ถ้าหมอนข้างน้องกระต่ายขาดแบบนี้ คืนนี้จะนอนกอดอะไรล่ะ คุณช่างซ่อมตุ๊กตา... เอ๋ ทำไมถึงได้น่ารักจังเลยนะ?

ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมี - ตอนที่ 10 หมีเป็นห่วง โดย ดังใจ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,รัก,ไทย,feel good,slice of life,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมี

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,รัก,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

feel good,slice of life,#BL

รายละเอียด

ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมี โดย ดังใจ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ถ้าหมอนข้างน้องกระต่ายขาดแบบนี้ คืนนี้จะนอนกอดอะไรล่ะ คุณช่างซ่อมตุ๊กตา... เอ๋ ทำไมถึงได้น่ารักจังเลยนะ?

ผู้แต่ง

ดังใจ

เรื่องย่อ

สารบัญ

ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมี-ตอนที่ 1 หมีทำขาด,ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมี-ตอนที่ 2 หมีพร่ำเพ้อ,ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมี-ตอนที่ 3 หมีให้นะ,ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมี-ตอนที่ 4 หมีว้าวุ่น,ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมี-ตอนที่ 5 หมีตัวดื้อ,ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมี-ตอนที่ 6 หมีเปิดเผย,ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมี-ตอนที่ 7 หมีออกงาน,ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมี-ตอนที่ 8 หมีอยากหล่อ,ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมี-ตอนที่ 9 หมีก็เขิน,ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมี-ตอนที่ 10 หมีเป็นห่วง,ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมี-ตอนที่ 11 หมีเฝ้าไข้,ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมี-ตอนที่ 12 หมีปลอบใจ,ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมี-ตอนที่ 13 หมีเร่งรีบ,ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมี-ตอนที่ 14 หมีโดนแซว,ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมี-ตอนที่ 15 หมีมีจุ๋น,ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมี-ตอนที่ 16 หมีประกาศ,ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมี-ตอนที่ 17 หมีรับมือ,ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมี-ตอนที่ 18 หมีรับฟัง,ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมี-ตอนที่ 19 หมีออกเดท,ให้ทั้งใจ นายตุ๊กตาหมี-ตอนที่ 20 หมีเติมใจ [จบ]

เนื้อหา

ตอนที่ 10 หมีเป็นห่วง





“ไปก่อนนะลูก” คุณแม่จ๋าสวมกอดกับลูกชายที่หน้าบ้าน หลังจากขนกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นหลังรถเพื่อนเรียบร้อยแล้ว ตอนกอดก็แปลกใจว่าทำไมลูกของเธอตัวร้อนผิดปกติ

“จุ๋นตัวร้อนนะ เป็นไข้เปล่าเนี่ย”

“เปล่าเลยแม่ ก็เดินช่วยแม่หยิบของนั่นนี่ก็เหนื่อยดิ”

จุ๋นพยายามหยุดมือของแม่ที่จะมาแตะที่หน้าผากพลางบอกปัด ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง เพราะถึงแม้แม่ของเขาจะคิดว่าเตรียมของครบแล้วแต่ก็ยังลืมของให้หาโน่นหานี่อยู่ดี โดยเฉพาะแว่นสายตายาวที่แม้ใส่ทุกวันแต่ก็วางไม่เป็นที่

“อะๆ งั้นแม่ไปจริงละ เจอกันพรุ่งนี้จ้า”

“ครับแม่ บ๊ายบาย”

หลังจากส่งแม่ขึ้นรถแล้วก็มองตามรถของเพื่อนแม่จนลับไปจากซอย ถึงตอนนั้นแหละที่จุ๋นค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ปิดบังเรื่องอาการป่วยเอาไว้ได้ เขาปิดรั้วบ้านแล้วเดินเข้าไปหาโทรศัพท์ จะโทรหาหมีตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าตื่นรึยัง จึงฝากข้อความไว้แทน

‘แทนที่จะเป็นปาท่องโก๋ เราขอกินโจ๊กแทนได้เปล่า’


 

หมีเพิ่งจะมาเช็กโทรศัพท์ก็ตอนที่ยืนรอปาท่องโก๋ในช่วงเกือบเจ็ดโมง เห็นจุ๋นทักมาอย่างนั้นแล้วก็คิดว่าทำไมตัวเองไม่เช็กโทรศัพท์ให้เร็วกว่านี้ แต่เพราะว่าปาท่องโก๋ส่วนที่เขาจะกินยังทอดไม่เสร็จ เลยยังได้บอกพ่อค้าว่าขอลดปริมาณลง

เขาส่งข้อความไปถามจุ๋นว่าโจ๊กนี่ใส่ทุกอย่างรึเปล่า แต่อีกฝ่ายก็ไม่ตอบ โทรไปก็ไม่รับ บางทีอาจจะกำลังยุ่งกับอะไรอยู่ หมีจึงซื้อโจ๊กแบบใส่ทุกอย่างไป คิดว่าถ้าจุ๋นไม่กินขิงก็แค่เสียเวลาเขี่ยออกเท่านั้น

พอไปถึงบ้าน หมีกดออดแล้วแต่ก็ไม่มีใครออกมาจึงโทรซ้ำเข้าไปอีก เริ่มเป็นห่วงแล้วเพราะจุ๋นไม่รับสายถึงสองครั้ง แต่พอครั้งที่สามอีกคนก็รับ แล้วบอกให้รอก่อน หลังจากนั้นอีกเป็นนาทีกว่าเขาจะเห็นเจ้าของบ้านเดินช้าๆ ออกมาที่รั้ว ดูยังไงก็ผิดปกติ

“จุ๋นเป็นอะไรรึเปล่า ดูเหมือนป่วยเลย”

“อือ ไข้ขึ้นแหละ เลยอยากกินโจ๊ก”

“ห๊ะ นี่เป็นไข้ตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย”

“เริ่มตัวรุมๆ เมื่อคืน ก็กินยาแล้วนะไม่คิดว่าจะตื่นมาแล้วจะหนักขึ้นเลย เมื่อกี้เราก็หลับอยู่เลยไม่ได้ยินโทรศัพท์”

ถึงขั้นนี้แล้วจะมามัวไม่กล้าแตะตัวก็คงไม่ได้แล้ว หมีจึงขออนุญาตแตะหน้าผากเพื่อเช็กไข้สักหน่อย ซึ่งพอเทียบกับมืออีกข้างที่แตะหน้าผากตัวเองแล้ว จุ๋นตัวร้อนกว่าเยอะเลย จึงได้บอกให้คนป่วยนั่งเฉยๆ ในขณะที่ตัวเองจัดโต๊ะอาหาร

“แล้วไม่บอกคุณน้าล่ะจุ๋น”

“แม่เค้ารอเที่ยวมานานนี่นา ให้เค้ามาห่วงเราได้ไงเล่า”

ถึงหมีจะเคยสัมผัสความดื้อของจุ๋นมาแล้วตั้งแต่ตอนที่ดึงดันจะมาช่วยเขาแพ็กของส่งของ แต่ครั้งนี้เขาว่ามันเป็นความดื้อที่ไม่ดีเลย ถ้าหมีไม่ตัดสินใจมาแต่เช้า จุ๋นจะได้กินข้าวรึเปล่าก็ไม่รู้ ถึงจะมีของสดในตู้เย็น แต่คนที่นั่งเปื่อยอยู่ในตอนนี้คงไม่มีแรงทำอยู่ดี

“ดีนะที่วันนี้เรามาเร็ว ไม่งั้นจุ๋นจะทำยังไงเนี่ย”

“ยังไงเราก็โทรหาหมีอยู่ดี เราก็รู้หรอกน่าว่าในเวลาแบบนี้ต้องพึ่งพาคนอื่น”

“ก็ดีแล้ว มา รีบกินจะได้รีบนอน”

จุ๋นพยักหน้ารับอย่างเชื่องช้า ค่อยๆ เขยิบเก้าอี้ที่นั่งอยู่เข้ามาใกล้โต๊ะอาหารมากขึ้น การเป็นไข้นี่แย่จริงๆ ขนาดโจ๊กหอมขนาดนี้ยังไม่อยากกินเลย

“ฝืนกินไปหน่อยนะ”

“อื้อ”

จนหมีกินปาท่องโก๋กับหมูปิ้งที่ซื้อมาจนหมดแล้ว โจ๊กของจุ๋นยังพร่องไปไม่ถึงครึ่งชาม แถมพอนั่งรอแป๊บหนึ่งก็เห็นคนตรงหน้าดันชามโจ๊กออกจากหน้าตัวเองแล้ว

“กินไม่ไหวแล้ว”

“โอเค ยาอยู่ไหนน่ะจุ๋น”

“เดี๋ยวเราหยิบเอง”

ในเมื่อจุ๋นบอกแบบนั้น หมีจึงเก็บโต๊ะไปพลาง มองตามคนป่วยที่เดินไปรื้อตู้เก็บของไปพลางแล้วจำไว้ว่ายาอยู่ตรงนั้น คราวหลังเขาจะได้ไปหยิบมาเองได้ และขณะที่คนเฝ้าไข้จำเป็นเอาจานไปเก็บในครัว เก็บโจ๊กที่จุ๋นกินเหลือใส่ถ้วยฝาปิดไว้ ออกมาก็เห็นร่างไร้เรี่ยวแรงนอนอยู่ที่โซฟา ซึ่งดูจะไม่ค่อยสบายเท่าไร

“จุ๋น ขึ้นไปนอนบนห้องดีๆ ดีกว่า”

“ไม่เอา ก็หมีทำงานอยู่ข้างล่างนี่”

ก็น่ารักดีที่จุ๋นพูดเหมือนอยากอยู่ใกล้ๆ หมีแบบนั้น แต่มันไม่ได้หรอก “เราขึ้นไปเฝ้าจุ๋นข้างบนได้ นอนบนเตียงเถอะนะ”

จุ๋นดูจะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงลุกขึ้นเกาะหมีที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากโซฟา แขนคนพยุงเกร็งขึ้นมาแป๊บหนึ่งแล้วจึงผ่อนคลายลงเมื่อคิดว่าต้องประคองจุ๋นเดินขึ้นบ้าน ซึ่งเขายังไม่เคยขึ้นชั้นสองของบ้านหลังนี้เลย เพิ่งรู้ว่าด้านบนมีโซนไหว้พระที่มีพระวางอยู่หลายองค์ กับห้องนอนสองห้อง เดาว่าห้องใหญ่คงเป็นของพ่อกับแม่จุ๋น ส่วนอีกห้อง… ไม่ต้องเดาแล้ว ในเมื่อถูกพาเข้าห้องที่เล็กกว่า

“อ้าว ห้องจุ๋นก็มีโต๊ะทำงานนี่นา”

“มีตั้งแต่มัธยมแล้ว ไม่รู้เมื่อกี้จู่ๆ ก็ลืมว่าหมีทำงานตรงนี้ได้”

คงเป็นเพราะพิษไข้นั่นล่ะ แต่ในเมื่อมีโต๊ะทำงานตรงนี้ก็ดี หมีจะได้เฝ้าจุ๋นง่ายๆ ด้วย พอประคองให้อีกฝ่ายนอนเรียบร้อยแล้วหมีจึงขอตัวไปเอาขวดน้ำกับกระเป๋าตัวเองที่วางอยู่ชั้นล่าง กลับขึ้นมาก็เห็นคนนอนในผ้าห่มมองตาแป๋ว

“นอนไปก่อนก็ได้นะ”

“มีอะไรอยากบอกน่ะ”

“หือ?”

“จริงๆ เราเดินขึ้นมาไหวนะ เราแค่อยากอ้อนหมีเฉยๆ”

หมีร้องอ้าวขึ้นมาในขณะที่จุ๋นหัวเราะคิกคัก เก่งนักเรื่องทำให้เขินเนี่ย แต่ก็เอาเถอะ ใช่ว่าเขาไม่อยากแตะตัวจุ๋นเสียเมื่อไร ก็แค่เขินเท่านั้นเอง ถ้าจุ๋นจะช่วยให้เขากล้าขึ้นมาอีกสักนิดก็ยังดี

แต่ก็ควรกล้าด้วยตัวเองด้วยมั้ยนะ?

“แล้วหมี เราไม่เฝ้าก็อย่านั่งหลังงอนะ เดี๋ยวปวดหลังอีก”

จุ๋นพูดเหมือนที่พูดอยู่ทุกวัน ตอนนี้หมีไม่ได้ใส่ที่พยุงหลังแล้วเพราะอาการดีขึ้นมาก แต่ก็ยังติดนิสัยชอบนั่งก้มไปมองหน้าจอใกล้ๆ เสียทั้งหลังเสียทั้งสายตา คนเป็นห่วงจึงต้องเตือนอยู่เสมอ พอหมีตอบรับแล้วถึงแม้จุ๋นจะไม่วางใจนัก แต่ร่างกายมันก็สั่งให้หลับเสียที





หมีนั่งทำงานกับไอแพดไปก็หันมามองจุ๋นที่กำลังนอนเป็นระยะ พอเห็นว่าหลับลึกแล้วจึงเดินออกไปโทรศัพท์ และคนที่โทรหาก็ไม่พ้นหมออิ้งค์ อันที่จริงหมีก็ไม่มีเบอร์เธอหรอก แต่ก็เสิร์ชหาเบอร์คลินิกแล้วขอสายเธอได้

‘ลองกินยานอนดูก่อน ถ้าบ่ายๆ ยังไม่ดีขึ้นก็พามาหาพี่นะ’

คุณหมออิ้งค์บอกแบบนั้นแล้วให้เบอร์ส่วนตัวเธอมาด้วย เผื่อหมีผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับการดูแลผู้ป่วยจะโทรไปอีก ซึ่งเขาก็หวังว่าเมื่ออีกฝ่ายตื่นมาแล้วจะไข้ลดลง ไม่อยากเห็นจุ๋นป่วยนานๆ นี่นา

เกือบสองชั่วโมงจุ๋นก็ตื่นขึ้นมา แตะหน้าผากตัวเองแล้วก็เหมือนจะร้อนน้อยลงแล้วจึงลุกขึ้นนั่ง ส่วนหมีเองพอได้ยินเสียงผ้าห่มขยับจึงหันหลังมามอง เห็นคนเพิ่งตื่นจ้องมาด้วยตาปรือๆ

“ตื่นแล้วเหรอ”

“อื้อ หิวน้ำอะ”

หมีเดินไปหยิบขวดน้ำส่งให้ขวดหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยถาม “คิดว่าไข้ขึ้นเพราะอะไรเหรอ จุ๋นก็ดูแข็งแรงมาตลอดนี่”

“คือ... จริงๆ แล้วตั้งแต่กลับจากงานหมีเราก็นอนดึกทุกวันเลย ดึกแบบ นอนวันละสามสี่ชั่วโมงอะ ภูมิคงตกมั้ง”

“แล้วทำไมต้องหักโหมขนาดนั้นด้วยล่ะจุ๋น” หมีพูดด้วยความตกใจ รู้ตัวเลยว่าเผลอพูดเสียงดัง

“ก็อยากให้มันรีบเสร็จ… เนี่ยเดี๋ยวบ่ายนี้คงหายเดี๋ยวเราทำต่อ”

“ไม่ได้เลยนะจุ๋น ต้องนอนพักให้แน่ใจว่าหายสนิทสิ เดี๋ยวก็ป่วยอยู่เรื่อยๆ หรอก ถ้าตอนนี้ไหว แจ้งเลื่อนเวลาลูกค้าก่อนดีกว่า”

“ไม่เอา เราไม่อยากผิดนัด”

“นี่เป็นเหตุสุดวิสัยนี่นา ไม่เป็นไรหรอก ลูกค้าเข้าใจอยู่แล้ว จุ๋นเองก็เคยเป็นออฟฟิศซินโดรมจนทำงานไม่ไหวนี่ น่าจะรู้นี่นาว่าฝืนแล้วจะยิ่งแย่น่ะ”

จุ๋นหน้ามุ่ยเพราะสิ่งที่หมีพูดมันถูกทุกอย่างเลย แต่ที่เขาอยากจะรีบทำก็เพราะเข็ดจากตอนออฟฟิศซินโดรมนั่นแหละ ตอนนั้นมีตุ๊กตาหลายตัวมาค้างอยู่ คนที่บอกว่ารอไหว แต่พอนานก็บ่นอยู่ดี ส่วนที่รอไม่ไหวแล้วขอให้ส่งคืนก่อนก็ต่อว่ามาเหมือนกัน เพราะงั้นหลังจากนั้นจุ๋นจึงตั้งใจดูแลตัวเองให้ดี จะได้ไม่ซ้ำรอยรอบก่อน

แต่ยังไงจุ๋นก็เป็นคน หนีความเจ็บป่วยไม่พ้นอยู่แล้ว

“หมีมานั่งกะเราหน่อย”

การโดนต่อว่าในครั้งก่อนทำให้จุ๋นกลัวจนต้องการคนอยู่ข้างๆ และถึงหมีจะไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็ยอมมานั่งให้อีกฝ่ายขยับตัวเข้าแนบชิด เขินก็เขิน แต่จุ๋นก็ยังตัวร้อนอยู่เลย จึงเป็นห่วงซะมากกว่า

จุ๋นตัดสินใจส่งข้อความให้ลูกค้าทีละคน ตั้งแต่คนที่แพลนจะส่งให้วันพรุ่งนี้จนถึงอาทิตย์หน้า ส่งไปก็รอลุ้นว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมาอย่างไร จะโดนต่อว่าหรือไม่

‘แย่เลย ลูกรออยู่ซะด้วย จะบอกเค้ายังไงดีเนี่ย’

‘แล้วเราจะนอนยังไงคะคุณTT’

‘ผมตั้งใจเลือกร้านนี้เพราะเห็นว่าไม่เคยเลทเลยนะ’

ไม่ได้มีข้อความรุนแรงอะไร แต่แค่นี้ก็เสียใจแล้ว จุ๋นวางมือถือลงกับตัก เอนหัวซบไหล่หมี โดยที่เจ้าของบ่ากว้างก็ยกมือขึ้นมาลูบผมอย่างแผ่วเบา ด้วยเข้าใจว่าคนป่วยต้องการคำปลอบใจ

“ไม่เป็นไรนะจุ๋น”

“อือ แต่ก็เสียใจอยู่ดีอะ”

“แต่คนที่บอกว่าไม่เป็นไร หายเร็วๆ นะก็มีไม่ใช่เหรอ จุ๋นนึกถึงข้อความดีๆ ก็พอนะ” หมีพูดขึ้นมาเพราะว่ามองข้อความและการแจ้งเตือนจากหน้าจอมือถือจุ๋นอยู่ตลอด แต่ก็เข้าใจได้ คนเรามักเสียใจจากการโดนต่อว่ามากกว่าคำพูดดีๆ อยู่แล้ว

“แล้วตุ๊กตาของหมี…”

“เดี๋ยวเราแจ้งเองอันนี้ จุ๋นนอนต่อเถอะ นอนอีกตื่นแล้วกินข้าวกินยาเนอะ”

“อื้อ…”

หลังจากจุ๋นล้มตัวนอนลงใต้ผ้าห่มนุ่มๆ ได้แล้ว หมีก็กลับมานั่งที่โต๊ะทำงาน แจ้งข่าวเรื่องตุ๊กตาต้นกล้าที่จะล่าช้าไปอีกหนึ่งอาทิตย์ อันที่จริงหมีอยากให้เลทสองอาทิตย์เลยด้วยซ้ำเพราะอยากให้คนป่วยกลับมามีแรงแล้วทำงานแบบสบายๆ แต่ก็คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่โอเคที่ทำให้ลูกค้าต้องรอนาน เลยเอาแค่นี้ก็พอ แจ้งข่าวแล้วเจ้าตัวก็นั่งวาดรูปที่รับคอมมิชชั่นมาต่อ แต่เพราะแจ้งเตือนที่ดังขึ้นกับข้อความที่ขึ้นบนหัวไอแพดทำให้ไม่สบายใจ

‘อ้าว ตั้งใจจะให้เป็นของขวัญวันเกิดแฟน งี้ก็ไม่ทันล่ะสิ’

‘ก็เข้าใจว่าเป็นของทำมือ แต่ก็น่าจะประเมินตัวเองแต่แรกนะครับ คนรอนานมันเสียความรู้สึก’

แล้วคิดว่าคนทำไม่เสียความรู้สึกรึไง

หมีแจ้งไปแล้วว่าจุ๋นป่วย ป่วยนะไม่ได้ขี้เกียจอะไร รอนานขึ้นเพราะป่วยเข้าใจยากตรงไหน ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าหมีจะเจออะไรแบบนี้เป็นครั้งแรกหรอก เวลาตัวเขาขออัพการ์ตูนเลทเพราะป่วยหรือติดธุระ ก็จะมีข้อความทำนองนี้เหมือนกัน กับเรื่องของตัวเองนั้นหมีเฉยๆ เขาเจอมาจนจัดการความรู้สึกตัวเองได้แล้ว แต่พอเป็นเรื่องจุ๋นก็กลับหงุดหงิดไปด้วย

เขาวางเม้าส์ปากกา พักถอนหายใจปรับอารมณ์ตัวเอง มองไปทางจุ๋นที่หลับอยู่ด้วยความรู้สึกเป็นห่วง คิดในใจว่าไม่อยากให้ต้องมารับรู้ข้อความพวกนี้เลย