ถ้าหมอนข้างน้องกระต่ายขาดแบบนี้ คืนนี้จะนอนกอดอะไรล่ะ คุณช่างซ่อมตุ๊กตา... เอ๋ ทำไมถึงได้น่ารักจังเลยนะ?
ชาย-ชาย,รัก,ไทย,feel good,slice of life,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
กว่าที่คุณแม่จ๋าจะกลับมาถึงบ้านก็เกือบทุ่มของอีกวัน เนื่องจากตั๋วรถไฟที่ถูกซื้อเอาไว้ล่วงหน้าทำให้เธอต้องกลับบ้านตามเวลา ขนาดว่าไม่ไปทานข้าวเย็นกับเพื่อนแล้ว การกลับมาในครั้งนี้ก็ดูจะค่อนข้างช้าสำหรับลูกชายของเธอ
“สวัสดีครับแม่”
จุ๋นโผเข้ากอดแม่ทันทีหลังจากทักทายกัน และนั่นดูไม่ปกติสำหรับหญิงวัยกลางคนเอาเสียเลย เธอจึงจูงมือลูกที่สีหน้าหม่นหมองเข้าบ้าน เรียกให้มานั่งคุยกันที่โซฟาหน้าทีวี
“ไหน เป็นอะไรจุ๋นลูก”
“ทะเลาะกับหมีอะแม่”
“อ้าว ทะเลาะอะไรกัน”
เรื่องเมื่อวานตั้งแต่ที่จุ๋นไม่สบายถูกบอกออกมาจนหมด คนเป็นแม่ก็อยากจะต่อว่าที่ปิดบังเรื่องอาการป่วย แต่พอเห็นลูกซึมแล้วก็พูดไม่ออก เพราะเป็นเธอที่เห็นลูกมาตลอดตั้งแต่เรียนจบทำงาน ข้ามผ่านเวลาที่น่าเจ็บปวดมา
จุ๋นเรียนวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ อยู่ปีสามก็ต้องมาเจอว่าพ่อเสียไปอย่างกะทันหัน แม่จึงกลายเป็นเสาหลักของครอบครัว ตั้งใจทำงานหาเงินมาส่งลูก ไม่ยอมให้จุ๋นไปทำงานพิเศษเพราะกลัวผลการเรียนจะตก อยากให้เรียนดีๆ ได้ทำงานที่ดีๆ
แต่พอเรียนจบได้ทำงาน ก็ดันมีหัวหน้าใจร้ายที่ดุด่าว่ากล่าวจนสภาพจิตใจไม่ไหว ทนได้แค่ปีเดียวก็ต้องลาออกมา พอมายึดอาชีพซ่อมตุ๊กตานี้ เสียงนกเสียงกาก็ดังแว่วมาให้ได้ยินตลอดว่าแม่อุตส่าห์กัดฟันส่งแต่ก็ทำไม่ได้อย่างหวัง
ซึ่งในความจริงแม่ละความหวังนี้ตั้งแต่เห็นลูกร้องไห้ทุกวันแล้ว แต่จุ๋นนั้นเก็บมาคิดและตั้งใจทำงานหามรุ่งหามค่ำจนในที่สุดก็เป็นออฟฟิศซินโดรมขั้นรุนแรง พอต้องพักงานไปเกือบสองเดือนไม่มีรายได้จากตัวเอง คนก็ว่าเกาะแม่กินอีก จุ๋นจึงพยายามทั้งการทำงานและดูแลตัวเอง เพื่อลบคำสบประมาทเหล่านั้น
“แต่หมีก็บอกให้ไปจ้างเขาทำ ผมดูไม่มีค่าเลย”
ในช่วงที่เป็นออฟฟิศซินโดรม จุ๋นจมอยู่ในภาวะซึมเศร้าด้วย ยังดีที่ทั้งแม่และพี่อิ้งค์คอยช่วยเหลือดูแลจนดีขึ้น และยิ่งดีขึ้นไปอีกเมื่อทำงานได้คงที่และได้รับคำชมอย่างต่อเนื่อง จนถึงขั้นไม่ต้องกินยาอะไรแล้ว แต่แน่นอนว่าจุ๋นไม่สามารถสลัดความคิดด้านลบไปได้ทั้งหมด พอมีอะไรมากระตุ้น ก็กลับไปคิดมากอีก
“จุ๋นเอ๊ย แม่รู้นะว่าลูกอยากทำทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่ก็รู้ใช่มั้ยว่าชีวิตเรามันอยู่คนเดียวไม่ได้หรอก ความช่วยเหลือจากคนอื่นก็จำเป็น หมีเค้าก็พูดเพราะเป็นห่วงนะลูก”
“รู้อยู่หรอกแม่ แต่เรื่องที่ผมทำได้ มันไม่ได้เกี่ยวกับตุ๊กตาโดยตรงเลย”
“แต่การทำตุ๊กตาให้เป็นเอกลักษณ์ก็เป็นงานสำคัญนะ นึกภาพลูกค้าที่ซื้อตุ๊กตาแล้วได้ชุดที่เค้าต้องการสิ จะมีความสุขมากขนาดไหน ทางหมีเค้าวาดแล้วออกมาเป็นตุ๊กตาได้ก็อย่างนึง การสร้างชุดขึ้นมาได้ก็อย่างนึง คนเราต่างก็มีความสามารถหลากหลายเพื่อช่วยเหลือกันและกัน ลูกก็มีความสำคัญในแบบของลูกนะ”
จุ๋นน้ำตาซึมขณะที่แม่ลูบหัวปลอบใจ ค่อยๆ ไหลตัวเองลงไปเอนนอนลงตักแม่ ซึมซับความอบอุ่นที่เขารักมากที่สุด “ทำไมผมคิดอย่างนี้ทุกทีเลย แม่เหนื่อยมั้ยที่ต้องคอยปลอบ”
“ไม่เหนื่อยเลย เรามีกันสองคน คนหนึ่งเศร้าอีกคนก็ต้องปลอบสิ จุ๋นลูก เรื่องที่ผ่านมาให้มันผ่านไป คิดถึงมันได้แต่อย่าจมจ่อมกับมัน ตอนนี้จุ๋นเป็นนักซ่อมตุ๊กตาที่เก่งมากๆ แล้วก็กำลังจะเริ่มทางเดินเส้นใหม่ มีเพื่อนใหม่ที่หวังดีและเดินไปด้วยกัน นึกถึงอะไรดีๆ ในช่วงเวลานี้ไว้ดีกว่า”
“อื้ม จะพยายามนะแม่”
“แล้วนี่ตั้งแต่เมื่อวานไม่ได้คุยกับหมีเค้าเลยเหรอ”
“ตอบข้อความอยู่หรอก แต่พอตอบห้วนๆ หมีเค้าก็ไม่เซ้าซี้น่ะ”
หรือต้องเรียกว่าหมีไม่กล้าทักมาต่อแล้วมากกว่า เพราะเมื่อคืนพอหมีถามว่ากินยารึยัง จุ๋นก็ตอบเพียงกินแล้ว จะนอนแล้ว ตัดบทไปเฉยๆ เลย พอตอนเช้าหมีทักมาถามอาการ จุ๋นก็ตอบไปว่าหายแล้ว ไม่ต้องห่วง พอคิดดีๆ นี่มันตัดรอนกันชัดๆ หมีไม่ได้รู้ความรู้สึกด้านลบที่ก่อตัวจากการรวมเรื่องปัจจุบันเข้ากับประสบการณ์ในอดีตของเขาเสียหน่อย
“งั้นเดี๋ยวผมไปโทรหาหมีนะแม่”
“จ้าลูก เดี๋ยวแม่ไปอาบน้ำก่อน เดินทางมาตั้งไกล ทั้งฝุ่นทั้งเหงื่อเหม็นตัวเองแล้วเนี่ย”
“อะไร ยังหอมอยู่เลย” พูดจบก็หอมแก้มแม่ไปฟอดหนึ่ง แม่เองก็หอมลูกกลับ ผลัดกันชื่นใจ ก่อนจะแยกย้ายกัน จุ๋นเดินขึ้นห้องตัวเอง กดโทรศัพท์ออกหาหมี เพียงแค่ไม่กี่วินาทีปลายสายก็กดรับ
‘หวัดดีจุ๋น เป็นไงบ้าง’
พอหมีรับสายเร็วขนาดนั้นแถมยังถามอย่างเป็นห่วง จุ๋นก็รู้สึกผิดขึ้นมาอีก นี่เขาทำให้หมีต้องรอแล้วยังมาใจดีด้วยอีกเหรอ
“ขอโทษนะหมี ขอโทษที่เอาความหงุดหงิดมาลงที่หมี ขอโทษที่บอกให้หมีกลับห้อง ขอโทษที่ตอบแชทห้วนๆ ด้วย หมีคงรู้สึกไม่ดีใช่มั้ย”
‘อ่า...’ เสียงของหมีขาดไปช่วงหนึ่ง ทำให้จุ๋นแทบกลั้นหายใจ ‘ก็ตกใจ แล้วก็ไม่สบายใจจริงๆ แหละ แต่นั่นเพราะเราพูดไม่โอเคใช่มั้ย’
“ไม่เลย พอมาคิดแล้วที่หมีพูดมันก็จริง คือเราน่ะ เรียนวิศวะมาใช่มั้ย แต่พอจบแล้วไม่ได้ทำงานตามนั้นมันก็ผิดหวังกับตัวเอง เหมือนตัวเองไม่เก่ง ไม่ทน พอมาเรื่องนี้ เราก็คิดว่าเราไม่เก่งพออีก ความคิดของเราน่ะ…”
ถึงจุ๋นจะเคยเล่าเรื่องสมัยมหาวิทยาลัยให้หมีฟัง แต่ก็เล่าแค่เรื่องเพื่อน เรื่องคนมาจีบ แต่ไม่เคยเล่าถึงตอนที่ทำงานไม่ไหว ถึงอีกฝ่ายจะรู้ว่าตัวเขาเคยเป็นออฟฟิศซินโดรมอย่างหนัก แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอะไร การที่จะให้หมีเข้าใจความรู้สึกของเขาในตอนนี้ อีกคนก็ต้องรู้ที่มาที่ไปทั้งหมดด้วย จุ๋นจึงตัดสินใจเล่าทั้งหมดให้หมีฟัง
“เพราะงั้น พอหมีบอกให้ทำแค่เย็บเสื้อผ้า มันก็ตีขึ้นมาหมดเลย ความไม่เก่ง ความที่ทำไม่ได้อย่างที่หวัง ทั้งที่อยากจะมีแบรนด์ตุ๊กตา แต่กลับไม่ได้เย็บตุ๊กตาของตัวเองน่ะ…”
‘งั้นก็เย็บสิ’
“เอ๋” จุ๋นเริ่มงงขึ้นมา ไหนตอนแรกหมีบอกให้ไปจ้างเขาเย็บ มาตอนนี้บอกให้เย็บเอง หรือพอพูดไปแบบนั้นแล้วหมีก็สงสารเขากันนะ?
‘ถ้าเย็บสักสิบหรือยี่สิบตัวแล้วแจ้งว่าล็อตแรกได้ของแฮนด์เมดในเวลาหนึ่งเดือนก็น่าจะไม่เหนื่อยมากใช่มั้ยนะ เพราะว่าถ้าจ้างผลิตก็หลายเดือน คงมีคนอยากได้ของเร็วๆ อยู่แล้วแหละ’
“จริงด้วย” ตอนนี้จุ๋นเริ่มอยากเคาะหัวตัวเองขึ้นมานิดๆ ทั้งที่ตัวเองเป็นคนดื้อแพ่งระดับหนึ่งแท้ๆ แต่กลับคิดที่จะดื้อตรงนี้ไม่ออก นั่นสิ ถ้าอยากเย็บตุ๊กตาก็แค่เย็บขึ้นมาเท่านั้นเองนี่นา ความไม่มั่นใจตัวเองนี่น่ากลัวจริงๆ พอเกิดขึ้นมาในใจแล้วคิดวิธีแก้ไขปัญหาไม่ออกเลย
‘แล้วก็ ถึงจะไม่ได้เย็บตุ๊กตาเองก็ไม่มีใครคิดว่าจุ๋นไม่เก่งหรอกนะ เรื่องเปลี่ยนสายงานก็เหมือนกัน จุ๋นแค่โชคร้ายที่ไปเจอที่ไม่ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าจุ๋นไม่เก่งนี่ จริงๆ จุ๋นก็ยังทำงานสายเดิมได้ แต่เลือกมาทำงานนี้เพราะสบายใจกว่าใช่มั้ย การกล้าเลือกสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความสุขก็เป็นความเก่งอย่างหนึ่งนะ’
“แต่ตอนนั้นมีคนบอกว่าเราหนีปัญหาด้วยนะ”
‘ปัญหาที่จุ๋นทำงานไม่ไหวคืออะไรนะ หัวหน้าชอบด่าแรงๆ ใช่มั้ย ถึงไม่ได้ทำงานผิดอะไรก็หาจุดมาตำหนิแรงๆ แล้วจุ๋นแก้อะไรได้ล่ะ บอกหัวหน้าให้เลิกด่าก็ไม่ได้ ถอยมาตั้งหลักก็ถูกแล้วนี่ แล้วตอนตั้งหลักดันทำงานอื่นได้ดีจนหาเลี้ยงชีพได้นี่นา จะกลับไปเสี่ยงอีกทำไมล่ะ’
“จริงๆ แม่กับพี่อิ้งค์ แล้วก็หมอที่ดูแลเราตอนนั้นก็บอกแบบนี้แหละ เราเองก็เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่เราทำมันก็เป็นการแก้ปัญหาแบบนึง แต่เราก็สลัดคำพูดแย่ๆ ของคนอื่นไม่ออกสักที”
พูดแล้วก็ถอนหายใจ จุ๋นเองก็เบื่อเหมือนกันกับความคิดแง่ลบของตัวเอง พอถึงตอนนี้แล้วก็เริ่มกลัวขึ้นมาด้วยถึงแม่กับพี่อิ้งค์ที่อยู่ด้วยกันมาตลอดจะเข้าใจ แต่คนที่รู้จักกันได้ไม่นานอย่างหมีจะเข้าใจรึเปล่า ถึงพวกเขาจะชอบกันอยู่ก็เถอะ
‘แต่จุ๋นก็ไม่ได้คิดถึงมันอยู่ตลอดใช่มั้ย’
“ไม่ได้คิดหรอก แค่เวลามีอะไรมากระตุ้น อ๊ะ เราไม่ได้ว่าหมีนะ เราแค่ เอ่อ...”
‘ว่าเรามาเถอะ ก็นี่ไง ใจเราก็เหมือนร่างกายแหละ เราเจอฝุ่นเราก็ไอก็จามใช่มั้ย ใจก็เหมือนกัน เจอคำพูดกระตุ้นมันก็คิดด้านลบกันได้ ไม่เป็นไรเลยจุ๋น ก็เหมือนเราหายหวัด ใช่ว่าเราจะกลับไปเป็นอีกไม่ได้ แต่เป็นได้ก็หายได้ จุ๋นรู้ดีอยู่แล้วใช่มั้ย’
“อื้อ เรารู้ว่าหายได้เวลาเราได้ยินแม่ปลอบ หรือพี่อิ้งค์ก็ได้ แต่เมื่อวานเราโทรหาพี่อิ้งค์แล้วเค้าปิดคลินิกไปเที่ยวอยู่ ไม่อยากให้เสียบรรยากาศ เราถึงได้รอแม่กลับมา แต่ก็คงช้าไปหน่อย ตั้งแต่ให้หมีกลับไป เราทำงานแทบไม่ได้เลย จริงๆ แล้ว เราควรจะบอกหมีตั้งแต่แรกว่าเรารู้สึกยังไง จะได้ช่วยกันแก้ไข”
‘งั้นเรามาเริ่มใหม่กันนะ เราขอโทษที่พูดอะไรทำร้ายใจจุ๋น ครั้งหน้าบอกเราเลยนะ นี่จุ๋น... เราน่ะ ตั้งใจอยากทำความรู้จักจุ๋นให้มากขึ้น ในทุกๆ ด้านของจุ๋น เพราะงั้นถ้าจุ๋นเปิดใจให้เราเพิ่มขึ้นอีก เราจะดีใจมากเลย’
น้ำตาที่เหือดหายไปเริ่มเอ่อขึ้นมาอีกครั้ง จุ๋นคิดว่าตัวเองโชคดีเสียจริง ตั้งแต่เป็นอย่างนี้จุ๋นก็มีแค่แม่กับพี่อิ้งค์ เพราะการไปคุยกับเพื่อนที่ไปได้ดีเรื่องงานนั้นทำให้กลับมาคิดเปรียบเทียบและไม่สบายใจ ทำให้ต้องห่างเพื่อนไปช่วงหนึ่ง เพิ่งได้กลับมาคุยกันเรื่องทั่วไปไม่นานนี้เอง
พอมาตอนนี้ การที่ได้ทำความรู้จักคนอีกคนหนึ่ง ได้ชอบเขา แล้วเขาเข้าใจนี่ มันช่างดีจนหาคำพูดไม่ได้เลย
“ขอบคุณมากนะหมี แล้วเวลาที่หมีมีเรื่องไม่โอเค ก็มาคุยกับเราได้เสมอนะ”
‘แน่นอนเลยจุ๋น’
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนหน้าของจุ๋น และของหมีด้วยเช่นกัน แม้จะไม่ได้เห็นหน้ากันแต่ทั้งสองคนก็รับรู้ถึงบรรยากาศที่สบายใจขึ้น การทะเลาะกันครั้งแรกของพวกเขาจบลงเสียที
บ้านที่ไม่ได้มาเพียงแค่วันเดียวแต่ช่างนานในความรู้สึกของหมี ทีแรกเขากะว่าจะมาช่วงบ่ายเหมือนเดิม แต่พอได้คุยกับจุ๋นเมื่อคืนก็ยิ่งอยากเจอ ไปๆ มาๆ ก็เลยขอมาตั้งแต่ช่วงเช้าเลยแล้วกัน แต่เช้าของหมีก็ประมาณสิบโมงนั่นแหละนะ
เพียงแค่จักรยานมาจอดหน้าบ้าน จากที่ปกติจะต้องกดออด แต่วันนี้จุ๋นออกมารับโดยไม่ต้องเรียกเลยทีเดียว พวกเขาต่างยิ้มเขินๆ ให้กัน ในขณะที่จุ๋นเปิดประตูรั้วให้หมีนำจักรยานมาจอดในรั้วบ้าน จากนั้นจึงเดินนำเข้าไปที่ห้องทำงานของพวกเขา หลังจากหมีวางกระเป๋าลงกับโต๊ะ จุ๋นก็กวักมือเรียกให้เข้ามาใกล้ๆ
“หมีมานี่”
ถึงจะงงๆ แต่หมีก็เดินเข้าไปใกล้ นึกว่าจุ๋นมีเรื่องอะไรจะพูด แต่อีกฝ่ายกลับโถมตัวเข้ากอดเสียอย่างนั้น ร่างกายของคนถูกจู่โจมเกร็งไปทุกส่วน มือไม้ของเขาสั่น ไม่รู้จะวางไว้ตรงไหนดี ทั้งที่จุ๋นกอดเอวหมี ซบหน้าลงกับไหล่จนตัวพวกเขาแนบสนิทแล้ว
“รู้สึก… คิดถึงหมีจัง”
“อ่า... เอ่อ.. เราก็คิดถึงจุ๋นนะ แต่..”
“ไม่อยากกอดเราเหรอ”
พอจุ๋นผละหน้าออกมามองตาแป๋วแบบนั้น ใจหมีก็ละลาย เขาไม่กล้าสบตาจุ๋นเลยเลือกเบี่ยงหน้าลงกับไหล่อีกฝ่าย ยกแขนสองหลังโอบหลังหลวมๆ ก่อนจะค่อยๆ ชิดขึ้น
“จะไม่อยากกอดได้ไง แต่เราเขิน คิดยังไงมากอดเนี่ย”
“เพราะเราอ่อนไหวมั้ง หรือถ้าเราไม่อ่อนไหว หมีจะไม่ยอมกอดเราเหรอ”
“ไม่.. ไม่สิ จุ๋นมากอดเราได้ตลอดแหละ”
“งั้นขออยู่อย่างนี้สักพักนะ”
ในเมื่อจุ๋นขอมาอย่างนั้นหมีจะขัดอะไรได้ เขาค่อยๆ ผ่อนคลายตัวเองลงแล้วกอดจุ๋นให้แน่นขึ้น พลางคิดว่าฟ้าหลังฝนมันช่างสวยงามจริงๆ ทั้งการคุยเมื่อคืน หรือการอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันในตอนนี้ แต่ถึงการคืนดีหลังการทะเลาะสวยงาม ถ้าเลือกได้ ในอนาคตเขาไม่อยากทะเลาะกับจุ๋นเลย
ก็หวังว่าพวกเราจะเรียนรู้กันไปได้เรื่อยๆ ล่ะนะ…
คุณแม่จ๋าที่ขึ้นไปหาของบนชั้นสองเดินลงมาข้างล่าง จะไปนั่งหน้าทีวีซึ่งเป็นมุมทำงานของเธอ ก็คิดสงสัยขึ้นมาว่าทำไมประตูห้องทำงานของจุ๋นถึงงับเข้ามาจนเกือบสนิทอย่างนั้น
ปกติในห้องนี้จะเปิดพัดลมและหน้าต่าง และเพื่อให้ลมผ่านเข้าออกดีขึ้นจึงเปิดประตูไว้ด้วย เธอกลัวลูกชายจะร้อนจึงตั้งใจจะไปเปิดประตูให้ แต่เมื่อจับลูกบิดแล้วมองผ่านช่องว่างเล็กๆ เข้าไปข้างใน เธอก็ต้องตกใจ
จุ๋นกับหมีกำลังกอดกันอย่างแนบแน่น และเสี้ยวหน้าของลูกชายเธอที่ซบลงกับไหล่หมีก็ประดับไปด้วยรอยยิ้ม ภาพที่เห็นทำให้เท้าของเธอก้าวถอยหลังอัตโนมัติ ในหัวเอาแต่ครุ่นคิดว่าพวกเขากอดกันทำไม ถึงจะเป็นเหตุการณ์หลังทะเลาะกัน เธอยังไม่เคยเห็นเพื่อนผู้ชายกอดไปยิ้มไปอย่างนี้เลย
สองคนนี้นี่.. ยังไงกันแน่นะ?