รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ
ลึกลับ,เรื่องสั้น,ระทึกขวัญ,ดราม่า,ย้อนยุค,ผึ,สยองขวัญ,ผี,ดราม่า,ลึกลับ,ย้อนยุค,ชนบท,วัด,เรื่องเล่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club)รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ
ผีมีจริงหรือไม่?
คนเราตายแล้วไปไหน?
สโมสรหลังเมรุ(Cemetery Club) มีจุดกำเนิดจากการได้รับแรงบันดาลใจจากได้ฟังเรื่องผี เรื่องวิญญาณ ทว่าจุดเริ่มต้นที่แท้จริงเกิดจากพระภิกษุกลุ่มหนึ่งสนทนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรื่องเร้นลับทั้งประสบพบเจอเอง ได้ยินได้ฟังมาในระหว่างรอสวดมาติกาบังสุกุลศพในช่วงบ่ายและระหว่างรอสวดพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ในงานพิธีศพ บางคนอาจจะมองว่าการฟัง การอ่าน การชมเรื่องผีเป็นเพียงแค่ความบันเทิงเท่านั้น สำหรับผมเรื่องผีเป็นเรื่องที่มีเสน่ห์ชวนน่าหลงใหล มีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเอง เราอยากจะรู้ว่าประเทศนั้นประเทศนี้มีความเชื่อค่านิยม วัฒนธรรมที่สะท้อนอัตลักษณ์ตัวตนของประเทศนั้นๆ ผ่านการศึกษาเรื่องผี ผ่านคติความเชื่อในโลกหลังความตายได้ เรื่องผีบางเรื่องมีคติสอนใจซ่อนอยู่ มนุษย์ที่ตายไปแล้วไปสู่ภพภูมิที่ตนเองควรไป ยังวนเวียนอยู่กับมนุษย์เพราะความต้องการของเขา เธอทั้งหลายยังไม่บรรลุ ไม่ว่าจะเป็นการทวงความยุติธรรมให้แก่ตน การสั่งเสียอำลาคนที่เรารัก การใช้ตนเองเป็นธรรมทาน หรือแม้กระทั่งเป็นประจักษ์พยานในการแสดงผลของการทำความดีและผลของการทำชั่ว เรื่องผีบางเรื่องสะท้อนสภาพสังคมในแต่ละยุคอย่างเรื่อง นางนวล สะท้อนให้เห็นสภาพสังคมไทยในสมัยรัชกาลที่ 7 ที่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นปกครองกับชนชั้นสามัญชนคนธรรมดา แม้จะมีการเลิกทาสมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แต่ผู้คนมากมายก็ยังคงตกเป็นทาสของอำนาจเงิน อย่าง ซ่องเจ๊เนาและซุ้มยาดองยายนี สะท้อนสภาพบ้านเมืองของอำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานีในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
หลายวันผ่านไป... มีเรื่องดังเล่าต่อๆ กันไปที่เกี่ยวเนื่องด้วยผีวิญญาณ จนสมาชิกสมาคมร่ำเมรัยต้องหยิบยกเอามาเล่ากัน
“พวกแม่ค้าในตลาดเล่ากันว่า แม่แนบ แม่ค้าเรือขายขนมหวานโดนผีที่บ้านท่านขุนฝ่ายท่าหลอก” ยายนีบอก ฝ่ายท่าที่ยายนีพูดนั้นคือฟากตรงข้ามกับฟากตลาดมีบ้านเรือนเรือกสวนตั้งอยู่ห่างๆ กัน
“ได้ยินมาเหมือนกัน ป้าเล่าให้ฟังหน่อย” นายชาติรบเร้า
“แม่แนบขับเรือหางยาวแล่นขายขนมหวานไปตามคลอง ลูกค้าของแม่แนบก็ชาวบ้านทั่วไปแหละ เพราะยังมีคนเรือ คนงานทำงานกันหรือไม่ก็บางบ้านนอนดึกดื่นเพราะปอกมะพร้าวเอามาขายที่บริษัทเอเชียติกส์ บางบ้านก็รอซื้อเพื่อเตรียมไว้ใส่บาตรในตอนเช้า หรือไม่ก็คนลงเรือนอนไปเกาะซื้อไว้กินแก้หิวบนเรือ…” ยายนีเริ่มเล่าเรื่อง
“หนมหวานค่ะ หนมหวาน ปี๊นๆ” แม่แนบขับเรือไปพลางบีบแตรลมเรียกลูกค้าที่อยู่เรียงรายตามสองฟากแม่น้ำ จนเกือบถึงบ้านท่านขุนฝ่ายท่าเห็นว่ามีคนยืนโบกมือเรียกเพื่อซื้อขนมอยู่ลิบๆ แม่แนบชะลอเรือแล้วจอดเทียบท่าบ้านท่านขุนโดยไม่นึกเฉลียวใจเลยว่าบ้านท่านขุนทิ้งร่างมานานหลายปีดีดักแล้ว แม่แนบจอดเรือมองไปบนท่าน้ำไม่เห็นว่ามีใครอยู่ นึกตกใจระคนสงสัยว่าคนที่เรียกหายไปไหน แม่แนบกวาดสายตาดู บ้านไม้หลังโตสูงสองชั้นเก่าแก่ทรุดโทรมไปกาลเวลาไร้ผู้คนดูแล ไม่มีคนเลย คิดว่าคงจะโดนดีเข้าให้แล้ว เลยขับเรือแล่นหนีไปให้ห่างไกลจากบ้านหลังนี้ และนี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ส่วนเหตุการณ์อื่นๆ ที่เล่าต่อๆ กัน ผิดเพี้ยนชนิดที่ว่าห่างไกลเค้าโครงเรื่องจริงเลยทีเดียว
“แม่แนบไม่เห็นคนแล้ว คิดว่าตาฝาดไป บิดคันเร่งเรือพร้อมจะออกจากท่า ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงเรียกร้องด้วยน้ำเสียงยานคง รอก่อนๆ แม่แนบเงยหน้ามองไปทางต้นเสียง แม่เจ้าประคุณรุนช่อง ตรงหลังบ้านมีห้องใต้หลังคามีช่องหน้าต่างอยู่ แม่แนบเห็นผู้หญิงคนหนึ่งโผล่ตัวออกมาจากช่องหน้าต่างตรงนั้น ยื่นมือยืดยาวเหมือนนางนากพระโขนงในหนังที่ดูกันในโรง แม่แนบบิดเครื่องเรือหนีออกมาไม่คิดชีวิต ยังได้ยินเสียงผีสาวเรียกให้รอก่อนๆ ไล่หลังจนห่างบ้านท่านมามากจึงไม่ได้ยิน” ยายนีเล่าเรื่องผีที่ผ่านการปรุงแต่งเสริมเรื่องราวให้มีความน่ากลัวมากขึ้น
“บ้านนั้นขึ้นชื่อเรื่องผีดุจะตาย” โกหลองพูด “แม้ว่าจะอยู่ตรงข้ามกับศาลากลางเพียงแค่แม่น้ำกั้น มีข้าราชการขอเช่าอยู่พักอาศัยก็อยู่กันไม่ได้”
“บ้านมันมีประวัติ ท่านขุนแกอยู่บ้านกับลูกเมีย จนเกิดสงครามโลก บ้านดอนก็เป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์เพราะมีฐานทัพญี่ปุ่นตั้งอยู่ บ้านดอนจนไปถึงพุนพินถูกระเบิดทางอากาศโจมตี สะพานรถไฟข้ามแม่น้ำก็ถูกทำลาย ยากลำบากในการเดินทาง ท่านขุนกับลูกเมียไปหาที่หลบภัยในบริเวณอื่นๆ แล้วให้ครอบครัวหนึ่งมีพ่อแม่และลูกสาวอยู่โยงเฝ้าบ้านรักษาของมีค่าเอาไว้ หากมีเสียงหวอเตือนว่าระเบิดจากเครื่องบินลง พ่อแม่ลูกจะวิ่งไปหลบภัยระเบิดในท้องร่องสวนมะพร้าวแต่โชคร้ายระเบิดลูกหนึ่งตกลงระเบิดที่สวนมะพร้าว พ่อแม่ลูกตายอย่างเอน็ดอนาถสยดสยอง แรงระเบิดฉีกร่างคนทั้งสามจนเละเทะไม่เหลือชิ้นดี ตัวบ้านไม่ได้โดนระเบิดสภาพยังดี จนสงครามจบลง ท่านขุนและลูกเมียย้ายกลับมาอยู่บ้านหลังนั้น ทว่าอยู่กันไม่ได้เพราะโดนผีพ่อแม่ลูกสาวหลอกหลอนจนต้องเก็บของลงเรือหะรินย้ายกลับกรุงเทพไป นานๆ พวกท่านจะมาดูบ้านซักที บ้านถูกปล่อยทิ้งร้างไป บ้านไม้หลังสวยขึ้นชื่อลือชาในความผีดุร้าย อย่างที่เล่าไปว่ามีคนเคยขอเช่าบ้านอยู่โดยเฉพาะข้าราชการที่ทำงานตรงศาลากลางเพราะตรงข้ามฝั่งแม่น้ำก้อยู่ไม่ได้กัน เล่ากันว่าตกกลางคืนเข้านอนกันในห้องเช้ามาพบว่ามานอนอยู่นอกห้องกันหมด ได้ยินเสียงคนคุยกันโดยหาที่มาไม่ได้ หลังบ้านที่เห็นว่าเป็นสวนมะพร้าว มีคนนอนกลางวันเห็นว่าลูกมะพร้าวบนต้นกลายเป็นหัวคนจ้องมองเขม็งอยู่ บางทีได้เสียงผู้หญิงร้องไห้ร้องดังมาจากห้องใต้หลังคาขึ้นกันไปดูก็ไม่เจออะไร ไม่มีใครอยู่บ้านท่านขุนได้หรอก ปล่อยทิ้งร้างไปอย่างนั้น บางทีคนเรือก็จอดเรือหลบฟ้าฝนก็เห็นผู้ชายหน้าตาเละๆ ยืนชี้นิ้วไล่ให้ออกจากบ้านไปโกยแนบแทบไม่ทันก็มี บางคนยังเล่าเป็นตุแนตะว่ายืนอยู่ริมฝั่ง มองเห็นบ้านท่านขุนที่อยู่ตรงข้ามมีผู้หญิงผมยาวโผล่หน้าออกมาจากหน้าห้องใต้หลังคากลางบ้านก็เคยมี” นายชาติเล่าเรื่องราวของตำนานผีดุแห่งบ้านท่านขุนฝ่ายท่าให้สมาชิกในวงสมาคมร่ำเมรัยฟัง ส่วนเรื่องแม่แนบถูกผีบ้านท่านขุนหลอกก็ถูกแต่งเติมเสริมแต่งจนไม่เหลือเค้าเดิม บ้างก็ว่าแม่แนบโดนผีบ้านท่านขุนติดตามจนต้องป่วยจับไข้หัวโกร๋น หรือไม่ก็ว่า ผีบ้านท่านขุนเฮี้ยนจัดมาคอยหลอกหลอนคนที่สัญจรทางน้ำผ่านไปผ่านมาจนต้องแล่นเรือเลียบฝั่งตลาดจนพ้นเขตบ้านท่านขุนค่อยเปลี่ยนเส้นทาง เมื่อถึงงานประเพณีชักพระเดือนสิบเอ็ด ประชาชนทั้งหลายสนุกสนานกับประเพณีลากเรือพนมพระทั้งทางบกทางน้ำและแข่งเรือยาวสนุกสนานกันถ้วนทั่วก็ยักจะมีข่าวคราวว่ามีใครโดนผีบ้านท่านขุนหลอกหลอนในช่วงเวลานั้นทั้งๆ ทั่วแม่น้ำคลาคล่ำด้วยเรือลอยลำมีผู้คนมากมาย เรื่องผีบ้านท่านขุนฝ่ายท่าจึงเงียบหายไปตามกาลเวลา
คดีความของนายธงและนายดำไม่คืบหน้าเท่าไหร่ แม้ผลการตรวจชันสูตรพลิกศพจากโรงพยาบาลออกมาหมดแล้ว ไม่ใช่การฆาตกรรมแต่เกิดอะไรขึ้นกับสองคนนี้กันแน่ นายนองคือกุญแจสำคัญที่ไขสู่ความจริงแต่กลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ตำรวจติดตามหาตัวก็ไร้วี่แววหรือมีเบาะแส จนกระทั่งวันหนึ่งทั่วทั้งตลาดวุ่นวายเพราะมีชายสติไม่ดีเดินแก้ผ้าเป็นชีเปลือยเพ่นพ่าน สร้างความตกใจระคนกลัวให้แก่คนมากมาย นับเป็นเรื่องบัดสีบัดเถลิง ชีเปลือยบ้าผู้นี้คือนายนองที่หายตัวไป ผู้คนจึงให้ความสนใจล้อมรอบมุงดูความบ้าบอของชีเปลือยนองเหมือนดูละครเร่เพราะนายนองแสดงพฤติกรรมแปลกๆ ร้องเพลงที่โด่งดังในยุคนั้นได้ศัพท์บ้างไม่ได้ศัพท์บ้าง บางครั้งก็ร้องไห้น้ำตาไหลพรากๆ โดยไม่รู้สาเหตุ บางเวลาร้องว่าผีกะหรี่ๆ มันจะฆ่ากู แล้วก้มหน้าก้มตาตัวสั่นงันงกสลับไปมา เดือดร้อนตำรวจมาล้อมจับเหมือนจับปูใส่กระด้ง ชีเปลือยนองหนีไปทางไหนชาวไทยมุงหนีไปทางนั้น น่าแปลกที่ตำรวจร่างกายกำยำตะครุบไล่จับชีเปลือยนองไม่ได้ ในช่วงตำรวจคลุกวงในนายนอง นายนองได้คว้าปืนตำรวจได้ ทำเอาทั้งตำรวจและไทยมุงแตกฮือหนีกันไปคนละทิศคนละทางเพราะเกรงกลัวอันตรายต่อชีวิต ในจังหวะนี้ชีเปลือยนองวิ่งถือปืนเตลิดหนีไป เดือดร้อนตำรวจต้องระดมกำลังพลออกตามหาตัวชีเปลือยนองที่มีอาวุธปืนอยู่นมือ จนตกกลางค่ำกลางคืนชาวบ้านร้านตลาดได้รับคำเตือนจากทางการให้อยู่แต่ในเคหาสน์สถาน ซุ้มยาดองยายนีต้องปิดขายชั่วคราวไปโดยปริยาย จะเปิดขายเปิดสมาคมได้อีกครั้งเมื่อจับกุมตัวชีเปลือยนองได้ ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน ในเช้าวันที่สอง มีข่าวแพร่สะพรัดไปทั่วว่ารถไฟทับคนตายที่สถานีรถไฟ ผู้ตายนั้นคือนายนอง สภาพศพเละแขนขาฉีกขาดกระจุยกระจายเพราะแรงขยี้จากล้อเหล็กของรถไฟ ตำรวจตั้งข้อสันนิษฐานว่า นายนองหลบหนีมาถึงสถานีรถไฟแล้วกบดาน อาจจะตั้งใจให้รถไฟทับตนหรือเป็นเพียงอุบัติเหตุก็เป็นได้ ตำรวจสืบสวนคดีทั้งสามคดีไปอย่างยากลำบากเพราะแม้ว่านายธง นายดำและนายนองเป็นกลุ่มก้อนเดียวกันเป็นอาชญากรที่ก่อคดีลักเล็กขโมยน้อยในพื้นที่บ้านดอนมาเนิ่นนาน เป็นที่ต้องการตัวของตำรวจแต่ไม่พบแหล่งกบดานของทั้งสามคน เป็นการยากในการสืบหาเพราะทั้งสามคนเป็นคนต่างถิ่นคาดว่าก่อคดีมาจากที่อื่นแล้วหนีมาหลบซ่อนที่บ้านดอนและก่อคดีลักขโมยในพื้นที่ การตายของนายธงคือจุดเริ่มต้นทำให้ตำรวจเริ่มสืบคดีและต้องการจับกุมคนในกลุ่มที่เหลืออย่างจริงจัง ตำรวจพยายามค้นหาติดตามตัวคนร้ายทั้งสองคนที่เหลือ มาพบศพนายดำอีก จนมาพบนายนองกลายเป็นคนสติไม่ดีแล้วถูกรถไฟทับตาย คดีทั้งสามขาดพยานหลักฐานว่ามีความเกี่ยวข้องกัน นายตำรวจในพื้นที่สถานีรถไฟได้โอนคดีของนายนองถูกรถไฟทับให้ตำรวจที่ทำสำนวนคดีของนายธงและนายดำ ผ่านไปนานเป็นเดือนตำรวจเจ้าของคดีสรุปคดีว่า ไม่พบหลักฐานใดๆ ที่ทำให้เชื่อได้ว่าผู้ตายทั้งสามถูกฆาตกรรม หรือพบหลักฐานที่นำไปออกหมายจับฆาตกรได้ และไม่มีการพบหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่านายธง นายดำและนายนองมีเรื่องบาดหมางกันจนนำไปสู่การทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันได้ นายธงมีอาการหัวใจวายเสียชีวิตก่อนจะพลัดตกน้ำ นายดำถูกสัตว์ที่คาดว่าเป็นจระเข้กัดกินจนเสียชีวิต ส่วนนายนองเสียสติจนมีอาการคุ้มคลั่งไม่ปกติ ตามคำให้การณ์ของประจักษ์พยานเห็นว่าในขณะที่รถไฟกำลังแล่นเข้าสู่สถานีรถไฟเทียบชานชาลา จู่ๆ นายนองกระโดดลงสู่รางรถไฟขวางหน้ารถไฟในระยะกระชั้นชิดจนเกิดอุบัติเหตุขึ้น ท่ามกลางความตื่นตระหนกของผู้พบเห็น คดีทั้งสามคดีปิดคดีลงเท่านี้ ส่วนศพสามศพถูกฝังไว้ในป่าช้าดอนเมาอย่างผีไร้ญาติ
“มันก็น่าสงสัยอยู่ดีแหละนะ” โกหลองยังไม่คลายความสงสัย “ทำไมตำรวจไม่สืบคดีต่อก็ไม่รู้”
“สงสัยอะไรโกหลอง?” เจ๊กโหยวถาม
“ก็ของที่พวกมันปล้นมาไปอยู่ที่ไหน พวกมันยักย้ายถ่ายเทไปเก็บซ่อนไว้ที่ไหน พวกมันเอาไปให้ใคร” โกหลองพูด
“นั่นน่ะสิ มันมีมูลค่ามากน้อยเพียงใดกันหนอ” นายชาติพูด
“ที่แน่นอน ข้าจะไม่เฉียดกรายไปแถวป่าช้าดอนเมาเป็นอันขาด ผีสามตัวนี้ไปอยู่รวมกันในป่าช้า พวกมันจะออกอาละวาด” ตาเทืองพูดพร้อมแสดงสีหน้าหวาดหวั่น
และแล้ว... เป็นอย่างที่ตาเทืองคาดการณ์ไว้ เมื่อมีคนที่ไปดวดน้ำตาลเมาแถวป่าช้าดอนเมาถูกผีร้ายสามตนหลอกหลอน จนร้านน้ำตาลเมาต้องปิดตัวลง
“ข้าไปได้ยินคนที่ไปร้านน้ำตาลเมาโดนผีสามตัวหลอก พวกมันทำทีไปกินน้ำตาลเมาโดยไม่มีใครสงสัยว่าเป็นผี เพียงแต่ทำกิริยาเนิบนาบเชื่องช้าจนเป็นที่สังเกตสังกา นั่งกินอยู่นานไม่พูดจากับใครแม้พวกเดียวกันก็ไม่พูด เมื่อได้เวลาพอควรทั้งสามจ่ายเงินแล้วหายตัวไป หลังจากปิดร้าน เจ้าของร้านนับเงินพบว่าเงินขาดแต่มีใบไม้จำพวกใบโพธิ์ใบไทรแห้งปะปนกับเงินมา เจ้าของร้านคิดว่ามีลูกค้าเล่นไม่ซื่อกับเขา นับจากนั้นเขาก็คอยสังเกตพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละรายอย่างละเอียดเพื่อค้นหาลูกค้าฉ้อฉลแต่ยังไม่พบเจอความผิดปกติ หลายคืนผ่านไป ชายสามคนที่มีท่าทีประหลาดๆ กลับมากินน้ำตาลเมา ชายเจ้าของร้านคอยแอบดูพฤติกรรมของชายสามคน เพราะความมืดสลัวๆ อาศัยเพียงจากตะเกียงจ้าวพายุแค่ดวงเดียว ทำให้เห็นสามคนนั้นผิดเพี้ยนไป เขาเห็นว่าสามคนมีสภาพร่างกายที่แปลกไปไม่ชัดเจน ร่างรางเลือน ในบางทีมองผ่านๆ เห็นว่าสามคนมีสภาพร่างกายเหมือนศพ คนแรกมีสภาพบวมอืด คนที่สองเหลือเพียงแค่ครึ่งตัวบน ส่วนคนที่สามร่างเละเทะมือขาดขาขาด เจ้าของร้านตั้งใจมองอย่างดีพบว่าสามคนนี้มีร่างกายปกติ เขาคิดว่าเมาขี้ตาไม่ได้คิดอะไร จนถึงเวลาเก็บเงิน ชายเจ้าของร้านเห็นว่าพวกนั้นให้เงินจริงๆ มาก็คิดว่าไม่ใช่พวกนี้ที่คดโกงเขา เมื่อสามคนนั้นลุกขึ้นเดินเนิบนาบๆ ชายเจ้าของร้านหันหลังนับเงินก็เห็นว่าเงินกลายเป็นใบไม้แห้งอีก ชายเจ้าของร้านหัวร้อนโมโหที่โดนลูบคมเข้าอย่างจัง เขาคว้าปืนแก๊บที่ซ่อนเก็บไว้มาถือไว้ในมือเผื่อได้ใช้งานแล้วร้องเรียกให้สามคนนั้นหยุด แล้วร้องขู่เอาเงินค่าน้ำตาลเมา ชายสามคนกลับเพศเป็นผีสางอยู่ในสภาพศพที่ใครๆ พบเห็น ทำเอาเจ้าของร้านผงะยืนแข็งทื่อก้าวขาหนีไม่ออก ผีทั้งสามเดินกลับมาหาชายเจ้าของร้าน อย่าใช้คำว่าเดินเลย น่าจะใช้คำว่าลอยมาหาจะดีกว่า ผีทั้งสามพูดว่าไม่มีเงินหรอกเพราะไม่มีใครเอาเงินใส่ปากให้ มีแต่หนอนเต็มปากจะเอาไหม ผีทั้งสามพ่นหนอนมากมายออกมาจากปากใส่หน้าใส่ตัวเจ้าของร้าน เจ้าของร้านตกใจไร้สติวิ่งเตลิดไปเรื่อยๆ นับจากนั้นร้านน้ำตาลเมาแถวๆ ป่าช้าดอนเมาเหลือเพียงแค่ชื่อ ชายเจ้าของร้านหายสาบสูญไปไม่มีข่าวคราว จนลือว่าเป็นไข้ตาย หนีไปอยู่ถิ่นที่อื่น หรือไม่ก็หนีผีไปบวช” ตาเทืองเล่าถึงปฐมบทแห่งความร้ายกาจของผีร้ายสามตน
นับจากนั้นมีข่าวคราวเรื่องผีจากผีร้ายสามตนมาเล่าสู่กันฟังมากมาย ผีร้ายสามตัวดุร้ายคะนองนักเที่ยวหลอกหลอนคนที่สัญจรผ่านไปผ่านมาแถวๆ ป่าช้าดอนเมาในรูปแบบต่างๆ อาทิ นั่งห้อยหัวลงมาจากต้นไม้ใหญ่ เขวี้ยงส้มสูกลูกไม้ใส่คนจนเจ็บตัวระคนตกใจกลัว หรือไมวิ่งตามคนในสภาพน่ากลัวสยดสยอง ผีร้ายสามตัวขึ้นชื่อลือชาในความเฮี้ยนดุร้ายชนิดไม่เกรงใจตากะลายายกะลีผู้เป็นนายแห่งป่าช้าตามคติความเชื่อของคนไทย มิหนำซ้ำผีร้ายยังออกอาละวาดหลอกผู้คนนอกเขตป่าช้า ตามปกติแล้วคนงานในดรงเลื่อยใกล้ๆ ป่าช้าดอนเมาจะตั้งวงดื่มสุรายาเมาในช่วงกลางคืนหลังจากเลิกงานการ ผีร้ายสามตัวก็ปรากฏตัวขอเหล้ายาปลาปิ้ง จนคนงานและลูกเมียทั้งหลายตกใจหวาดกลัว เมื่อตะวันตกดินก็อยู่แต่ในเรือนพักของตน งดกิจกรรมสังสรรค์ทั้งหลายแต่มิวายถูกผีสามตัวหลอกไล่เคาะประตูเรือนจนเป็นที่เดือดร้อน จนต้องตั้งสุราอาหารเซ่นไหว้อยู่ที่ชานเรือนพัก ผีร้ายสามตัวจึงรามือไม่หลอกหลอนเหล่าคนในโรงเลื่อยไม้ แทนที่ผีร้ายจะพึงพอใจยุติการหลอกหลอนกลับย่ามใจ ออกตระเวนหลอกหลอนชาวบ้านไปทั่ว
“เขาว่ากันว่าผีอ้ายธงไปแสดงอิทธิฤทธิ์ แปลงกายใหญ่โตราวกับยักษ์เดินข้ามโบสถ์วัดโพธิ์” นายกล่าวถึงเรื่องผีที่ได้ยินได้ฟังมา
“มันชักจะร้ายขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วนะ” มหาฉ่ำพูด
“แล้วใครจะเป็นรายต่อไปวะ” เจ๊กโหยวรำพึงรำพัน จู่ๆ มีลมหอบใหญ่พัดมาจนข้าวของในร้านหล่นกระจุยกระจาย ทุกคนคนที่นั่งที่ยืนอยู่ซวนเซหลับตาหยีกันลมเข้าตา เสียงแก้วเหล้าแตกดังโพล้งเพล้งล้งเล้งโช้งเช้ง จนเมื่อลมสงบลง ทุกคนลืมตาขึ้นดูรอบๆ ตัว ทุกอย่างพังพินาศย่อยยับ
หึหึหึ...
เสียงหัวเราะเย็นยะเยือก ทำเอาทุกๆ คนต้องหันไปมองทางต้นเสียง สิ่งที่ทุกคนเห็นคือ ผีอ้ายธง ผีอ้ายดำและผีอ้ายนองลอยอยู่ตรงนั้น มองดูทุกๆ คนด้วยสีหน้าเคียดแค้น ลักษณะของผีแต่ละตัวตรงกับสภาพศพตอนตาย
“พวกมึงนินทาพวกกู พวกมึงต้องตายยยยย” ผีอ้ายดำร้อง
เฮ้ย!
วงแตกสิ ทุกคนวิ่งหนีแตกกระจายไปคนละคนละทาง ยายนีวิ่งไปร้องกรี๊ดไปจนกลับไปถึงบ้านของตน ไม่สนใจว่าซุ้มยาดองพังพินาศอย่างไร เฉกเช่นกับคนอื่นๆ ที่หนีหายแตกซ่านกระเซ็น พอเช้ามาเรื่องผีร้ายสามตนบุกข้ามเขตป่าช้าดอนเมามาหลอกคนที่ซุ้มยาดองยายนีเป็นที่โด่งดังโจษจันไปทั่ว ยายนีปิดซุ้มยาดองไว้ชั่วคราวไม่มีกำหนดเปิด เพราะเกรงว่าอ้ายผีสามตนจะกลับมาหลอกตัวแกและลูกค้าสมาชิกสมาคมร่ำเมรัย