาน คนรับใช้ก็ไม่ได้ต่างไปจากชาวบ้านทั่วไป อย่างวันนี้ก็มีข้าว ข้าวของคนงานคนรับใช้จะต่างจากข้าวของเจ้านายบนตึก ข้าวนั่นหยาบแข็งกว่าแต่พอทนรับประทานได้ กับช้าวเป็นน้ำพริกกะปิปลาทูทอดและผักสดยืนพื้น มีเพิ่มผัดถั่วฝักยาว ส่วนพวกต้นห้องคนสนิทพวกคุณๆ บนตึกอย่างแม่แฉล้มจะกินสำรับที่เหลือจากท่านหากเหลือมากก็กินได้กินจนอิ่ม หากเหลือน้อยก็ต้องหาของกินในครัวมาเติมจึงต้องรอพวกท่านทั้งหลายรับประทานเสร็จถึงได้กิน นายผลและนวลกินข้าวเช้าจวนเสร็จ แม่แฉล้มลงจากตึกพร้อมหญิงรับใช้ถือถาดสำรับอาหารลงจากตึกอีกสองคน
“มาแล้วใช่ไหม” แฉล้มถามพลางดื่มน้ำดับกระหายแล้วเอนกายลงพักผ่อนบนตั่งไม้เก่าๆ ครำคร่า
“อยู่โน่นล่ะ กินข้าวอยู่” คนครัวตอบ
“ก็ดีแล้ว เข้าไปพูดคุยกับมันหน่อย” แฉล้มว่าเสร็จก็ลุกเดินเข้าไปในครัว สองพ่อลูกกำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย แฉล้มทักทายตามประสาคนรู้จัก นายผลแนะนำนวลให้รู้จักกับแฉล้มพร้อมทั้งฝากเนื้อฝากตัว คุยกันสัพเพเหระนานเกือบชั่วโมง คนรับใช้บนตึกขึ้นมาตาม
“แม่แฉล้ม คุณหญิงให้ตามแม่แฉล้มกับคนที่มาจากบ้านนอกไปพบที่บนตึก”
“ไปกันเถอะ” แฉล้มนำพานายผลและนวลขึ้นตึกไปทางด้านหลังตึกบนตึกเงียบสงบเย็นสบายมีลมโกรกถ่ายเทไม่อุดอู้ แฉล้มนำสองพ่อลูกไปห้องๆ หนึ่งในชั้นล่าง ห้องนั้นดูเป็นห้องผู้หญิงเพราะการประดับตกแต่ง ห้องทาสีชมพูเข้ม ของประดับเป็นของนำเข้าทั้งจีน ญี่ปุ่นและฟากยุโรป นวลแอบสำรวจไปรอบๆ ห้องนี้รู้สึกนึกชอบกับตุ๊กตากระเบื้องเลดี้ฝรั่งเนื้อพอร์ซเลนชิ้นเล็กๆ กระจุ่มกระจิ๋ม เครื่องใช้ในห้องผสมผสานระหว่างจีนกับไทย ตั่งใหญ่กลางห้องประดับมุกลวดลายดอกพุดตานสวยงาม ฝาผนังมีรูปภาพถ่ายขาวดำของคนหลายๆ คนหลายๆ วัยแต่งตัวสวยงาม
“นั่งบนพรมนี่แหละ” แฉล้มบอก “โฉนดที่ดินเอามาพร้อมแล้วนะ”
“จ้า” นายผลหยิบโฉนดจากกระเป๋าเสื้อสีมอๆ มาคลี่ลูบให้หายยับ
หลังจากรออยู่ครู่ มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง การแต่งกายของเธอคนงดงามตามสมัยนิยม เสื้อคอกว้างไม่มีแขนเนื้อบางเบายาวคลุมสะโพกประดับโบว์หยุมหยิมดูงาม กระโปรงซิ่นยาวกรอมเข่าทั้งเสื้อและกระโปรงเป็นสีเหลืองอ่อน เธอใส่สร้อยคอไข่มุกขนาดพองาม
“นี่นะหรือนายผล” คุณหญิงปรายตามองมาที่นายผลและลูกสาวชั่วครู่หนึ่งแล้วพูด คุณหญิงหยิบขึ้นมาพัดระบายอากาศซึ่งเริ่มอบอ้าวแล้ว
“เจ้าค่ะ คุณหญิง” แฉล้มตอบแล้วกวักมือให้ทั้งสองพ่อลูกมานั่งหมอบใกล้ๆ “นี่คือคุณหญิงน้อม เอกภริยาพระยานรนิตย์ราชภักดี กราบท่านซะสิ”
นายผลไหว้ประหลกๆ ราวกับคุณหญิงน้อมเป็นองค์พระปฏิมาในพุทธสถาน คุณหญิงน้อมหยิบพัดมาป้องปากแล้วหัวเราะขันเบาๆ ด้วยกิริยาของผู้ดีชั้นสูงแลเห็นกิริยาอันขบขันของชาวบ้านที่ต่างไปด้วยชนชั้น การศึกษาอบรมบ่มกิริยามารยาท
“ไม่ต้องพูดอ้อมค้อมกันหรอกนายผล เศรษฐกิจมันไม่ดีเหมือนก่อน ชาวสยามต้องกระเบียดกระเสียร ท่านเจ้าคุณถูกดุลออกจากราชการมานานหลายขวบปี จนล่วงมาเปลี่ยนแปลงการปกครอง ท่านเจ้าคุณเลยเป็นแค่เจ้าคุณในนาม ต้องเปิดโรงพิมพ์ทำงานหาเงินเพื่อไม่ให้เงินทองสมบัติร่อยหรอเหมือนอย่างขุนนางข้าราชการคนอื่นที่ตอนนี้ต้องขายสมบัติเก่ามากินกันแล้วใช้ชีวิตอู้ฟู่หรูหราเหมือนก่อน” คุณหญิงน้อมจาระไนยให้นายผลฟังหมายจะโก่งราคาค่างวดที่ดินซึ่งใช้เป็นหลักประกันเงินกู้
“โปรดเมตตาสัตว์ผู้ยากด้วยขอรับคุณหญิง ตัวกระผมเองหากไม่เหนือบ่ากว่าแรงคงจะไม่มารบกวนคุณหญิงให้ระคายตา ระคายใจหรอกขอรับ ปีก่อนเกิดอาเพศอันใดมิทราบ ฟ้าฝนตกหนักจนข้าวที่ออกรวงจมน้ำตายไม่มีข้าวขาย ทุนรอนทำหน้าในปีต่อไปไม่มีเลย” นายผลชี้แจง
“ไม่ใช่ว่าไปเล่นถั่วโปจนหมดตัว ฉันเห็นมามากน่ะพวกผีพนันขายสิ้นลูกเมีย สุดท้ายต้องระเหเร่ร่อน”
“หามิได้ดอกขอรับคุณหญิง กระผมทำไร่ไถนาอยู่บ้านใต้ไปวันๆ ไอพวกอบายมุขนั่นไม่ข้องเกี่ยวหรอกขอรับ” นายผลรีบแก้ตัว
“เอาเถอะอุตส่าห์ดั้นด้นมา ฉันให้ไปเท่านี้ ไม่มากไม่น้อย ถ้าจัดสรรดีๆ ไม่นานหลายปีคงได้ที่คืนไป พ่อพินิจมาพอดีเลย ไม่ต้องให้ตามเสียเวลา เอาเอกสารกู้เงินมาแล้วใช่ไหม” คุณหญิงน้อมยินยอมให้นายผลกู้เงิน พินิจทนายหน้าหอเตรียมเอกสารสองฉบับให้นายผลแปะโป้งไว้ นายผลรับเงินฟ่อนปึกหนึ่งเก็บไว้ในกระเป๋าใบเล็กๆ เขารับเงินมาทำตาลุกวาวเพราะไม่เคยจับเงินมากมายขนาดมาก่อนในชีวิต กลิ่นเงินใหม่ๆ หอมรัญจวนใจยิ่งเสียกระไร
“คุณหญิงขอรับ กระผมขอฝากนางนวลไว้รับใช้เพื่อขัดดอก คุณหญิงใช้สอยมันได้ตามใจเลยขอรับ”
“ฮ้าย! ต้องเสียเวลามาเลี้ยงดูอีก แฉล้มเอามันไปดูแล สั่งสอนเรื่องงานการในบ้าน อะไรที่ควรทำก็ให้ทำเถิด เสร็จธุระแล้วล่ะ ฉันไปล่ะ แฉล้มไปเรียกนายชดเตรียมรถไปบ้านคุณหญิงพวงร้อย ฉันไปทานข้าวพบปะกับคุณหญิงพวงร้อย บ่ายคล้อยค่อยกลับ”
“เจ้าค่ะ” แฉล้มรับคำแล้วพาผลและนวลลงจากตึกไปเรือนคนใช้ เรือนคนใช้เป็นห้องแถวไม้แบ่งซอยเป็นห้องๆ ห้องน้ำห้องส้วมอยู่แยกไปอยู่มุมลับตา “นอนห้องนี้แหละ ห้องนี้เมื่อก่อนเป็นห้องนางจีบ มันออกเรือนย้ายอยู่หัวเมืองปักษ์ใต้ตามผัวมันไปแล้ว แล้วเอ็งจะกลับบ้านใต้ตอนไหน”
“ตีตั๋วรถไฟตอนสี่ทุ่มคืนนี้จ้า” นายผลตอบ
นวลจัดข้าวของเข้าที่เข้าทางตัวสั่นร้องไห้กระซิกๆ เบาๆ ทั้งนายผลและแฉล้มเข้าใจว่านวลเสียใจต้องห่างบ้านมาทำงานในที่ไม่คุ้นเคยเช่นนี้
“อย่าเสียใจไปเลยอีนวล ข้าก็คุยกับเอ็งแล้วเมื่อก่อนมา บ้านเรามันจน ฟ้าฝนมากลั่นแกล้ง ลำบากเอ็งแล้วอีนวลเอ๊ย ถือว่ามาชุบตัว มาเรียนรู้การบ้านการเรือนประดับตนไว้” นายผลปลอบใจนวล “รอแดดร่มลมตกสักหน่อย ข้าจะออกไปซื้อของแล้วไปสเตชั่นรถไฟเลย”
เมื่อถึงเวลา นายผลเก็บของเดินออกจากบ้านโดยมีนวลและแฉล้มมาส่ง นวลร้องไห้เหมือนเดิม นายผลทำหน้านิ่งสูบยาเส้นมวนใบจาก
“นวลอยากกลับบ้าน” นวลสะอื้นเสียงเครือ
“เอ็งอยู่นี่แหละ คิดถึงบ้านก็เขียนจดหมายไป ถ้าทำตัวดีๆ คุณหญิงท่านก็อาจจะให้เอ็งกลับไปเยี่ยมบ้าน ข้าไปล่ะ ลาล่ะจ้ะแม่แฉล้มฝากนางนวลด้วยนะ” นายผลเปิดประตูเล็กออกไป นวลร้องไห้โฮ ทำเอานายผลใจเสียอยู่เหมือนกัน เขาแข็งใจเดินต่อไปจนลับตานวลและแฉล้ม บังเอิญว่ามีสามล้อผ่านมาเขาจึงเรียก
“ไปสะพานเหลือง” นายผลบอกปลายทางที่จะไป ชายใดมาพระนครแล้วไม่เยี่ยมเยือนสาวงามย่านสะพานเหลืองเสมือนมาไม่ถึงพระนครนั่นแล