ทุกการกระทำล้วนมีเหตุผล… แต่เหตุผลอะไรกันล่ะที่ทำให้คน ๆ หนึ่งปิดชีพคนที่ตัวเองเรียกว่า ‘เพื่อน’ ได้?
ลึกลับ,ชาย-ชาย,จิตวิทยา,อาชญากรรม,รัก,ทิวจันทร์,๑๔,แฟนเก่า,ดรามา,โรแมนติก,ปริศนา,ฆาตกรรม,สืบสวน ,bl,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะทุกการกระทำล้วนมีเหตุผล… แต่เหตุผลอะไรกันล่ะที่ทำให้คน ๆ หนึ่งปิดชีพคนที่ตัวเองเรียกว่า ‘เพื่อน’ ได้?
จิณณ์ ถูกพบเสียชีวิตในคืนวันเกิดตัวเอง เจ้าหน้าที่สรุปเป็นการทำอัตวินิบาตกรรม
แต่ 1 ปีถัดมา… บุคคลปริศนาได้ส่งข้อความหาเพื่อสนิท(?)ของจิณณ์ทั้ง 6 คน
ข้อความระบุว่า 1 ในพวกเขาคือฆาตกร… มันหมายความว่ายังไงกัน?
จันทร์ปิดประตูห้องลง เดินตรงไปยังคนเจ็บที่นั่งอยู่บนเตียงตัวเองอย่างสบายใจราวกับเป็นเจ้าของห้อง
ด้วยความที่บ้านอยู่ติดกันก็เป็นปกติที่ทิวจะมานอนค้างที่บ้านจันทร์ พวกเขาทำแบบนี้กันมาตั้งแต่สมัยเริ่มเป็นแฟนกัน เพราะทิวให้เหตุผลว่าเขาจะนอนไม่หลับถ้าไม่มีจันทร์อยู่ข้าง ๆ จันทร์ไม่เข้าใจเหตุผลเลยสักนิด บ้านก็อยู่ติดกันเพียงแค่เอื้อม เปิดหน้าต่างห้องนอนออกมาเจอหน้ากันนี่ยังไม่พอใจอีกหรือไง อย่างเช่นวันนี้ทิวก็ใช้โควตาคนเจ็บขอป้าภามานอนที่บ้านของจันทร์ ทิวบอกว่าขาจะได้ดีขึ้นเร็ว ๆ
“เป็นไรไม่นอนบ้านตัวเอง” จันทร์ถามเสียงเรียบนิ่งเจือความเบื่อหน่าย แต่ไม่ได้มีทีท่าว่าจะผลักไสไล่ส่งแต่อย่างใด
“เป็นคนป่วยไงครับ” ทิวยื่นมือไปดึงให้อีกคนเข้ามาใกล้ ๆ ฉีกยิ้มกว้างจนดวงตาเรียวของเขากลายเป็นสระอิ “แล้วก็เป็นแฟนจันทร์ด้วย”
จันทร์ถอนหายใจพร้อมกรอกตาก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ แฟนหนุ่มร่างสูงแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง “ขาเป็นไงบ้าง ยังรู้สึกเจ็บอยู่หรือเปล่า”
ทิวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก้มมองขาข้างที่ใส่เฝือกของตัวเองก่อนจะร้องโอดโอยขึ้นมาทันทีพร้อมโผตัวเข้าสวมกอดแฟนหนุ่มสุดที่รักที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“โอ๊ย! เจ็บจังเลย เจ็บจะตายอยู่แล้ว ต้องให้แฟนจุ๊บ ๆ ถึงจะหายเจ็บ” เจ้าตัวผละตัวออกเล็กน้อยเอียงหน้าหันข้างให้อีกฝ่ายพร้อมใช้นิ้วชี้ไปที่แก้มของตัวเองเป็นการบอกตำแหน่งที่ต้องการให้อีกฝ่ายจุ๊บลงมา
จันทร์ผลักใบหน้าคนรักการละครของตัวเองออกแล้วลุกขึ้นยืน
“ถอดเสื้อออก” เขาพูดพร้อมปลดกระดุมเสื้อของตัวเองออกทีละเม็ด
“ถอดเสื้อเลยเหรอ” ทิวทำทีเป็นถามออกไป ใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อย ๆ พร้อมมือซ้ายที่พยายามปลดกระดุมเสื้อตัวเองออก “แฟนอยากทำมากกว่าจูบก็ไม่บอก… แป๊บนะ”
การปลดกระดุมเสื้อของทิวเป็นไปอย่างทุลักทุเล เนื่องจากข้อมือขวาที่ได้รับบาดเจ็บมาทำให้เขาใช้ได้เพียงข้างเดียว ซึ่งเขาไม่ถนัดเอาเสียเลย
“ช่วยเลิกคิดเรื่องจะกินกูสัก 5 นาทีได้ไหม” จันทร์ค้อมตัวลงเล็กน้อยเพื่อช่วยคนรักของตัวเองปลดกระดุมและถอดเสื้อผ้าออกเตรียมตัวอาบน้ำ
เสื้อเชิ้ตสีขาวบนร่างของจันทร์ถูกปลดกระดุมออกจนหมดแต่ยังไม่ถูกถอดออก ผิวเนื้อหน้าท้องเรียบและแผ่นอกราบปรากฏต่อสายตาทิว และในตอนนี้สิ่งที่เร็วกว่าแสงเห็นทีจะเป็นความคิดของทิว ซึ่งได้สั่งการให้เลื่อนมือไปสัมผัสสิ่งเย้ายวนยั่วใจตรงหน้า
“ยังอีก… อยากข้อมือหักอีกข้างไหม” น้ำเสียงเรียบนิ่งไม่กราดเกรี้ยวหากแต่เจือความมีอำนาจอยู่ในที
ทิวจำต้องดึงมือกลับไปตามเดิมใบหน้าแสดงความผิดหวังออกมาชัดเจนไม่ปิดบังพร้อมบ่นอุบอิบ “ใครมันจะอดใจไหว”
กระดุมเม็ดสุดท้ายของเสื้อเชิ้ตที่ยับยู่ยี่และมีรอยเปรอะเปื้อนคราบสีดำ ๆ เล็กน้อยของทิวถูกถอดออก เมื่อแหวกเสื้อออกจากกันทำให้จันทร์ถึงกับต้องขมวดคิ้วแน่นหลังจากได้เห็นรอยฟกช้ำสีม่วงบริเวณข้างลำตัวของคนรักยาวเป็นแทบ ต้องกระแทกแรงขนาดไหนถึงทิ้งรอยช้ำได้มากขนาดนี้
…………
ภายในห้องนอนที่ยังคงมืดสลัว มีเพียงแสงสีฟ้าอมเทาที่เล็ดลอดผ่านม่านหน้าต่างมาทำให้พอมองเห็นอะไรต่าง ๆ ได้บ้างแม้จะไม่ชัดมาก
จันทร์นั่งพิงหัวเตียงอย่างเงียบสงบ แผ่นหลังแนบไปกับพนักเย็นเหยียบของเตียงที่ถูกบุด้วยผ้านุ่ม ขาทั้งสองเหยียดตรงยาวภายใต้ผ้าห่มผืนหนา แม้ใบหน้าจะไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมา แต่ดวงตาของเขานั้นทอดมองต่ำลงมาด้วยแววตาที่อ่อนโยนไปยังชายหนุ่มเจ้าของห้องที่พาดแขนแกร่งอยู่บริเวณต้นขาเขา
จันทร์ใช้มือข้างหนึ่งลูบแผ่วเบาไปที่มือหนาที่มีพลาสเตอร์แปะอย่างทะนุถนอม ส่วนมืออีกข้างก็ยกขึ้นลูบกลุ่มผมนุ่มของคนที่ยังนอนหลับสนิทอยู่ด้านข้าง
การเคลื่อนไหวของปลายนิ้วเป็นไปอย่างเนิบช้าและแผ่วเบา ราวกับกลัวจะปลุกอีกคนให้ตื่นขึ้นจากห้วงนิทรา จันทร์ยังคงลูบผบทิวอย่างอ่อนโยนอยู่สักพักก่อนจะรู้สึกได้ถึงการขยับตัวเล็กน้อยใต้ผ้าห่ม
“จันทร์…” น้ำเสียงของทิวงัวเงียและแผ่วเบาอย่างคนที่ยังไม่ตื่นดี พร้อมยกขาข้างหนึ่งก่ายเกยพาดลงที่ขาของอีกฝ่าย และกระชับท่อนแขนที่พาดอยู่ก่อนให้แน่นขึ้นอีกนิด พลางก็เลื่อนใบหน้าซุกต้นขาของจันทร์ด้วยความเคยชิน
ด้วยความตกใจและความกลัวว่าจะถูกจับได้ จันทร์รีบใช้มือที่เคยใช้ลูบผมอย่างอ่อนโยนเมื่อครู่นั้นพยายามดันไหล่ทิวให้ออกห่าง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายไม่ขยับเลยสักนิด
“ทิว ตื่นได้แล้ว” เขาเอ่ยเรียก พยายามทำให้น้ำเสียงนิ่งเหมือนปกติที่สุด
ทิวลืมตาขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหลับตาลงเหมือนเดิม
“อืม… ฟ้ามืด…” เขาพูดเสียงอู้อี้เหมือนพยายามที่จะพูดว่า ฟ้ายังมืดอยู่เลย พร้อมกระชับกอดให้แน่นขึ้นและซุกหน้าลงตามเดิมอย่างเด็กเอาแต่ใจ
จันทร์จึงออกแรงดันให้มากขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้ใช้มือดันเหมือนเดิมแต่ใช้ขาในการดันเพื่อปลุก หรือว่าให้เข้าใจกันง่าย ๆ เลยก็คือถีบนั่นเอง เขาออกส่งแรงไปที่ขาข้างหนึ่งที่ไม่ถูกพาดทับดันอีกร่างสูงให้ออกห่าง บางทีครั้งนี้อาจส่งแรงมากไปหน่อย…
“โอ๊ย!”
ทิวที่หล่นไปอยู่ข้างเตียงร้องออกมาเสียงดัง แล้วค่อย ๆ ยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งพร้อมใช้มือข้างหนึ่งลูบไปที่ต้นแขนของตัวเองเพื่อบรรเทาความเจ็บจากการโดนกระแทก
“ทำอะไรของมึงเนี่ย”
“ก็ปลุกดี ๆ แล้วมึงไม่ยอมตื่น”
“แต่นี่เพิ่งตีห้าเอง จะรีบตื่นไปไหน” เขาพูดพร้อมคลานขึ้นมาบนเตียงแล้วทิ้งตัวลงนอนคว่ำ ใบหน้าซุกหมอนนุ่ม “นอนต่ออีกหน่อยเถอะ”
“กูมีเรียนเช้า”
“ครับ…” ทิวตอบรับเสียงพร่า เปลือกตายังคงปิดและหน้ายังคงแนบอยู่กับหมอน
“ไปส่งกูที่บ้านหน่อย” จันทร์พยายามดึงท่อนแขนอีกคนให้ลุกขึ้น
แผ่นหลังเปลือยเปล่าของชายหนุ่มผิวขาวเผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่เรียงตัวอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ใหญ่โตเกินไปแต่ชัดเจนพอให้รับรู้ถึงความแข็งแรง เส้นสันหลังทอดยาวจากต้นคอลงไปยังช่วงเอว ดึงสายตาคนที่นั่งอยู่ให้ไล่มองไปตามแนวหลังอย่างเงียบงัน พลันหัวใจก็เต้นระรัวแรงราวกับเพิ่งออกกำลังกายมาอย่างหนัก
ใบหน้าเริ่มรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย จันทร์จึงสะบัดหัวเบา ๆ ไล่ความคิดแปลกประหลาดที่เริ่มก่อตัวขึ้นแล้วจึงใช้สองมือเขย่าร่างขาวที่นอนอยู่
“ทิว ไปส่งบ้านหน่อยครับ”
เจ้าของชื่อพลิกหัวหันหน้าพร้อมยกมือขึ้นมาใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่แก้มของตัวเองทั้ง ๆ ที่เปลือกตายังคงปิดอยู่
“อะไร” จันทร์ย่นคิ้วสงสัย
ดวงตาเรียวของชายร่างขาวค่อย ๆ เปิดขึ้นพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก “หอมแก้มกูก่อนดิ”
“ยังจะมาพูดเล่นอีก” เขาพูดก่อนจะตวัดขาก้าวลงจากเตียง
ฝ่าเท้าแตะพื้นได้เพียงข้างเดียวก็ต้องชะงัก เมื่อมือหนาของคนที่นอนอยู่เอื้อมมาคว้าหมับที่ข้อมือเขา
“ไม่ได้เล่น” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น พร้อมใช้มืออีกข้างดันตัวขึ้นนั่ง
จันทร์ผินหน้ามองผ่านไหล่เล็กน้อยไม่พูดอะไรในขณะที่ข้อมือยังถูกจับไว้อยู่หลวม ๆ บรรยากาศภายในห้องเงียบลงจนได้ยินเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศ
ทิวขยับตัวเข้าใกล้ ลมหายใจอุ่นเฉียดข้างแก้มขณะสอดแขนแกร่งสวมกอดอีกฝ่ายจากด้านหลังแล้ววางคางลงบนบ่าอีกฝ่ายครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกดจมูกสูดดมกลิ่นกายชายหนุ่มในอ้อมแขน จากนั้นจึงใช้ริมฝีปากหนาบรรจงสัมผัสลงบนลาดไหล่แผ่วเบาเพียงชั่ววินาที แล้วเอ่ยต่อด้วยเสียงเรียบแผ่วเบาพร้อมรอยยิ้มแสนอบอุ่นที่เจือด้วยความเจ็บปวด
“เดี๋ยวไปส่งครับ”
คนตัวเล็กกว่านั่งนิ่งไม่มีท่าทีขัดขืนหรือโต้ตอบอะไรไป แต่ภายในใจแอบสั่นไหวเต้นระรัวเร็วขึ้น
ทิวคลายอ้อมแขนออกอย่างอ้อยอิ่งแล้วค่อย ๆ ก้าวลงจากเตียงแล้วเดินหายเข้าห้องน้ำไป
จันทร์ถอนหายใจพลางหลับตาแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหมดแรงท่ามกลางแสงแรกของดวงอาทิตย์ในเช้าวันใหม่ที่เริ่มสาดส่องไปทั่วผืนฟ้าแล้วพาดผ่านเข้ามาในห้อง เขาพลิกตัวนอนหงาย ดวงตาสีเข้มทอดมองเพดานด้วยความรู้สึกที่ว่างเปล่า
เขาเคยคิดว่าการปล่อยมือจากสิ่งที่เรารักมาก ๆ ไม่ใช่เพราะหมดรัก แต่ปล่อยเพื่อลดความเจ็บปวด แต่ในตอนนี้ความเจ็บกลับถาโถมเข้ามาอย่างมหาศาลจนเขาแทบไม่เหลือแรงที่จะหายใจ
เวลาผ่านไปไม่นานนักภายในห้องเริ่มสว่างขึ้นด้วยแสงแดดยามเช้าที่ส่องเข้ามามากขึ้น ทิวเดินออกจากห้องน้ำโดยมีผ้าขนหนูผืนเดียวพันปกปิดท่อนล่างอยู่ เขาหยุดชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นจันทร์ทิ้งตัวนอนอยู่บนเตียงนิ่ง สายตาจับจ้องหน้าจอโทรศัพท์มือถือสีหน้าเคร่งเครียดคิ้วขมวดมุ่น
“เป็นอะไรหรือเปล่า” ร่างสูงเอ่ยถามพลางมือก็เลือกหาเสื้อผ้าจากตู้
“สิงห์…”
ได้ยินเพียงชื่อที่ออกจากปากอีกฝ่าย มือก็พลันชะงักกึก
“ไม่อ่านไม่ตอบข้อความ โทรไปก็ไม่รับ… ปกติไม่เป็นแบบนี้”
“ปกติเหรอ…” ทิวเอ่ยเสียงแผ่ว หยิบเสื้อยืดสีเทาตัวหนึ่งมาสวมแล้วกล่าวต่อ “มึงกับสิงห์คุยกันบ่อยแค่ไหน”
“ก็เรียนที่เดียวกัน” จันทร์กดโทรออกอีกครั้งพร้อมยันตัวเองขึ้นจากเตียง “สิงห์ไปรับส่งบ่อย ๆ”
“เหรอ… แล้วมึงชอบเขาหรือเปล่า” คำถามหลุดออกมากว่าที่ตั้งใจแแต่หนักแน่นพอที่จะดึงความสนใจจากอีกฝ่ายได้
“อะไรนะ”
“มึงชอบสิงห์หรือเปล่า”
“ถามทำไม” จันทร์นิ่งไปเล็กน้อย วางโทรศัพท์มือถือลงบนเตียงเมื่อทำเท่าไหร่ก็ติดต่อสิงห์ไม่ได้
“รับส่งกันทุกวัน กรุงเทพฯ-นนทบุรี โทรหากันบ่อยกว่าตอนคบกับกูอีกมั้ง” ทิวซึ่งค้นหากางเกงอยู่นั้นหันกลับมามองจันทร์เล็กน้อย
“มันไม่ใช่แบบนั้นทิว”
“แล้วมันแบบไหนล่ะ!” เสียงของชายที่แสนอบอุ่นแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบชั่วครู่ จันทร์ไม่เข้าใจว่าทิวจะหัวเสียทำไมทั้ง ๆ ที่สิงห์เป็นแค่เพื่อนอีกคนไม่ต่างจากกิตติ์ เด่น หรือกันต์ แค่บังเอิญว่าตอนขึ้นมหา’ ลัยจันทร์และสิงห์ติดที่เดียวกันเท่านั้นเอง สิงห์ก็เลยอาสาไปรับไปส่ง
จันทร์สบตาร่างสูงของคนผู้เป็นดั่งดวงอาทิตย์ที่แสนอบอุ่นอ่อนโยนของเขาที่บัดนี้เหมือนพร้อมที่จะแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างลงได้อย่างง่ายดาย
“มึงเป็นอะไร… หึงเหรอ” จันทร์เสียงแผ่วลงอย่างมากในตอนสุดท้ายของประโยค แต่ยังคงดังพอที่อีกคนในห้องจะได้ยิน
ทิวยักไหล่ ทำทีเป็นไม่ใส่ใจ แม้ภายในกลับตะโกนดัง ๆ ซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้นว่า ใช่ หึง แล้วหึงมาก ๆ ด้วย แต่ตอนนี้เขาตอบได้เพียงว่า
“เปล่า” มือกำแน่นจนเล็บแทบจิกเข้าผิวหนังข้างลำตัว “แค่สงสัยว่ามึงมูฟออนเร็วดีจัง”
“ทิว…”
“ไม่ต้องพูดอะไรหรอก กูรู้ว่ากูไม่มีสิทธิ์แล้ว” เขาหันกลับไปหยิบกางเกงยีนส์ขึ้นมาก่อนจะพูดเบา ๆ ขณะกำลังสวมกางเกง “มึงบอกกูตั้งแต่วันนั้นแล้วนี่นาว่ามึงไม่รักกูแล้ว”
จันทร์เม้มปากแน่นจนเกือบซีดขาว หัวใจบีบรัดแน่น ทำให้เขาอึดอัดจนอธิบายไม่ถูก
ทิวปิดประตูตู้เสื้อผ้าลงเมื่อแต่งตัวเรียบร้อยแล้วพร้อมพูดออกมาเสียงนิ่งโดยไม่หันไปมองอีกคนตรง ๆ “ขอโทษที่ขึ้นเสียง”
“กูไม่เคยหมดรัก…” เสียงจันทร์แผ่วเบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ แต่ก็ดังพอที่จะทำให้ทิวชะงักไปชั่วครู่ก่อนหันมองไปยังคนที่นั่งอยู่บนเตียง
“แล้วมึงผลักกูออกทำไมล่ะจันทร์”
คำถามนั้นกระแทกลงกลางอก จันทร์ไม่กล้าสบตา เขาหันหน้าหนี สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ นิ่งเงียบไปสักพักแล้วเอ่ยพูดขึ้นเสียงแผ่ว
“กูแค่อยากให้มึงได้ใช้ชีวิตดี ๆ”
“อยู่กับมึงชีวิตกูไม่ดียังไง” ทิวขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
จันทร์เงียบเหมือนลังเลที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายกลับเลือกที่จะเก็บงำไว้
ดวงตาเรียวของทิวจ้องมองอีกคนเงียบ ๆ สายตาฉายแววความเจ็บปวดเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้บังคับไล่ต้อนให้อีกคนพูดต่อ
ร่างสูงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนพูดต่อด้วยเสียงเรียบนิ่ง “เดี๋ยวกูลงไปรอข้างล่าง มึงไปล่างหน้าแปรงฟันไป มีแปรงสำรองไว้ให้ในตู้ตรงซิงค์”
ว่าแล้วก็หันหลังหยิบกุญแจมอเตอร์ไซค์แล้วเดินออกจากห้องไป