รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ

สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) - 39 ซุ้มยาดองยายนี(ตอนที่ 1) โดย ท่าเพชร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ลึกลับ,เรื่องสั้น,ระทึกขวัญ,ดราม่า,ย้อนยุค,ผึ,สยองขวัญ,ผี,ดราม่า,ลึกลับ,ย้อนยุค,ชนบท,วัด,เรื่องเล่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ลึกลับ,เรื่องสั้น,ระทึกขวัญ,ดราม่า,ย้อนยุค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ผึ,สยองขวัญ,ผี,ดราม่า,ลึกลับ,ย้อนยุค,ชนบท,วัด,เรื่องเล่า

รายละเอียด

สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club)  โดย ท่าเพชร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ

ผู้แต่ง

ท่าเพชร

เรื่องย่อ

ผีมีจริงหรือไม่?

          คนเราตายแล้วไปไหน?

            สโมสรหลังเมรุ(Cemetery Club) มีจุดกำเนิดจากการได้รับแรงบันดาลใจจากได้ฟังเรื่องผี เรื่องวิญญาณ ทว่าจุดเริ่มต้นที่แท้จริงเกิดจากพระภิกษุกลุ่มหนึ่งสนทนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรื่องเร้นลับทั้งประสบพบเจอเอง ได้ยินได้ฟังมาในระหว่างรอสวดมาติกาบังสุกุลศพในช่วงบ่ายและระหว่างรอสวดพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ในงานพิธีศพ บางคนอาจจะมองว่าการฟัง การอ่าน การชมเรื่องผีเป็นเพียงแค่ความบันเทิงเท่านั้น สำหรับผมเรื่องผีเป็นเรื่องที่มีเสน่ห์ชวนน่าหลงใหล มีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเอง เราอยากจะรู้ว่าประเทศนั้นประเทศนี้มีความเชื่อค่านิยม วัฒนธรรมที่สะท้อนอัตลักษณ์ตัวตนของประเทศนั้นๆ ผ่านการศึกษาเรื่องผี ผ่านคติความเชื่อในโลกหลังความตายได้ เรื่องผีบางเรื่องมีคติสอนใจซ่อนอยู่ มนุษย์ที่ตายไปแล้วไปสู่ภพภูมิที่ตนเองควรไป ยังวนเวียนอยู่กับมนุษย์เพราะความต้องการของเขา เธอทั้งหลายยังไม่บรรลุ ไม่ว่าจะเป็นการทวงความยุติธรรมให้แก่ตน การสั่งเสียอำลาคนที่เรารัก การใช้ตนเองเป็นธรรมทาน หรือแม้กระทั่งเป็นประจักษ์พยานในการแสดงผลของการทำความดีและผลของการทำชั่ว เรื่องผีบางเรื่องสะท้อนสภาพสังคมในแต่ละยุคอย่างเรื่อง นางนวล สะท้อนให้เห็นสภาพสังคมไทยในสมัยรัชกาลที่ 7 ที่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นปกครองกับชนชั้นสามัญชนคนธรรมดา แม้จะมีการเลิกทาสมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แต่ผู้คนมากมายก็ยังคงตกเป็นทาสของอำนาจเงิน อย่าง ซ่องเจ๊เนาและซุ้มยาดองยายนี สะท้อนสภาพบ้านเมืองของอำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานีในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 

สารบัญ

สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 1 ไปสวดศพ(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 1 ไปสวดศพ(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 2 วิวาห์ผี,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 3 วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 3 วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 4 หอปรารถนาดี,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 5 โรงเรียนสยองขวัญ,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 6 ซ่องเจ๊เนา(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 6 ซ่องเจ๊เนา(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 7 นางนวล(ตอนที่ 1),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 7 นางนวล(ตอนที่ 2),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 7 นางนวล(ตอนที่ 3),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 7 นางนวล(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 8 ไปหาดใหญ่คราวนั้นฉันยังจดจำ,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 9 โค้งเขาท่าเพชร,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 10 อย่านึกถึงฉัน,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 11 รวมเรื่องเล่าในโรงพยาบาล,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 12 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 1),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 12 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 2),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 12 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 3),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 12 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 13 สามเณรใจสิงห์(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 13 สามเณรใจสิงห์(ตอนที่ 2),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 13 สามเณรใจสิงห์(ตอนที่ 3),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 13 สามเณรใจสิงห์(ตอนที่ 4),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 14 นางเบ็ด(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 14 นางเบ็ด(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 15 ดงพญาไฟ,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 16 ยายฉิมเก็บเห็ด,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 17 ปลายฝนต้นหนาว,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 18 พี่สุดสวยแห่งหอใน,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 19 นอนกลางขวัญผวา,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 20 บีผู้เจอผีระดับบอส,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 21 ผีอีเปรี้ยว,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 22 เพื่อนผู้จากไป,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 23 ปริศนาชายเสื้อลายแห่งห้อง 52xx,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -เรื่องที่ 24 โค้งเขาท่าเพชร(อีกแล้ว),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -25 อย่านึกถึงฉัน,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -26 รวมเรื่องเล่าในโรงพยาบาล,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -27 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 1),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -28 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 2),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -29 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนที่ 3),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -30 เพื่อนตายถ่ายแทนชีวาอาตม์(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -31 สามเณรใจสิงห์(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -32 สามเณรใจสิงห์(ตอนที่ 2),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -33 สามเณรใจสิงห์(ตอนที่ 3),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -34 สามเณรใจสิงห์(ตอนที่ 4),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -35 นางเบ็ด(ตอนแรก),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -36 นางเบ็ด(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -37 ดงพญาไฟ,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -38 ยายฉิมเก็บเห็ด,สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -39 ซุ้มยาดองยายนี(ตอนที่ 1),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -40 ซุ้มยาดองยายนี(ตอนที่ 2),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -41 ซุ้มยาดองยายนี(ตอนที่ 3),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -42 ซุ้มยาดองยายนี(ตอนที่ 4),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -43 ซุ้มยาดองยายนี(ตอนที่ 5),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -44 ซุ้มยาดองยายนี(ตอนจบ),สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club) -45 ปอบงามล่มเมือง ตอนที่ 1

เนื้อหา

39 ซุ้มยาดองยายนี(ตอนที่ 1)

คำเตือน: เรื่องสั้นชุดนี้แต่งขึ้นมาโดยใช้จินตนาการของผู้แต่ง ตัวละครในเรื่องล้วนแต่สมมติขึ้นมาเพื่ออรรถรสในการอ่านและรับฟัง หากไปพาดพิงหรือพ้องกับชื่อบุคคลใดๆ ก็ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

“ยายนีขายเหล้า ยายเนาขาย... จ้า”

เย็นย่ำค่ำมืดซุ้มยาดองยายนีเต็มไปด้วยบุรุษเพศทุกวัยมาสมาคมสังสรรค์กัน ซุ้มยาดองยายนีแห่งนี้ตั้งอยู่หลังตลาดจำหน่ายยาดองหลากสูตรอาทิ กำลังเสือโคร่ง ม้ากระทืบโรง โด่ไม่รู้ล้ม กำลังช้างสาร เป็นต้นและสุราโรงดีกรีแรง หลังจากเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ใหญ่คราวนั้น หลายชีวิตจบลงในกองเพลิง หลายชีวิตก็ดิ้นรนทำมาหากินเพื่อจุนเจือชีวิต เติมเต็มทรัพย์สินที่เสียหายไป ยายนีก็จับจองที่ทำซุ้มทำเพิงหมาแหงนพอกันลมกันฝน ทำกิจการยาดองเป็นที่นิยมของลูกค้า เพราะการร่ำเมรัยใช่เพียงดื่มๆ กินๆ แต่ต้องดูอัธยาศัยของพ่อค้าแม่ขายด้วย ยายนีอัธยาศัยดีชวนลูกค้าที่มาดื่มกินพูดคุยเรื่องต่างๆ ยายนีคุยได้ทุกเรื่องเพราะเป็นพหูสูตรู้จักฟังรู้จักเล่า แม้นิทานนิยายที่น่าเบื่อยังสามารถเล่าความได้อย่างประทับใจอย่างคืนนี้นอกเหนือจากนายชาติพนักงานไปรษณีย์ระดับหัวหน้า ตาเทืองสามล้อถีบให้บริการทุกคนหน้าตลาดบน และตามที่ลูกค้าเรียกใช้สอยตามอัธยาศัย มหาฉ่ำผู้สึกจากพระ แม้จะสอบเปรียญธรรมได้ 5 ประโยคแต่เกิดเบื่อหน่ายทางธรรมจึงลาสิกขาออกมาทำงานทั่วไปและเป็นพิธีกรทั้งงานมงคลและอวมงคล รวมไปถึงทำขวัญนาคอีกด้วย เจ๊กโหยวขายก๋วยเตี๋ยวใกล้ตลาด โกหลองนายหัวคิวเรือเมล์วิ่งไปทั่วหลายบางในแม่น้ำ ส่วนลูกค้าชายอื่นๆ มาบ้างไม่มาบ้างซึ่งเป็นคนแถวนี้ และลูกค้าอีกจำพวกเป็นลูกค้าจรที่มาจากต่างถิ่นต่างอำเภอ รวมถึงพวกที่ลงจากเรือหะรินมาจากกรุงเทพ เรือหะรินจะมาจอดที่ท่าเรือสะพานนริศขนถ่ายสินค้าขึ้นลงระหว่างกรุงเทพมหานครกับบ้านดอน และอีกพวกเป็นพวกชาวเกาะมาค้าขายมะพร้าวที่บริษัทเอเชียติกส์แล้วกลับเกาะด้วยเรือนอนที่ออกจากท่าเรือในตอนห้าทุ่มเกือบเที่ยงคืน

“ยายนีขายยาดองทับที่ซ่องเจ๊เนา ไม่กลัวผีเจ๊เนาบ้างรึ?” ตาเทืองแซะยายนีหลังจากกรึ่มกับสุราขาวแกล้มกับมะขามเปียก

“มึงนี่ปากหมาจริงๆ เรื่องมันก็ผ่านไปนานนมแล้ว ยังจะมาฟื้นฝอยหาตะเข็บทำไมกันเล่า คนตายไปนานแล้ว ยังจะเอามาพูดถึงอีก ก่อนกูจะทำมาหาแดก กูนิมนต์พ่อท่านมาทำพิธีสวดถอนส่งวิญญาณแล้ว กูอยู่ทำมาหาแดกขแงกูไป ส่วนผีอีเนาก็ไปตามทางของมัน ไอเทืองมึงมาพูดแบบนี้ ลูกค้าประจำไม่เท่าไหร่หรอกหนา ลูกค้าจรนี่เขากลัวกัน เดี๋ยวเหอะมึง ได้โดนดีอีก คราวก่อนโดนผีหลอกที่ป่าช้าดอนเมา มึงยังไม่เข็ดอีกรึ?” ยายนีพูดโต้ตอบกับตาเทืองแบบบ้านๆ โผงผาง ทำเอาลูกค้าชายคนอื่นๆ หัวเราะครืน คำว่าพ่อท่านที่ยายนีพูดนั้น เป็นภาษาท้องถิ่นเป็นสรรพนามใช้เรียกพระสงฆ์ระดับพระเถระที่วิชาความรู้เจนจัดในเรื่องทางธรรม

“ตาเทืองโดนผีที่ป่าช้าดอนเมืองหลอกอย่างไรครับ” ชายวัยกลางคนใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวติดกระดุมถึงคอเสื้อ นุ่งกางเกงทรงกระบอกสีมัสตาร์ดไถ่ถาม

“ใช่แล้วคุณ ผมนี่แหละเป็นตัวต้นเรื่อง ให้ชาวบ้านชาวช่องเล่าลือกันถึงความเฮี้ยนความดุร้ายของผีที่ป่าช้าดอนเมา ย่านนั้นเป็นทุ่งนาป่าละเมาะ ป่าพรุไม้เสม็ด เลยไปหน่อยเป็นโรงเลื่อยไม้ ถนนหนทางเป็นแค่ถนนดินแคบๆ บ้านคนมีบ้างครับแต่อยู่ริมคลองกัน ป่าช้าดอนเมามันกว้างขวางมากครับ มีทั้งป่าช้าจีนป่าช้าไทย มีโรคระบาดก็เอาศพไปฝัง ตอนสงครามโลก ระเบิดลงคนตายเป็นเบือก็เอาไปฝังที่นั่น ทั้งผีมีญาติผีไม่มีญาติ ผีดิบผีสุก ผีดิบก็ศพที่ฝังดินไว้ ส่วนผีสุกคือศพที่เผาในเชิงตะกอน ต้นไม้ก็ขึ้นครึ้มมืดสลัวแม้ในตอนกลางวัน แต่ของขึ้นชื่อของป่าช้าดอนเมานอกจากผีดุแล้วยังมีน้ำตาลเมารสเลิศ วันนั้นเมียคนงานคนหนึ่งเรียกรถสามล้อถีบซึ่งโดนคิวผมพอดิบพอดี พอได้ยินว่าเรียกไปโรงเลื่อยไม้รู้สึกหวั่นๆ เพราะเป็นเวลาโพล้เพล้ จะไม่ไปก็ไม่ได้อีก ผมไปส่งผูโดยสารก็แวะดื่มน้ำตาลเมาแถวจนเคลิ้มไป จนถีบรถสามล้อออกมาตอนมืด ผมถีบฝ่าความมืดออกมา ไม่ได้เตรียมไต้ เตรียมคบไฟหรือตะเกียง ถีบมาแบบมืดๆ ยังกับเป็นโลกอีกโลกเลย ผมเห็นเงาคนมากมายชายหญิงลูกเล็กเด็กแดง ทำอะไรต่อมิอะไร ทั้งยืนเดินนั่งนอน เด็กๆ ก็วิ่งเล่นกันในป่าช้า กลางป่าช้ามีศาลาใหญ่ยกพื้น ผมเห็นคนยืนนั่งอยูในศาลานั้น มีเสียงพูดคุยฟังไม่ได้ เสียงเด็กหัวเราะดังลอยมา”

“เอ๋! ลุง เมารึเปล่าลุง?” นายชาติแย้งขึ้น “แล้วก็นะ ยังจะมีคนไปขายน้ำตาลเมาในดงผีแบบนั้น”

“น้ำตาลเมามันเป็นของผิดกฎหมาย ไม่ต่างจากเหล้าเถื่อน มันต้องไปขายในที่เร้นที่ลับเช่นนั้นแล ตำรวจจะได้ไม่ยุ่งไง มาต่อผมรบถีบรถสามล้อไปเรื่อยๆ แต่เห็นว่าข้างทางมีคนคู่หนึ่งใส่ชุดขาวยาวจนถึงตีนโบกเรียกให้ผมรับ ผมถีบไปใกล้ค่อยเห็นว่าเป็นชายหญิงเพราะสังเกตจากทรงผม ยิ่งถีบไปใกล้รู้ว่าไม่ใช่คนเพราะว่า...”

“เพราะอะไรลุง?” ลูกค้าขาจรถาม

“ก็คนสองคนที่ยืนอยู่ข้างทางหัวหันไปทาง ตัวหันไปอีกทาง ผมรีบถีบให้พ้นตรงนั้นมา แต่สองคนนั้นวิ่งตามมาแต่ด้วยความที่ตัวกับหัวอยู่คนละทางกัน จึงเหมือนคนวิ่งถอยหลัง เหนื่อยจะตายชักเพราะเหนื่อยกับการถีบรถ และเหนื่อยเพราะตกใจผี ผมถีบมาถึงแถวบ้านคนก็ค่อยๆ หยุดพักหายเหนื่อย นับจากนั้นมาผมเจอใครก็เล่าเรื่องผีที่ป่าช้าดอนเมา จนเป็นที่เล่าลือไปจนดัง” ตาเทืองตอบ

“ผมเคยได้ยินเรื่องแปลกๆ เมื่อครั้งไฟไหม้ใหญ่บ้านดอนเหมือนกันครับ” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้นมาเพื่อไม่ให้การสนทนาในเรื่องราวเกี่ยวเนื่องกับผีจบลง หลังจากตาเทืองเล่าเรื่องผีที่ป่าช้าดอนเมาจบลง

“เรื่องอะไรล่ะพ่อ?” ยายนีถาม ตอนนี้สมาชิกซุ้มยาดองตีวงแคบล้อมวงใกล้ชิดกัน

“เกลอผมบ้านอยู่ตรงตรอกไผ่งาช้างบอกว่า ก่อนจะเกิดไฟไหม้ใหญ่ มีคนเห็นว่า ต้นโพธิ์ตรงหัวมุมกำแพงวัดกลางมีน้ำไหลออกมาราวกับเป็นน้ำตา จนเกิดคำร่ำลือว่าต้นโพธิ์ร้องไห้ต้องเป็นลางร้าย พอเกิดไฟไหม้ใหญ่ ทั่วทั้งตลาด รวมทั้งวัดกลางไฟไหม้จนราบพาณาสูร แต่ต้นโพธิ์กลับไม่เป็นอะไรเลยครับ” ชายผู้นั้นเล่าให้ทุกคนฟัง

“ไฟไหม้คราวนั้น บางคนก็หมดเนื้อหมดตัวเพราะไม่เพียงประสบภัยจากไปไหม้เพียงครั้งแรก อีกอย่างหนึ่งบ้านเมืองเพิ่งพ้นภาวะสงครามมาไม่นานอีกด้วย เขาถึงว่ากันโจรปล้น 10 ครั้งยังไม่เท่าไฟไหม้แค่ครั้งเดียว แต่ทางการก็ไม่ได้ใจจืดใจดำ เมื่อท่านผู้นำทราบข่าวไฟไหม้ใหญ่บ้านดอน ท่านเดินทางมาเยี่ยมเยียนพร้อมกับท่านผู้หญิง ท่านปราศรัยให้กำลังใจและให้ความช่วยเหลือเยียวยาชาวบ้านดอนเท่าที่จะช่วยได้ หลังจากนั้นทางการก็รังวัดที่ดินใหม่และตัดถนนให้เป็นระเบียบมากยิ่งขึ้นอย่างที่เห็นทุกวันนี้แหละ” มหาฉ่ำเล่าเสริม

“คิดถึงเจ๊เนานะ” ชาติพูดลอยๆ ขึ้นมา

“ลื้อคิดถึงเจ๊เนาหรือคิดถึงเด็กๆ ของเจ๊เนาวะอาชาติ” เจ๊กโหยวแซะ สมาชิกในวงล้อมหัวเราะกันเกรียว

“โถ่เฮีย ตั้งแต่เจ๊เนาเป็นบ้าไป ซ่องเจ๊เนาก็ซบเซา บ้านดอนก็ขาดสาวงามดาวประดับใจ สาวๆ ที่ซ่องยายแอ๊ดแถวป่ากล้วยไม่น่าประทับใจเล๊ย” ชาติบอก

“อย่าเรียกว่าสาวๆ เลย บางคนถ้าไม่รู้ทำงานอย่างว่า นึกว่าเป็นแม่ แก่เกินแกงทั้งนั้น” ชายคนหนึ่งพูดขึ้น “ผมก็เคยเที่ยวซ่องเจ๊เนา ยอมรับว่าเด็กร้านเจ๊เนาดีที่สุด”

“แล้วอยู่ดีๆ ทำไมสาวเนาบ้าได้ล่ะ” มหาฉ่ำถาม

“ฉันเคยถามคุณนายสมถวิลเมื่อปีที่แล้วแกมากับจวงจันทร์ จวงจันทร์เป็นช่างทำผมแต่งหน้าของกองถ่ายหนังที่มาถ่ายหนังละแวกสุราษฎร์ คุณนายสมถวิลหรือเจ๊หวินหรืออีหวินลูกน้องคนสนิทเจ๊เนา หลังจากได้ผัวอยู่โรงเลื่อย พอหลังจากไฟไหม้บ้านดอนไม่นาน ผัวเจ๊หวินต้องย้ายกลับกรุงเทพเลยกลับไปกรุงเทพกัน ทั้งสองคนลงเรือเมล์แดงของยายเภาขึ้นไปพุนพินเพื่อต่อรถไฟเข้ากรุงเทพ ฉันยังไปส่งที่ท่าเรืออยู่เลย คุณนายสมถวิลนี่แหละเป็นคนอนุญาตให้ฉันทำร้านยาดองนี่พร้อมทั้งให้เงินทองมาทำทุน คุณนายแกบอกว่าที่เจ๊เนาเป็นบ้าเพราะกงเกวียนกำเกวียนที่ได้ก่อไว้ คุณนายสมถวิลเล่าให้ฟังว่า เมื่อตอนที่แกยังเป็นกะหรี่อยู่ซ่องเจ๊เง็ก แกเคยขอเจ๊เง็กว่าจะหยุดเป็นกะหรี่อยู่หลายครั้งเพราะจะเลี้ยงดูเรืองฤทธิ์ให้ดีแต่เจ๊เง็กไม่ยอม ใครๆ ก็รู้เจ๊เง็กแกขี้ตืด อีกที้งยังเห็นว่าเจ๊เนายังทำเงินให้แกได้ แกเสียดาย เพราะเจ๊เนาเป็นกะหรี่ที่ดูแลสังขารของตนให้สาวอ่อนเยาว์ราวกับสาวแรกรุ่นอยู่เสมอ อีกทั้งจริตมารยาต่างๆ ทำให้ผู้ชายติดแกกันตรึม เจ๊เนาให้คุณนายสมถวิลแกล้งเป็นผีหลอกแขกที่มาเที่ยวซ่องเจ๊เง็ก จนไม่มีแขกมาเที่ยว ความหายนะมาเยือนเจ๊เง็ก เพราะแกเป็นผีพนันด้วยสิ เจ๊เง็กเล่นไพ่เสียติดๆ จนต้องหยิบยืมเจ้ามือ เมื่อเจ้ามือทวงเงินเจ๊ก็ไม่มี เจ้ามือส่งลูกน้องอันธพาลมากระทืบ จนในที่สุดเจ๊เง็กผูกคอตายหนีหนี้ เจ๊เนาหอบเงินที่เก็บหอมรอมริบทั้งของตนเองและยี่โถผู้เป็นเพื่อนรักและแม่แท้ๆ ของเรืองฤทธิ์มาเปิดซ่อง เจ้าเนาบริหารซ่องอย่างดีเยี่ยม คือแกไม่ขูดรีดขูดเนื้อหักค่าหัวคิวกะหรี่แบบเลือดซิบๆ อย่างเจ๊เง็ก กะหรี่ในซ่องอยู่ร่วมกันแบพี่น้องไม่ชิงดีชิงเด่นกัน เจ๊เนาแกจัดซื้อจัดจ้างกะหรี่มา ทำให้ลูกค้าไม่รู้สึกซ้ำซากจำเจ นายศรีล่องเรือมาแวะที่นี่ ให้เจ๊เนาเลือกซื้อสาวๆ ก่อนจะนำสาวๆ ที่เหลือขึ้นรถไฟไปขายต่อที่ชายแดนไทย-มาเลย์โน่น สาวๆ ชุดสุดท้ายที่เจ๊เนาซื้อมาก่อนจะเป็นบ้ามีเครือฟ้า จวงจันทร์และสมหญิง เรืองฤทธิ์กลับมาช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน ใครๆ ทั้งในซ่องและนอกซ่องรู้ดีว่าเรืองฤทธิ์เป็นทั้งเด็กในปกครองและคู่ขาปรนเปรอความสุขให้แก่เจ๊เนา ไม่มีใครแตะต้องได้ แม้ว่าถูกเด็กหนุ่มแทะโลมด้วยสายตาและวาจาเพียงใดก็ตาม เรืองฤทธิ์เป็นเด็กเจ้าชู้แอบไปได้เสียกับสมหญิง เจ๊เนารู้เรื่องเข้าเลยหึงโหด ในวันหนึ่งแกพาคุณนายสมถวิลไปหานักเลงหัวไม้ 3 คนให้ทำงานบางอย่างให้โดยแกล้งบอกกับคนในซ่องว่าจะไปทำธุระต่างอำเภอ ปล่อยให้เรืองฤทธิ์และสมหญิงชะล่าใจ จนกลางดึกเจ๊เนา คุณนายสมถวิลย้อนกลับมาที่ซ่องพร้อมกับพวกอันธพาลอีก 3 คน เจ๊เนาส่างปิดซ่อง ไล่แขกไล่ทุกคนในซ่องกลับเข้าห้องไปรวมทั้งคุณนายสมถวิลด้วย คุณนายสมถวิลอยู่ห้องเครือฟ้าและจวงจันทร์ได้ยินถีบประตูห้องติดกันซึ่งเป็นเสียงของห้องสมหญิงได้กรีดร้องของเรืองฤทธิ์และสมหญิงก่อนจะเงียบหายไป จนเช้ามาถึงได้รู้กันว่าเรืองฤทธิ์และสมหยิงหายไปแล้ว ใครถามหาโดนเจ๊เนาด่าตะเพิดจนระอาใจเลิกถาม ผ่านไปนานหลายเดือนเข้าช่วงหน้าฝน ในเช้าวันหนึ่งมีคนพบศพสมหญิงลอยมาติดท่าเรือ ตำรวจก็สอบสวนเจ๊เนากับคนในซ่องพอเป็นพิธีเท่านั้น” ยายนีมาถึงตรงนี้

“เดี๋ยวนะป้า แล้วตำรวจไม่จับกะหรี่ในซ่องหรือป้า” ชายคนหนึ่งถามอย่างซื่อๆ ทำเอาผู้คนในวงสนทนาหัวเราะคิกคักๆ แล้วส่ายหน้า

“ประเทศไทยไม่มีกะหรี่นะจ๊ะ ทางการเขาไม่ยุ่งหรอกนะ ตำรวจมาสืบสวนช่วงกลางวัน กลางวันไม่มีใครทำงานหรอก ไม่ทำงานก็เท่ากับไม่มีกะหรี่ อย่าไปสนใจเรื่องนั้นเลย เล่าต่อดีกว่า คนในซ่องให้ข้อมูลเหมือนๆ กันว่าสมหญิงหนีตามเรืองฤทธิ์ไปนานมากแล้ว แม้ว่าจะเคยเป็นว่าที่กะหรี่ประจำซ่องก็ตามเถอะจึงถือว่าไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว ถึงจะเป็นข่าวดังทั่วเมืองแต่ไม่นานก็เงียบ ศพสมหญิงฝังไว้หยาบๆ ในป่าช้าดอนเมาอย่างศพไม่มีญาติไร้การเหลียวแล ไม่นาน เจ๊เนาก็มีอาการเพ้อคุ้มคลั่ง หาว่าผีเรืองฤทธิ์ผีสมหญิงมาหลอก พูดจาเพ้อเจ้อไปเรื่อยๆ คุณนายสมถวิลก็ล่ามโซ่เจ๊เนาไว้เพราะเกรงว่าเจ๊เนาจะไปพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดจะพาทุกคนเดือดร้อนไปหมด เจ๊เนากลายเป็นคนบ้าไปโดยปริยายคุณนายสมถวิลสมอ้างดูแลกิจการซ่องต่อ แต่กิจการก็ไม่ได้ดีเหมือนเดิมผนวกกับคุณนายสมถวิลได้ผัวจึงต้องปิดกิจการลง คุณนายสมถวิลย้ายไปอยู่กับผัวทิ้งเจ๊เนาไว้ที่เดิม จนเกิดไฟไหม้ใหญ่ เจ๊เนาถูกไฟคลอกตายเหลือเพียงซากศพที่ดูไม่ได้ คุณนายสมถวิลก็ปลงศพไป ผ่านไปไม่ถึงปีผัวคุณนายสมถวิลถูกส่งตัวกลับไปทำงานที่กรุงเทพแล้ว คุณนายสมถวิลได้รู้ความจริงว่าตระกุลผัวเป็นตระกูลผู้ดีขุนน้ามขุนนางมีทรัพย์สมบัติมากมาย จากอีหวินเด็กในหมงคนสนิทเจ๊เนาเป็นเจ๊หวินคนคุมซ่องได้กลายเป็นคุณนายสมถวิลทิ้งอดีตส่วนหนึ่งไว้เป็นความหลังนั่นแหละ” ยายนีเล่าความถึงซ่องเจ๊เนาที่เก่าแต่เดิมมา เหมือนเล่านิทานเรื่องหนึ่ง พอเล่าจบ พวกที่ลงเรือนอนไปเกาะก็ออกจากซุ้มยาดองไ/ป ส่วนพวกที่เหลือคุยกันเรื่องการบ้านการเมืองที่ยายนีนั่งฟังเฉยๆ เพราะไม่ค่อยสันทัด จนเกือบเที่ยงคืน วงสนทนาที่ซุ้มยาดองก็เลิกรา ยายนีก้มๆ เงยๆ ผุดลุกผุดยืนเก็บของ ไม่สนใจว่าใครจะไปใครจะมาแล้ว

“ยายจ๋า เอาเหล้าขาวสองแป๊ก” เสียงของชายผู้หนึ่งพูดมา ยายนีหันหลังมาดู เห็นว่าโต๊ะนั่งดื่มกินที่ว่างอยู่ กลับมีเด็กหนุ่มอายุอานามไม่เกิน 20 ปีนั่งตัวตรงแข็งทื่อ มองตรงไปเบื้องหน้าที่ว่างเปล่า ยายนีตวงสุราขาวไปก็ลอบมองเด็กหนุ่ม ลักษณะของเด็กหนุ่มเป็นผู้ชายหน้าตาดี ร่างกายกำยำไม่สูงไม่เตี้ย ผิวขาวซีด การแต่งกายเป็นชุดเดินทางที่เป็นเสื้อผ้าเนื้อดีมีราคาตัดเย็บจากห้างฝรั่งในกรุงเทพมหานคร

“มาจากไหนรึพ่อหนุ่ม” ยายนีทักทายหลังจากวางจอกแก้วสุราขาวและมะขามเปียกจิ้มเกลือบนดต๊ะ

“มาจากกรุงเทพครับ” เด็กหนุ่มตอบสั้นๆ การที่เด็กหนุ่มดื่มสุราเมรัยในยุคไม่ใช่เรื่องแปลก

“ดูเหมือนไม่ใช่คนที่นี่นะ” ยายนีพูดชวนคุย

“ผมเป็นคนที่นี่แหละครับ แต่ไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพ” เด็กหนุ่มตอบ

เพล้ง!

เสียงแก้วแตกทำให้ยายนีละสายตาจากเด็กหนุ่ม ยายนีเห็นว่าจอกแก้วในกะละมังแตกโดยไม่ทราบสาเหตุ ยายนีลุกไปดูและจัดการให้เรียบร้อย แล้วกลับมาดูอีกที เด้กหนุ่มหายไปแล้ว สุราขาวในจอกแก้วหายไปครึ่งหนึ่งแต่มะขามเปียกไม่มีร่องรอยการกิน และมีเงินเหรียญเป็นค่าสุราวางไว้บนโต๊ะ ยายนีเก็บเงินเก็บของแล้วกลับบ้านไปนอน ไม่รู้สึกสงสัยอะไรอีก