ทุกการกระทำล้วนมีเหตุผล… แต่เหตุผลอะไรกันล่ะที่ทำให้คน ๆ หนึ่งปิดชีพคนที่ตัวเองเรียกว่า ‘เพื่อน’ ได้?

dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ - บทที่ ๕ ชัดเจน โดย Duck Me! @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ลึกลับ,ชาย-ชาย,จิตวิทยา,อาชญากรรม,รัก,ทิวจันทร์,๑๔,แฟนเก่า,ดรามา,โรแมนติก,ปริศนา,ฆาตกรรม,สืบสวน ,bl,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ลึกลับ,ชาย-ชาย,จิตวิทยา,อาชญากรรม,รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ทิวจันทร์,๑๔,แฟนเก่า,ดรามา,โรแมนติก,ปริศนา,ฆาตกรรม,สืบสวน ,bl

รายละเอียด

dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ โดย Duck Me! @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ทุกการกระทำล้วนมีเหตุผล… แต่เหตุผลอะไรกันล่ะที่ทำให้คน ๆ หนึ่งปิดชีพคนที่ตัวเองเรียกว่า ‘เพื่อน’ ได้?

ผู้แต่ง

Duck Me!

เรื่องย่อ

จิณณ์ ถูกพบเสียชีวิตในคืนวันเกิดตัวเอง เจ้าหน้าที่สรุปเป็นการทำอัตวินิบาตกรรม

แต่ 1 ปีถัดมา… บุคคลปริศนาได้ส่งข้อความหาเพื่อสนิท(?)ของจิณณ์ทั้ง 6 คน

ข้อความระบุว่า 1 ในพวกเขาคือฆาตกร… มันหมายความว่ายังไงกัน?

สารบัญ

dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทนำ สุขสันต์วัน ‘ตาย’,dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๑ ข้อความ,dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๒ ตามรอย (๑/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๒ ตามรอย (๒/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๓ วันวาน (๑/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๓ วันวาน (๒/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๔ บาดแผล (๑/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๔ บาดแผล (๒/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๕ ชัดเจน,dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๖ อดีต (๑/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๖ อดีต (๒/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๗ เจ้าป่า

เนื้อหา

บทที่ ๕ ชัดเจน

มอเตอร์ไซค์คันดำเคลื่อนตัวมาอยู่หน้าซอยก่อนจะดับเครื่องลง สร้างความฉงนให้คนที่นั่งกอดถุงอาหารแมวอยู่ด้านท้ายเป็นอย่างมาก เพราะจากตรงที่เขาอยู่ถัดไปอีกไม่กี่หลังก็จะถึงบ้านเขาแล้ว


ไม่ปล่อยให้ความสงสัยเข้าครอบงำไปมากกว่านี้จันทร์จึงตัดสินใจถามออกไป “จอดทำไมวะ”


“มึงเดินต่อไปเองได้ไหม” จันทร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย มองตรงไปยังบริเวณรั้วหน้าบ้านที่คุ้นเคยที่อยู่ติดกันกับบ้านของเขาครู่หนึ่งก็เข้าใจได้ในทันที


เขาลงจากรถมอเตอร์ไซค์พยายามที่จะถอดหมวกกันน็อกด้วยมือข้างเดียวเพราะอีกข้างก็อุ้มอาหารแมวอยู่ เห็นดังนั้นทิวจึงช่วยคนตัวเล็กกว่าถอดพร้อมพูด


“ฝากความคิดถึงให้น้าดาร์ด้วย”


“อือ ขอบคุณมากที่มาส่ง”


ทิวถือหมวกกันน็อกไว้และใช้มืออีกข้างเสยผมที่ยุ่งเล็กน้อยของคนตรงหน้าให้เรียบร้อยขึ้นตามความเคยชิน


“กูรออยู่ตรงนี้นะ”


“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวกูไปมอเอง”


“ไม่ใช่สิงห์กูไปส่งมึงไม่ได้เลยงั้นดิ” แม้จะบอกตัวเองว่าต้องตัดใจและจกลับมาเเป็นเพื่อนกันตามปกติ แต่ปากเจ้ากรรมดันพลั้งพูดออกไปโดยไม่ทันคิด


จันทร์มองตรงไปยังร่างสูงบนมอเตอร์ไซค์ด้วยสายตาเรียบนิ่งไม่พูดอะไร ซึ่งเมื่อเป็นแบบนี้ทิวก็พอจะรู้ได้ว่าเขาควรพูดอะไรต่อ


“ขอโทษ” ทิวเอ่ยเสียงแผ่วพลางใช้มือลูบบริเวณต้นคอ “เอาเป็นว่ากูจะรอตรงนี้แล้วกัน”


“งั้นตามใจ” ว่าเสร็จจันทร์ก็หันหลังเดินต่อเข้าไปในซอย


ทางเดินในช่วงเช้าของหมู่บ้านค่อนข้างเงียบสงบ มีเพียงเสียงนกร้องเจื้อยแจ้วดังแว่วมาแต่ไกล มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกมะลิซ้อนลอยของบ้านหลังหนึ่งที่จันทร์เดินผ่านลอยมาตามสายลมอ่อนให้ความรู้สึกสดชื่น


และไม่นานนักจันทร์ก็เดินอุ้มถุงอาหารแมวมาจนถึงหน้าบ้านของตัวเอง แล้วเจอเข้ากับหญิงวัยกลางคนในเสื้อคอกลมแขนสามส่วนสีชมพูอ่อนกับกางเกงขายาวสีครีมยืนหันหลังให้ประตูรั้วพร้อมกับกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่


ชายหนุ่มค่อย ๆ วางอาหารแมวลงอย่างแผ่วเบาแล้วเดินย่องเข้าไปใกล้ผู้หญิงที่สวยที่สุดในบ้านซึ่งกำลังเพ่งความสนใจไปให้ต้นไม้ดอกไม้


“คิดถึงจังเลยครับ” เขาพูดออกมาในจังหวะที่พุ่งตัวจู่โจมเข้าไปสวมกอดอีกฝ่ายจากด้านหลัง


“จันทร์!” คนถูกสวมกอดสะดุ้งเล็กน้อยพร้อมตีเบา ๆ ไปที่แขนของชายหนุ่ม “แม่ตกใจหมด”


เธอผละออกจากอ้อมกอดของลูกชายแล้วเดินไปปิดน้ำ ม้วนสายยางที่ใช้รดน้ำต้นไม้เมื่อครู่เก็บให้เป็นระเบียบแล้วนำไปแขวนไว้ที่เดิม


“จะกินอะไรไหมลูก เดี๋ยวแม่จะทำให้กิน” เธอหันไปถามลูกชายที่กำลังเล่นกับแมวพันธุ์วิเชียรมาศตัวอ้วนกลมอยู่ ก่อนจะเดินนำเข้าบ้านไป


“ไม่ครับ ขอบคุณมาก พอดีจันทร์ต้องรีบ ทิวรออยู่” แม้จะเป็นเรื่องที่ยากแต่จันทร์จำเป็นต้องผละออกจากการเล่นกับแมว


เขายกถุงอาหารแมวขึ้นมาถือพร้อมเดินเข้าบ้านตามผู้เป็นแม่ไปพร้อมด้วยเจ้าแมวตัวกลมเดินตามเข้ามาติด ๆ


“พูดถึงทิว ก็ไม่ได้เจอนานแล้วนะ ว่าง ๆ ก็ชวนมากินข้าวที่บ้านบ้างสิลูก”


“เอ่อ…” จันทร์สบตากับผู้เป็นแม่พร้อมใช้สายตาเป็นเชิงชี้ไปทางข้างบ้าน


คนที่กำลังเช็ดเคาน์เตอร์ครัวอยู่เอามือป้องปาก ลืมไปเลยว่าทิวกำลังมีปัญหาอยู่


“ทิวเขาฝากความคิดถึงมาให้แม่ด้วย ถ้าอะไร ๆ มันดีขึ้น จันทร์จะชวนมานะครับ”


“จ้ะ” จันทร์ยิ้มให้แม่ตัวเองก่อนจะเดินขึ้นชั้นสองไปเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมพร้อมไปเรียน




วันแรกของการทำงานในสัปดาห์อย่างเช้าวันจันทร์แบบนี้ ที่ตึกคณะนิเทศศาสตร์จะไม่ค่อยมีผู้คนพลุกพล่านมากนัก เนื่องจากสาขาอื่นในเทอมนี้ไม่มีเรียนในช่วงเช้ากัน มีก็แต่สาขาภาพยนตร์ของจันทร์เท่านั้น


“ขอบคุณมาก” จันทร์กล่าวขณะตวัดขาลงจากมอเตอร์ไซค์ก่อนจะถอดหมวกกันน็อกออก พลางสายตาก็กวาดมองหาใครบางคน


“เลิกกี่โมง” ทิวเอ่ยถามอีกฝ่ายที่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจคำถามเขาเสียเท่าไหร่


“จันทร์”


เจ้าของชื่อหันมามองพร้อมเลิกคิ้วขึ้นแสดงถึงความสงสัยว่าอีกคนเรียกชื่อเขาทำไม “ว่าไงนะ”


“กูถามว่ามึงเลิกกี่โมง จะได้มารับ”


“น่าจะสามครึ่ง” จันทร์ตอบพร้อมหยิบโทรศัพท์มือถือที่จู่ ๆ ก็ส่งเสียงร้องออกมาจากกระเป๋ากางเกง


เห็นเป็นข้อความจากเพื่อนคนหนึ่งที่เขาส่งข้อความไปหาเมื่อวาน ใจความว่าเขาและเพื่อนอีกคนพอจะหาเวลามาเจอตามที่จันทร์ต้องการได้ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นทิวที่มองอยู่ด้วยสายตาที่อยากรู้ จันทร์จึงรายงานสถานการณ์ให้อีกฝ่ายทราบ


“กิตติ์บอกว่าหาเวลามาเจอได้”


“มีแค่กิตติ์เหรอ”


“อือ ตอนนี้มีแค่กิตตืตอบมาว่าจะหาเวลามาเจอพร้อมกันกับเด่น ให้บอกเวลานัดไป กูเลยบอกเจอกันเย็นนี้เลย” เขาพูดพร้อมเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกง ก่อนจะสอดส่องสายตามองหาใครบางคนอีกครั้ง


“ส่วนกันต์ยังไม่อ่าน”


“เดี๋ยววันนี้กูแวะไปมอก่อน เผื่อจะเจอกันต์จะได้ถามอีกที” ทิวพูดพร้อมบิดกุญแจสตาร์ตมอเตอร์ไซค์ “ช่วงนี้กิจกรรมที่มอเยอะ กันต์คงยุ่ง ๆ ด้วยแหละ”


จันทร์พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้และเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด


“ตั้งใจเรียนด้วย เดี๋ยวเย็นมารับ”


“อือ รู้แล้ว” จันทร์ตอบเพียงแค่นั้น


เมื่อได้ยินดังนั้นทิวจึงพาตัวเองและมอเตอร์ไซค์คันโปรดมุ่งออกไปยังจุดหมายที่ตั้งไว้ จันทร์มองไล่หลังจนทิวขี่ลับสายตาไปแล้วจึงกลับหลังหันเดินตรงเข้าไปยังตึกคณะเพื่อเข้าคลาสเรียนในช่วงเช้าด้วยความหวังที่ว่าสิงห์จะนั่งรอเขาอยู่ก่อนแล้วที่ห้องเรียน แต่นั่นก็เป็นแค่หวัง เพราะในคลาสเรียนเช้านี้ไม่พบแม้แต่เงาของชายหนุ่มหน้าคม


จันทร์กวาดสายตามองไปรอบห้องก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพร้อมทิ้งตัวนั่งลงตรงตำแหน่งที่นั่งประจำซึ่งอยู่ไม่ไกลมากจากปะตูทางเข้า เขากดเช็คข้อความอีกรอบ แต่ต่อให้จะเช็คข้อความอีกสักกี่สิบกี่ร้อยรอบก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สิบกว่าข้อความที่ส่งไปหาสิงห์ยังไม่มีวี่แววว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมาเร็ว ๆ นี้เลย โทรไปก็พบว่าอีกฝ่ายปิดเครื่อง


จันทร์เริ่มจมลงไปในห้วงความคิดของตัวเอง เหตุการณ์ประหลาดมากมายเกิดขึ้นติดต่อกันหลังจากได้รับข้อความจาก Karma คน ๆ นี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่เขาติดต่อสิงห์ไม่ได้หรือเปล่านะ ยิ่งอยู่คนเดียวก็ยิ่งถูกความคิดกลืนกิน เหตุการณ์ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เจอสิงห์มาจน ณ ปัจจุบันเริ่มรันฉากต่อฉากในหัว เขาพลาดอะไรไปหรือเปล่านะ วันนั้นสิงห์มารับเขาที่บ้านตามปกติเมื่อส่งถึงร้านสิงห์ก็กลับไปช่วยงานที่ร้านของพ่อเหมือนเคยและบอกว่าจะมารับหลังเลิกงาน แต่วันนั้นทิวมาคุยเรื่องข้อความนั่น แล้วเขาก็ส่งข้อความไปบอกสิงห์ว่าวันนี้มีธุระไม่ต้องมารับ และสิงห์ก็ไม่อ่านไม่ตอบอีกเลย


“จันทร์!” เสียงเพื่อนร่วมคลาสหนุ่มดังขึ้นพร้อมมือเรียวของอีกฝ่ายที่วางอยู่บนบ่าเรียกเจ้าของชื่อให้หลุดจากภวังค์ความคิด


“ว่าไง”


“เหม่ออะไรอยู่?”


“นิดหน่อย” จันทร์ตอบปัด “แล้วมึงมีอะไร”


“กูได้ข่าวมาว่าสิงห์โดนรถชน อาการเป็นไงบ้างวะ”


“สิงห์โดนรถชน… เมื่อไหร่” จันทร์เริ่มขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจสิ่งที่เพื่อนชายคนนี้พูด


“อ้าว! กูนึกว่ามึงรู้แล้ว วันก่อนไอ้โรมสาขาการแสดงมันไปทำธุระแถวหลังมอแล้วเห็นอุบัติเหตุพอดีเลยเข้าไปช่วย เห็นว่าชนแล้วหนี…”


ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะพูดจบประโยคดีนัก จันทร์ลุกพรวดขึ้นพร้อมยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อติดต่อใครบางคน “ขอบคุณมากมึง เจอกัน” และเขาก็ไม่ลืมที่จะหันไปขอบคุณเพื่อนคนนั้นที่นำข่าวมาบอก ก่อนจะเร่งฝีเท้าออกจากห้องไป


“ทิว ช่วยวนกลับมารับหน่อย” จันทร์พูดขึ้นทันทีเมื่อต่อสายติด พลางเร่งฝีเท้าไปรอทิวยังตำแหน่งเดิมที่เขาเพิ่งแยกจากกันเมื่อครู่ พร้อมกันนั้นก็พิมพ์บอกเด่นว่ายกเลิกนัดเย็นนี้ไปก่อนเพราะจะไปเยี่ยมสิงห์ ขอเลื่อนไปวันอื่น




เช้าวันจันทร์ในเมืองที่แสนเร่งรีบ เสียงแตรรถดังแว่วมาแต่ไกล ในขณะที่รถยนต์ซีดานคันสีดำเงาเคลื่อนตัวฝ่าการจารจรที่เริ่มหนาแน่นเป็นปกติทุกเช้า


แสงแดดอ่อน ๆ สาดส่องลอดผ่านกระจกรถหรูคันดำซึ่งจอดติดไฟแดงอยู่บริเวณสี่แยกใหญ่ ภายในรถมีเสียงเพลงคลอแผ่วเบาปะปนไปกับเสียงครางของเครื่องยนต์ที่กำลังอุ่นได้ที่ กลิ่นกาแฟจากแก้วในมือที่กิตติ์ยกขึ้นมาจิบลอยแตะปลายจมูก


“เมื่อคืนกูฝันแปลก ๆ” กิตติ์พูดขึ้นหลังจากวางแก้วกาแฟลงในช่องวางแก้วแล้วหันมองบรรยากาศนอกรถ


ชายหนุ่มผมสีขาวมุกที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยเหลือบมองคนด้านข้างเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปสนใจทางข้างหน้าตามเดิมเพราะสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว


“ฝันอะไร”


“เดินอยู่ในทางเดินที่มืด” กิตติ์พูดพลางก้มมองสร้อยข้อมือลูกปัดสีเขียวและใช้มือข้างหนึ่งสัมผัสมันอย่างแผ่วเบา “มีเสียงฝีเท้าเดินตามหลังพร้อมเสียงหัวเราะ… พอหันไปก็ไม่มีใคร”


เด่นเงียบไปครู่หนึ่งพร้อมเอื้อมมือไปหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาจิบบ้าง


แสงแดดที่ลอดผ่านเข้ามาได้ ตกกระทบลงบนจี้รูปใบโคลเวอร์สี่แฉกสีเงินของสร้อยข้อมือเขาเล็กน้อยพอให้ความเงาวาวบนจี้ได้สะท้อนแสงอ่อนของดวงอาทิตย์ แล้วเจ้าตัวจึงเอ่ยถามเสียงทุ้มต่ำเรียบนิ่งพร้อมเหลือบมองคนด้านข้างนิดหน่อย


“มึงยังใช้ยาอยู่หรือเปล่า”


กิตติ์เงียบไม่ตอบคำถามอีกฝ่ายแล้วหันมองข้างทาง ไม่ใช่การตอบรับหรือปฏิเสธออกมาตรง ๆ แต่คนฟังก็พอเข้าใจได้ว่าคำตอบของคำถามตัวเองนั้นคืออะไร


เด่นถอนหายใจยาวพลางคิ้วหนาก็ขมวดเข้าหากันแน่นอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ ความเงียบเข้าปกคลุมไม่มีใครพูดอะไรต่อ มีเพียงเสียงเพลงแผ่วเบาดังคลอไปกับบรรยากาศภายในรถที่เริ่มหนักอึ้ง


กิตติ์หยิบแก้วกาแฟขึ้นมาจิบอีกครั้งพลันเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าจากโทรศัพท์มือถือของตัวเองก็ดังขึ้น เขาจึงหยิบมันขึ้นมาดู


“มีอะไร” เด่นถามน้ำเสียงเจือความขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อย


“จันทร์ยกเลิกนัดเย็นนี้” กิตติ์ตอบพลางพิมพ์ข้อความ คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเนื่องจากอาการเวียนหัวนิด ๆ ที่เริ่มจู่โจม “บอกว่าสิงห์โดนรถชน”


“สิงห์โดนรถชน?” หนุ่มผมขาวมุกหลังพวงมาลัยขมวดคิ้วทวนคำที่ได้ยินอีกที “เป็นอะไรมากไหม”


“ไม่รู้ จันทร์บอกกำลังไปหาที่บ้าน” กิตติ์วางโทรศัพท์มือถือลง พิงหัวไปกลับพนักพิงพร้อมหลับตาและพยายามที่จะปรับลมหายใจเข้าออกช้า ๆ หวังจะช่วยบรรเทาอาการเวียนหัวที่เริ่มรุนแรงขึ้น


“เอาไง” เด่นถามขณะเปิดไฟเลี้ยวเตรียมเลี้ยวตรงแยกด้านหน้า


“เอาไงอะไร”


“อยากจะไปหาสิงห์ไหม”


“อือ ก็ควรนะ ยังไงก็… เพื่อนกัน”


คนขับทำการปิดไฟเลี้ยว เปลี่ยนเส้นทางมุ่งหน้าตรงไปทางบ้านเพื่อนสนิทสมัยมัธยมปลาย


“มึงว่าเขารู้มากน้อยแค่ไหน” กิตติ์เปรยเบา ๆ สายตายังคงมองนิ่งออกไปนอกถนน


เด่นนิ่งไปครู่หนึ่ง ปลายนิ้วตบไฟเลี้ยวเพื่อใช้อีกเส้นทางหนึ่งเลี่ยงรถติดช่วงเช้าก่อนตอบเสียงนิ่ง “ถ้ารู้มากคงพูดออกมาแล้ว”


“บางทีการไม่พูดออกมาก็อันตรายกว่านะ โดยเฉพาะ… คนแบบนั้น”


เขาไม่ตอบอะไรอีก ดวงตาจดจ่ออยู่ที่พื้นถนนเบื้องหน้า ภายนอกดูเฉยชา แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความคิดซับซ้อนซ้อนทับมากมาย เสียงเพลงแสนผ่อนคลายยังคงดังคลอต่อไป แต่ชายหนุ่มทั้งสองกลับไม่รู้สึกถึงความผ่อนคลายจากมันอีกเลย




มอเตอร์ไซค์เคลื่อนตัวเข้ามาจอดบริเวณหน้าบ้านเดี่ยวสองชั้นที่มีการออกแบบร่วมสมัยผสมผสานแนวคราฟต์แมน [1] หน่อย ๆ โดยไม่มีรั้วกำแพงกันหรือที่เรียกว่า Open Plan [2] 


จันทร์ถอดหมวกกันน็อกออกทันทีขณะที่เครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ยังดับไม่สนิทดีแล้วส่งให้ทิวอย่างรีบร้อน เขารีบพุ่งตัวไปยังประตูไม้สีเข้ม รัวกดกริ่งหน้าประตูทันทีพลางตะโกนส่งเสียงเรียกไปด้วย จากนั้นไม่นานก็มีเสียงทุ้มแหบพร่าที่คุ้นเคยขานรับดังออกมาจากอินเตอร์โฟน


“จะ-จันทร์…” น้ำเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อยเมื่อเห็นหน้าแขกผู้มาเยือนผ่านกล้องจากกริ่งสนทนา คิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความงุนงงแล้วเอ่ยถามต่อ “มีธุระอะไรหรือเปล่า”


“มี… มีเยอะด้วย” จันทร์ตอบเสียงนิ่งพยายามมองตรงไปที่กล้องตัวเล็ก ๆ ตรงกริ่งหน้าบ้าน “เดินมาเปิดประตูให้ก่อนได้ไหม”


“ได้… งั้นรอเดี๋ยวนะ”


ไม่นานประตูไม้ก็ถูกเปิดออก ปรากฏเป็นร่างสูงของชายผิวเข้มที่ตัวเองกำลังตามหายืนอยู่หน้าประตู แขนข้างซ้ายใส่เฝือก ส่วนหัวเข่าและบริเวณหน้าแข้งทางด้านซ้ายถูกพันด้วยผ้าพันแผลสีขาว ใบหน้าคมมีรอยแผลถลอกอยู่เล็กน้อย ร่างสูงของคนเจ็บใช้หลังพิงวงกบประตูไว้ก่อนจะพูดต่อพร้อมรอยยิ้มฝืน ๆ


“วันนี้มีเรียนนี่… ทิว มึงก็มาด้วยเหรอ” ประโยคหลังพูดด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่ค่อนข้างเซ็งอย่างไม่ปิดบัง รอยยิ้มที่มีหายไปทันควันเมื่อเห็นแขกอีกคนที่ยืนกอดอกอยู่ด้านหลัง


“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน หน้าตาดูมีความสุขมากเลยนะที่เห็นกู” ทิวพูดพร้อมเดินขึ้นหน้ามาเล็กน้อยแล้วตวัดแขนพาดบ่าจันทร์พร้อมรอยยิ้มยียวนนิด ๆ ตามประสาคนสนิท


“เข้ามากันก่อนดิ” สิงห์เอ่ยชวนแขกทั้งสองก่อนจะหันหลังพยายามเดินนำเข้าบ้านไป


จันทร์ปัดแขนแกร่งของทิวออกแล้วเดินเข้าไปช่วยพยุงสิงห์พากันเดินเข้าไปในบ้านก่อนจะหันหลังกลับมามองเล็กน้อย เห็นทิวที่ยังยืนอยู่หน้าประตูจึงถาม “ไม่เข้ามาด้วยกันหรือไง”


“ไม่ กูรออยู่ข้างนอกดีกว่า”


“ตามใจ” ทิวมองแผ่นหลังที่คุ้นเคยของอดีตคนรักและเพื่อนเดินห่างออกไป สองมือล้วงกระเป๋าพลางถอนหายใจ


แค่นี้ก็ชัดเจนพอแล้วหรือเปล่าว่าถึงเวลาที่ต้องตัดใจจริง ๆ แล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันจะเจ็บนิดหน่อย… หรือจะเจ็บมาก แต่ก็ไม่เป็นอะไร ใช่ว่าเขากับจันทร์เลิกกันเพราะสิงห์เสียหน่อย ทำไงได้ล่ะทั้งคู่เป็นเพื่อนของทิวนี่นา


เขาเอาสองมือล้วงกระเป๋ากางเกงยีนส์พร้อมถอนหายใจออกมา แล้วเดินคอตกตรงไปยังมอเตอร์ไซค์คู่ใจ เมื่อเปิดเบาะขึ้นก็จะมีเอกสารเกี่ยวกับมอเตอร์ไซค์มากมายที่ถูกทับด้วยกล่องเหล็กรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มากที่ถูกเก็บไว้ใต้เบาะมาเป็นเวลานานพอควร







[1] บ้านสไตล์คราฟต์แมน (Craftsman Style House) เป็นบ้านที่โดดเด่นด้วยงานฝีมือ และใช้วัสดุธรรมชาติเป็นหลัก เช่น ไม้ หิน อิฐ มีต้นกำเนิดจากขบวนการ Arts and Crafts Movement ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20


[2] Open Plan หรือ Open Space เป็นรูปแบบบ้านที่พบเห็นทั่วไปในอเมริกาและแคนาดา โดยเฉพาะในย่านที่อยู่อาศัยแบบชานเมืองที่มีพื้นที่สนามหญ้าหน้าบ้านต่อเนื่องถึงกันโดยไม่มีรั้วหรือกำแพงกัน