ทุกการกระทำล้วนมีเหตุผล… แต่เหตุผลอะไรกันล่ะที่ทำให้คน ๆ หนึ่งปิดชีพคนที่ตัวเองเรียกว่า ‘เพื่อน’ ได้?
ลึกลับ,ชาย-ชาย,จิตวิทยา,อาชญากรรม,รัก,ทิวจันทร์,๑๔,แฟนเก่า,ดรามา,โรแมนติก,ปริศนา,ฆาตกรรม,สืบสวน ,bl,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะทุกการกระทำล้วนมีเหตุผล… แต่เหตุผลอะไรกันล่ะที่ทำให้คน ๆ หนึ่งปิดชีพคนที่ตัวเองเรียกว่า ‘เพื่อน’ ได้?
จิณณ์ ถูกพบเสียชีวิตในคืนวันเกิดตัวเอง เจ้าหน้าที่สรุปเป็นการทำอัตวินิบาตกรรม
แต่ 1 ปีถัดมา… บุคคลปริศนาได้ส่งข้อความหาเพื่อสนิท(?)ของจิณณ์ทั้ง 6 คน
ข้อความระบุว่า 1 ในพวกเขาคือฆาตกร… มันหมายความว่ายังไงกัน?
กันต์ยกแก้วน้ำมะพร้าวนมสดปั่นของโปรดขึ้นจิบอึกหนึ่งพร้อมกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ร้านอย่างตั้งใจสำรวจ ร้านอาหารตามสั่งของป้าศรีคนดีคนเดิมที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโรงเรียนมัธยมที่เขาเคยศึกษาเล่าเรียน
แม้วันนี้เขาจะมากับทิวแค่สองคน แต่พวกเขายังคงได้รับสิทธิพิเศษในการนั่งโต๊ะวีไอพีเจ็ดที่นั่งเหมือนเคย จริง ๆ แค่โต๊ะมันอยู่ในสุด ลูกค้าส่วนมากคงเลือกนั่งกันแค่บริเวณด้านหน้าเท่านั้นแหละ แค่กินข้าวเดี๋ยวเดียว ไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันในการเลือกที่นั่งมาก
บรรยากาศภายในร้านยังคงเหมือนเดิมตามความทรงจำล่าสุดของกันต์ ก็แน่สิ เขาเพิ่งจบการศึกษาจากโรงเรียนไปไม่กี่ปีเองนี่นา จะไม่เปลี่ยนเลยก็ไม่แปลก และนอกจากร้านที่ไม่เปลี่ยนไปแม่ค้าก็ยังคงลำเอียงไม่เปลี่ยนแปลง สีหน้าป้าศรีตอนทักทายกันต์กับทิวนั้นต่างกันอย่างเห็นได้ชัดไม่แม้แต่จะพยายามปิดบังเลยสักนิด เธอยิ้มทักทายกันต์ก็จริง แต่พอได้เห็นหน้าไอ้หนุ่มตี๋ที่เดินตามด้านหลังมาเท่านั้นแหละ ยิ้มทีนี่ปากแทบจะฉีกถึงหู
แม่ค้าสาวสวยวัยกลางคนยืนอยู่หน้ากระทะร้อน กำลังผัดอาหารอย่างคล่องแคล่วด้วยความช่ำชอง สายตาจดจ่ออยู่กับอาหารในกระทะแต่ก็ยังไม่ลืมที่จะหันไปยิ้มรับคำทักทายจากลูกค้าด้วยความเป็นกันเอง และเมื่อทุกอย่างในกระทะสุกจนได้ที่ เธอบรรจงเทลงบนข้าวสวยร้อน ๆ บนจานก่อนจะตะโกนเรียกลูกสาวของตนให้ยกจานไปเสิร์ฟที่โต๊ะลูกค้าคนโปรด
“ขอบคุณครับ สุดสวย” กันต์กล่าวพร้อมยิ้มให้เด็กสาวน่าตาน่ารักที่คุ้นเคย
เด็กสาวในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวที่ถูกพับไว้ลวก ๆ จนเกือบถึงข้อศอกกับกระโปรงนักเรียนสีกรมท่า สุดสวยเป็นลูกสาวของป้าศรีและเป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนของพวกเขา
ชายหนุ่มทั้งสองคนเงยหน้าขึ้นพร้อมเลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ มองร่างเด็กสาวที่ยังคงยืนอยู่หลังจากส่งจานอาหารให้หมดแล้ว เธอยืนกอดอกไว้หลวมแล้วพยายามยืนหันข้างโดยไม่พูดไม่จาสักคำ ทำให้เครื่องหมายคำถามยังคงแปะแน่นอยู่บนหน้าผากของคนทั้งครู่ และความเงียบระคนความงุนงงยังคงดำเนินต่อไป
เด็กสาวขยับช่วงต้นแขนเล็กน้อยอย่างต้องการจะอวดบางสิ่ง
“โอ้โห!” เป็นกันต์ที่สังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างนั้น “นี่เราเป็นสภานักเรียนเหรอ”
มันคือปลอกแขนสีม่วงอ่อนที่มีตราสัญลักษณ์ประจำโรงเรียนและด้านบนเขียนว่าสภานักเรียน
“ดูดี ๆ ค่ะ” เด็กสาวเอ่ยพร้อมจิ้มไปที่ปลอกแขนตัวเอง
“เป็นประธานนักเรียนด้วย” กันต์เอ่ยด้วยน้ำเสียงชื่นชมยินดีพลางปรบมือไปด้วยแล้วเอ่ยต่อ “ว่าแต่ประธานนักเรียนแต่งตัวไม่ค่อยจะเรียบร้อยเลยนะ พับแขนเสื้อขึ้น เสื้อก็หลุดจากกระโปรงแล้วเนี่ย”
“ไม่เป็นไรหรอกพี่ มันเลิกเรียนแล้ว ไม่มีใครเห็นหรอก”
ระหว่างที่บทสนทนาดำเนินไป เธอสังเกตเห็นได้ว่ามีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งนั่งเงียบไม่มาร่วมวงเหมือนเคย จึงหันไปถามพลางเอียงใบหน้าเล็กน้อย
“พี่ทิวไม่พูดเลย เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“เฮิร์ตอยู่ โดนทิ้งมา” เป็นกันต์ที่ตอบแทนอีกคน
ทิวเตะขาเพื่อนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเบา ๆ พร้อมส่งสายตาอาฆาตไปให้
“ไม่นะ” เด็กสาวใช้สองมือจับหมับเข้าที่สองข้างแก้มของชายหนุ่มผิวขาวพร้อมจับหันซ้ายหันขวาพลิกไปพลิกมาขณะพูดต่อ “ผู้หญิงที่กล้าทิ้งพี่ได้ ต้องเสียสติไปแล้วแน่ ๆ หล่อ อบอุ่น แสนดีขนาดนี้”
สุดสวยเป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนของทั้งคู่ก็จริงนะ แต่ด้วยระดับชั้นมัธยมต้นและมัธยมปลายนั้นเรียนอยู่คนที่ กล่าวคือโรงเรียนของพวกเขามีการแบ่งเป็นโรงเรียนมัธยมต้นและโรงเรียนมัธยมปลาย ซึ่งตอนอีกฝ่ายขึ้นม.4 กันต์และเพื่อน ๆ จบการศึกษาพอดี นั่นจึงทำให้เจ้าตัวไม่รู้หรือตอนพวกเขามาร้านอาจไม่ได้สังเกตว่าแฟนของทิวก็คือจันทร์ หนุ่มหล่อมาดนิ่งในกลุ่ม
ทันใดนั้น น้ำเสียงสดใสของเด็กสาวที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากทางหน้าร้าน เรียกความสนใจจากคนทั้งสามให้หันไปมอง
“คุณป้าคะ เหมือนเดิมสองจานค่ะ”
“ไอรีณ! ยู!” สุดสวยยกมือขึ้นโบกไปมาในอากาศทักทายผู้มาใหม่และเป็นการกวักเรียกไปด้วยกราย ๆ
เด็กสาวผมบลอนด์เข้มเดินเข้ามาใกล้ขึ้นพร้อมเพื่อนสนิทชายหน้านิ่งซึ่งเดินตามหลังมาติด ๆ เด็กสาวผู้มาใหม่เผยใบหน้าตกใจเพียงชั่วครู่ แต่ก็ประนมมือขึ้นไหว้ทักทายชายหนุ่มที่อายุมากกว่า อาจจะมากกว่าไม่กี่ปีแต่การไหว้ก็ถือเป็นการทักทายที่น่ารักแหละนะ กันต์และทิวมีใบหน้าตกใจเล็กน้อยก่อนจะรับไหว้
“ไอเพิ่งเลิกเรียนเหรอครับ” ทิวถามเมื่ออีกฝ่ายเดินมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะ
“ใช่ค่ะ วันนี้เรียนค่อนข้างเยอะ”
ไม่รู้ว่าทิวคิดไปเองหรือเปล่าว่าเด็กสาวมีท่าทีที่ดูจะเกร็ง ๆ ไปหน่อย และกันต์เองก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวไปก่อนโดยไม่พูดไม่จาสักคำ
“ทั้งคู่รู้จักกันเหรอ” สุดสวยเลิกคิ้วถามพลางชี้นิ้วไปที่ไอรีณและทิวสลับกันไปมา
“ก็นิดหน่อย” เด็กสาวผมบลอนด์เข้มตอบ
“จริง ๆ พี่สอนพิเศษให้ไอกับยูน่ะ” ทิวเสริม
“สอนพิเศษ” สุดสวยขมวดคิ้ว แววตาฉายแววสับสน “มันสมองระดับไอ—”
“เราไปกันเถอะสวย” ไอรีณใช้มือปิดปากเพื่อนตัวเอง ไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้พูดอะไรไปมากกว่านี้ “ไอขอตัวก่อนนะคะพี่ทิว ไปเร็วยู” ว่าจบก็ดึงตัวเพื่อนให้เดินไปด้วยกันนั่งลงตรงโต๊ะบริเวณด้านหน้าร้านห่างกับโต๊ะของทิวประมาณหนึ่ง
“เป็นอะไรกัน” ชายหนุ่มมองตามอย่างไม่เข้าใจในท่าทีร้อนลนของเด็กสาว จากนั้นจึงหันกลับมามองคนตรงหน้าที่ยังคงตักข้าวเข้าปากคำแล้วคำเล่าไม่หยุด นี่ก็อีกคน ทำตัวแปลก ๆ
“ไก่ย่างกับองุ่นในท้องย่อยไปหมดแล้วเหรอวะ” เขาเอ่ยแซว
ไม่รู้ว่าบ้านคุณหนูกันต์เลี้ยงให้อด ๆ อยาก ๆ หรือเปล่า แต่ตั้งแต่เจอกันคุณหนูยังกินไม่หยุดเลย
“ก็กับข้าวรสมือป้าศรีมันอร่อย ทำไงได้”
“กูจะฟ้องน้ายุพิน ว่าคุณหนูกันต์แอบนอกใจอาหารที่น้ายุพินทำ”
กันต์ไม่ได้ตอบอะไรอีก ทำเพียงยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากแล้วส่ายหัวไปมา ทั้งคู่ลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้าทำให้ความเงียบก่อตัวขึ้น แต่เพียงไม่นานกันต์ก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
“มึงกับจันทร์เลิกกันตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”
เป็นคำถามที่เสียดแทงลึกเข้าไปในใจของทิว เขาชะงักไปเล็กน้อยและเลื่อนมือไปหยิบแก้วน้ำเปล่ามาดื่มหลังจากกลืนข้าวลงคอก่อนจะตอบคำถามที่แสนเจ็บปวดนั้น
“เมื่อเช้า”
แม้จันทร์จะบอกเลิกทิวมาตั้งแต่ช่วงปีที่แล้วและอาจจะมูฟออนไปแล้วด้วย แต่สำหรับทิวมันคือเมื่อเช้านี้เอง ทั้ง ๆ ที่ยังรักอยู่หมดหัวใจขนาดนี้ก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่าจันทร์ไม่ได้รักเขาแล้ว แม้ทิวจะยังหาคำตอบไม่ได้ว่าเขาพลาดตรงไหน
“มึงถามทำไม”
“แค่อัปเดตชีวิตเพื่อน ไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่งานศพ…” กันต์มองตรงไปยังเพื่อนที่นั่งอยู่ตรงหน้าอย่างพินิจพิจารณาปฏิกิริยาของเพื่อน
“นั่นสิ” ทิวตอบเสียงเรียบนิ่ง เงยหน้ามองคนตรงข้าม “มึงเป็นอะไรหรือเปล่าเพื่อน” เขาเอ่ยถามเมื่อเห็นท่าทีเพื่อนเปลี่ยนไป ต่างจากตอนที่เจอกันที่บ้านสิงห์
“เป็นอะไรคือ…?” กันต์ขมวดคิ้ว เขาวางช้อนกับส้อมลงแล้วยื่นมือซ้ายไปคว้าแก้วน้ำมะพร้าวนมสดปั่นมาดื่ม
“มึง… แบบว่า เปลี่ยนไป”
“เปลี่ยนอะไร หล่อขึ้นเหรอ”
“ไม่ใช่” ทิวปฏิเสธทันควันแล้วจะพูดต่อแต่อีกฝ่ายแทรกขึ้นก่อน
“แหม ไม่ใช่จันทร์จะมองว่าหล่อบ้างไม่ได้เลยดิ”
ทิวถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “ช่างเหอะ ต่อปากต่อคำแบบนี้คงเหมือนเดิมแล้วแหละ”
ทิวรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวกันต์เปลี่ยนไปนิดหน่อยตั้งแต่ออกจากบ้านสิงห์ แต่ไม่แน่เขาอาจจะคิดมากไปเอง อาจเป็นเพราะจันทร์ไม่อยู่ กันต์ก็เลยไม่รู้จะยั่วเย้ากระเซ้าอะไรให้ทิวหงุดหงิดเล่น
ระหว่างตักข้าวเข้าปากทิวเหลือบไปเห็นสร้อยข้อมือลูกปัดสีเขียวหยกที่ข้อมือของเพื่อนตรงข้าม พลันนึกถึงข้อความล่าสุดของเจ้า Karma นั่นที่ส่งมาเป็นรูปภาพสร้อยข้อมือลูกปัดหินสีเขียวหยกแบบเดียวกับที่ข้อมือของกันต์ในตอนนี้ แต่อันในภาพเปื้อนคราบอะไรสักอย่างสีคล้ำ ๆ
สร้อยข้อมือลูกปัดหินสีเขียวหยกที่มีจี้รูปใบโคลเวอร์สี่แฉกสีเงินนี้เป็นของที่จิณณ์ให้เพื่อนทุกคนในช่วงก่อนสอบปลายภาคเรียนที่สองของชั้นม.5 เป็นของขวัญเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ ทิวไม่รู้ว่าเจ้านั่นต้องการสื่ออะไรที่ส่งมาแค่รูปภาพเศษซากสร้อยข้อมือนั้น แต่พอเห็นเพื่อนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามใส่อยู่จึงเอ่ยถามออกไป
“มึงยังใส่อยู่เหรอ”
“หือ?”
“สร้อยข้อมือ” ทิวชี้ไปที่สร้อยข้อมือที่แขนข้างซ้าย
“อ้อ ก็มันสวยดี แล้วเป็นของขวัญจากจิณณ์” กันต์ยกแขนขึ้นและพลิกไปพลิกมาเล็กน้อย “ทำไมจู่ ๆ ก็ถาม”
“ก็ไม่ทำไม” ทิวยักไหล่ “แค่ชวนคุยเรื่อยเปื่อย”
เขายังไม่อยากพูดถึงเรื่อง Karma กับใครไปมากกว่านี้ เพราะถ้าเจ้านั่นพูดจริงเรื่องมีฆาตกรที่ฆ่าจิณณ์อยู่ในกลุ่มพวกเขา เขาก็ขอไม่เสี่ยงที่จะพูดถึงมันก่อนแล้วกัน ถ้ายังไม่รู้แน่ชัดว่า Karma คือใครและฆาตกรที่เจ้านั่นพูดถึงคือใคร คงต้องพูดคุยปรึกษากับจันทร์ให้มากกว่านี้ก่อนที่จะพูดจะทำอะไร
“แล้วทำไมมึงไม่ใส่ เห็นชอบเครื่องประดับ แต่ไม่ชอบอันนี้เหรอ” กันต์ค่อย ๆ วางช้อนและส้อมลง ดันจานข้าวของตัวเองไปด้านหน้า ก่อนจะเท้าแขนลงบนโต๊ะแล้วโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อยรอฟังคำตอบจากอีกฝ่าย
“ไม่ใช่ไม่ชอบ” ทิวยกมือขึ้นโบกสะบัดไปมาทั้งที่ยังถือช้อนอยู่ในมือแล้วอธิบายต่อ “แต่มันขาด ตอนนี้ซากมันเลยอยู่ที่บ้านจันทร์”
“ขาด?”
“อือ” เขาตอบเพียงสั้น ๆ พลางตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปากแล้ววางช้อนและซ้อมลงอย่างเบามือ
“ยังไง” กันต์ถามอย่างต้องการรู้คำตอบอย่างต่อเนื่อง น้ำเสียงเรียบนิ่ง
ทิวได้ยินคำถามพลันก็เลิกคิ้วขึ้นแสดงความสงสัยก่อนจะกลืนข้าวลงคอแล้วเอ่ย “ยังไงอะไร”
“มันขาดได้ยังไง”
“จำเป็นต้องรู้ขนาดนั้นเลยเหรอ” ทิวถาม มองนิ่งไปยังนัยน์ตาอีกฝ่าย
ก่อนจะถอนหายใจออกมาแผ่วเบาเมื่อคนฝั่งตรงข้ามมองกลับมานิ่งไม่พูดอะไรจนทิวต้องพูดออกมาเอง “จันทร์ดึงขาด”
“อ๋อ…” กันต์พยักหน้าขึ้นลงเนิบช้าเป็นเชิงเข้าใจ
“กูต้องลงดีเทลไหมว่าจันทร์ดึงขาดยังไง”
“ไม่ ขอบคุณ”
เมื่อได้ยินดังนั้นทิวจึงลุกพรวดขึ้นจากก้าวอี้แล้วคว้าโทรศัพท์มือถือของตัวเองมาถือไว้
“ไปไหน” กันต์ถาม หน้าตางุนงงขณะมองตามการกระทำของเพื่อน
“กลับบ้านดิ ฝนซาลงแล้ว” ทิวยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินไปทางหน้าร้านเพื่อจ่ายเงินค่าอาหาร
“จะกลับแล้วเหรอลูก” น้ำเสียงเจือความอาลัยของป้าศรีเอ่ยถามเมื่อเห็นลูกชายคนโปรดกำลังสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อจ่ายเงินค่าอาหาร
“ครับแม่ พอดีวันนี้มีธุระ”
“เฮ้อ! เสียดายจัง กว่าจะได้เจอ”
“เดี๋ยวผมแวะมาบ่อย ๆ นะ” ทิวกล่าวพลางส่งยิ้มหวานให้
“งั้นเจอกันเพื่อน” กันต์ที่เดินตามหลังมาเอ่ยขึ้น
“อ้าว! ไม่กลับเหรอ เดี๋ยวไปส่ง” ทิวถามขณะสายตายังคงจดจ่ออยู่กับการกรอกรหัสแอปพลิเคชันธนาคาร
“ไม่ล่ะ เดี๋ยวกูเรียกรถกลับเองดีกว่า”
ทิวหันมองเพื่อนครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าแล้วเดินออกจากร้านมุ่งไปทางที่เขาจอดมอเตอร์ไซค์ไว้โดยมีกันต์เดินตามมาส่ง
“นั่นดิ คุณหนูกันต์จะนั่งมอ’ ไซค์ตากฝนได้ไง แม่รู้แม่ตีตายแน่” เขาเอ่ยแซวเมื่อเห็นว่าฝนยังโปรยปรายลงมาอย่างบางเบา
“ก็เหี้ยละ กูแค่ไม่อยากเสี่ยงตายกับมึง”
กันต์พลันนึกถึงเหตุการณ์ตอนซ้อนมอเตอร์ไซค์ทิวมาที่ร้านเมื่อไม่นานมานี้ สำหรับเขามันเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่าตอนขึ้นรถไฟเหาะที่สวนสนุกเสียอีก ไม่รู้ที่ผ่านมาจันทร์ยังรอดชีวิตอยู่ได้อย่างไร
“คุณหนู พูดเหี้ยได้ไง ไม่ดีเลยนะครับ”
“รีบ ๆ ไปเลย ไอ้เวร” คุณหนูกันต์ยกขาขึ้นแล้วเตะไปที่อีกคนเบา ๆ
ทิวหัวเราะชอบใจเมื่อพูดจากวนประสาทเพื่อนสำเร็จแล้วหยิบหมวกกันน็อกขึ้นมาสวม
“มึงบอกป้าศรีว่ามีธุระ” กันต์ยืนกอดอกมองเพื่อนที่กำลังขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ อีกฝ่ายบิดกุญแจสตาร์ตเครื่องยนต์แล้วหันมามองโดยไม่เอ่ยอะไร รอให้เพื่อนพูดต่อ “ธุระอะไร จะไปไหน”
คนถูกถามขมวดคิ้วด้วยความฉงนกับคำถามของเพื่อนที่ปกติจะไม่ถามอะไรกันมากมายขนาดนี้ “ถามจริง ๆ นะ มึงเป็นอะไรหรือเปล่าเพื่อน มึงดูจะสนใจชีวิตกูแปลก ๆ มึง… คิดอะไรกับกูหรือเปล่า”
“ฟ้าผ่าตายห่า ไม่ใช่โว้ย!” เขาทำทีเป็นลูบต้นแขนตัวเองไปมาเป็นเชิงว่าขนลุกกับคำพูดที่หลุดออกมาจากปากชายหนุ่มผิวขาวตรงหน้า
“กูโสดแล้วก็จริงนะ แต่มึงไม่ใช่ไทป์กูเท่าไหร่ว่ะคุณหนู โทษที”
“โว้ย! ก็บอกว่าไม่ใช่ไง”
“เออ ๆ กูล้อเล่น พูดเองยังขนลุกเองเลย ธุระที่ว่าคือจะไปส่งมึงแล้วแวะเอาหมวกกันน็อกไปคืนพี่เจ้าของร้าน” ทิวว่า พร้อมชูแขนข้างหนึ่งขึ้นซึ่งมีหมวกกันน็อกแขวนอยู่ “แต่มึงยังไม่กลับ กูเลยจะแค่เอาหมวกกันน็อกไปคืนแล้วคงกลับคอนโดฯ เลย… มีไรอยากรู้อีกไหม”
“ไม่แล้วก็ได้ ไปเถอะ” กันต์ถอนหายใจพร้อมยกมือขึ้นสะบัดไปมาเป็นเชิงไล่
ทิวเลื่อนมือมาดันเฟซชีลด์ของหมวกกันน็อกให้ปิดลงพร้อมยกมือขึ้นเล็กน้อยบอกลาอีกฝ่าย แล้วจึงค่อยบิดคันเร่งมอเตอร์ไซค์พาตัวเองออกสู่พื้นถนน
กันต์มองไล่หลังกระทั่งทิวขี่มอเตอร์ไซค์ลับสายตาไป เขาใช้ปลายนิ้วดันกรอบแว่นเล็กน้อยก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมารัวพิมพ์ข้อความหาใครบางคนด้วยใบหน้าเรียบนิ่งไร้อารมณ์
ชายหนุ่มผมขาวเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกงตามเดิม เขาก้มมองพื้นดินเปียกชุ่มใต้ฝ่าเท้าอีกครั้งก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกห่างจากพื้นที่ตรงนั้นมุ่งตรงไปยังบ้านไม้สองชั้น ใต้ถุนยกสูง หลังคาทรงปั้นหยา บ้านไม้หลังนี้เป็นมรดกตกทอดของครอบครัวสุพรรณไพศาล ตั้งอยู่ห่างจากเมืองหลวงเพียงหนึ่งชั่วโมง
ชายหนุ่มเดินผ่านประตู้ไม้เนื้อดีเข้ามายังตัวบ้าน สภาพเขาในตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากลูกหมาตกน้ำเลย เปียกปอนทุกอณูร่างกาย เสื้อเชิ้ตสีขาวเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน แขนเสื้อถูกดึงรั้งให้สูงขึ้นเหนือข้อศอกอย่างลวก ๆ ชายกางเกงสแล็กทั้งสองข้างถูกพับขึ้นไม่ต่างจากแขนเสื้อ บริเวณเข่าทั้งสองข้างเองก็เลอะโคลนไม่แพ้กัน
“เป็นไงบ้าง” เสียงเรียบนิ่งของเพื่อนสนิทดังขึ้นทันทีที่เห็นเขา
กิตติ์ในชุดเสื้อยืดแขนสั้นกับกางเกงขายาวนั่งอยู่บนโซฟาไม้สักยาวสีเข้ม ในมือถือผ้าขนหนูผืนเล็กกำลังเช็ดเส้นผมที่ชื้น เด่นเดินเข้าไปไกลก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงที่พื้น แผ่นหลังพิงไปกับโซฟา ขาข้างหนึ่งเหยียดตรงส่วนอีกข้างชันขึ้น
“ปกติ” เขาตอบเพียงสั้น ๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้าแล้วพูดขึ้นต่อ “แม่กูโทรมาบอกว่าพ่อกับแม่มึงถามหาอยู่”
“เหรอ” กิตติ์ตอบน้ำเสียงเรียบนิ่ง ใบหน้าไม่แสดงอาการใด ๆ
“เขาอยากให้มึงกลับบ้าน”
“อือ”
“อือ? อือคืออะไร จะกลับบ้านไหมคืนนี้ หรือนอนนี่”
กิตติ์นิ่งเงียบไม่ตอบ ทำเพียงถอนหายใจเบา ๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย “มึงคิดว่าเป็นฝีมือใคร” เขาหยุดมือจากการเช็ดผมแล้วทิ้งตัวพิงพนักโซฟาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเพดาน
เด่นนิ่งเงียบไม่ตอบในทันที และส่ายหน้าให้กลับการเปลี่ยนเรื่องคุยแบบกะทันหันของเพื่อน แค่นี้เขาก็พอเดาได้ว่าเพื่อนต้องการอะไร เขามองตรงไปด้านหน้าพลางปลายนิ้วก็ลูบไปที่รอยสักที่อุ้งมือของตัวเองอย่างกำลังใช้ความคิดก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
“ไม่แน่ใจ… ทำได้ถึงขนาดนี้คงใกล้ตัว ใกล้จนคาดไม่ถึง”
“กูเหรอ?” กิตติ์ถามติดตลกเพื่อลดความตึงเครียดในอากาศที่เริ่มมีมากขึ้นแม้สุ้มเสียงจะไม่ฟังดูเป็นเช่นนั้น
เขาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแล้วหันมองเพื่อนที่เอียงหน้าขึ้นมามองพร้อมรอยยิ้มขบขันและเสียงหัวเราะในลำคอเล็กน้อย
“ไม่มีเรื่องไหนที่มึงทำแล้วกูไม่รู้ กิตติ์”
“ที่พูดมาก็มีเหตุผล” กิตติ์เปลี่ยนเป็นนั่งขัดสมาธิบนโซฟาไม้และก้มศีรษะเพื่อที่จะเช็ดผมต่อ
“แล้วมึงคิดว่าใคร” เด่นถามบ้าง
กิตติ์ไม่ตอบทันที เขายังคงเช็ดเส้นผมที่หมาด ๆ ไปอีกสักพักก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นเมื่อผมเริ่มแห้งจนอยู่ในระดับที่พอใจแล้วตอบคำถามอีกฝ่าย
“มีโอกาสเป็นกันต์อยู่นะ สนิทกับจิณณ์สุด อยู่ด้วยเป็นคนสุดท้าย แล้วในงานศพก็ดูนิ่ง ๆ”
เด่นพยักหน้าเบา ๆ “เออ ก็จริง… มีความเป็นไปได้สูงนะคนใจเย็นแบบนั้น” เขาหยุดนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนเสนอเป้าหมายอีกคนที่น่าจะเป็นไปได้ “หรือจะเป็นสิงห์?”
“กูว่าไม่ ถ้าจะทำอะไรแบบนี้ได้ต้องเป็นพวกหัวเย็น ไอ้สิงห์ห่างไกลกับคำว่าหัวเย็นเกิน ถ้าเป็นจริงป่านนี้คงระเบิดไปแล้ว”
เด่นหัวเราะในลำคอเมื่อนึกภาพตามที่เพื่อนพูด สิงห์เป็นคนที่หัวร้อนง่ายที่สุดในกลุ่ม ถ้าจะให้มาทำอะไรที่ลึกลับและต้องอาศัยความอดทนแบบนี้ ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะฉะนั้นตัดสิงห์ทิ้งได้เลย
“แล้วจันทร์ล่ะ? ไม่ค่อยพูด”
กิตติ์หรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะเอายตอบช้า ๆ “มีความเป็นไปได้… แต่ถ้าใช่จริง กูคงตกใจมาก”
“ทำไม”
“จันทร์ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องทำแบบนี้หรือเปล่า… ไม่รู้ดิ แบบว่า คนอย่างจันทร์อะนะ?”
เด่นเงียบนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่นออกมาเบา ๆ “บางที… คนที่เราคิดว่าไม่มีอะไร อาจเก็บงำอะไรไว้หรือเปล่า”
“เหรอ…?” กิตติ์เอ่ยพลางทำท่าคิดตามก่อนจะโยนผ้าขนหนูที่ใช้เช็ดผมเมื่อครู่โยนให้เพื่อนสนิทเป็นเชิงไล่ให้ไปอาบน้ำได้แล้ว
“จะว่าไป…” เด่นพาดผ้าขนหนูไว้ที่บ่า เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพร้อมปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกทีละเม็ด “ทิวก็น่าสงสัยใช่ย่อยนะในคืนนั้นที่เราออกมา กูเห็นทิวมันยืนทำอะไรไม่รู้อยู่หน้าบ้านก้มหาอะไรอยู่สักอย่าง”
เขาหันไปมองเพื่อนสนิทที่นั่งนิ่งอยู่บนโซฟาไม้สัก ทั้งคู่สบตากันนิ่ง ไม่พูดอะไรต่อ มีเพียงเสียงร้องของเหล่าจักจั่น จิ้งหรีด กบ เขียดที่ดังระงมระคนปนเปกันอยู่รอบบริเวณบ้าน
“มึงจะเอาไง” เด่นพูดทำลายความเงียบ “มึงจะออลอินไปที่ใคร แค่มึงพูดมากูทำจัดการให้มึงได้ทุกอย่าง”
“จันทร์”