ถ้าหมอนข้างน้องกระต่ายขาดแบบนี้ คืนนี้จะนอนกอดอะไรล่ะ คุณช่างซ่อมตุ๊กตา... เอ๋ ทำไมถึงได้น่ารักจังเลยนะ?
ชาย-ชาย,รัก,ไทย,feel good,slice of life,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
วันนี้กินข้าวเช้าเร็ว ใกล้ๆ เที่ยงหมีจึงเริ่มหิวขึ้นมาเสียแล้ว เขาคิดไว้ว่าอีกไม่นานจุ๋นคงจะตื่นขึ้นมา จึงคิดว่าควรไปทั้งอุ่นโจ๊กให้คนป่วยและทำอาหารให้ตัวเองด้วย
มื้อเย็นหลายมื้อที่ผ่านมาหมีได้เป็นลูกมือของคุณแม่จ๋า จึงพอจะสบายใจกับการใช้เครื่องครัวในบ้านหลังนี้ ยิ่งของในตู้เย็นยังมีอยู่ด้วย หมีจึงทำข้าวผัดหมูสับง่ายๆ ให้ตัวเองทาน ทำเสร็จแล้วจึงค่อยอุ่นโจ๊ก ก่อนหาถาดใส่อาหารทั้งสองอย่างขึ้นไปข้างบน
“หมี…”
เสียงของจุ๋นที่ดังออกมาขณะที่หมีวางถาดลงแล้วเปิดประตูนั้นดูแหบและอ้อแอ้เล็กน้อย พอมองหน้าก็เห็นกำลังขยี้ตาอยู่ คงกำลังเพิ่งตื่นพอดี อาจจะตื่นจากเสียงเปิดประตูของผู้ที่เพิ่งเข้ามาก็ได้
“ตื่นตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย”
“เมื่อกี้ ตื่นมาแล้วไม่เจอ แต่หมีก็เปิดประตูพอดี”
“หิวรึยัง มากินข้าวนะ”
หมีเคลียร์โต๊ะที่วางไอแพดของตัวเองไว้อยู่ให้มีที่กินข้าว ก่อนจะประคองจุ๋นมานั่งที่โต๊ะ แตะหน้าผากวัดไข้ไปทีแล้วก็โล่งใจมากขึ้นที่ไข้ลดลงแล้ว เพียงแค่กินข้าวกินยา นอนอีกตื่นก็คงหายสนิท
“อ้าว แล้วหมีจะนั่งตรงไหน” จุ๋นถามขึ้นมาเมื่อนึกได้ว่าห้องตัวเองมีเก้าอี้ทำงานอยู่เพียงตัวเดียว ในเมื่อเขาได้นั่งหมีก็จะไม่ได้นั่ง แต่คนแข็งแรงก็ยิ้มแล้วบอกว่าไม่เป็นไร
“เรายืนกินก็ได้ แป๊บเดียว”
“ขอโทษนะหมี ชั้นบนนี่มีแค่เก้าอี้ของเราด้วยสิ ให้เรารีบกินมั้ยหมีจะได้นั่งดีๆ”
“ไม่เป็นไรจริงๆ จุ๋นค่อยๆ กินเถอะ”
“ข้าวผัดของหมีน่ากินอะ” จุ๋นพูดแล้วจ้องที่ถ้วยข้าวผัดสลับกับหน้าของหมี ตาแป๋วๆ ของคนป่วยทำเอาใจคนมองสั่นไหว แต่ก็ใจแข็งยกถ้วยข้าวหนีไม่ให้มอง
“ไม่ได้หรอก มันมีน้ำมันเดี๋ยวจุ๋นระคายคอ”
“เราเป็นไข้ไม่ได้ไอสักหน่อยนะ... น้า”
พูดด้วยเสียงอ้อนๆ แบบนั้น ไม่สิ แถมยังอ้าปากอีก สุดท้ายหมีก็ทนลูกอ้อนไม่ไหว หยิบช้อนของจุ๋นมาตักข้าวของตัวเองป้อนคนขี้อ้อนไปคำหนึ่ง
“ออบอุนนะ”
พอเห็นจุ๋นเคี้ยวตุ้ยๆ แก้มป่องอย่างมีความสุขแบบนั้นหมีก็พลอยยิ้มออกไปด้วย ปกติเขาก็คิดว่าคนตรงหน้าเป็นคนที่กินได้น่ารักอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ค่อยได้มองมากนักเพราะส่วนใหญ่มื้ออาหารของพวกเขาจะมีคุณแม่จ๋าอยู่ด้วย หรือเมื่อเช้ากินข้าวกันสองคนก็จริงแต่จุ๋นก็ยังดูป่วยมากอยู่เลยมองอย่างเป็นห่วงมากกว่ามองอย่างรักใคร่ ตอนนี้อีกคนกินได้คล่องแล้วหมีจึงสบายใจ เลยเผลอมองอย่างไม่เกรงใจไปด้วย
“มีอะไรเหรอ เรากินเลอะตรงไหนหรือไง”
“เปล่า แค่น่ารักน่ะ”
พอได้ยินอย่างนั้นจุ๋นก็เอื้อมมือกะตีคนปากหวานไปที แต่หมีเอี้ยวตัวหลบได้ก่อน คนพูดเองก็ตกใจที่ตัวเองเอ่ยไปแบบนั้น แต่พอเห็นจุ๋นตีทั้งอมยิ้มแบบนั้นก็คิดว่าดีแล้วที่พูดออกไป อย่างที่เคยคิดไว้ เขาควรจะทำให้อีกฝ่ายเขินมากกว่านี้
ไม่นานพวกเขาต่างก็กินอาหารส่วนของตัวเองจนหมด โจ๊กของจุ๋นเหลือเกินครึ่งจากเมื่อเช้าก็จริงแต่ก็นับว่าปริมาณน้อยอยู่ หมีจึงถามว่าอยากกินอะไรเพิ่มมั้ย แต่อีกฝ่ายไม่เอา จึงกินยาแล้วกลับไปนั่งที่เตียง เล่นมือถือรอขณะที่หมีเอาจานชามไปล้างที่ชั้นล่าง
แต่พออยู่กับมือถือแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปดูข้อความที่แจ้งลูกค้าไปแล้วยังไม่ได้ตอบเพิ่มเติม คนที่เข้าใจก็ขอบคุณและขอโทษ คนที่ไม่เข้าใจก็ขอโทษซ้ำ ไม่มีใครทักอะไรต่อแล้ว จากนั้นจุ๋นจึงเข้าไปที่เพจเฟซบุ๊กของหมี ที่คิดว่าเจ้าของเพจคงแจ้งเรื่องตุ๊กตาต้นกล้าที่นั่น พออ่านแล้วก็ห่อเหี่ยวอีกครั้ง แม้จะเป็นข้อความด้านลบไม่กี่ข้อความ
“จุ๋น เป็นอะไร จะอ้วกรึเปล่า” หมีเปิดประตูเข้ามาขณะที่จุ๋นกอดเข่าซุกหน้าถอนหายใจพอดี แต่หมีไม่รู้และนึกว่าคนป่วยจะอาเจียน จึงรีบปรี่เข้าไปหา
“หือ เปล่าๆ เราแค่... เฮ้อ อ่านข้อความในเพจหมีแล้วเก็เศร้า”
“อ๋อ อย่าไปสนใจเลย ยิ่งเครียดยิ่งหายช้านะ”
“ก็รู้อยู่แหละ แต่ก็ เฮ้อ...”
“ไม่เป็นไร ครั้งนี้ก็แล้วไป ครั้งหน้า อย่างไข่ตุ๋นเนี่ย พอจ้างเค้าผลิตแล้วจุ๋นก็จะไม่เหนื่อย แล้วก็ควบคุมเวลาได้ด้วยเนอะ”
หมีคิดว่าตัวเองเพิ่งพูดสิ่งที่ธรรมดาสุดๆ ไป ถึงจะไม่ได้ให้กำลังใจจนน่าซาบซึ้ง แต่หมีก็ไม่คิดว่าจุ๋นจะมองมาด้วยสีหน้าตกใจอย่างนี้ ราวกับตัวเขาเพิ่งทำอะไรผิดไป
“ทำไมเหรอจุ๋น”
“หมีจะให้… เราจ้างผลิตไข่ตุ๋นเหรอ”
ถึงตอนนี้หมีก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจุ๋นถึงทำหน้าเหมือนโลกจะแตกแบบนั้น แค่จ้างผลิตไข่ตุ๋น มันก็เป็นเรื่องปกติที่คนทำตุ๊กตาเขาทำกันไม่ใช่หรือไง?
“ก็... ใช่สิ จุ๋นจะเย็บเองได้ยังไงล่ะ”
“เราซ่อมตุ๊กตามาตลอด เย็บต้นกล้าก็เย็บได้ หมีก็เห็น”
“ต้นกล้ามันจำนวนน้อยไง แต่ถ้าจุ๋นจะทำไข่ตุ๋น เป็นร้อยตัวอย่างนี้จะเย็บไหวเหรอ”
“แล้วฝีมือเย็บผ้าของเราจะมีความหมายอะไรล่ะ”
ราวกับมีหลอดไฟสว่างขึ้นอยู่บนหัวของหมี พอได้ยินคำพูดอย่างอย่างนี้ก็พอจะเข้าใจแล้ว จุ๋นที่ซ่อมตุ๊กตาเลี้ยงชีพมาตลอด มั่นใจในฝีมือ ถ้าจะให้คนอื่นทำให้ก็เหมือนว่าไม่ได้ใช้ฝีมือของตัวเอง แต่ถ้ารอบแรกขายได้เป็นร้อยตัว แล้วถ้าขายดีต้องผลิตเพิ่มอีก ยังไงก็ไม่ไหวไม่ใช่รึไงกัน
เอายังไงดี ความคิดในหัวหมีเริ่มตีกันเสียแล้ว เข้าใจจุ๋นก็เข้าใจ แต่ในแง่ของการผลิตแล้วมันใช้แรงคนๆ เดียวไม่ได้ เหมือนกับการ์ตูนของเขา ใช่ เหมือนกับการ์ตูนยังไงล่ะ
“ไม่ๆ เหมือนการ์ตูนเราไงจุ๋น เราวาดแล้วก็ส่งโรงพิมพ์ เพราะเราวาดเป็นร้อยๆ เล่มไม่ไหว มันก็เหมือนกับตุ๊กตาของจุ๋นไง ที่ต้องให้โรงงานเขาช่วย”
จุ๋นส่ายหน้า “ไม่เหมือน การ์ตูนของหมี หมีวาดเป็นต้นแบบ แต่ตุ๊กตาไข่ตุ๋นเนี่ย หมีก็เป็นคนออกแบบ แล้วถ้าเราไปจ้างเขาผลิต จะมีเราไว้ทำไมล่ะ”
หมีนิ่งอึ้ง
อยากจะตีปากตัวเองชะมัด ทั้งที่คิดได้แล้วว่าพ้อยต์คือจุ๋นอยากแสดงฝีมือในงานตัวเอง แต่ก็ดันพูดในสิ่งที่ละจากฝีมือของจุ๋นไปทั้งหมด เอาไงดี ยิ่งตอนนี้คนตรงหน้าดาวน์เพราะอ่านคอมเมนต์แย่ๆ มาด้วย ตอนนี้ยังไม่ยอมมองหน้าหมีเลยด้วยซ้ำ
อะไรที่จะทำให้จุ๋นได้ใช้ฝีมือ…
“ต้นกล้า... ทำเหมือนต้นกล้าได้มั้ยจุ๋น”
“ยังไงนะ”
“ก็เปิดรีเควสให้ลูกค้าขอสิ่งเฉพาะตัวมาไง อาจจะเป็นเสื้อผ้าก็ได้ อย่างจ้างเขาผลิตตุ๊กตาตัวเปล่า แต่จุ๋นเย็บเสื้อผ้าเครื่องประดับตามรีเควสของลูกค้า จุ๋นเย็บเสื้อผ้าเป็นอยู่แล้วใช่มั้ย”
“อื้อ…”
“นั่นไง ช่วงผลิตตุ๊กตามันหลายเดือนอยู่แล้ว จุ๋นก็เปิดให้ลูกค้ารีเควสเสื้อผ้าเข้ามา แบบซื้อตุ๊กตาแถมหนึ่งชุดรีเควสได้ ระหว่างช่วงนั้นจุ๋นก็เย็บได้ทันเวลาตุ๊กตาผลิต ได้ส่งให้ลูกค้าพร้อมกันพอดี แล้วทีนี้พอเค้ารู้ว่าตุ๊กตาใส่เสื้อผ้า ก็รับผลิตเสื้อผ้าตุ๊กตาตามรีเควสไปอีก เหมือนพวกตุ๊กตาของศิลปินเกาหลีน่ะ ไม่รู้จุ๋นเคยเห็นรึเปล่า เค้ามีผลิตเสื้อผ้าเป็นล่ำเป็นสันเลยนะ เอ้อ เผลอๆ ได้รับรีเควสจากลูกค้ากลุ่มนี้ได้อีก เพิ่มฐานลูกค้าอีกนะ แบบนี้... จะดีมั้ย”
พูดยืดยาวพยายามโน้มน้าวเต็มที่ แล้วก็เหมือนจะได้ผล.. มั้ยนะ ในเมื่อตอนนี้จุ๋นเงยหน้าขึ้นมามองหนากันแล้ว ถึงจะกำลังขมวดคิ้วอยู่ก็เถอะ คงกำลังคิดตามอยู่ล่ะมั้ง
“เรา... ไม่รู้ ง่วงแล้ว ขอนอนก่อนนะ”
พูดจบก็ไถตัวเข้าผ้าห่มไป พลิกตัวหันหน้าเข้ากำแพง หมีเข้าใจว่าจุ๋นต้องการเวลาส่วนตัวจึงไม่เซ้าซี้ และผละกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานตามเดิม กังวลตามจุ๋นก็กังวล แต่งานก็ต้องเดินหน้าต่อไป
ในขณะเดียวกันนั้นจุ๋นก็ยังไม่ได้หลับ ยังนอนลืมตาฟังเสียงลากและกดเม้าส์ปากกาของหมีอยู่เรื่อยๆ เขาครุ่นคิดในใจ วิธีของหมีก็ใช่ว่าจะไม่ดี แต่เขาก็ไม่ได้รับผิดชอบตัวตุ๊กตาที่เป็นสินค้าหลักของแบรนด์อยู่ดี แล้วอย่างนี้จะได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของตุ๊กตาหรือ พูดได้ไม่เต็มปากเลย
นึกอิจฉาหมีอยู่เหมือนกัน หมีนั้นสร้างสรรค์งานจากจินตนาการตัวเองออกมาได้หลากหลาย ในขณะที่จุ๋นทำได้แค่ต่อเติมจินตนาการของคนอื่นเท่านั้น
น่าเศร้าเสียจริง…
ระหว่างที่ในหัวคิดไปมากมาย ก็เผอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ พอรู้สึกตัวตื่นก็ได้ยินเสียงท้องร้องประท้วงทันที จุ๋นลูบท้องที่ตอนนี้ว่างเปล่าของตน ลุกขึ้นนั่งมองคนเฝ้าไข้ที่ยังนั่งอยู่กับที่ตามเดิม ซึ่งพอได้ยินเสียงกุกกักจากการขยับตัวของจุ๋น หมีก็หันมาทันที
“ตื่นแล้วเหรอ เป็นไงบ้าง”
จุ๋นไม่รอให้หมีเอามือมาแตะหน้าผาก เขาแตะตัวเองไปก่อนแล้ว ทั้งหน้าผากและคอที่ตอนนี้เย็นขึ้นมาเท่าอุณหภูมิปกติ แถมหัวก็ไม่หนักแล้วด้วย ดีใจที่หายไข้สักที
“เหมือนจะหายแล้วล่ะ”
“งั้นเหรอ”
หมียิ้มอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินอย่างนั้น แต่จุ๋นไม่ยิ้มด้วย สีหน้าของเขาเรียบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ ซึ่งอันที่จริงต้องบอกว่ากำลังสะกดอารมณ์อยู่มากกว่า ทั้งหิวก็หิว แถมพอเห็นหน้าหมี ทั้งคอมเมนต์ไม่ดีทั้งเรื่องตุ๊กตาก็ไหลกลับเข้ามาในหัวหมดเลย ถึงจะรู้ว่าคนตรงหน้าก็พยายามหาทางออกให้ แต่ก็ยังสลัดความคิดที่ว่าตัวเองไม่มีประโยชน์ไม่พ้นจนหงุดหงิด แล้วก็พาลเสียด้วย
“หิวมั้ย กินอะไรรึเปล่า”
“ไม่หรอก” จุ๋นโกหกขณะเดินเข้าไปใกล้หมี “ตอนนี้ หมีกลับไปก่อนได้มั้ย”
ฟังทั้งน้ำเสียงและดูสีหน้าที่จริงจังแบบนั้น หมีคิดว่าตัวเองคงโดนโกรธให้แล้ว บางทีที่พูดๆ ไปอาจจะไม่ถูกใจหรืออะไร อยากจะแก้ไขแต่ในตอนนี้ก็คิดอะไรที่ดีกว่าไม่ออก มิหนำซ้ำ จุ๋นออกปากอย่างนี้แล้ว จะขอตื๊ออยู่ก็คงจะเกินไปหน่อย
“งั้นก็... ตอนเย็นจุ๋นอย่าลืมกินยาอีกรอบนะ แล้วถ้ายังไงจะโทรเรียกเราก็ได้”
“ขอบคุณนะ”
“อื้อ บ๊ายบาย”
จุ๋นไม่ได้ออกไปส่งหมีด้วยซ้ำ ได้แต่มองแผ่นหลังของอีกคนออกนอกประตูไป เมื่อประตูปิดลง จุ๋นจึงได้ทรุดนั่งลงกับเตียง ถอนหายใจให้กับอารมณ์ที่ว้าวุ่นของตน นึกโทษตัวเองว่าหมีอุตส่าห์เป็นห่วงมาดูแลหลายอย่าง แต่ตัวเองกลับติดหล่มอารมณ์จนอาจจะทำให้หมีเจ็บปวดไปด้วยได้
“ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้นะเรา” จุ๋นพึมพำกับตัวเองแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากด โทรออกหาแม่ที่ตอนนี้คงเที่ยวสนุกอยู่
“แม่กลับกี่โมงอะพรุ่งนี้ มาเร็วๆ นะ”
หมีปั่นจักรยานกลับอะพาร์ตเมนต์อย่างใจลอย ถนนหนทางนี่ไม่ได้ดูนักหรอก เอาแต่คิดว่าทำให้จุ๋นไม่พอใจเข้าให้แล้ว จะทำยังไงให้กลับมาคุยกันดีๆ เหมือนเดิม พวกเขาคงไม่ต้องห่างกันไปอย่างนี้ใช่ไหม
จะปั่นไปบ้านปั้นเพื่อหาที่พึ่งที่อยู่ใกล้ที่สุดก็คิดได้ว่าเวลาแบบนี้เพื่อนของตนคงกำลังทำงานอยู่ ถึงโทรไปก็คงไม่ว่างคุย แต่ในตอนนี้ตัวเขาต้องการคุยกับใครสักคนมาก แล้วเพื่อนที่รู้เรื่องเป็นเกย์ก็มีแค่ปั้น
แต่พอจอดจักรยานหน้าอะพาร์ตเมนต์หมีก็นึกออกขึ้นมา คนที่รู้เรื่องเพศสภาพของเขานอกจากปั้นก็พ่อแม่ของเขาเองอย่างไรเล่า เพราะเรื่องรักๆ ใคร่ๆ นี่เป็นเรื่องน่าเขินจนไม่กล้าคุยกับพ่อแม่จึงไม่เคยบอกเลยว่าหลงรักใครบางคนเข้าให้แล้ว
ถึงอย่างนั้น จะช้าจะเร็ว สักวันหนึ่งพ่อแม่ก็ต้องรู้อยู่ดี บอกไปวันนี้เลยจะดีกว่า พอหมีเดินกลับถึงห้อง วางกระเป๋าลงแล้วจึงโทรออกทันที
“หวัดดีแม่”
‘เกิดอะไรขึ้น’
หมีหลุดขำเมื่อแม่ถามแบบนั้นออกมาแทนที่จะทักทายกัน น้ำเสียงของแม่ดูตกใจมาก ก็คงจะอย่างนั้น ในเมื่อหมีเป็นคนที่ค่อนข้างเป๊ะในเรื่องเวลาการทำงาน เขาก็กำหนดกระทั่งเวลาติดต่อพ่อแม่ โดยจะโทรหาอาทิตย์ละครั้ง วันอาทิตย์ช่วงหัวค่ำ พอผิดทั้งวันผิดทั้งเวลา แม่จะตกใจก็ไม่แปลก
“หมีมีเรื่องจะเล่าให้ฟังแหละ”
ใช้เวลานานทีเดียวกว่าหมีจะเล่าเรื่องตั้งแต่แรกจนถึงวันนี้ให้แม่และพ่อที่เข้ามานั่งฟังด้วยฟังทั้งหมด ทีแรกพ่อแม่ก็แซวอยู่หรอก แต่พอหมีพูดถึงเรื่องวันนี้แล้วก็เงียบลงตั้งใจฟังกันเป็นอย่างดี เป็นอีกครั้งที่หมีดีใจที่เกิดมาในครอบครัวนี้
‘อันนี้แม่เดา แต่น้องจุ๋นเค้าน่าจะเคยเรียนอะไรที่ไม่ตรงกับงานตอนนี้มาเลยรึเปล่า’
“ไม่รู้เลยอะแม่ ยังไม่เคยถามเลยว่าจุ๋นเรียนอะไรมา เค้าก็ไม่เคยเล่า”
‘เฮ้อ ลูกคนนี้… นั่นแหละ แม่ว่าเค้าคงพยายามมากเพื่อที่จะพิสูจน์ฝีมือในตอนนี้ พอมีคนบอกไม่ให้ทำเอง100%เค้าเลยไม่โอเค’
“หมีก็คิดงั้นแหละ” เรื่องที่แม่พูดก็เป็นสิ่งที่หมีพอจะคิดได้ ถึงจะไม่เคยถามจุ๋นตรงๆ ก็เถอะ แต่ปัญหาในตอนนี้ที่กวนใจหมีอีกอย่างคือ ที่เขาบอกจุ๋นไปนั้นเขาผิดรึเปล่า
‘ในแง่การทำงานแม่ว่าถูกนะ เพียงแต่มันขัดกับความเชื่อของคนฟัง เราต้องให้เวลาเค้านิดนึง หมีบอกแม่ว่าน้องจุ๋นเป็นคนใจดีใช่มั้ย ตอนนี้เค้าก็อาจจะเสียใจที่ให้หมีกลับมาก็ได้ หมีเองก็เสียใจได้ งงได้ แต่พอเขาใจเย็นลงแล้วก็ลองคุยกันดีๆ นะลูก’
“หมีกลัวว่าเค้าจะไม่อยากคุยกับหมีแล้ว”
‘โธ่ลูกเอ๊ย’ คนเป็นแม่ได้ยินลูกพูดเสียงอ่อยก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ‘ยังไงคืนนี้ลองส่งข้อความไปถามสิ แค่กินยารึยังก็ได้ แต่แม่ว่าเค้าไม่ได้โกรธหมีหรอก อาจจะยังสับสนอยู่เฉยๆ
“แม่ว่างั้นเหรอ”
‘อื้ม วันนี้ถ้าคิดว่าทำงานไม่ไหวก็พักก่อนก็ได้นะลูก ใช่มั้ยพ่อ’
พ่อส่งเสียงใช่ๆ เข้ามาในสายและนั่นทำให้หมียิ้มออกมา ในบ้านของหมี แม่จะพูดเก่งกว่าพ่อ แต่ก็เป็นคนอบอุ่นทั้งคู่ พอได้เล่าให้พ่อแม่ฟังแล้วหมีก็พอสบายใจขึ้นมาบ้าง
“หมีทำงานไหวอยู่แล้ว ขอบคุณแม่กะพ่อมากน้า”
แม่ตอบรับคำว่าจ้าเสียงใสเข้ามาก่อนจะบ๊ายบายกัน ถึงจะยังมีความขุ่นในใจแต่หมีก็มีแรงทำงานต่อไหวแล้ว เขาจึงพยายามโฟกัสที่งานก่อน เดดไลน์ก็ใกล้เข้ามาแล้วด้วยสิ เดี๋ยวคืนนี้ค่อยส่งข้อความหาจุ๋นอีกทีอย่างที่แม่ว่าแล้วกัน ก็หวังว่าอีกฝ่ายจะตอบนะ…