ทุกการกระทำล้วนมีเหตุผล… แต่เหตุผลอะไรกันล่ะที่ทำให้คน ๆ หนึ่งปิดชีพคนที่ตัวเองเรียกว่า ‘เพื่อน’ ได้?

dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ - บทที่ ๖ อดีต (๒/๒) โดย Duck Me! @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ลึกลับ,ชาย-ชาย,จิตวิทยา,อาชญากรรม,รัก,ทิวจันทร์,๑๔,แฟนเก่า,ดรามา,โรแมนติก,ปริศนา,ฆาตกรรม,สืบสวน ,bl,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ลึกลับ,ชาย-ชาย,จิตวิทยา,อาชญากรรม,รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ทิวจันทร์,๑๔,แฟนเก่า,ดรามา,โรแมนติก,ปริศนา,ฆาตกรรม,สืบสวน ,bl

รายละเอียด

dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ โดย Duck Me! @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ทุกการกระทำล้วนมีเหตุผล… แต่เหตุผลอะไรกันล่ะที่ทำให้คน ๆ หนึ่งปิดชีพคนที่ตัวเองเรียกว่า ‘เพื่อน’ ได้?

ผู้แต่ง

Duck Me!

เรื่องย่อ

จิณณ์ ถูกพบเสียชีวิตในคืนวันเกิดตัวเอง เจ้าหน้าที่สรุปเป็นการทำอัตวินิบาตกรรม

แต่ 1 ปีถัดมา… บุคคลปริศนาได้ส่งข้อความหาเพื่อสนิท(?)ของจิณณ์ทั้ง 6 คน

ข้อความระบุว่า 1 ในพวกเขาคือฆาตกร… มันหมายความว่ายังไงกัน?

สารบัญ

dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทนำ สุขสันต์วัน ‘ตาย’,dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๑ ข้อความ,dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๒ ตามรอย (๑/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๒ ตามรอย (๒/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๓ วันวาน (๑/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๓ วันวาน (๒/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๔ บาดแผล (๑/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๔ บาดแผล (๒/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๕ ชัดเจน,dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๖ อดีต (๑/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๖ อดีต (๒/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๗ เจ้าป่า

เนื้อหา

บทที่ ๖ อดีต (๒/๒)

ทุกคนก็พากันเดินตรงเข้าบ้านสิงห์ไป จันทร์ที่ก่อนออกจากบ้านได้ขอกุญแจสำรองของบ้านสิงห์เอาก่อน เพราะประตูบ้านเป็นระบบออโต้ล็อก สิงห์จะได้ไม่ต้องลุกขึ้นมาเปิดประตูให้อีก จันทร์ที่ในตอนแรกว่าจะเดินออกกับทิวว่าถ้าไม่เข้ามาในบ้านก็ให้กลับไปก่อน เพราะสิงห์บอกว่าถ้าทิวยังยืนอยู่หน้าบ้านแบบนั้น คนข้างบ้านผู้หวังดีอาจเข้าใจผิดและโทรเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาเลยก็ได้ แต่เผอิญได้เจอเพื่อน ๆ ที่จู่ก็มารวมตัวกันอย่างมิได้นัดหมาย เขาก็เลยได้ใช้กุญแจนี้ในการนำพาเพื่อน ๆ ให้เข้าไปในบ้าน

พวกเขาทั้งห้าคนทยอยถอดรองเท้าแล้วจัดการวางเรียงอย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะเดินตามกันเข้าไปยังบริเวณห้องนั่งเล่นอยู่ทางด้านซ้ายมือ พบเป็นคนป่วยนั่งเอนอยู่บนโซฟาผ้าสีเทายาวรูปตัวแอล ขาข้างที่ได้รับบาดเจ็บวางอยู่บนหมอนอิงรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส พร้อมกับโทรทัศน์ที่เปิดอยู่แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่

“โห… ครบองก์ประชุมเลยทีนี้” สิงห์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานเดินเรียงรายกันเข้ามาทีละคน

โดยมีจันทร์นำหัวขบวนมาแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ เขา ตามมาด้วยกันต์ที่ทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นพรมนุ่มแทนที่จะนั่งบนโซฟาเหมือนที่คนส่วนใหญ่ทำ สองขาเหยียดตรงไปข้างหน้าราวกับที่นี่คือบ้านของตัวเอง

“โธ่… คุณหนูครับ” ทิวที่เดินตามมาติด ๆ เอ่ยน้ำเสียงหยอกล้อ “ขึ้นมานั่งบนโซฟาไหมครับ”

“ไม่ครับ กูสะดวกแบบนี้” เขาว่าพลางวางพาดแขนข้างหนึ่งไปที่ขาของจันทร์อย่างจงใจให้ทิวเห็นพร้อมกับยกยิ้มมุมปาก

จริง ๆ มันเหมือนกลายเป็นอีกนิสัยประจำตัวของคุณหนูกันต์ไปแล้ว การจงใจแตะเนื้อต้องตัวจันทร์ให้ทิวเห็นทั้ง ๆ ที่รู้ว่าทิวไม่ชอบ แต่ครั้งนี้ทิวไม่พูดอะไรต่อ ทำเพียงยักไหล่แล้วทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาเว้นห่างจากจันทร์เล็กน้อยเพราะมีกันต์นั่งกั้นอยู่

“กูขอใช้ครัวมึงหน่อยนะเพื่อน”

เด่นชะโงกหน้ามาทักทายเพื่อนในห้องนั่งเล่นเล็กน้อยแล้วพาตัวเองเข้าไปยังห้องครัวที่อยู่ตรงข้ามห้องนั่งเล่นโดยไม่รอคำอนุญาตจากเจ้าของบ้านเลย ไม่นานชายหนุ่มผมเทาก็เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นพร้อมไก่ย่างหอมกรุ่นในจานใบใหญ่และองุ่นที่ถูกล้างและจัดใส่จานอีกใบหนึ่งอย่างเรียบร้อยพร้อมทานวางลงบนโต๊ะตัวเล็ก ๆ หน้าโซฟา

“ใจคอจะไม่ช่วยกูเลยหรือไง” เด่นเลิกคิ้วถาม กวาดสายตามองหน้าเพื่อนที่นั่งเรียงรายอยู่รอบคนเจ็บแล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงปนขบขันไม่จริงจัง “นี่กูเป็นเจ้าของบ้านไหม หรือยังไง… แบบว่า ต้อนรับเพื่อน ๆ ของลูกชายที่มาเยี่ยมลูกที่ป่วย”

“เดี๋ยวผมช่วยเองครับพ่อ” สิงห์เอ่ยขึ้นทันที ทำทีจะลุกขึ้นเพื่อทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีแต่ก็ถูกเพื่อนห้ามไว้

“ไม่เป็นไรไอ้ลูกชาย พ่อจัดการเองเร็วกว่า แล้วอีกอย่าง…” เด่นกล่าวติดตลกก่อนจะชี้ไปที่เข่าคนเจ็บ “เลือดซึมแล้วลูก”

ทุกคนหันไปมองตามที่เด่นบอกก็พบว่าผ้าพันแผลเริ่มปรากฏรอยสีแดงขึ้นมาเป็นวง

“จริงด้วยว่ะ” เจ้าของบาดแผลเอ่ยขึ้น

“รีบเปลี่ยนผ้าพันแผลใหม่เลย” กิตติ์ที่นั่งอยู่บริเวณปลายเท้าคนเจ็บเหลือบมองเล็กน้อยก่อนจะเบนสายตาหนีไปทางอื่นพร้อมพูดขึ้น ลมหายใจเขาสะดุดเล็กน้อย สองมือลูบไปมาที่หน้าขาตัวเองแล้วพูดต่อ “มันเสี่ยงต่อการติดเชื้อ”

“หมอพูดขนาดนี้แล้วต้องเชื่อแล้วแหละ” กันต์เอ่ยขึ้นพลางเอื้อมมือไปหยิบองุ่นมาลูกหนึ่งแล้วโยนมันเข้าปาก

ทั้งพ่อและแม่ของกิตติ์เป็นหมอแล้วทางตระกูลยังเป็นเจ้าของโรงพยาบาลเอกชน กิตติ์เลยมีความตั้งใจที่จะเป็นหมอเหมือนครอบครัวตั้งแต่เด็ก เพราะอย่างนั้นเพื่อน ๆ จึงเรียกเขาอย่างแซว ๆ ว่าหมอ

“แต่หมอกลัวเลือดนะ แปลกดีเหมือนกัน” ทิวกล่าวแซว พลางมือก็กด ๆ จิ้ม ๆ หน้าจอโทรศัพท์มือถือ

“ไม่ได้กลัว” กิตติ์แย้งขึ้น “แค่ไม่ชอบกลิ่นเลือด”

จันทร์ลุกพรวดขึ้นจากโซฟาจนทุกคนหันมอง “งั้นพวกมึงเถียงกันไปก่อนนะ เดี๋ยวกูไปเอาผาพันแผลใหม่มาให้” เขามองคนเจ็บอย่างต้องการคำตอบ “มันอยู่ไหน”

เมื่อได้รู้ตำแหน่งผ้าพันแผลผืนใหม่แล้วจันทร์จึงเดินออกจากห้องไปและไม่นานนักก็กลับมาพร้อมอุปกรณ์ทำแผลแล้วทำการเปลี่ยนให้กับคนเจ็บโดยมีกิตติ์คอยแนะนำเพิ่มเติมอยู่ห่าง ๆ ว่าควรทำยังไงบ้าง

หลังจากเปลี่ยนผ้าพันแผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็มานั่งกันอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาแล้วสนทนาอัปเดตชีวิตซึ่งกันและกันตามประสาเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนาน เสียงพูดคุยดังขึ้นต่อเรื่อย ๆ ระคนปนเปกันไปกับเสียงหัวเราะของชายหนุ่มทั้งหกคนในห้องนั่งเล่น ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบซึ่งกันและกันบ้าง เล่าเรื่องราวความหลังในอดีตบ้าง

พวกเขาแทบไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วเรียกว่าไม่ได้เจอกันเลยดีกว่า นี่ก็จะปลายปีอีกรอบแล้ว กล่าวคือพวกเขาไม่ได้เจอกันมาจะหนึ่งปีแล้ว เนื่องด้วยตารางเรียนหรือตารางการใช้ชีวิตของแต่ละคนไม่ตรงกัน แต่จะมีทิวที่ยังพยายามเอาตัวเองไปเจอจันทร์บ้าง ถึงแม้จะไม่ได้พูดคุยอะไรกัน แต่ยังพอนับได้ว่าเจอกันอยู่บ้าง

ขณะพูดคุยกันอยู่จันทร์เองก็กวาดตามองเพื่อนแต่ละคนอย่างพินิจพิจารณา แต่ทุกคนกลับดูปกติเหมือนเคยไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีใครพูดถึงเรื่องข้อความจาก Karma เลยด้วยซ้ำ หรือมันจะเป็นเพียงข้อความที่แกล้งกันเล่นอย่างที่จันทร์คิดไว้ทีแรก แต่มันจะไม่แกล้งกันแรงไปหน่อยเหรอ เอาคนที่ตายไปแล้วมาพูดเล่นแบบนั้น… ไม่สิ ถ้าเป็นแบบนั้นทิวที่ได้รับข้อความด้วยล่ะ มันหมายความว่ายังไง หรือทิวคือ Karma…? แล้วทิวจะทำแบบนั้นไปทำไม ความคิดมากมายวิ่งวุ่นวนเวียนอยู่ในหัวของจันทร์อย่างไม่หยุดหย่อน

“จันทร์…” เสียงเรียกแผ่วเบาของสิงห์ดังขึ้นแค่พอให้คนที่นั่งจมอยู่ในวังวนความคิดได้ยิน “เป็นอะไรหรือเปล่า”

สายตาที่ถูกส่งมาจากชายผิวเข้มด้านข้างนั้นเต็มไปด้วยความห่วงใย ก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งที่ไม่ได้รับบาดเจ็บมากอบกุมจันทร์ไว้แผ่วเบา เจ้าตัวส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วหันเหความสนใจไปให้วงสนทนาของกลุ่มเพื่อนอีกครั้ง

ทิวที่นั่งเอนหลังพิงพนักโซฟานุ่มพร้อมท่อนแขนข้างหนึ่งที่พาดอยู่บนขอบพนักในอิริยาบถที่ค่อนข้างสบายใจ มืออีกข้างก็รัวนิ้วพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์มือถือบ้างเป็นครั้งคราว สลับกับพูดคุยกับเพื่อนบ้าง แต่ถึงกระนั้นเขาก็มีเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ด้านข้างที่ห่างออกไปเพียงเล็กน้อยบ้าง ใบหน้าและนัยน์ตาเรียบนิ่งแต่เจือด้วยความเจ็บปวดเผยออกมาในจังหวะที่หันไปเห็นมือคนด้านข้างที่โดนกอบกุมอยู่ จันทร์ที่ไม่ชอบให้ใครมาจับมือนั้น ในตอนนี้กลับไม่สะบัดมืออีกคนออก เห็นแบบนี้จะไม่ให้รู้สึกอะไรเลยคงยาก

เสียงแจ้งเตือนข้อความจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน ทิวเหลือบมองหน้าจอมือถือเล็กน้อย พยายามทำสีหน้าให้ปกติเรียบนิ่งที่สุดหลังจากเห็นว่าเป็นข้อความจากใคร ก่อนจะหันมองคนด้านข้างเล็กน้อย และจันทร์เองก็หันมามองทางเขาเช่นเดียวกัน

“เป็นไรกันวะ” สิงห์เอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบที่จู่ ๆ ก็แผ่ปกคลุมทั่วห้อง ไม่ต่างจากท้องฟ้าด้านนอกในตอนนี้ที่ขมุกขมัวมืดครึ้มไปด้วยมวลเมฆดำทึบ

สภาพอากาศในประเทศไทยค่อนข้างที่จะเดาใจยาก ต่อให้กรมอุตุนิยมวิทยาจะบอกว่าหมดฤดูฝนเตรียมรับลมหนาวก็ยังวางใจไม่ได้ เฉกเช่นตอนนี้ที่ฝนตั้งเค้าจะตกอีกแล้วแม้ไม่กี่ชั่วโมงก่อนท้องฟ้าจะสดใสไร้เมฆ

“กูกลับก่อนนะ มีนัดกับแม่เย็นนี้” กิตติ์เอ่ยขึ้น “เจอกัน”

เขายืนเต็มความสูงพลางเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกง มองสบตาชายหนุ่มผมเทาแล้วพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินนำออกไปก่อน

“ไว้กูมาเยี่ยมใหม่” เด่นเอ่ยพร้อมยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกลาเพื่อนแล้วรีบเดินตามกิตติ์ไป มิวายยังหันกลับมาพูดติดตลกหยอกล้อกับคนเจ็บ “อย่ารีบฟื้นตัวนะเว้ยเพื่อน”

“คงยากว่ะ พอดีมียาใจดี” สิงห์ตอบ ยกยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากพลางส่งสายตาไปยังคนด้านข้าง

จันทร์มองไล่หลังเพื่อนทั้งสองที่เร่งรีบออกไปหลังจากเสียงแจ้งเตือนข้อความดังขึ้น เขาคาดว่าทั้งคู่คงได้รับข้อความใหม่จาก Karma เหมือนกัน ซึ่งจันทร์เองก็ยังไม่ได้เปิดอ่านเหมือนกันว่าเนื้อหาข้อความคืออะไร และไม่แน่ใจด้วยว่าเป็นข้อความจาก Karma จริงหรือเปล่าเพราะโทรศัพท์มือถือของเขาเปิดระบบสั่นใส่อยู่ในกระเป๋ากางเกง จันทร์แค่เดาเอาจากที่เสียงแจ้งเตือนของคนอื่นดังขึ้นไล่เลี่ยกัน

กันต์เองก็นั่งขมวดคิ้วมองตามเพื่อนทั้งสองคนขณะมือก็หยิบองุ่นเข้าปากอยู่เรื่อย ๆ พลางพูดทั้งที่ยังเคี้ยวองุ่นอยู่ “นี่เพิ่งจะบ่ายสองเองนะ รีบจัง”

“กูกลับบ้างดีกว่า” ชายหนุ่มผิวขาวยันตัวขึ้น เสียงทุ้มนุ่มเจือความขุ่นเคือง

“จะไปไหน” จันทร์พลันพลั้งปากถาม

“ออกไปจากตรงนี้” ทิวตอบ เหลือบมองจันทร์และสิงห์เล็กน้อย

“แต่ฝนจะตก” จันทร์หันมองออกไปด้านนอกแล้วหันกลับมา

“กูเร็วกว่าฝนอยู่แล้วน่า” ทิวตอบโดยที่ไม่หันมองอีกฝ่าย แต่ก้มมองกันต์ที่นั่งมองเหตุการณ์อยู่เงียบ ๆ พร้อมองุ่นที่ยังคงเคี้ยวอยู่ในปากและอีกลูกในมือที่กำลังจะส่งเข้าปากตามไปอีก แล้วพูดต่อ “มึงไปด้วยไหมกันต์”

กันต์ชะเง้อหน้ามองผ่านกระจกออกไปข้างนอกเล็กน้อยก่อนตอบ “ไปดิ” เมื่อเห็นว่าฝนตั้งเค้าแล้วเกรงว่าจะหารถกลับยาก

“เจอกันนะเพื่อน” ทิวพูดขณะเดินห่างออกไป

“เออ โชคดี” สิงห์ว่า

กันต์ทำเพียงยกมือขึ้นบอกลาเล็กน้อยเพราะองุ่นยังคงอยู่เต็มปาก พลางมืออีกข้างก็คว้าองุ่นติดมือมาเพิ่มอีก เห็นทีคงต้องถามกิตติ์แล้วว่าหาซื้อองุ่นไร้เมล็ดหวาน ๆ นี้มาจากไหน

จันทร์หันมองสิงห์แล้วขยับปากบอกทำนองว่า เดี๋ยวมา แล้วลุกเดินตามหลังชายหนุ่มทั้งสองออกไป

“ทิว”

เจ้าของชื่อที่เพิ่งใส่รองเท้าเสร็จแล้วกำลังเปิดประตูออกจากบ้านชะงักฝีเท้าลง หันกลับมามองพร้อมเลิกคิ้วขึ้น รอฟังสิ่งที่อีกคนจะพูด

“อย่าใช้ความเร็วเยอะ—”

ทิวยกมือขึ้นโบกไปมาเล็กน้อยเป็นเชิงตัดบทแล้วเปิดประตูออกจากบ้านไป

“เจอกัน จันทร์” กันต์พูดพร้อมรอยยิ้มแล้วเดินตามทิวออกไป

นัยน์ตาสีเข้มของชายหนุ่มผิวสองสีฉายแววความเศร้าหมอง สองมือกำแน่นจนเริ่มซีดขาว จันทร์เพิ่งรู้ว่าการพยายามเป็นแค่เพื่อนมันยากขนาดไหน ที่ผ่านมาจันทร์พยายามหลบหน้าทิวมาตลอด หลีกลี่ยงการพูดคุยมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่พอมีเรื่องข้อความนั่นเข้ามาแล้วได้ใช้เวลาอยู่ใกล้ทิวมากขึ้นมันเพียงนิดเดียว ถ่านไฟเก่าที่ยังคงหลงเหลือไออุ่นก็พร้อมที่จะติดไฟขึ้นอีกครั้ง มันทำให้เขารู้สึกราวกับว่าหัวใจถูกบีบรัดด้วยคำว่าความเจ็บปวด ที่สำคัญคือจันทร์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการจะเป็นแค่เพื่อนควรทำหรือควรรู้สึกอย่างไร เพราะตั้งแต่ที่ได้เจอทิวครั้งแรก เขาก็ไม่เคยคิดที่นะเป็นแค่เพื่อนเลย…

ด้านนอกตัวบ้าน ทิวส่งเสียงเรียกเล็กน้อยก่อนจะโยนหมวกกันน็อกใบหนึ่งให้ชายสวมแว่นที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำอะไรบางอย่างในโทรศัพท์มือถือ เจ้าตัวได้เงยหน้าขึ้นมาพอดีในจังหวะที่หมวกกันน็อกลอยเข้ามาหาจึงรับไว้ได้ทัน หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นสัญชาตญาณของนักกีฬาบาสเกตบอลเก่าของโรงเรียนก็คงได้

“มึงพกหมวกกันน็อกสองใบเลยเหรอวะ” กันต์เอ่ยถามขณะเก็บโทรศัพท์มือถืลงในกระะเป๋ากางเกงเตรียมที่จะสวมหมวกกันน็อก “ไปรับไปส่งจันทร์บ่อยเหรอ”

ทิวถอนหายใจเล็กน้อยเบา ๆ ไม่รู้ว่าเพื่อนแกล้งโง่อ่านสถานการณ์ไม่ออกหรือจงใจจี้แผลในใจเขากันแน่ ถ้าไม่มัวแต่สนใจองุ่นน่าจะได้ยินที่สิงห์พูดชัดเจนดีนี่นา พูดออกมาเสียงดังฟังชัดไม่ปิดบังเจตนาแบบนั้นเด็กประถมยังดูออกเลยว่าความสัมพันธ์ของสิงห์และจันทร์คงไม่ใช่แค่เพื่อนกันแล้ว แต่ช่างเถอะ ทิวยังไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้นตอนนี้

“ไม่ แค่เมื่อวานพาไปกินข้าวด้วยกันกะทันหัน จันทร์เลยยืมพี่เจ้าของร้านมา” ทิวตอบเสียงนิ่ง พร้อมบิดคันเร่ง เร่งรอบรถให้พุ่งสูงขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมในการขับขี่ ซึ่งเร่งเครื่องขณะที่เครื่องยนต์ยังเย็นอยู่มันไม่ดีเท่าไหร่หรอก แต่ทิวก็ไม่ได้ทำแบบนี้บ่อยนัก เพียงแต่ครั้งนี้ทำไปเพื่อเป็นการเร่งเพื่อนตัวเองไปด้วยกราย ๆ

ดูเหมือนว่าคุณหนูกันต์ธีร์ของเราจะไม่ค่อยชินกับการใส่หมวกกันน็อกเสียเท่าไหร่ ปกติทางบ้านบังคับให้นั่งแต่รถที่มีหลังคามีสิ่งที่เป็นโคร่งเล็กคลุม เพราะมอเตอร์ไซค์มันอันตรายกว่าหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา นี่คือเหตุผลของแม่ของกันต์

“แต่พี่เจ้าของร้านดูไม่เหมือนคนที่จะขี่มอ’ ไซค์เลยนะ เขามีหมวกกันน็อกไว้ทำไมวะ” เขาพูดพร้อมพาตัวเองขึ้นคร่อมซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ นับได้ว่าเป็นครั้งที่สองในชีวิต

“มึงรู้จักพี่เจ้าของร้านที่จันทร์ทำงานด้วยเหรอ” ทิวขมวดคิ้ว หันหน้ามองคนด้านหลังผ่านไหล่

“กูก็เคยไปร้านที่จันทร์ทำงานอยู่บ้าง เพื่อนผู้หญิงที่คณะพาไป”

ทิวพยักหน้าขึ้นลงช้า ๆ ทำทีว่ารับรู้และเข้าใจ ถึงจะมีอะไรบางอย่างคาใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามต่อ เขาค่อย ๆ คลายเบรกปล่อยให้มอเตอร์ไซค์คู่ใจได้เคลื่อนตัวมุ่งไปยังสถานที่ที่คิดไว้ในหัว