ถ้าหมอนข้างน้องกระต่ายขาดแบบนี้ คืนนี้จะนอนกอดอะไรล่ะ คุณช่างซ่อมตุ๊กตา... เอ๋ ทำไมถึงได้น่ารักจังเลยนะ?
ชาย-ชาย,รัก,ไทย,feel good,slice of life,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ทันทีที่เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น จุ๋นก็พยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นจากเตียง ก่อนจะเดินมาปัดหน้าจอโทรศัพท์ซึ่งโชว์นาฬิกาอยู่ นึกดีใจที่ตัดสินใจตั้งนาฬิกาปลุก เพราะเมื่อคืนนอนไปเมื่อตีสองกว่า ถ้าไม่ตั้งเวลาก็คงนอนเพลิน เกือบไปช่วยแม่เตรียมอาหารใส่บาตรตอนหกโมงเช้าไม่ทันแล้ว
หลังจากผ่านมาสามสี่วัน ก็ได้เวลาที่จุ๋นจะยอมรับสักทีว่าตอนนี้งานนั้นหนักเกินไป อาจจะเพราะเคสซ่อมตุ๊กตาที่รับมามีแต่ยากๆ ทำให้ตัวหนึ่งใช้เวลาเกือบทั้งวัน พอมาเย็บนายต้นกล้าตอนเย็นถึงกลางคืนก็ตาล้า ทำผิดบ้างพลาดบ้าง เขาพยายามจะคิดว่าเพราะมันเป็นของทำมือ จะให้เหมือนกันเป๊ะทุกตัวคงจะไม่ได้ แต่ด้วยความมาตรฐานสูง บวกกับระลึกอยู่เสมอว่าไม่ใช่งานของตนคนเดียว จุ๋นจึงอยากทำให้ดีที่สุด
“ใต้ตาดำขึ้นเยอะเลยนะลูก นี่นอนกี่โมงเนี่ย” คุณแม่จ๋าถามเนื่องจากหน้าตาของลูกดูเหนื่อยผิดปกติ ตัวเธอนั้นขึ้นนอนหลังละครจบก็ประมาณสี่ทุ่มครึ่ง ตอนนั้นลูกชายยังทำงานอยู่เลย ทั้งที่ปกติจะขึ้นนอนพร้อมกัน เพราะรู้ว่าจุ๋นต้องทำงานของหมีด้วยจึงปล่อยให้ลูกนอนดึกกว่าปกติ แต่เธอก็ไม่รู้ว่านอนดึกเท่าไร
“เที่ยงคืนน่ะแม่ คงไม่ชินล่ะมั้ง” จุ๋นเลือกที่จะโกหกออกไปเพราะไม่อยากให้แม่เป็นห่วง และหวังว่าภายในวันสองวันนี้เขาจะได้นอนเพียงแค่เที่ยงคืนถามที่บอกแม่ไว้ จะได้ไม่เป็นการโกหกนาน
“อย่าหักโหมเลย ถ้าไม่ไหวเลื่อนเวลาออกไปก็ได้ แม่ว่าลูกค้าเข้าใจ”
“ไม่เอาหรอกแม่ แม่สอนจุ๋นเองนะว่าตุ๊กตาเป็นของสำคัญของลูกค้า ต้องรับมาทำอย่างดีและส่งคืนอ้อมอกลูกค้าอย่างไวที่สุด”
“มันก็ใช่แหละ แต่ทุกอย่างมันก็มีการยกเว้นได้นะลูก”
“ไม่เอาอะ”
พอเถียงแล้วก็เดินหนี นิสัยดื้อแบบนี้นึกถึงพ่อของจุ๋นไม่มีผิด คุณแม่จ๋าถอนหายใจเมื่อรู้สึกเหนื่อยที่จะโน้มน้าว สองพ่อลูกก็เป็นอย่างนี้ ถ้ายืนกรานหัวชนฝาแล้วจะไม่ยอมเปลี่ยนความคิด จนบางครั้งต้องได้เจ็บตัวหรือมีอะไรเสียหายเสียก่อน
นึกหงุดหงิดตัวเองเล็กน้อยเหมือนกันที่เป็นคนใจอ่อน คงเพราะเมื่อก่อนถึงจะห้ามสามีของเธอไม่ได้ แต่จุ๋นยังมีอิ้งค์ที่คอยมาเบรกบ้าง เมื่อก่อนเธอล่ะคิดจริงจังว่าสองคนนี้ยังไงก็ต้องได้แต่งกัน แต่พอโตมาก็ห่าง อิ้งค์ก็ไปมีแฟนเสียแล้ว
จะมีใครมากำราบความดื้อของลูกชายเธอได้บ้างนะ
ทั้งความสัมพันธ์ทั้งธุรกิจที่พัฒนา ทำให้หมีมีข้ออ้างที่จะได้ไปหาจุ๋นในทุกๆ วัน ถึงจะยังเกรงใจไม่กล้าไปหาทั้งวันก็เถอะ ได้แค่ไปช่วงบ่ายสอง ฝากท้องกินข้าวเย็นด้วยแล้วก็กลับ แต่เท่านี้ก็มีความสุขมากแล้ว
“มาแล้วจุ๋น” หมีทักทายเสียงใสเมื่อเปิดประตูเข้าห้องทำงานของจุ๋น วันนี้เขาไม่ได้มามือเปล่า แต่มาพร้อมกับเฉาก๊วยนมสดเจ้าอร่อยที่ซื้อมาฝากทั้งจุ๋นและคุณแม่จ๋า ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่าว่าตอนแรกที่จุ๋นเงยหน้ามายิ้มให้เขาดูซูบซีดแปลกๆ แต่พอเห็นเฉาก๊วยนมสดก็ดูจะร่าเริงขึ้น
“ว้าววว” จุ๋นวางมือจากงานที่ทำอยู่แล้วลุกขึ้นมารับถ้วยที่หมีใส่ขนมและน้ำแข็งมาให้อย่างน่าอร่อย พอตักไปคำหนึ่ง ความหวานจากเฉาก๊วยผสมกับนมเย็นๆ ทำให้ความง่วงที่จู่โจมก่อนหน้านี้ค่อยคลายลงไปบ้าง
“ขอบคุณนะหมี”
“ไม่เป็นไรเลย แต่...”
ถึงรอยยิ้มของจุ๋นจะสดใส แต่หมีก็อดสังเกตรอยคล้ำใต้ตาไม่ได้ ปกติอีกฝ่ายดูแลสุขภาพตัวเองอย่างดีทำให้ผิวหน้าพลอยสดใส พอมีอะไรเปลี่ยนไปจึงสังเกตได้ง่าย
“ดูเหนื่อยๆ รึเปล่าจุ๋น ใต้ตา…” หมีจะชี้ที่ตาของจุ๋น แต่ก็เปลี่ยนมาชี้ที่ตาตัวเองแทน คำพูดที่อยากเอ่ยเตือนก็หยุดลง เพราะคิดว่าไม่ควรไปวิจารณ์หน้าตาคนอื่นรึเปล่า แต่เขาก็เป็นห่วงนี่สิ
“มันคล้ำใช่มั้ย เพราะนอนดึกนิดนึงน่ะ ทักทั้งหมีทั้งแม่เลย ทีหมีตาคล้ำเรายังไม่ทักเลย”
“ก็ของเรามันปกตินี่นา แล้วก็ขอโทษนะ ไม่ได้จะทำให้เสียความมั่นใจ เราแค่เป็นห่วง”
“เข้าใจ แต่เป็นอย่างนี้ก็เข้าคู่กันดีนะ”
ถ้าจุ๋นว่าอย่างนั้น หมีก็ควรจะดีใจมั้ยนะ เพิ่งเริ่มคุยกันจริงจังไม่กี่วัน ไม่มีของคู่กันสักอย่าง แล้วอย่างแรกที่คู่กันก็เป็นความคล้ำของใต้ตาซะนี่
“ว่าแต่ไม่เหนื่อยจริงๆ เหรอ”
“ไม่เหนื่อยๆ หมีดูนี่” จุ๋นพาหมีไปดูกล่องกระดาษขนาดใหญ่ที่ใส่ตุ๊กตาต้นกล้าไว้ ตอนนี้มีอยู่ห้าตัวแล้ว ที่ให้หมีดูก็ไม่ใช่ว่าจะโชว์อย่างเดียว แต่จะให้ตรวจดูด้วยว่างานละเอียดเรียบร้อยรึเปล่า
“ดูกี่ทีก็ทึ่งนะ เย็บเหมือนกันทุกอย่างเลยเนี่ย”
หมีไม่ได้ชมเอาใจ แต่สื่อความหมายอย่างนั้นจริงๆ ไม่ว่าจะหยิบตัวไหนมาเทียบกับตัวไหนก็ดูเหมือนกัน แต่เอ๊ะ เขาเพิ่งสังเกตว่ามันไม่ได้เหมือนกันหมดทุกอย่าง แต่ละตัวกลับมีชื่อหรือสัญลักษณ์ติดเสื้อต่างกันไป
“เอ๊ะ อันนี้จุ๋นเย็บเพิ่มเหรอ” หมีถามขึ้นขณะชูตุ๊กตาตัวหนึ่งที่มีดวงอาทิตย์สีฟ้าแทนตราโรงเรียนที่ควรอยู่บนอกเสื้อตุ๊กตา
“ใช่ เราทักไปถามลูกค้าตามโซเชียลที่เค้าให้มาอะ ว่าอยากทำอะไรที่เป็นของตัวเองคนเดียวมั้ย อย่างคนนี้ ชื่อคุณอาทิตย์ แต่เค้าชอบสีฟ้า เลยให้ปักแบบนี้”
“แต่จุ๋นปักตราโรงเรียนเสร็จแล้ว แล้วก็ถอนออกเหรอ หรือยังไง”
“เปล่าๆ เรานึกไอเดียนี้ได้ตั้งแต่ตอนทำตัวแรกแล้วน่ะ หมีไม่ว่าใช่เปล่าที่เราไม่ได้เย็บตามออริจินัล ขอโทษนะ เราไม่ได้ถามหมีก่อนเลย”
หมีส่ายหัว “ไม่เป็นไรเลย เราว่าแบบนี้ก็ดี ลูกค้าคงชอบกันมากเลย” พูดไปก็ยกตัวอื่นขึ้นมาดู มีตัวหนึ่งปักตราโรงเรียนแล้วให้ปักเป็นชื่อลูกค้าข้างล่าง อีกคนให้ปักเหมือนรอยสักรูปไฟไว้ที่หลังมือ ต่างคนก็ต่างจินตนาการ และช่างเป็นเอกลักษณ์ดีจริงๆ
แต่พอนึกถึงตุ๊กตาตัวเองที่ไม่ถูกดัดแปลงอะไรแล้ว ขนาดว่าเป็นตัวแรกจากฝีมือจุ๋น มันกลับดูไม่พิเศษ พอคิดก็เริ่มจะหงอยขึ้นมาแล้ว
“ของหมีอยากให้ปักอะไรเพิ่มเปล่า”
เหมือนจุ๋นรู้ว่าหมีคิดอะไรอยู่ พอถามขึ้นมาแบบนั้นคนฟังก็ดีใจจนจุ๋นเห็นภาพหูตั้งหางกระดิกซ้อนขึ้นมา หมีนิ่งคิดไปเป็นนาที แต่ก็ยังไม่บอกอะไร
“อือออ คิดไม่ออกอะ เอาไว้เดี๋ยวเราบอกทีหลังนะจุ๋น”
“ได้สิ”
“แล้วนี่กำลังซ่อมอะไรอยู่อะ” หมีเดินดูตามโต๊ะของจุ๋น เห็นกระดาษแผ่นหนึ่งถูกที่ทับกระดาษทับหัวไว้จึงหยิบขึ้นมาดู สลับกับสิ่งของบนโต๊ะ แล้วก็ดูกระดาษอีกครั้งหนึ่ง
“สิ่งนี้ กับในนี้มันเหมือนกันเหรอ”
จุ๋นหัวเราะออกมาเบาๆ ทันทีหลังจากได้ยินคำถาม จะมองว่าต่างกันก็ไม่แปลก ในเมื่อภาพวาดที่ปริ้นท์ออกมาเป็นตุ๊กตาแมวสีชมพูกำลังถือปลาทูสีขาว แต่สิ่งที่อยู่บนโต๊ะกลับเป็นก้อนสีชมพูกับชิ้นสีขาวที่รูปร่างก็ดูคล้ายปลาอยู่หรอก แต่สีขาวมันหม่นยิ่งกว่าตุ๊กตาน้องกระต่ายของหมีเสียอีก ส่วนของสีชมพูเองก็หม่นเหมือนกัน แถมตรงหน้า ตาก็หลุดไปข้างหนึ่ง ตรงส่วนที่เป็นหนวดก็ฉีกขาดจนนุ่นทะลักออกมา
“เจ้าของเค้าบอกว่าโดนหมาที่เลี้ยงไว้เอาไปฟัดน่ะ คือตุ๊กตาก็เก็บไว้ในห้องนอนนะ แต่อาจจะงับประตูไม่สนิทมั้ง กลับบ้านมาก็กระจายเต็มบ้านแล้ว”
“เป็นเราเจองี้ใจสลายแน่”
“อื้อ แล้วเจ้าของ เอ้ย คือคนที่เล่าให้เราฟังเป็นคุณแม่ ส่วนเจ้าของจริงๆ คือน้องแค่ห้าขวบเอง”
“โธ่”
จากความทึ่งกลายเป็นความสงสาร แต่หมีไม่รู้จะปลอบเด็กที่เขาไม่รู้จักยังไง จึงเลือกที่จะลูบหัวตุ๊กตาซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่ยังเหลือ แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังสงสัยในกระบวนการซ่อมอยู่ดี
“แล้วอย่างนี้จุ๋นจะซ่อมยังไง ซ่อมไม่ได้แล้วนะ”
“ถ้าตรงหัว ก็เอาผ้าทับของเก่าไปเท่าที่ทับได้ ให้ยังมีชิ้นส่วนของเก่าไว้ ส่วนที่อื่น พูดตรงๆ ก็เหมือนสร้างใหม่แหละ ตอนแรกที่เราซ่อมแล้วเจอเคสประมาณนี้ ก็ตกใจนะว่าขนาดนี้ยังให้ซ่อมเหรอ แต่สำหรับเค้าแล้วมันเป็นตุ๊กตาตัวเดียวที่สำคัญที่สุดนี่นะ แทนที่จะได้ตุ๊กตาตัวใหม่ เค้าก็อยากได้ของเดิม”
“จุ๋นใจดีจัง…”
ยิ่งเห็นจุ๋นพูดถึงตุ๊กตาด้วยน้ำเสียงเอ็นดูแบบนั้น ความชอบของหมียิ่งถลำเข้าไปใหญ่ จะเรียกว่าตกหลุมรักซ้ำๆ ก็ได้ ใครจะไม่รักคนที่มีความคิดอ่อนโยนแบบนี้เล่า
“ใจดีแล้วหมีชอบเรารึเปล่า”
เหมือนโดนหมัดฮุก
หมีอ้าปากพะงาบ เริ่มสั่นขึ้นมาเมื่อโดนถามตรงๆ จะว่าไปพวกเขาก็ไม่เคยบอกชอบกันเลย ตอนตกลงจะคุยกันนี่ก็แค่ขอโอกาสจีบเท่านั้น และทั้งที่ความรู้สึกมีอยู่เต็มหัวใจ หมีกลับพูดไม่ออก แต่ก็กลัวว่าถ้าไม่พูดไป คนรอฟังจะเสียใจรึเปล่า
“ชอ.. เอ่อ ชะ ชะ.. ชอบ… สิ…” ยิ่งพูดเสียงยิ่งเบาลงเรื่อยๆ แม้จะเอ่ยคำว่าชอบออกไปก็ได้แต่ก้มหน้างุด ไม่กล้ามองหน้าจุ๋นตรงๆ ด้วยซ้ำ อายขึ้นมาเสียแล้วเมื่อรู้สึกว่ามีแค่ตัวเองที่ดูจะสั่นขนาดนี้อยู่คนเดียว เพราะตอนนี้คนตรงหน้าเองก็เงียบไป
แต่พอลองเหลือบตาขึ้นมามองจุ๋นแล้ว กลับเห็นว่าอีกฝ่ายเองก็ยกมือขึ้นปิดปาก หันเบี่ยงหน้าอยู่ ใบหูก็ขึ้นสีแดงเสียด้วย นี่จุ๋น.. กำลังเขินเหมือนกันรึเปล่านะ…
“เดี๋ยว หมีอย่าเพิ่งมองสิ” พูดแล้วก็หันหลังให้ ทำเอาหมีสงสัยขึ้นมาเสียแล้ว
“จุ๋นก็เขินเหรอ”
“ใช่น่ะสิ เราไม่ได้มีคนบอกชอบมานานแล้วนะ”
“ก็ปกติจุ๋นดูสบายๆ ตลอดเลยนี่นา”
“มันก็ต้องมีขอบเขตกันบ้างสิ”
ดูเหมือนจุ๋นจะควบคุมความเขินได้แล้วถึงได้หันกลับมา แต่ถึงจะกลับมามองหน้าหมีด้วยสีหน้าปกติแล้ว ใบหูคู่นั้นก็ยังขึ้นสีอยู่ดี ร่างกายคนเรานี่มันโกหกไม่เป็นจริงๆ สินะ ตอนนี้หมีเขินจุ๋นซะส่วนใหญ่จนบางทีก็ท้อกับตัวเอง ตอนนี้เริ่มคิดขึ้นมาแล้วว่า ตัวหมีเองก็อยากจะทำให้จุ๋นเขินบ้างจังเลยนะ คงจะน่ารักน่าดูเลยล่ะ
มื้อเย็นวันนี้คุณแม่จ๋าซ้อนท้ายจักรยานของหมีพากันไปซื้อสุกี้น้ำหมูเจ้าโปรดจากตลาด มันเกิดจากที่ว่าจุ๋นอยากกินสุกี้เจ้านี้ แต่ด้วยงานในมือทำให้ไม่สามารถผละไปกินข้างนอกได้ ทั้งสองคนจึงอาสาไปซื้อให้ ถึงคุณแม่จ๋าจะบ่นเพราะขี้เกียจล้างจานก็เถอะ แต่พอหมีบอกว่าเดี๋ยวล้างให้ เธอก็ยอม
พอหมีโทรมาบอกว่าออกจากร้านแล้ว จุ๋นก็จัดแจงเตรียมจานชามไว้ให้ ชามสองใบของเขากับแม่ และจานของหมีที่จะกินสุกี้แห้ง ระหว่างนั้นคนอยู่บ้านก็แตะหน้าผากและคอตัวเองเป็นพักๆ ไม่กล้าบอกใครว่าที่จู่ๆ อยากกินสุกี้ร้อนๆ เพราะรู้สึกหนาวแปลกๆ ขึ้นมา
“มาแล้ว”
เป็นหมีที่เอ่ยเสียงใสพลางถือถุงสุกี้เข้าบ้านมาก่อน ทั้งสองคนช่วยกันเทอาหารใส่จานชาม กลิ่นหอมของสุกี้เตะจมูกจนท้องแทบร้อง
หลายวันแล้วที่หมีมาฝากท้องตอนเย็น กินข้าวเย็นไปดูรายการข่าวตอนเย็นไปพร้อมกับสองแม่ลูก พวกเขาไม่ค่อยได้คุยกันตอนทานอาหารหรอก เพราะส่วนใหญ่คุณแม่จ๋าจะวิจารณ์ข่าว บทสนทนาเลยมีแต่ข่าวทั้งนั้น แต่วันนี้เธอกลับยกเรื่องอื่นขึ้นมา
“เอ้อ พรุ่งนี้หมีมาอยู่ป็นเพื่อนจุ๋นแต่เช้าก็ได้นะ น้าไม่อยู่”
“ไปเที่ยวเหรอครับ”
“ใช่ ทริปกับสาวๆ เพื่อนสมัยมัธยมโน่นแน่ะ มะรืนนี้ก็กลับ”
ถึงจะไม่ค่อยดีกับคุณแม่จ๋า แต่หมีก็นึกดีใจขึ้นมาที่จะได้อยู่กับจุ๋นสองต่อสอง แต่เช้าด้วย ที่เขาไม่กล้ามาบ้านนี้เร็วเพราะเกรงใจคุณแม่นี่ล่ะ
“ไปไหนเหรอครับ”
“พิษณุโลกจ้า”
“งั้นพรุ่งนี้เราซื้อปาท่องโก๋มามั้ยจุ๋น” หมีเสนอขึ้นมาเพราะรู้ว่าปกติข้าวเช้าที่จุ๋นกินเป็นกับข้าวที่แบ่งไว้หลังจากใส่บาตร พอคุณแม่จ๋าไม่อยู่ก็คงไม่ใส่ล่ะมั้ง ถึงได้ลองชวนอีกฝ่ายกินสิ่งที่ไม่ค่อยได้กินบ้าง
“หมีตื่นไม่ทันหรอกมั้ง”
พอจุ๋นพูดขึ้นมาคุณแม่ก็หัวเราะตามไปด้วย รู้กันทั้งบ้านแล้วว่าหมีตื่นสาย ถึงจุ๋นจะรู้เพราะเคยคุยกันก็เถอะ แต่สำหรับคุณแม่จ๋าแล้ว เธอรู้เพราะเคยทักว่าหมีไม่เคยมาบ้านช่วงเช้าเลย หมีจึงบอกว่าเขาตื่นสายแต่ไม่ได้บอกว่าตื่นสายเต็มที่ก็สิบโมง ไม่รู้ว่าคุณแม่จะคิดว่าเขาตื่นเที่ยงหรือไม่
“คอยดูเลย วันที่เราเอาน้องกระต่ายมาซ่อมเรายังตื่นเช้าเลย”
“มาๆ มาแต่เช้าแล้วก็มานอนกลางวันเอาที่นี่ก็ได้”
“แล้วคุณน้าเอาปาท่องโก๋ด้วยมั้ยครับ”
“ไม่เอาหรอก เพื่อนมารับน้าตั้งแต่หกโมง เดี๋ยวค่อยไปกินที่สถานีรถไฟ”
พอพูดถึงสถานีรถไฟคุณน้าก็คุยจ้อเลยว่าถึงเธอจะเคยขึ้นรถไฟหัวลำโพงหลายครั้งแต่เพิ่งเคยไปที่บางซื่อครั้งแรก แล้วก็เลยไปพูดถึงการเดินทางด้วยรถไฟสมัยก่อน หมีเองก็ร่วมคุยด้วยอย่างสนุกเพราะสมัยเรียนเขาก็ขึ้นรถไฟไปเที่ยวกับเพื่อนบ่อยเหมือนกัน
จุ๋นเองก็มีประสบการณ์แต่เขาได้แต่นั่งฟังทั้งสองคนคุยกัน พูดเสริมบ้างหัวเราะไปด้วยบ้างเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย เพราะตอนนี้ในหัวของจุ๋นมีเพียงอย่างเดียวคือกินข้าวเสร็จต้องรีบไปกินยา คืนนี้ก็ต้องนอนเร็วหน่อยแล้ว
ตัวรุมๆ แบบนี้ ไม่รีบรักษาไข้ได้มาแน่ เขาไม่อยากให้แม่รู้เลยว่าไม่สบาย กว่าเพื่อนแม่จะว่างพร้อมกันก็รอมาเป็นปี จะให้แม่ยกเลิกทริปเพราะเขาไม่ได้เด็ดขาด