ถ้าหมอนข้างน้องกระต่ายขาดแบบนี้ คืนนี้จะนอนกอดอะไรล่ะ คุณช่างซ่อมตุ๊กตา... เอ๋ ทำไมถึงได้น่ารักจังเลยนะ?
ชาย-ชาย,รัก,ไทย,feel good,slice of life,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมีถ้าหมอนข้างน้องกระต่ายขาดแบบนี้ คืนนี้จะนอนกอดอะไรล่ะ คุณช่างซ่อมตุ๊กตา... เอ๋ ทำไมถึงได้น่ารักจังเลยนะ?
“ฮ้าววว”
“มึงเลิกหาวได้มั้ย กูรู้สึกผิดจะแย่แล้วเนี่ย”
“มันห้ามได้รึไงวะ”
เสียงถกเถียงระหว่างหมีกับปั้นดังขึ้นขณะที่เพื่อนสนิทมาช่วยขนของเพื่อจัดวางที่บูธ เพราะปั้นมีงานเช้า หมีจึงขอร้องอีกฝ่ายเช้ากว่านั้นอีกเพื่อให้มาช่วยตน ก็ถ้ามีแค่คนเดียว จะขนของทั้งหมดมาที่บูธได้อย่างไร
“กูก็บอกแล้วให้บอกจุ๋นเค้า มึงนี่นะ” ปั้นถอนหายใจพร้อมส่งสายตาอาฆาต ด้วยงานของตัวเขาที่ต้องนอนดึกแล้ว ยังต้องมาช่วยหมีทั้งที่นอนไม่พออีก
“มึงบ่นกูรอบที่ห้าแล้วเพื่อน”
หมีเถียงไม่ได้จึงได้แต่พูดเสียงจ๋อยๆ ก็จะให้ชวนจุ๋นมาได้ยังไง แค่ช่วยแพ็กของก็เกรงใจจะแย่ แล้วพอเขานัดทางไปรษณีย์มารับของได้ อีกคนก็มาช่วยขนของลงไปชั้นล่างให้ จะให้มาช่วยงานวันนี้อีกก็เกินไปแล้ว
ปั้นแค่มาช่วยขนของ แล้วต้องรีบกลับไปทำงานเลย หมีจึงต้องจัดการที่เหลือคนเดียว และนั่งขายของคนเดียวในวันนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้หลายวันหมีก็ได้เช็กว่าบูธข้างๆ เป็นใครแล้วติดต่อไปเพื่อขอความช่วยเหลือระหว่างที่ตนไปห้องน้ำ ส่วนเรื่องอาหาร หมีซื้อข้าวกล่องเตรียมมาไว้แล้ว ไม่ต้องห่วงว่าจะทิ้งบูธนานเลย
“กลับแล้วนะมึง”
“เดินทางดีๆ ขอบใจมาก”
พอปั้นกลับ หมีก็ได้เวลาจัดวางสิ่งของที่บูธ ทั้งเรียงหนังสือและของกระจุกกระจิก ทั้งตกแต่ง แน่นอนว่าไม่ลืมที่จะวางตุ๊กตาพระเอกของเรื่องอย่างนายต้นกล้าที่จุ๋นเย็บมาให้เพื่อเป็นการเรียกแขกด้วย
ผ่านไปไม่นานก็ถึงเวลาที่ห้างสรรพสินค้าเปิด หมีเช็กทางทวิตเตอร์แล้วว่ามีคนมารอกันเยอะ เพียงแต่สตาฟงานจำกัดคนให้ขึ้นมา คนที่เข้ามาที่งานจึงไม่เยอะมากนักในช่วงแรก หมีจึงมีทั้งเวลาขายของและพูดคุยกับนักอ่าน
“อันนี้มีขายมั้ยครับ” หนึ่งในลูกค้าของหมีชี้ที่ตุ๊กตานายต้นกล้า ซึ่งเจ้าของมันก็ส่ายหน้า
“พอดีผมมีไปออกแบบตุ๊กตาให้ร้านนี้ เขาเลยทำมาให้โชว์น่ะครับ ชื่อร้านจารุณี เสิร์ชในเฟซบุ๊กดูก็ได้ครับ”
“อ๋อ ร้านรับซ่อมตุ๊กตาด้วย” ลูกค้าพูดออกมาเมื่อเสิร์ชตามที่หมีบอก “เป็นเพื่อนกันเหรอครับ พอดีร้านดูไม่ใช่แนวโอตาคุเลย”
“ครับ พอดีเอาของไปซ่อมร้านเค้าเลยได้รู้จักกัน รอติดตามผลงานของร้านด้วยนะครับ มีความคืบหน้าผมจะอัปเดตให้ด้วย”
“โอเคครับ แต่แหมน่าเสียดาย ผมเองก็อยากได้ตุ๊กตาต้นกล้าเหมือนกันนะเนี่ย”
“ถ้าสนใจ ลงชื่อไว้ก่อนก็ได้ครับ”
เสียงของบุคคลที่สามดึงความสนใจของทั้งสองคนในทันที หมีตาโตเมื่อเห็นจุ๋นยืนอยู่หน้าบูธ ซึ่งคนมาใหม่ก็ได้แนะนำตัวเสร็จสรรพ ทั้งยังพูดเรื่องตุ๊กตากับลูกค้าได้อย่างลื่นไหลด้วย หมีเองเห็นอย่างนั้นก็ไม่กล้าถามว่าอีกฝ่ายมาได้ยังไง เดี๋ยวลูกค้าจะงงซะเปล่าๆ หากพวกเขาทำเหมือนไม่ได้มาด้วยกัน จนลูกค้าไปนั่นล่ะ ถึงได้ถามจุ๋นขึ้นมา
“มาได้ยังไงเนี่ย”
“ขับรถมาน่ะสิ”
“ไม่ใช่ดิจุ๋น…”
จุ๋นหัวเราะพร้อมเล่าให้ฟังว่าตัวเขาเห็นหมีจริงจังกับงานนี้มากเลยอยากจะมาดูบรรยากาศสักหน่อย เลยตามมาถึงนี่ และขนาดว่ามาถึงก่อนเวลาแล้วยังตกใจกับจำนวนคนที่มา
“แล้วเพื่อนล่ะหมี”
“เอ่อ...”
จะบอกว่าเพื่อนไปห้องน้ำเดี๋ยวมา จุ๋นก็คงรอ และหมีก็คงไม่สามารถหาข้ออ้างมาบอกปัดเรื่อยๆ ได้แล้ว คิดได้อย่างนั้นจึงพูดความจริงออกมาดีกว่า
“เพื่อนมาช่วยขนของเฉยๆ กลับไปแล้วน่ะ”
“แล้วหมีเฝ้าบูธคนเดียวเหรอ ปวดฉี่ทำไงเนี่ย”
“คุยกับน้องบูธข้างๆ ไว้แล้ว” หมีผายมือไปที่น้องบูธข้างๆ ซึ่งหันมายกมือสวัสดี จุ๋นรับไหว้แล้วจึงกลับมาจี้ต่อ
“แต่น้องเค้าก็ต้องขายของเค้าใช่มั้ยล่ะ เฮ้อ มา เราช่วย”
นั่นไง…
“เราเกรงใจ…”
“ไว้หมีค่อยเลี้ยงข้าวเราอีกแล้วกัน สองมื้อแล้วนะ”
จากการที่จุ๋นช่วยหมีทำงานมา ทำให้เขารู้ว่าต่อให้จะบอกยังไงคนช่างใส่ใจก็ยังคงยืนกรานจะช่วยอยู่ดี ในเมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วก็คงต้องยอม สุดท้ายจึงได้บอกผู้ช่วยจำเป็นว่าของอะไรราคาเท่าไร ถึงจะมีป้ายติดไว้ด้วยแล้วก็เถอะ
“แล้วเรื่องตุ๊กตา จุ๋นจะทำไหวเหรอ”
“สักสิบตัวพอไหว ใครสนใจให้เขาลงชื่อในนี้”
จุ๋นยื่นสมุดที่เมื่อครู่ใช้จดชื่อ เบอร์โทร และช่องทางโซเชียลของลูกค้าไว้ เดิมทีจุ๋นไม่ได้เตรียมตัวจะมาสำหรับเรื่องนี้ แต่ดีที่พกสมุดจดของที่ต้องซื้อเล่มเล็กๆ ไว้ พอได้ยินสองคนคุยกันเลยหยิบมาใช้ได้พอดี
ซึ่งอันที่จริงเขาก็ไม่ได้มาที่นี่เพียงเพราะอยากมาหรอก ใช่ เขาค้นหางาน ดูกำหนดการและตั้งใจจะมาแล้ว แต่ไม่เช้าขนาดนี้ แต่ที่รีบมาเพราะไม่กี่วันก่อนมีคนชื่อปั้นไปที่บ้าน บอกว่าจริงๆ แล้วหมีไม่ได้มีคนมาช่วยในงานนี้ จุ๋นเลยตัดสินใจมา
ซึ่งปั้นคนนั้นก็ถามด้วยว่า ที่ช่วยหมีขนาดนี้คิดอะไรกับเพื่อนของเขารึเปล่า
จุ๋นได้แต่ยิ้ม
ถึงมันจะไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้นแต่มันก็เริ่มก่อตัวขึ้นมาแล้ว เรื่องอะไรที่เขาจะบอกคนอื่นก่อนล่ะ
เพียงแค่ชั่วโมงแรกผ่านไป หมีก็ขายหนังสือเล่มใหม่ได้มากกว่าครึ่งแล้ว รวมทั้งของกระจุกกระจิกก็ลดไปเยอะ ทีแรกจุ๋นคิดว่าเดี๋ยวคงได้กลับเร็ว แต่หมีบอกว่าชั่วโมงแรกๆ คนเยอะเป็นปกติ เดี๋ยวก็บางตาลง และแม้หนังสืออาจจะหมดแต่หมีเตรียมของกระจุกกระจิกมาเยอะ คงขายของพวกนั้นกันจนจบงาน
“แต่ถ้าจุ๋นอยากกลับก่อนก็ไม่เป็นไรนะ”
“เรื่องอะไรล่ะ เรามาช่วยแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุดสิ เอ้า ลูกค้ามา”
จุ๋นสะกิดให้หมีที่ยังนั่งหันหน้ามาคุยกับตัวเองให้มองลูกค้าที่เข้ามา น่าแปลกที่หมีดูเป็นคนเก็บตัว แต่พอออกงานแบบนี้แล้วสามารถทักทายลูกค้าได้เหมือนคนคุ้นเคยกัน กับผู้ชายที่กำลังมาซื้อนี่ก็ใช่ ดูคุยกันสนิทสนมเชียว
“เล่มนี้น้องทิชาออกเยอะมั้ยพี่”
“มีบทนึงยกให้น้องเขาเลย”
“แจ๋ว”
จุ๋นจำได้ ทิชาคือเพื่อนผู้หญิงในกลุ่มของต้นกล้า เธอดูจะชอบต้นกล้าอยู่ แต่เด็กผู้ชายห่ามๆ อย่างต้นกล้าดูจะยังไม่รับรู้ถึงความรู้สึกของเธอ ออกแนวเป็นห่วงนะแต่ไม่รู้ว่าห่วงเธอทำไม อะไรแบบนั้น
“นี่ใช่มั้ยครับเพื่อนที่ทำตุ๊กตา สวัสดีครับพี่ พี่ไม่ทำน้องทิชาบ้างเหรอครับ”
ลูกค้าหันมาทางจุ๋น ซึ่งพอได้ยินคำถามแล้วก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนพลางส่ายหน้าเบาๆ “ยังครับ เดี๋ยวทำต้นกล้าล็อตแรกก่อน ยังไงเดี๋ยวอัปเดตให้อีกทีนะครับ”
“ถ้าทำนะผมซื้อเลย เอ้อนี่พี่หมี” พอพูดกับจุ๋นจบ เขาก็หันไปเรียกหมีให้เข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะกระซิบ ถึงจะไม่ดังนักแต่ก็ดังพอที่จุ๋นซึ่งยืนอยู่ตรงนั้นได้ยินไปด้วย
“บูธนั้นขายโดพายุต้นกล้าด้วย แม่ง พวกผู้หญิงนี่ อะไรๆ ก็จิ้น”
“เอาน่า เค้าจิ้นเพราะว่าเค้าชอบนี่นา”
“พี่ไม่ชอบพี่บอกไปเลยนะพี่ งานพี่ขาดพวกสาววายไปไม่เป็นไรหรอก พวกผมจะคอยซัพพี่เอง”
พอได้ยินแบบนี้หมีก็ได้แต่เจื่อนอยู่ในใจ ภายนอกก็ยิ้มและขอบใจไปตามเรื่องตามราว ก็ถ้าคนเขาตั้งธงมาแล้วก็ไม่กล้าพูดว่าอันที่จริงเขาเปิดกว้างสำหรับการจิ้นทุกรูปแบบ แม้ว่าจะไม่ได้วางตัวละครไว้คู่กัน ที่สำคัญ กับน้องที่วาดโดจินนั่นก็รู้จักกัน เพราะน้องเขาเขียนการ์ตูนสนุกเลยเคยทักไปคุยบ้าง ไปพูดตัดรอนกับคนรู้จักไม่ได้อยู่แล้ว
มันเลยเกิดความกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ฝั่งสาววายก็พูดได้ว่าเขาอนุญาตให้จิ้นได้ ส่วนฝั่งผู้ชายก็คิดว่าเขาฝืนใจ ไม่ใช่แค่ลูกค้าคนนี้ แต่หลายคนก็มาพูดกับเขาในเชิงเดียวกัน
“พายุกับต้นกล้าเหรอ เราอ่านเราก็จิ้นนะ” จุ๋นพูดขึ้นหลังลูกค้าคนนั้นเดินห่างจากบูธไปแล้ว “หมีตั้งใจรึเปล่า”
“ก็ไม่ได้ตั้งใจ แต่พอเขียนออกมาแล้วก็เอ้อ เข้าใจคนอ่านเขานะถ้าจะจิ้น” หมีพูดเสียงเบา กลัวจะมีใครมาได้ยินแล้วไม่พอใจ
พายุเป็นตัวละครที่เป็นคู่ปรับกับต้นกล้า ถึงแม้จะฉะกันอยู่เสมอแต่เนื่องด้วยความเป็นเพื่อนร่วมห้องกัน ยังไงก็มีความเป็นห่วงกัน ทำให้คนอ่านจิ้นได้ง่ายๆ ยิ่งคาแรคเตอร์พายุนั้นเย็นชาส่วนต้นกล้าร่าเริงแล้ว ในสายตาคนจิ้นยิ่งดูเหมาะสม
แต่ยังไงตามท้องเรื่องจริงๆ แล้วต้นกล้าก็ถูกปูมาให้คู่กับทิชา นางเอกของเรื่องนั่นล่ะ ในเนื้อเรื่องตอนนี้ต้นกล้ายังคงไม่รู้ใจตัวเอง แต่หมีแพลนความสัมพันธ์ของสองตัวละครนี้ในอนาคตเอาไว้แล้ว
“อันนี้ถามได้มั้ย” จุ๋นลดเสียงลดแทบเป็นกระซิบ พวกเขาจึงขยับเก้าอี้มาชิดกันมากขึ้น “จริงๆ แล้วหมีอยากเขียนการ์ตูนวายแบบเปิดเผยรึเปล่า”
“ไม่ถึงขนาดนั้น”
เห็นจุ๋นทำหน้าสงสัย หมีจึงอธิบายต่อ “คือเราโตมากับพวกการ์ตูนต่อสู้ ก็เลยเริ่มวาดแล้วก็ถนัดแนวนี้น่ะ ถนัดชายหญิงมากกว่าด้วย คงเพราะวาดมาเยอะล่ะนะ”
“แล้วถ้าไม่วาย แต่แนวอื่นงี้ล่ะ อย่างแบบรักใสๆ “
“ยากมาก จินตนาการไม่ออกเลย คงเพราะเราไม่เคยมีความรักแบบจริงจังด้วยมั้ง”
“แล้วหมีอยากมีรึเปล่า”
หมีมองหน้าจุ๋นที่กำลังยิ้มอย่างสงสัย แต่ไม่ทันได้ถามก็มีลูกค้าเข้าบูธมาเสียก่อน พวกเขาจึงต้องขายของต่อไป ถึงหลังจากนั้นจะมีช่วงพัก แต่ถ้าอีกคนไม่พูดขึ้นมาอีก หมีก็ไม่กล้าที่จะถามออกไปเหมือนกัน มันเป็นความหวั่นใจ ถึงดูจุ๋นจะมีท่าทีให้ แต่ตัวเขาที่ไม่มีประสบการณ์ความรักกลับกลัวไปหมด
ถึงแม้ว่างานวันนี้จะสูบพลังของคนที่ทำงานที่บ้านอย่างทั้งสองคนไปเยอะมาก ความอยากพักนั้นมี แต่ความหิวกลับมีมากกว่า ทำให้เมื่อกลับมาจากงานและจัดเก็บของที่เหลือเรียบร้อย ทั้งสองคนจึงมากันที่ร้านหมูกระทะใกล้บ้าน
“เราไม่เคยมาร้านนี้เลย” จุ๋นเอ่ยขึ้นพลางมองไปรอบๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ เขาเข้าร้านหมูกระทะครั้งสุดท้ายก็ตั้งแต่เรียนอยู่ พอจบออกมาแล้วถึงจะนัดเพื่อนบ้างแต่ก็มักจะกินข้าวกันที่อื่นมากกว่า
“เอ๊ะ ร้านนี้เปิดนานแล้วไม่ใช่เหรอ ตอนเรามาค้างบ้านเพื่อนตั้งแต่เรียนก็มีแล้ว”
“นานแล้ว แต่ว่าเราไม่มีเพื่อนแถวนี้ แม่เองก็กินเยอะๆ ไม่ไหว เลยรู้สึกว่าถึงมาก็ไม่คุ้มน่ะ”
“อ๋อ งั้นเราพากินเอง หมูที่นี่หมักอร่อยมากเลยนะ” หมีจัดแจงวางหมูและไก่หมักลงบนเตา ไม่นานก็เริ่มสุกและส่งกลิ่นหอม จนจมูกของทั้งสองคนสูดดมอย่างทนไม่ไหว และนั่นยิ่งทำให้ท้องร้องเข้าไปใหญ่ เสียงโครกดังจนขำกันเอง
“หมีอย่าลืมเปลี่ยนตะเกียบด้วยนะ” จุ๋นเอ่ยเตือนเมื่อเนื้อต่างๆ สุกได้ที่และพร้อมกินแล้ว ก่อนที่หมีจะใช้ตะเกียบเดิมคีบหมูใส่ปากพอดี พวกเขาจึงได้มีตะเกียบกันคนละสองคู่ อาจจะลำบากนิดหน่อยแต่ก็ดีกว่าเป็นไข้หูดับที่ค่อนข้างร้ายแรง
“โรคนี่มีเยอะขึ้นนะ เราก็ไม่เคยเปลี่ยนตะเกียบ แต่ก็ไม่เคยเป็น”
“แค่โชคดีต่างหาก เมื่อก่อนคนเขาคงจะเป็นกันแต่ข่าวไม่ไวเท่านี้”
“ก็จริงนะ...”
“พูดถึงไม่เคยแล้ว ลืมไปเลย” จุ๋นพูดขึ้นขณะพลิกไก่ชิ้นหนึ่งที่ดูแล้วใกล้จะไหม้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองหน้าหมี “ที่เราถามค้างไว้ หมียังไม่ตอบเลย ว่าหมีอยากจะลองมีความรักรึเปล่า”
ตะเกียบของหมีแทบจะหล่นลงพื้น เขาอุตส่าห์ไม่เก็บมาคิดแล้วเชียว “ไม่รู้สิ ถึงอยากลองก็ไม่มีคนให้ลองด้วยรึเปล่า”
“แล้วถ้ากับเราล่ะ”
ดวงตากลมของจุ๋นจ้องหมีมาตรงๆ แม้จะยังยิ้มด้วยท่าทีสบายๆ แต่ก็ดูออกว่าไม่ได้ล้อเล่น คนตกใจไม่รู้ตัวว่าเผลออ้าปากค้างไปนานเท่าไร จนจอมขี้แกล้งเอานิ้วมาแตะที่ปากนั่นล่ะ ถึงได้สติขึ้นมา แต่ก็ปากสั่นจนตอบออกไปไม่ไหว
“นี่จุ๋นพูดจริงรึเปล่าเนี่ย”
“จริงสิ หมีจะให้โอกาสเรารึเปล่า”
“เราต้องเป็นคนถามมากกว่า ว่าจุ๋นจะให้โอกาสเรารึเปล่า”
“เราให้อยู่แล้ว”
หมีวางตะเกียบลงกับจาน ยกสองมือขึ้นปิดบังใบหน้าที่เริ่มรู้สึกร้อนของตน มันเกินกว่าใจจะรับไหวแล้ว จากที่เริ่มรู้สึกชอบโดยไม่คาดหวังอะไร จนจุ๋นมาช่วยทำนั่นทำนี่ตั้งหลายอย่าง จนในตอนนี้ที่อีกคนชวนให้มาลองมีความรักกัน เขาไม่เคยจินตนาการมาถึงจุดนี้เลย
“ถ้าหมีเอาแต่ปิดหน้า เราจะกินเตานี้ไม่แบ่งเลยนะ”
“แป๊บนึงสิ...”
ตอนนี้หมีไม่รู้แล้วว่าระหว่างเตาหมูกระทะที่ส่งควันลอยมากระทบมือที่กำลังปิดหน้า หรือว่าใบหน้าของเขากันแน่ที่ร้อนมากกว่ากัน