รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ

สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) - 40 ซุ้มยาดองยายนี(ตอนที่ 2) โดย ท่าเพชร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ลึกลับ,เรื่องสั้น,ระทึกขวัญ,ดราม่า,ย้อนยุค,ผึ,สยองขวัญ,ผี,ดราม่า,ลึกลับ,ย้อนยุค,ชนบท,วัด,เรื่องเล่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ลึกลับ,เรื่องสั้น,ระทึกขวัญ,ดราม่า,ย้อนยุค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ผึ,สยองขวัญ,ผี,ดราม่า,ลึกลับ,ย้อนยุค,ชนบท,วัด,เรื่องเล่า

รายละเอียด

สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club)  โดย ท่าเพชร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ

ผู้แต่ง

ท่าเพชร

เรื่องย่อ

ผีมีจริงหรือไม่?

          คนเราตายแล้วไปไหน?

            สโมสรหลังเมรุ(Cemetery Club) มีจุดกำเนิดจากการได้รับแรงบันดาลใจจากได้ฟังเรื่องผี เรื่องวิญญาณ ทว่าจุดเริ่มต้นที่แท้จริงเกิดจากพระภิกษุกลุ่มหนึ่งสนทนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรื่องเร้นลับทั้งประสบพบเจอเอง ได้ยินได้ฟังมาในระหว่างรอสวดมาติกาบังสุกุลศพในช่วงบ่ายและระหว่างรอสวดพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ในงานพิธีศพ บางคนอาจจะมองว่าการฟัง การอ่าน การชมเรื่องผีเป็นเพียงแค่ความบันเทิงเท่านั้น สำหรับผมเรื่องผีเป็นเรื่องที่มีเสน่ห์ชวนน่าหลงใหล มีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเอง เราอยากจะรู้ว่าประเทศนั้นประเทศนี้มีความเชื่อค่านิยม วัฒนธรรมที่สะท้อนอัตลักษณ์ตัวตนของประเทศนั้นๆ ผ่านการศึกษาเรื่องผี ผ่านคติความเชื่อในโลกหลังความตายได้ เรื่องผีบางเรื่องมีคติสอนใจซ่อนอยู่ มนุษย์ที่ตายไปแล้วไปสู่ภพภูมิที่ตนเองควรไป ยังวนเวียนอยู่กับมนุษย์เพราะความต้องการของเขา เธอทั้งหลายยังไม่บรรลุ ไม่ว่าจะเป็นการทวงความยุติธรรมให้แก่ตน การสั่งเสียอำลาคนที่เรารัก การใช้ตนเองเป็นธรรมทาน หรือแม้กระทั่งเป็นประจักษ์พยานในการแสดงผลของการทำความดีและผลของการทำชั่ว เรื่องผีบางเรื่องสะท้อนสภาพสังคมในแต่ละยุคอย่างเรื่อง นางนวล สะท้อนให้เห็นสภาพสังคมไทยในสมัยรัชกาลที่ 7 ที่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นปกครองกับชนชั้นสามัญชนคนธรรมดา แม้จะมีการเลิกทาสมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แต่ผู้คนมากมายก็ยังคงตกเป็นทาสของอำนาจเงิน อย่าง ซ่องเจ๊เนาและซุ้มยาดองยายนี สะท้อนสภาพบ้านเมืองของอำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานีในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 

สารบัญ

สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 1 ไปสวดศพ(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 1 ไปสวดศพ(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 2 วิวาห์ผี,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 3 วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 3 วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 4 หอปรารถนาดี,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 5 โรงเรียนสยองขวัญ,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 6 ซ่องเจ๊เนา(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 6 ซ่องเจ๊เนา(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 7 นางนวล(ตอนที่ 1),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 7 นางนวล(ตอนที่ 2),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 7 นางนวล(ตอนที่ 3),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 7 นางนวล(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 8 ไปหาดใหญ่คราวนั้นฉันยังจดจำ,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 9 โค้งเขาท่าเพชร,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 10 อย่านึกถึงฉัน,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 11 รวมเรื่องเล่าในโรงพยาบาล,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 12 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 1),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 12 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 2),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 12 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 3),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 12 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 13 สามเณรใจสิงห์(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 13 สามเณรใจสิงห์(ตอนที่ 2),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 13 สามเณรใจสิงห์(ตอนที่ 3),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 13 สามเณรใจสิงห์(ตอนที่ 4),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 14 นางเบ็ด(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 14 นางเบ็ด(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 15 ดงพญาไฟ,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 16 ยายฉิมเก็บเห็ด,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 17 ปลายฝนต้นหนาว,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 18 พี่สุดสวยแห่งหอใน,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 19 นอนกลางขวัญผวา,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 20 บีผู้เจอผีระดับบอส,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 21 ผีอีเปรี้ยว,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 22 เพื่อนผู้จากไป,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 23 ปริศนาชายเสื้อลายแห่งห้อง 52xx,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 24 โค้งเขาท่าเพชร(อีกแล้ว),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -25 อย่านึกถึงฉัน,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -26 รวมเรื่องเล่าในโรงพยาบาล,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -27 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 1),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -28 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 2),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -29 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 3),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -30 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -31 สามเณรใจสิงห์(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -32 สามเณรใจสิงห์(ตอนที่ 2),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -33 สามเณรใจสิงห์(ตอนที่ 3),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -34 สามเณรใจสิงห์(ตอนที่ 4),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -35 นางเบ็ด(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -36 นางเบ็ด(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -37 ดงพญาไฟ,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -38 ยายฉิมเก็บเห็ด,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -39 ซุ้มยาดองยายนี(ตอนที่ 1),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -40 ซุ้มยาดองยายนี(ตอนที่ 2),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -41 ซุ้มยาดองยายนี(ตอนที่ 3),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -42 ซุ้มยาดองยายนี(ตอนที่ 4),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -43 ซุ้มยาดองยายนี(ตอนที่ 5),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -44 ซุ้มยาดองยายนี(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -45 ปอบงามล่มเมือง ตอนที่ 1

เนื้อหา

40 ซุ้มยาดองยายนี(ตอนที่ 2)

ยายนีเปิดซุ้มยาดองเรื่อยมา ชาวคอทองแดงทั้งหลายพูดคุยกันทุกเรื่องสากกะเบือยันเรือรบ ทุกอย่างเป็นปกติแต่มันเกิดเหตุร้ายขึ้นเมื่อมีคนพบศพชายคนหนึ่งลอยน้ำมาติดที่ท่าน้ำใกล้ตลาด มีคนให้ข้อมูลภายหลังว่าคนตายชื่อนายธงเป็นนักเลงอันธพาลมีเพื่อนอีกสองคนชื่อนายดำและนายนอง ตำรวจตามหาตัวนายดำและนายนองเพื่อสอบปากคำเพราะทั้งสองหายตัวไป ตำรวจตั้งข้อสันนิษฐานว่านายธงอาจจะโดนนายดำและนายนองฆาตกรรมแล้วอำพรางศพด้วยการโยนศพทิ้งลงแม่น้ำ ส่วนสาเหตุการตายที่แท้ต้องให้แพทย์ผ่าชันสูตร

“เห็นศพแล้วจะเป็นลม มันบวมอืดน่ากลัวจนแทบจำไม่ได้เลย” ยายนีบอกความรู้สึกของตนเมื่อไปมุงดูศพนายธง

“มันตายไปก็ดีแล้ว แผ่นดินบ้านดอนจะสูงขึ้น” ตาเทืองพูดสาดเสียเทเสีย “มันทำแต่เรื่องชั่วๆ ไว้มากมาย ตอนข้าบวช อ้ายสามตัวนี้ มันเข้าไปลักของในวัดหมด ท่านพระอาจารย์ตากจีวรที่กรมศาสนาถวายมาเมื่อได้รับการถวายสมณศักดิ์เป็นเจ้าคุณชั้นสามัญ อ้ายพวกมารศาสนามาลักจีวรไปขายแล้วเอาซื้อเหล้ากิน นี่ไม่รวมกับลักไก่วัดไปต้มกิน อะไรที่มีค่ามีราคาต้องคอยระวัง อ้ายสามตัวมาลัก”

“เขาว่ากันว่า ตอนไฟไหม้ใหญ่อีกแหละ ทุกคนช่วยกันดับไฟแต่ไอสามตัวนั่นไปหาเงินทองหยองที่ชาวบ้านขนหนีไม่ทัน ได้หนักเหนียน” ยายนีบอก

“แล้วมันจะฆ่ากันเองหรือวะ” มหาฉ่ำรู้สึกค้านในใจ “ข้ากลัวว่า มันจะโดนใครสั่งเก็บรึเปล่า

“มันก็ไม่แน่หรอก งานชั่วๆ อ้ายสามตัวนี้มันรับหมดแหละ” นายชาติพูด

“แล้วอ้ายสองตัวนั่นมันหายไปไหนกัน” ตาเทืองพูด สีหน้าครุ่นคิดไป เรื่องในวงสนทนาก็วกไปวนมาเรื่องความชั่วร้ายของอันธพาลสามคนนี้ เรื่องข่าวสารบ้านเมือง จนปิดซุ้มไปเมื่อดึกมากๆ ส่วนคดีความมรณกรรมของนายธงใช้เวลาเป็นเดือนจึงมีความคืบหน้า

“วันนี้ไปฟังข่าวมาจากตำรวจ อ้ายธงมันตายด้วยสาเหตุหัวใจวายตายไม่ใช่จมน้ำตาย” นายชาติแจ้งข่าวที่บางคนในวงสนทนาทราบบ้างไม่ทราบบ้าง

“มันก็แปลกเอาการอยู่ อ้ายธงก็ยังหนุ่มยังแน่นอยู่ แถมยังมีพละกำลังมากจะเป็นโรคหัวใจจนกำเริบถึงแก่ความตายได้” เจ๊กโหยวตั้งข้อสงสัย

“ที่แปลกคือ อ้ายดำกับอ้ายนองมันสองตัวหายไปไหนกัน เพื่อนเกลอตายไปทั้งคนจะไม่ดูดำดูดีเลยสักนิดเลย” ตาเทืองพูด

“มันหนีความผิดคดีเก่าๆ หรือเปล่า เพื่อนตายผิดธรรมชาติแบบนี้ ตำรวจก็ต้องเรียกตัวสอบสวน มันก็คงจะไหวตัวไป ถ้าตำรวจได้ตัวพวกมันสองตัว ก็ต้องเข้าคุกเข้าตะรางไป เพื่อนตาย อีกสองคนต้องเข้าคุก” ยายนีคาดเดาความคิดของสองคนที่หลบหนีกบดาน

หลายวันต่อมา... บังเกิดเรื่องราวใหญ่โตระลอกใหญ่เมื่อมีคนพบศพชายปริศนาลอยตุ๊บป่องๆ ในคลองมะขามเตี้ย ในสภาพเหลือแต่ท่อนบน ท่อนล่างขาดหายไป บริเวณที่ขาดมีบาดแผลฉกรรจ์กะรุ่งกะริ่ง จากการตรวจชันสูตรเบื้องต้นของตำรวจ ผู้ตายคือนายดำ สภาพศพน่าจะถูกสัตว์กัดแทะแต่ไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าเป็นสัตว์ชนิดไหน

“ตอนนี้รู้กันทั่วแล้วนะว่านายดำหายไปไหน” ยายนีพูดขึ้นขณะตักสุราโรงแจกจ่ายให้แก่ชาวสมาคมร่ำเมรัย

“หายไปตาย” มหาฉ่ำบอก

“ป้าคิดว่าอะไรกัดอ้ายดำ” นายชาติถาม

“เหี้ยมั้ง?” ยายนีตอบเดาๆ

“ข้าว่าไอ้เข้ว่ะ” ตาเทืองพูดขึ้น ทุกคนในวงสนทนาเพ่งมามองตาเทืองเป็นตาเดียวกัน

“ทำไมล่ะลุง?” นายชาติเค้นหาเหตุผล

“เอ็งก็รู้ดีนี่ว่าที่นี่ ไอ้เข้ชุกชุมจะตาย ในแม่น้ำ ในคลอง ทุกคุ้งทุกบางล้วนแต่มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับไอ้เข้ไว้เตือนใจให้ลูกเล็กเด็กเด็กแดงลงอาบน้ำอาบท่าระมัดระวังทั้งไอ้เข้ทั้งผีพรายผีเงือก” ตาเทืองตอบ “อ้ายชาติ เอ็งอยากฟังไหมล่ะ แล้วอยากจะฟังเรื่องไหนก่อน เรื่องไอ้เข้หรือผีพราย”

“อยากฟังครับ ผมอยากฟังเรื่องผีพรายก่อนครับ” นายชาติไตร่ตรองก่อนจะเลือกฟังเรื่องตามลำดับก่อนหลัง

“ว่ากันว่า ในแม่น้ำลำคลองเป็นที่สิงสู่ของผีพรายผีเงือก เด็กๆ มักจะถูกเตือนให้รีบอาบน้ำอาบท่าในแม่น้ำในคลองก่อนตะวันตกดินเพราะเกรงว่าผีพรายผีเงือกจะลากลงไปจมน้ำเอาไปอยู่ด้วยกัน คนเฒ่าคนแก่มักเล่านิทานหลอกเด็กเรื่องเกี่ยวกับ ผีพราย ว่าผีพรายเกิดมาจากหญิงตายทั้งกลม ผีพรายตัวเล็กๆ หน้าตาคล้ายลิง มีขนสีเขียวตามลำตัว ผีพรายจะชอบฉุดขาเด็กๆ ที่ลงไปอาบน้ำตอนกลางคืน เด็กที่ตายจะมีสภาพร่างกายจะไม่มีเลือด ร่างกายฃีดขาว เด็กที่ตายไปจะไปเป็นตัวตายตัวแทน เป็นผีพรายตัวใหม่ทำหนัาทีแทนผีพรายตัวเก่า บางคนก็ว่าเคยเห็นผีพราย มีทั้งตัวผู้และตัวเมีย บริเวณตั้งแต่เอวขึ้นมาเป็นคน ส่วนล่างลงๆ ไปมีหางเหมือนปลา ปกติวิสัยชอบอยู่ในถ้ำใต้น้ำ วันดีคืนดีจึงจะโผล่มานั่งเล่นตามโขดหิน หรือตามท่าน้ำบ้าง ผีพรายตัวเมียมีความรักสวยรักงามมากชอบมานั่งหวีผมด้วยหวีทอง และชอบร้องเพลงได้ไพเราะจับใจ ใครใดได้ฟังจะเคลิบเคลิ้มหลงใหลเหมือนต้องมนต์สะกดที่เดียว มีบางคนเคยเก็บหวีทองของผีพรายได้แต่ต้องคำสาปของผีพรายทำใหันิ้วกุดรักษาไม่หาย เรื่องผีพรายผีเงือกจะเป็นแค่นิทานหลอกเด็กให้อยู่กะร่องกะรอยก็เท่านั้น ส่วนไอ้เข้นั้นของจริง” ตาเทืองเล่าความเรื่องผีพรายผีเงือกให้ทุกคนฟังไม่ใช่เฉพาะนายชาติ

“พูดถึงไอ้เข้และคลองมะขามเตี้ย ข้านึกถึงตำนานเรื่องพ่อขุนทะเล” มหาฉ่ำพูด

“ทำไมกันเล่า” โกหลองถาม

“ก็คลองมะขามเตี้ยสายนี้ไหลมาจากบึงขุนทะเลนะสิ ชื่อบึงขุนทะเลมีที่มาจากตำนานพ่อตาขุนทะเล สมัยก่อนนั้นคนเรานั้นชอบเรียนวิชาอาคมไม่ว่าจะมนต์ดำหรือมนต์ขาว พ่อตาขุนทะเลท่านก็ร่ำเรียนวิชาไสยเวทย์ต่างๆ มาด้วยกันกับพ่อพญาท่าข้ามพ่อตาหมอนทองพ่อตาหินช้างซึ่งแต่ละคนนั้นก็เรียนวิชาแตกต่างกันไปตามที่ตนชอบ พ่อตาขุนทะเลท่านร่ำเรียนวิชาจนกระทั่งเกร่งกล้าสามารถแปลงกายเป็นจระเข้ได้ วันหนึ่งท่านได้แสดงวิชาให้กับลูกศิษย์ดูแล้วสั่งไว้ว่าถ้าข้าเป็นจระเข้ขึ้นมาจากน้ำให้เอาน้ำมนต์ในขันรดแล้วจะกลับคืนร่างมนุษย์เหมือนเดิม แต่เมื่อจระเข้ยักษ์ใหญ่โผล่ขึ้นจากน้ำลูกศิษย์กับกลัวจนทำขันน้ำมนต์ตกเลยทำให้พ่อตานั้นกับมาเป็นร่างมนุษย์ไม่ได้แต่พ่อตาท่านก็คอยช่วยเหลือผู้คนมาตลอดและแม่น้ำแทบนี้มีจระเข้มากในสมัยนั้นแต่ไม่เคยทำร้ายผู้ใดแต่มีขอแม้ว่าเวลามีงานใดๆ ที่ต้องผ่านที่ท่านให้จุดประทัดเบิกทางก่อนทานก็จะให้จระเข้ทุกตัวหลบทางให้ พอมาตอนหลังๆ มีคนมาบนหนังตะลุงและมีคนพบเห็นท่านแปลงกับมาเป็นคนได้เเล้วมานั่งดูหนังตะลุงที่มาแสดงถวาย” มหาฉ่ำเล่าเรื่องพ่อตาขุนทะเลให้ชาวสมาคมร่ำเมรัยฟัง

“แล้วเรื่องพญาท่าข้ามล่ะ เป็นอย่างไรครับ ท่านก็เป็นคนแล้วกลายเป็นจระเข้เหมือนกับพ่อตาขุนทะเล” นายชาติถามขึ้นหลังจากฟังเรื่องตำนานพ่อตาขุนทะเลจบ

“มันก็เป็นตำนานจริงแท้แค่ไหนก้ไม่รู้เหมือนกันนะ” มหาฉ่ำเล่าเรื่องต่อไป “ภายหลังจากที่กรุงศรีอยุธยาถูกทหารพม่าตีจนเมืองแตกพ่าย บรรดาแม่ทัพ ทหารนายกองที่รอดชีวิตต่างพากันอพยพผู้คนหนีมาซ่องสุมกำลังเพื่อรอกอบกู้แผ่นดิน โดยแบ่งแยกเป็นกลุ่มก๊กหลายกลุ่ม แต่มีอยู่กลุ่มหนึ่งเดินทางมาตั้งค่ายพำนักอยู่ที่บริเวณรอบเชิงเนินสูงเมืองท่าข้าม หรือบริเวณควนพุนพินในปัจจุบัน และเรียกชุมชนกลุ่มของตนว่า นาศรีสงคราม ขุนศึกซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มนั้นเคยมีตำแหน่งสูงในระดับ พญา หรือ พระยา มีฝีมือทั้งด้านยุทธพิชัยการรบ และมีเวทย์มนต์คาถา โดยสามารถกลายร่างเป็นเสือ หรือจระเข้ได้ ด้วยท่าข้ามเป็นเมืองติดน้ำ ขุนศึกผู้นี้จึงมักแปลงร่างเป็นจระเข้ ดำลงไปอยู่ในถ้ำขนาดใหญ่ใต้น้ำ และว่ากันว่าถ้ำแห่งนี้ยาวไปจนทะลุเกาะเหนอ ซึ่งอยู่ไกลออกไปหลายสิบกิโลเมตร เมื่อรวบรวมพลมาอยู่ที่ท่าข้าม พญาขุนศึกผู้นี้จึงถูกเรียกว่า พญาท่าข้าม และด้วยต้องพลัดพรากจากภรรยาตอนกรุงแตก เมื่อแปลงร่างเป็นจระเข้เที่ยวท่องไปตามสายน้ำ จึงมักได้หญิงงามตามเส้นทางที่ผ่านเป็นภรรยาเสมอ ภรรยาคนแรกของพญาท่าข้ามที่มีชื่อว่า แม่ยายถิน หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า หลาแม่ยาย นั้น เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านเช่นกัน เชื่อกันว่าหากบนบานศาลกล่าวด้วยต้มเปียก 2 คนหาม ซึ่งเป็นขนมที่ทำจากข้าวจ้าวนำมาต้มใส่น้ำตาลแล้วใช้คน 2 คนยกมาถวาย ไม่ว่าขนมนั้นจะมีขนาดเท่าใดก็ตามจะประสบผลสำเร็จตามคำขอทุกราย ส่วนภรรยาคนที่ 2 นั้นเป็นชาวเกาะเหนอ ชาวบ้านจึงเรียกว่า แม่ยายเกาะเหนอ นอกจากนี้พญาท่าข้ามยังได้ แม่ยายบางบาน ชาวตำบลท่าโรงช้าง แม่ยายบ้านนา ชาวตำบลน้ำนิ่ง แม่ยายระนอง แม่ยายถลาง และ แม่ยายม่วงเอน เป็นภรรยาอีกด้วย จนเมื่อเกิดไปหลงรัก แม่ยายปากปัน หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า แม่ศรีวันทอง นางพญาจระเข้ซึ่งงามผุดผาดด้วยมีผิวพรรณเหลืองเปล่งปลั่งประดุจทอง แต่แม่ศรีวันทองนั้นมีคู่รักอยู่แล้วชื่อ พญายอดน้ำ ซึ่งมีอาคมแก่กล้าสามารถแปลงร่างเป็นงูยักษ์ได้ จึงเกิดศึกชิงนางระหว่างพญาท่าข้ามในร่างจระเข้กับพญายอดน้ำในร่างงูยักษ์หลายวันหลายคืนจนเลือดแดงฉานไปทั้งแม่น้ำตาปี แต่ที่สุดพญายอดน้ำก็อ่อนแรงจนต้องล่าถอยกลับไป แล้วสายโลหิตแดงฉานที่ปกคลุมบริเวณพื้นที่ดังกล่าวก็ทำให้พื้นดินเปลี่ยนเป็นสีแดง ชาวบ้านจึงเรียกขานว่า บ้านย่านดินแดง มีผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่ามักพบเห็นจระเข้ตัวเขื่องนอนอาบแดดเกยตลิ่งให้เห็นเป็นประจำ จนคนเรือต้องใช้ไม้ไผ่เหลาเป็นซีกๆ ล้อมกั้นเรือไว้เพื่อป้องกันตัว ศาลบูชาพญาท่าข้ามมีอยู่ 2 แห่งด้วยกันคือบริเวณศาลเจ้าริมทางรถไฟกับศาลที่วัดท่าข้ามซึ่งตั้งอยู่กันคนละฟากแม่น้ำ [1] ” มหาฉ่ำเล่า

“นั่นเป็นจระเข้ดีๆ ที่ชาวบ้านชาวช่องนับถือกัน ส่วนจระเข้ที่ร้ายๆ ก็มี อ้ายดำคงจะโดนจระเข้ดุร้ายกัดกินไป ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสัญชาตญาณของสัตว์หรือจะเป็นเวรเป็นกรรม เจ้ากรรมนายเวรตตามติดมาสิงสู่จระเข้ให้เข่นฆ่าปลิดชีพมันเข้าให้” ตาเทืองแสดงความคิดเห็นอย่างมีอรรถรส “จำเรื่องจ้าววังโนราห์ที่เป็นข่าวดังเมื่อหลายปีก่อนกันได้ไหม?”

“พอจำได้เลือนๆ เกิดที่คลองอิปันโน่นใช่ไหมพ่อ” ชายคนหนึ่งที่เป็นลูกค้าขาจรร้องขึ้น

“ใช่แล้ว คลองอิปัน คลองสายนี้มักจะมีจระเข้อาศัยอยู่อย่างชุกชุมเพราะคลองสายนี้ไหลผ่านกลางป่าลึกเงียบสงบ ในคลองอิปันมีสถานที่หนึ่งเป็นวังน้ำลึกมีชื่อเรียกว่า วังโนราห์ เพราะเหตุว่า ดึกสงัดคืนหนึ่งที่มีเพียงความมืดมิดเท่านั้น คณะโนราห์ล่องเรือกลับจาการแสดง เรือที่ใช้เป็นเรือสำปั้นขนาดใหญ่ผ่านเวิ้งน้ำกว้างขวาง ทันใดนั้นจระเข้ตัวใหญ่ทะยานตัวจากใต้น้ำจู่โจมฟาดเรือจนคว่ำแล้วกัดกันขย้ำคณะมโนราห์เคราะร้ายจนหมดอย่างน่ากลัวสยดสยอง บริเวณนั้นคละคลุ่งด้วยกลิ่นคาวเลือด โลหิตสีแดงฉานไหลปะปนกับชลธาร บริเวณนั้นถูกเรียกชื่อว่า วังโนราห์ ส่วนจระเข้ดุร้ายนั้นถูกเรียกว่า จ้าววังโนราห์ ไม่นานหลังจากนั้นก็มีผู้เคราะห์ร้ายอีก 2 รายเป็นชายทั้งคู่ ทั้งสองล่องเรือไปตัดหวายในป่าลึก ชาวบ้านแถบนั้นพร้อมผู้ใหญ่บ้านต่างระดมลูกบ้านออกตามหาแต่ก็ไม่เจอ เพียงแต่ปรากฏลำเรือของเกลอทั้งสอง ที่ถูกคว่ำจนจมและแตกละเอียดดั่งโดนแรงมหาศาลของพญาสัตว์เข้าขย้ำเล่นงาน จนชาวบ้านต่างลงความเห็นว่า ชายทั้ง สองโดนจ้าววังโนราห์คาบไปกินเสียแล้ว อีกไม่กี่วันต่อมาก็มีหญิงสาวชาวน้ำพายเรือกำลังจะกลับบ้านแต่เมื่อผ่านวังโนราห์แล้วก็หายตัวไปเฉยๆ ชาวบ้านพบเพียงเรือพายที่คว่ำพร้อมกับมีรอยแตกจากการขบกัดด้วย แรงมหาศาล เสร็จไปเป็นอาหารของจ้าววังโนราห์อีกหนึ่งราย หลังจากได้ลิ้มรสชาติเนื้อมนุษย์มาหลายๆ ครั้ง จระเข้ร้ายเริ่มรู้สึกติดใจจึงเริ่มออกอาละวาดอีกคราวนี้เหยื่อของมันเป็น ชายชราผู้มีอาชีพหาของป่าถูกคว่ำเรือ และลากไปกินอีกราย ผู้ใหญ่บ้านจึงทำการว่าจ้างหมอปราบจระเข้ฝีมือฉกาจมาจากแหล่งต่าง ๆ แต่ก็ดู เหมือนว่าจ้าววังโนราห์จะรู้ทัน มันกบดานเงียบเหมือนนกรู้ จนชาวบ้านต่างเล่าลือกันว่ามันเป็น จระเข้ผีสิง แต่จะอย่างไรก็ตามแต่ด้วยความสามารถของ โอม ชุมทอง พรานจระเข้หนุ่มฝีมือดีที่เข้ามาล่าจ้าววังจนมันต้องเป็นฝ่ายหนีหัวซุกหัวซุนบ้างและถูกเผด็จศึกลงได้ในไม่ช้า ความสงบสุขของที่นี่จึงหวนกลับมาอีกครั้งหนึ่งเป็นเหลือเพียงตำนานเล่าขาน ถึงความโหดร้ายอำมหิตของจระเข้ร้ายที่ชื่อ จ้าววังโนราห์ เท่านั้นแหละ” ตาเทืองเล่าเรื่องจ้าววังโนราห์จบลง

“ไหนๆ พูดถึงเรื่องไอ้เข้ไอ้โขงอยู่โพรงไม้หัก ไอ้เข้ฟันหักกัดคนไม่เข้าแล้วจะไม่พูดถึงไอ้ด่างบางมุดก็ไม่ได้ เมื่อปีที่แล้วในงานชักพระก็มีคนนำซากไอ้ด่างบางมุดมาตั้งให้คนมาดูเก็บเงินค่าเข้าดู ต่อแถวยาวเป็นกิโล” มหาฉ่ำหยิบยกเรื่องราวของจระเข้อีกตัวที่โด่งดังขึ้นชื่อในความดุร้ายและกินคนไปหลายศพในพื้นที่จังหวัดใกล้เคียง “จระเข้ที่ชาวบ้านเรียกว่า ไอ้ด่าง ออกอาละวาดท่องเที่ยวล่าคนเป็นอาหาร มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า ก่อนหน้านั้น จระเข้ยักษ์ตัวนี้ เคยออกอาละวาดไล่ฟัดคนในแม่น้ำแสงแดด อ.เมืองชุมพร มาแล้ว 1 คน ครั้นชาวบ้านออกล่าตัวก็หาได้ปรากฏวี่แววไม่ หมู่บ้านหนองไก่ปิ้ง ตำบลนาขา อำเภอหลังสวน โคตรไอ้เคี่ยมได้ไล่กัดคนอาบน้ำ และเดินอยู่ตามริมตลิ่ง รวมไปถึงไล่กัดเรือขึ้น-ล่องสัญจรไปมาในคลองบางมุดด้วย ภูมิประเทศของคลองบางมุดเป็นสายน้ำใหญ่และมีความลึกมาก ลักษณะน้ำใสเป็นสีเขียว มีทางแยกออกไปบรรจบแม่น้ำลำคลองหลายสาย ลักษณะของจระเข้ยักษ์ตัวนี้ มีลักษณะคอด่างสีขาวตัดกับส่วนหน้า ลำตัวดำสนิท ไม่มีตะไคร่น้ำจับเกาะทั่วตัว ชาวบ้านขนานนามว่า ไอ้ด่าง มีขนาดยาวตั้งแต่หัวจรดท้ายถึง 4 วาเศษ เฉพาะส่วนหัวยาวประมาณ 2 ศอกเศษแล้ว ลำตัวใหญ่กว่าถังน้ำมันขนาด 200 ลิตรเป็นพันธุ์ ไอ้เคี่ยม หรือพันธุ์ ทองหลาง อยู่ได้ทั้งน้ำกร่อยและน้ำเค็ม มีตีนเป็ดเป็นพืดแผ่เต็มระหว่างเล็บของมันเพื่อง่ายในการออกทะเลอย่างรวดเร็ว และเป็นพันธุ์ที่ดุร้ายมาก ชอบกินคน และเมื่อมันกินคนแล้ว มันจะอิ่มและซ่อนตัวนาน 15 วัน แล้วค่อยลอยหาเหยื่อรายใหม่ หากจระเข้ได้กินเนื้อคนแล้วก็จะหากินอยู่เรื่อยๆ เช่นเดียวกับเสือ มีการให้ค่าหัวไอ้ด่างไว้ล่อตาล่อใจนักล่ามากวิชา ทั้งเวทมนต์คาถา อาวุธมากมาย ทั้งฉมวกไฟฟ้า ปืน อวน กระทั่งระเบิดก็เอามาใช้ ทั้งนี้ นักล่าจระเข้แต่ละคนก็จะมีความถนัดแตกต่างกัน และมีที่มาจากหลายจังหวัด เช่น ปัตตานี ร้อยเอ็ด อ่างทอง บ้านดอนของเราเป็นต้น มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะที่นักล่ากำลังตามอยู่นั้น ไอ้ด่างก็โผล่ขึ้นกลางลำน้ำ หลังจากนักล่าหย่อนระเบิดกระป๋องลงไปนับสิบลูก ไอ้เคี่ยมพุ่งพรวดงาบเรือรวมถึงขาชาวบ้าน ที่พลาดเป้าไปเพียงแค่คืบ เมื่อเห็นดังนั้นปืนทุกกระบอกก็หันมาเล็งใส่ไอ้ด่าง สุดท้ายมันก็หนีไปได้ นักล่าทั้งหลายรู้สึกเสียดายเป็นกำลัง ผ่านไปเป็นเดือนมีการเพิ่มรางวัล 8,000 บาท หากผู้ล่ารายใดสามารถปราบมันได้ คลองบางมุดที่เคยคึกคักด้วยผู้คน กลับเริ่มถูกทิ้งร้าง การไล่ล่าเพชฌฆาตจากน้ำเค็มที่อยู่ในน้ำกร่อยได้มีปัญหา เพราะตอนนั้นเป็นช่วงน้ำหลากและมีน้ำท่วมใหญ่ หนำซ้ำทะเลยังหนุนสูงอีก การจะหาตัวมันให้ได้จึงเป็นเรื่องยาก และแล้วสวรรค์มีตา กฎแห่งกรรมที่เป็นกฎที่ยุติธรรมที่สุดเริ่มทำงาน ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2507 ก็เป็นวันพ่ายแพ้ของเพชฌฆาตในน้ำตัวนี้ เมื่อสิบเอกจำนง พิมาน พร้อมเพื่อนทหาร รวมกัน 4 นาย ได้แกะรอยไล่ล่าตัวมันมา 2 วันเต็ม กระทั่งตามไปถึงวังน้ำ ที่มันใช้กบดานอยู่ เมื่อรู้แน่ชัดแล้ว จึงหย่อนด้วยระเบิด C-3 ที่บรรจุในกระป๋องดังตูมระเบิดลูกแรกทำให้ ไอ้ด่างรู้ตัวและพยายามจะหนี สิบเอกจำนง กับพวกไม่รอช้า หย่อนระเบิดไปอีกหลายลูกดังตูมๆ ระเบิดลูกหนึ่งโดนกลางหลังไอ้ด่างทำให้กระดูกสันหลังของมันหัก จากนั้นก็ช่วยกันล่ามไว้กับเรือ และลากมันขึ้นมา ไอ้ด่างค่อยๆ สิ้นใจตาย ก่อนจะฆ่ามันได้ ไอ้ด่างได้ไปกินเหยื่อเป็นชาวบ้านขณะแบกต้นกล้วยฝ่าน้ำที่สูงเท่าเอว ไอ้ด่างมันกบดานก่อนจะพุ่งงาบเข้ากลางลำตัวแล้วลากเหยื่อไปกิน ไอ้ด่างดุร้ายถูกผ่าท้อง คนที่เห็นถึงกับผงะ เพราะในท้องของมัน พบกระดูกมากมายที่แยกแยะไม่ออกด้วยตาเปล่าว่าเป็นกระดูกสัตว์หรือกระดูกของคน แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนเชื่อว่าจระเข้ตัวเป็นตัวที่ตามล่ากันอย่างถูกต้องคือ พบกะโหลกมนุษย์ถึง 2 กะโหลก นี่แหละคือตำนานไอ้ด่างบางมุดจระเข้กินคนชื่อดัง”

“ยังมีตำนานหลวงพ่อกล่อมวัดโพธิ์ ท่านได้เสกคาถากำกับคุ้งน้ำคลองมะขามเตี้ยบริเวณวัดโพธิ์ไว้ ทำให้จระเข้ที่ว่ายน้ำผ่านหน้าวัดโพธิ์ต้องโผล่หัวผ่านไปและปากก็ไม่สามารถอ้าขึ้นได้ แต่เรื่องที่ดังในวัดโพธิ์คือเรือแข่ง เรือของวัดโพธิ์ลงแข่งในงานชักพระไม่เคยแพ้ผู้ใด เล่ากันว่าพ่อท่านกล่อมให้ลูกศิษย์จัดการขุดเรือขึ้นมา ในคืนก่อนวันแข่ง พ่อท่านกล่อมจะทำพิธีเจิมเรือ พอเวลาเช้าของวันแข่งขันท่านจะออกมายืนริมคลองมะขามเตี้ยแล้วบริกรรมคาถา เรือขึ้นคานอยู่แล่นลงน้ำได้อย่างอัศจรรย์ใจ” ตาเทืองเล่าเรื่องพระเกจิชื่อดัง เมื่อหมดเรื่องเล่ากัน วงสนทนาร่ำเมรัยก็หมดเรื่องจะคุยกันแล้ว สมาชิกทั้งหลายแยกย้ายกลับเคหาสน์สถานของตน

 


[1] ตำนานพญาท่าข้าม แหล่งที่มา> https://www.facebook.com/mkd999/posts/981378195247486/