ทุกการกระทำล้วนมีเหตุผล… แต่เหตุผลอะไรกันล่ะที่ทำให้คน ๆ หนึ่งปิดชีพคนที่ตัวเองเรียกว่า ‘เพื่อน’ ได้?
ลึกลับ,ชาย-ชาย,จิตวิทยา,อาชญากรรม,รัก,ทิวจันทร์,๑๔,แฟนเก่า,ดรามา,โรแมนติก,ปริศนา,ฆาตกรรม,สืบสวน ,bl,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะทุกการกระทำล้วนมีเหตุผล… แต่เหตุผลอะไรกันล่ะที่ทำให้คน ๆ หนึ่งปิดชีพคนที่ตัวเองเรียกว่า ‘เพื่อน’ ได้?
จิณณ์ ถูกพบเสียชีวิตในคืนวันเกิดตัวเอง เจ้าหน้าที่สรุปเป็นการทำอัตวินิบาตกรรม
แต่ 1 ปีถัดมา… บุคคลปริศนาได้ส่งข้อความหาเพื่อสนิท(?)ของจิณณ์ทั้ง 6 คน
ข้อความระบุว่า 1 ในพวกเขาคือฆาตกร… มันหมายความว่ายังไงกัน?
……….
อาคารเรียนหลังเก่าซึ่งถูกสร้างด้วยไม้สักอย่างดีที่ตั้งอยู่บริเวณด้านหลังโรงเรียน บัดนี้ใช้เป็นอาคารเก็บของเก่าของโรงเรียนไปแล้ว ปกติหากโรงเรียนไม่มีพิธีหรือจัดกิจกรรมอะไรอาคารหลังนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับอาคารร้างน่ากลัว ๆ ที่ไม่มีใครอยากจะเข้าใกล้ แล้วก็ตามสูตรอาคารเก่าในโรงเรียนที่มักจะมีเรื่องเล่าลึกลับเหนือธรรมชาติมากมาย ซึ่งนั่นถือเป็นการดีมาก ๆ สำหรับเด็กบางจำพวกที่มักจะทำผิดกฎโรงเรียนอย่างเช่น การแอบมาสูบบุหรี่ในสถานศึกษาเหมือนกับที่ทิวและสิงห์กำลังทำอยู่ตอนนี้
เด็กหนุ่มสองคนในชุดนักเรียนที่ไม่ค่อยจะเรียบร้อยถูกระเบียบนัก ยืนอยู่ระหว่างซอกอาคารเรียนเก่าทั้งสองหลัง โดยที่คนหนึ่งยืนหลังพิงกำแพงอาคารเรียนเก่า ส่วนอีกคนนั่งยองในฝั่งตรงข้ามซึ่งเยื้องกันเล็กน้อย กลุ่มควันสีเทาบางเบาลอยขึ้นจากปลายมวนบุหรี่ที่ลุกไหม้ช้า ๆ
“มีอะไรจะคุยก็รีบว่ามา พ่อกูส่งข้อความมาตามแล้ว”
เป็นสิงห์ที่เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบที่ปกคลุมอยู่นาน ก่อนจะเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋ากางเกงเมื่อตอบข้อความของพ่อแล้ว
ทิวค่อย ๆ พ่นควันออกจากปากก่อนจะหันหน้าไปหาคู่สนทนา
“มึงคิดอะไรกับจันทร์หรือเปล่า” เขาเอ่ยถามด้วยใบหน้าเรียบเฉยและน้ำเสียงเรียบนิ่งไม่ได้แฝงไปด้วยความรู้สึกโกรธหรือไม่พอใจแต่อย่างใด
มือที่กำลังยกบุหรี่ขึ้นมาสูบอีกครั้งของเด็กหนุ่มผิวเข้มเป็นต้องชะงักไปชั่วขณะ
“เปล่า” สิงห์ตอบเสียงเรียบนิ่งขณะเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อเลี่ยงการสบตาเรียวของคนด้านข้างที่มองลงมา
เขายกมวนบุหรี่ขึ้นมาแตะบริเวณริมฝีปากแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ จนปลายมวนบุหรี่เรืองแสงสีส้มแดง แล้วพ่นควันออกมา เมื่อหันกลับมาก็เห็นทิวยังคงจ้องอยู่ด้วยสีหน้าแววตาที่บ่งบอกว่าไม่เชื่อในคำตอบของเขา
“เออ ๆ กูชอบจันทร์”
“ก็แค่นั้น” ทิวพ่นควันขาวออกจากปากอีกครั้งอย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อนกับคำตอบที่ได้ยิน
“ทำไม มึงจะต่อยกูหรือไง”
สิงห์ไม่เข้าใจว่าทิวกำลังคิดอะไรอยู่ตอนนี้ เรียกมาคุยในที่เปลี่ยวไม่มีคนแบบนี้แล้วมาเค้นเอาความถามว่ารู้สึกยังไงกับแฟนตัวเอง ถ้าจะไม่ต่อยเขาคงเป็นอะไรไปไม่ได้แล้วแหละ
ทิวไม่ตอบทำเพียงแค่พ่นควันขาวออกจากปากอีกครั้ง แล้วยกยิ้มที่มุมปากน้อย ๆ ให้กับอีกฝ่าย เป็นรอยยิ้มที่สิงห์คาดเดาไม่ได้เลยว่าทิวกำลังคิดอะไรหรือรู้สึกยังไงอยู่ ดวงตาเรียวทอดมองออกไปยังผืนฟ้าที่เริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีส้มแล้ว
“บอกมาเลยดีกว่าว่าที่เรียกมาคุยหลังตึกคือกะจะต่อยกู ว่างั้นเถอะ” สิงห์พูด ยังคงมองตรงไปที่เพื่อนสนิทที่ทำเท่ เงยหน้ามองฟ้า
“ใครจะต่อยกัน?” แต่ไม่ทันที่จะได้พูดอะไรกันไปมากกว่านี้ เสียงที่คุ้นเคยของใครบางคนดังขึ้นพร้อมการปรากฏตัวของเจ้าของเสียง
เมื่อเห็นดังนั้นเด็กหนุ่มทั้งสองรีบพ่นควันสุดท้ายออกจากปากแล้วโยนบุหรี่ลงบนพื้นอย่างร้อนรน ใช้เท้ากดมันจนดับ มือของทั้งสองคนก็พลางโบกไปในอากาศ เพื่อทำลายกลุ่มควันสีเทาที่ยังหลงเหลืออยู่อย่างเร่งรีบราวกับโดนคุณครูฝ่ายปกครองจับได้อย่างไรอย่างนั้น
“จันทร์… ทำเวรเสร็จแล้วเหรอครับ” ทิวถามด้วยท่าทางดูลุกลี้ลุกลนเหมือนกับทำอะไรผิด ทั้ง ๆ ที่เขาก็ไม่ได้ปิดบังอีกฝ่ายเรื่องสูบบุหรี่และอีกฝ่ายก็ไม่ได้ห้าม เพียงแค่ไม่ชอบกลิ่นของมันเท่านั้นเอง
“เสร็จแล้ว โทรไปก็ไม่รับ” จันทร์พูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างแข็งผิดปกติ ดูเหมือนว่าจะเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย
ทิวหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูก็พบว่ามีสายที่ไม่ได้รับถึงสามสาย
“ขอโทษครับ พอดีทิวปิดเสียงไว้” เขายิ้มแหย่ ๆ พร้อมโชว์ให้อีกฝ่ายดู
“สรุปใครจะต่อยกัน” คนมาใหม่ถามย้ำ คาดคั้นเอาคำตอบพร้อมมองหน้าคนทั้งสองสลับไปมา
“ไม่มี!” ทั้งคู่ปฏิเสธพร้อมกันโดยพลัน
“หูแว่วไปเองหรือเปล่า” สิงห์พูดต่อพร้อมหันไปทางทิว
“ใช่ ๆ จันทร์ได้ยินผิดไปเองแหละ” ทิวเสริม
จันทร์หรี่ตามองทั้งคู่ก่อนจะถเนหายใจเบา ๆ ให้กับสกิลการโกหกของชายสองคนตรงหน้านี้ แล้วโยนกระเป๋านักเรียนของทิวให้เจ้าตัวก่อนจะหันหลังเดินนำไปไม่พูดไม่จา ซึ่งการกระทำแบบนี้ทิวแปลได้ว่าให้รีบกลับได้แล้ว ไม่อย่างนั้นอาจเกิดปัญหาขึ้นได้
ทิวหันกลับไปมองสิงห์ที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่นิ่ง ๆ ก่อนจะหยิบลูกอมรสมิ้นออกจากกระเป๋ากางเกงโยนให้อีกฝ่าย จากนั้นก็ใช้นิ้วโป้งชี้ไปทางจันทร์ที่เพิ่งเดินห่างออกไปแล้วใช้นิ้วชี้ชี้เข้าหาตัวเอง เป็นการแสดงความเป็นเจ้าของให้อีกฝ่ายรู้แล้วพูดเสริมจากการกระทำนั้น
“ชอบได้ แต่ห้ามจีบ” เขายกยิ้มอย่างภูมิใจจนตาเกือบเป็นรูปสระอิ ก่อนจะหันหลังวิ่งตามจันทร์ไปพร้อมหยิบลูกอมรสสตรอว์เบอร์รีมาจากกระเป๋า ทำการแกะซองแล้วโยนเข้าปาก
จะไปห้ามคนอื่นไม่ให้ชอบแฟนตัวเองคงยาก ก็จันทร์หน้าตาดีเสียขนาดนั้น ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายต่างก็หลงใหลใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรจุติลงมาเกิด แต่คงต้องแสดงความเสียใจด้วยล่ะนะ เพราะพระจันทร์ดวงนี้เป็นของพระอาทิตย์ที่ชื่อทิวากรแต่เพียงผู้เดียว
เมื่อเพื่อนสนิททั้งสองเดินลับตาไปแล้ว เด็กหนุ่มผิวเข้มก้มมองลูกอมซองสีขาวปนฟ้าในมือก่อนจะทำการฉีกซองโยนมันเข้าปากแล้วเก็บซองที่กลายเป็นขยะไปแล้วเข้ากระเป๋าเสื้อนักเรียน
เขาเอนตัวพิงกำแพงพร้อมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา สัมผัสหน้าจอเบาเพื่อเปิดเข้าแอปพลิเคชันสีสันสดใสแล้วไปยังหน้าบัญชีที่คุ้นเคย เขาค่อย ๆ เลื่อนนิ้วไปข้างล่างเพื่อดูภาพของเจ้าของบัญชีที่อัปโหลดไว้ คำบรรยายใต้ภาพส่วนใหญ่จะเป็นอิโมจิรูปพระอาทิตย์เพื่อเป็นการบอกหรือให้เครดิตว่าใครเป็นคนถ่ายภาพนี้ให้
สิงห์แค่นหัวเราะในลำคอก่อนจะเงยหน้ามองฟ้า “ถ้าแค่จะพูดจาเท่ ๆ ต้องมาพูดถึงอาคารเก่าหลังโรงเรียนเลยเหรอวะ”
เขาหมายความถึงคำพูดทิ้งท้ายของทิวที่ว่า ชอบได้ แต่ห้ามจีบ ใครมันจะเลวพอจะจีบแฟนเพื่อนได้ลงคอ หรือต่อให้เขาจะเลวขึ้นมาจริง ๆ ไม่ต้องรอให้ถึงมือทิว จันทร์คงจัดการเขาจนหมอบก่อน รักกันมากมายเสียขนาดนั้น ใครมันจะหาช่องแทรกกลางได้
ราชสีห์ที่หมายปองดวงจันทร์ มันก็ทำได้แค่เฝ้ามองจากบนพื้นโลกเท่านั้น
บางอย่างอาจมีไว้แค่ให้ได้เชยชม ไม่ใช่ครอบครอง
. . . . . . . . . .
ทิวยืนพิงมอเตอร์ไซค์หน้าบ้านพลางเงยหน้ามองฟ้าสีครามไร้เมฆ ควันบุหรี่สีเทาบางเบาที่ถูกพ่นออกจากริมฝีปากหนาลอยขึ้นสู่อากาศแล้วค่อย ๆ จางหายไป ความทรงจำในอดีตย้อนกลับมาฉายซ้ำอีกครั้งในรอบหลายปี รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากไม่ได้เผยความรู้สึกอะไรมากนัก จะยินดีก็ไม่ใช่ จะเยาะเย้ยให้กับความโง่เขลาของตัวเองที่ปล่อยดวงจันทร์ให้ลอยหลุดมือไปก็ไม่เชิง
ความเงียบที่รายล้อมรอบตัวเขาทำให้ทุกอย่างดูเหมือนจะช้าลง ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ บุหรี่ที่ถืออยู่ในมือลดขนาดลงไปครึ่งหนึ่งโดยเขาไม่รู้ตัว เมื่อการรับรู้ของเขาเริ่มกลับมาครบ เสียงฝีเท้าของใครบางคนก็ดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ก่อนจะหยุดลงแล้วตามด้วยเสียงเรียบนิ่งที่แสนคุ้นเคย
“ทิว”
เจ้าของชื่อหันไปสบตากับคนที่มาใหม่ครู่หนึ่งแล้วจึงหันกลับไปทางเดิมพร้อมกับยกบุหรี่ขึ้นมาที่ปาก สูดเอาควันร้อนเข้าไปอย่างช้า ๆ ก่อนจะพ่นมันออกมา เสร็จแล้วจึงกดบุหรี่ลงบนพื้นดินที่ชื้นของสนามหญ้าหน้าบ้านแล้วโยนมันลงถังขยะใบเล็ก ๆ ที่อยู่ไม่ไกล พลางมืออีกข้างก็ปัดกลุ่มควันสีเทาที่ลอยค้างอยู่กลางอากาศ พยายามให้กลุ่มควันเหล่านั้นหายไปโดยเร็วที่สุด
“มึงกลับมาสูบบุหรี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อกี้” ทิวตอบโดยพลัน ลอบมองใบหน้าของคู่สนทนาเล็กน้อยก่อนจะเบือนหน้าหนี
จันทร์ดูจะไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ ไม่สามารถแน่ใจได้ว่าเป็นเพราะทิวกลับมาสูบบุหรี่หรือเปล่า ถึงอีกฝ่ายจะไม่เคยห้ามเรื่องสูบบุหรี่ แต่ทิวเป็นคนที่เคยสัญญาเองว่าจะเลิกสูบหรือจะไม่สูบขณะที่จันทร์อยู่รอบ ๆ ซึ่งสิ่งที่จันทร์ไม่ชอบเลยคือคนไม่รักษาคำพูด จันทร์ไม่สบอารมณ์เพราะเรื่องนี้หรือเปล่านะ
ความเงียบคืบคลานเข้าปกคลุมพื้นที่โดยรอบชายหนุ่มทั้งสอง ก่อนที่ไม่นานบรรยากาศอันน่าอึดอัดนี้จะถูกทำลายลงด้วยเสียงเครื่องยนต์รถคันหนึ่งที่เคลื่อนตัวเข้ามาจอดยังบริเวณหน้าบ้านสิงห์ เมื่อทั้งคู่หันไปมองก็เห็นเป็นรถแท็กซี่คันสีเขียวเหลือง และไม่รอให้ความสงสัยครอบงำทั้งคู่นาน ร่างสูงเพรียวของผู้โดยสารก็ก้าวลงมา ปรากฏเป็นชายหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้านที่แสนคุ้นเคย
“กันต์…” ทิวขมวดคิ้วมุ่น “มาทำไรแถวนี้วะ”
“ก็มาเยี่ยมเพื่อนบ้างดิ” ร่างสูงของผู้มาใหม่ย่างฝีเท้าเข้ามาใกล้เพื่อนทั้งสองคน แล้วยกมือขึ้นเล็กน้อยเป็นการทักทาย “ไม่เจอกันนานเลยจันทร์”
ว่าแล้วก็กางแขนกว้างพร้อมเดินเข้าไปสวมกอดชายหนุ่มผิวสองสีที่ยืนทำหน้านิ่งอยู่ห่างจากทิวไปไม่กี่ก้าวตามประสาคนที่เคยไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศมาหนึ่งปีการศึกษาถ้วน สมัยมัธยมกันเคยได้รับทุนไปเรียนแลกเปลี่ยนที่อังกฤษพอกลับมาแล้ว นอกจากภาษาที่ได้มาเจ้าตัวก็ติดนิสัยการกอดมาด้วย
จริง ๆ ยุคสมัยนี้การกอดกันเป็นเรื่องที่ไม่ผิดแปลกอะไร เป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ กันต์เคยบอกว่า การกอดเป็นยาขนานเอก เป็นการมอบสิ่งดี ๆ ให้อีกฝ่าย เพราะเมื่อกอดกันร่างกายจะหลั่งสารสื่อประสาทและฮอร์โมนหลากหลายมากมาย ลดความเครียด เพิ่มความผูกพัน และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งมันก็ดีจริง ๆ นั่นแหละ ถ้าคนที่กันต์กอดไม่ใช่จันทร์ของทิว
กันต์ผละกอดออก ใช้ปลายนิ้วดันกรอบแว่นเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองร่างสูงของหนุ่มหน้าตี๋ที่จ้องมาที่เขาด้วยใบหน้าบูดบึ้งอย่างไม่คิดจะปิดบัง แม้ทิวบอกกับตัวเองอยู่ว่าต้องตัดใจ แต่ก็ห้ามความรู้สึกตัวเองตอนนี้ไม่ได้อยู่ดี ถ้าความขี้หึงเป็นกีฬาทิวคงเป็นเจ้าเหรียญทองไปแล้ว เห็นดังนั้นเขาก็กอดชายร่างสูงผิวขาวบ้างเพื่อป้องกันการมีเรื่อง
“เป็นไงบ้างช่วงนี้ เห็นทิวบอกมึงยุ่ง ๆ อยู่กับงานคณะไม่ใช่เหรอ”
“มันก็ยุ่งจริงนั่นแหละ” กันต์หันหน้ามองคนถาม “แต่แค่เมื่อเช้าอยากกินข้าวมันไก่ลุงพยัคฆ์เลยแวะไปที่ร้าน และลุงแกก็บอกว่าสิงห์โดนรถชน กูเลยแวะมาหา”
“ไม่ค่อยได้เจอมึงเหมือนกัน… ทางบ้านทำการเปลี่ยนรถประจำตำแหน่งแล้วหรือครับคุณหนู” ทิวเอ่ยแซว
เป็นที่รู้ดีกันในกลุ่มว่าทางบ้านกันต์จะไม่อนุญาตให้เขาขับรถเลยจนกว่าจะอายุครบยี่สิห้าปีบริบูรณ์ ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างเกี่ยวกับพี่ชายของกันต์เมื่อนานมาแล้ว เพราะอย่างนั้นเวลาไปไหนมาไหนกันต์ก็จะต้องให้คนขับรถไปส่งตลอด พวกเขาเลยเรียกกันต์ว่าคุณหนู
เสียงเครื่องยนต์รถอีกคันดังใกล้เข้ามาอีกครั้ง ขัดจังหวะบทสนทนาของชายหนุ่มทั้งสาม เรียกความสนใจให้ทุกคนหันไปมอง รถซีดานสีดำคันหรูหยุดนิ่งก่อนที่เครื่องยนต์รถจะถูกดับลง ชายหนุ่มสองคนในชุดเสื้อเชิ้ตขาวกางเกงสแล็กสีดำอย่างคนที่พร้อมจะไปเรียนก้าวลงมาจากรถ
“นี่มายืนรอต้อนรับพวกกูกันเหรอวะ ซึ้งใจเลยนะเนี่ย” ชายหนุ่มผมสีขาวมุกที่ก้าวลงจากฝั่งคนขับเอ่ยขึ้นทันทีพร้อมเดินไปเปิดประตูรถข้างหลังเพื่อหยิบอะไรบางอย่าง ส่วนอีกคนก็เดินตรงเข้ามารวมกลุ่มกับชายหนุ่มสามคนที่ยืนคุยกันอยู่ก่อนแล้ว
“นี่ถ้าไม่รู้จากจันทร์ว่าสิงห์โดนรถชน ตอนนี้กูคงนั่งโง่ ๆ อยู่ที่มออยู่เลยมั้ง” กิตติ์เอ่ย มองตรงไปยังชายหนุ่มผิวสองสีที่ยืนอยู่ตรงข้ามตน
และเช่นเคย กันต์กระโจนเข้ากอดเพื่อนผู้มาใหม่ทั้งคู่
“กูก็เพิ่งรู้จากเพื่อนที่คณะเมื่อเช้านี้เหมือนกัน” จันทร์พยักหน้าเบา ๆ กวาดสายตามองทุกคนรวดเร็วรอบหนึ่ง
“สิงห์เป็นไงบ้างได้เจอยัง” เด่นถามมองหน้าเพื่อนทั้งสามที่ยืนอยู่ก่อนที่พวกเขาจะมาถึง
“ยัง กูก็เพิ่งมาถึงก่อนหน้าพวกมึงแป๊บเดียว” กันต์ตอบเบือนหน้าไปทางจันทร์และทิวเป็นเชิงถามกราย ๆ ว่าทั้งคู่ได้เข้าไปเจอสิงห์มาหรือยัง
“กูเข้าไปแล้ว มันไม่ได่เป็นอะไรมาก” จันทร์ตอบ หันไปมองทางตัวบ้านเล็กน้อยแล้วหันกลับมามองเพื่อน ๆ ตามเดิมแล้วพูดต่อ “แค่แขนเข้าเฝือกและขาก็เป็นแผลถลอก หน้าก็มีแผลมีรอยช้ำนิดหน่อย”
“แขนเข้าเฝือกนี่เรียกนิดหน่อยเหรอวะ มีแผลที่ขาอีก” กันต์ขมวดคิ้วสงสัย บางทีคำว่า นิดหน่อย ของแต่ละคนคงไม่เท่ากันสินะ
“พวกกูซื้อไก่ย่างหน้าร้านสะดวกซื้อฝั่งตรงข้ามหมู่บ้านมา ถ้ามันไม่ลุกมากินแสดงว่าอาการอาจจะไม่นิดหน่อยแล้ว” ชายหนุ่มผมสีขาวพูดขึ้นพร้อมชูข้าวของมากมายในมือขึ้น เยอะขนาดนี้คงไม่ได้มีแค่ไก่ย่างอย่างที่ว่าแล้วล่ะนะ
“แต่ถ้ามันลุกขึ้นมากระทึบมึง แปลว่านิดหน่อยจริง” กิตติ์กอดอกพูด
“ต้องเป็นกูเหรอที่โดนกระทึบ” เด่นเอ่ยขึ้นพร้อมกับพยายามใช้มือข้างหนึ่งยกขึ้นชี้เข้าหาตัวเอง
ทุกคนหัวเราะบาง ๆ ทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายและดูเหมือนวันวานขึ้นมา