ทุกการกระทำล้วนมีเหตุผล… แต่เหตุผลอะไรกันล่ะที่ทำให้คน ๆ หนึ่งปิดชีพคนที่ตัวเองเรียกว่า ‘เพื่อน’ ได้?

dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ - บทที่ ๔ บาดแผล (๑/๒) โดย Duck Me! @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ลึกลับ,ชาย-ชาย,จิตวิทยา,อาชญากรรม,รัก,ทิวจันทร์,๑๔,แฟนเก่า,ดรามา,โรแมนติก,ปริศนา,ฆาตกรรม,สืบสวน ,bl,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ลึกลับ,ชาย-ชาย,จิตวิทยา,อาชญากรรม,รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ทิวจันทร์,๑๔,แฟนเก่า,ดรามา,โรแมนติก,ปริศนา,ฆาตกรรม,สืบสวน ,bl

รายละเอียด

dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ โดย Duck Me! @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ทุกการกระทำล้วนมีเหตุผล… แต่เหตุผลอะไรกันล่ะที่ทำให้คน ๆ หนึ่งปิดชีพคนที่ตัวเองเรียกว่า ‘เพื่อน’ ได้?

ผู้แต่ง

Duck Me!

เรื่องย่อ

จิณณ์ ถูกพบเสียชีวิตในคืนวันเกิดตัวเอง เจ้าหน้าที่สรุปเป็นการทำอัตวินิบาตกรรม

แต่ 1 ปีถัดมา… บุคคลปริศนาได้ส่งข้อความหาเพื่อสนิท(?)ของจิณณ์ทั้ง 6 คน

ข้อความระบุว่า 1 ในพวกเขาคือฆาตกร… มันหมายความว่ายังไงกัน?

สารบัญ

dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทนำ สุขสันต์วัน ‘ตาย’,dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๑ ข้อความ,dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๒ ตามรอย (๑/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๒ ตามรอย (๒/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๓ วันวาน (๑/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๓ วันวาน (๒/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๔ บาดแผล (๑/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๔ บาดแผล (๒/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๕ ชัดเจน,dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๖ อดีต (๑/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๖ อดีต (๒/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๗ เจ้าป่า

เนื้อหา

บทที่ ๔ บาดแผล (๑/๒)

……….


เสียงเอี๊ยดอ๊าดระหว่างรองเท้านักเรียนชายกับพื้นโรงยิมเสียดสีกันดังไปทั่วบริเวณ พร้อมทั้งเสียงลูกบาสเกตบอลที่กระทบพื้นเป็นจังหวะ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกรี๊ดกร๊าดของเหล่าเด็กสาวที่ยืนเชียร์อยู่ข้างสนาม เมื่อเด็กหนุ่มนักกีฬาบาสเกตบอลขวัญใจคนเกือบทั้งโรงเรียนได้ลูกบาสเกตบอลมาครอบครอง


แค่เล่นบาสเกตบอลช่วงพักเที่ยงปกติยังมีกองเชียร์มากขนาดนี้ไม่ต้องนึกถึงตอนแข่งเลยว่าจะขนาดไหน คงชวนอากงอาม่าลุงป้าน้าอามาร่วมเชียร์ขวัญใจตัวเองเป็นแน่


เด็กหนุ่มผิวขาวทำการเลี้ยงลูกเล็กน้อยก่อนจะจับลูกบาสเกตบอลด้วยสองมือพร้อมย่อตัวลงต่ำแล้วดีดตัวขึ้นเพื่อชู้ตลูกลงแป้นไปอย่างสวยงาม แม้ชุดนักเรียนจะไม่ค่อยอำนวยในการเล่นกีฬาก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการส่งลูกบาสเกตบอลให้ลงห่วงของShooting God ที่เพื่อนในทีมขนานนามเลยสักนิด


“จันทร์ครับ ทิวหิวน้ำ” ทิวที่เดินผละออกมาจากสนามพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนเต็มที่


เด็กหนุ่มผิวสองสีซึ่งนั่งอยู่ที่อัฒจันทร์ยื่นผ้าเช็ดหน้าสีครามให้ เจ้าตัวรับไว้พร้อมทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ แฟนหนุ่ม


“เลือกดูดิ” จันทร์พูดพร้อมหันไปอีกด้านหนึ่งที่มีขวดเครื่องดื่มมากมายหลากหลายสีวางอยู่ “แฟนคลับมึงซื้อมาให้”


“อยากกินน้ำที่แฟนครับซื้อมาให้มากกว่า คนอื่นซื้อมาให้แล้วไม่หายเหนื่อย” ทิวเลื่อนใบหน้าเข้าใกล้แล้ววางลงบนไหล่ของแฟนหนุ่มเป็นการอ้อน


“เรื่องมากก็ไม่ต้องกิน” ใช้มือผลักหน้าอีกฝ่ายให้ออกห่างพร้อมเบนหน้าหนีสายตาเด็กหนุ่มผิวขาว


แม้ใบหน้าจันทร์ไม่ได้แสดงออกชัดเจนนัก แต่เขารู้สึกเหมือนมีบางอย่างร้อนผ่าวแล่นไปทั่วร่าง


ทิวหัวเราะอย่างพอใจเมื่อเห็นท่าทางดูเขินอายของแฟนหนุ่ม ก่อนจะเอื้อมหยิบเครื่องดื่มที่วางอยู่ข้างหวานใจตัวเองอย่างจงใจที่จะเบียดตัวเองให้แนบชิดกับอีกฝ่าย


จันทร์ที่รู้อยู่แล้วว่าการกระทำแบบนี้คือตั้งใจ แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีจะผลักอีกฝ่ายออกหรือเบี่ยงตัวหนีแต่อย่างใด เพราะทิวเป็นคนประเภทที่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุนั่นแหละ


“เลือกเสร็จยังเนี่ย” เมื่อเห็นแฟนตัวเองทำท่าว่าเลือกเครื่องดื่มอยู่อีกนานก็ถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่นิ่งแต่คิ้วเริ่มขมวด เพราะมีสายตานับสิบคู่จากแฟนคลับจับจ้องมองการกระทำของทิวอยู่ตลอด มันทำให้จันทร์รู้สึกทำตัวไม่ถูก


“แป๊บดิ เลือกไม่ได้ว่าจะเอาขวดไหนดี เยอะมากเลยอะ” ทิวตอบกลับพลางแกล้ง ๆ ทำทีเป็นเลือกเครื่องดื่มต่อ


จากนั้นจึงหยิบเกลือแร่ขวดแก้วมาเมื่อเหลือบไปเห็นว่าแฟนหนุ่มตอนนี้นั่งหน้าขึ้นสีจนทำตัวไม่ถูกแล้ว เขาจึงยุติการแกล้งไว้เพียงเท่านี้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะงอนเขาขึ้นมาจริง ๆ แล้วมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่


จันทร์เบนหน้าหนีไปทางอื่น


“เขินเหรอครับที่รัก” ทิวพูดพร้อมปิดฝาขวดเกลือแร่ที่เพิ่งยกดื่ม ก่อนจะวางลงข้าง ๆ แล้วยื่นมือข้างหนึ่งออกไป หมายที่จะจับใบหน้าแฟนหนุ่มให้หันมาหา


“ไม่ได้เขิน”


จันทร์ปัดมือออกพร้อมลุกขึ้นยืนหยิบสมุดจดในวิชาคณิตศาสตร์ที่ถือมาเพื่อจะอ่านทบทวน แต่เจ้าตัวไม่ได้อ่านเลยสักนิดเนื่องจากโดนท่วงท่าการเล่นบาสเกตบอลของใครบางคนขโมยสายตาไป


“กูจะขึ้นห้องแล้ว มีสอบเก็บคะแนน” จันทร์พูดหน้านิ่งแต่จริง ๆ นั้นเขินอยู่


เขาเป็นคนเก็บอาการเก่งไม่ค่อยแสดงความรู้สึกผ่านออกมาทางสีหน้าชัดเจน แต่ทิวก็สามารถรู้ได้จากแววตาและการกระทำของอีกฝ่าย เวลาเขินหรือมีเรื่องหนักใจอะไรมักจะหลบสายตาเขาตลอด ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจนั้นทิวค่อนข้างเชื่อเลยล่ะ เราสามารถเดาความรู้สึกของอีกฝ่ายได้เพียงแค่มองตา


“วันนี้กูมีเรียนถึงห้าโมง มึงกลับก่อนได้นะ กุญแจมอ’ไซค์ในกระเป๋านักเรียนกู มึงไปเอามาไว้เลยก็ได้”


“ไม่ เดี๋ยวรอร้านป้าศรี”


“ตามนั้นก็ได้”


ทิวที่อ้าแขนกว้าง ตั้งท่าจะกอดลาแฟนหนุ่มที่จะขอตัวขึ้นห้องเรียนก่อนนั้นเป็นต้องหน้าแตกเมื่อสุดที่รักของเขาหันหลังเดินจากไปโดยไม่มีท่าทีว่าอยากจะกอดลาแบบที่เขาคิดสักนิด เขาจึงทำทีเป็นบิดขี้เกียจยืดเส้นยืดสายแก้เขิน ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงปริมาณความสุขที่เอ่อล้นออกมาเมื่อมองแผ่นหลังคนรักที่คอยเดินห่างออกไปจนลับสายตา


“ตั้งแต่เปิดตัวก็จีบกันไม่พักเลยนะ ไม่กลัวเสียฐานแฟนคลับหรือไง” คำพูดติดตลกดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง


เมื่อหันไปมองก็พบกับร่างสูงกำยำที่คุ้นเคยของโค้ชทีมบาสเกตบอล


“จริง ๆ ผมก็ไม่ได้เปิดตัวนะครับ แต่ไม่รู้ว่าคนอื่นรู้ได้ไง” พูดจบก็หันไปทางกลุ่มนักเรียนหญิงพร้อมส่งยิ้มให้หนึ่งทีและโบกมือให้เล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาทางหาโค้ชหนุ่มแล้วถามถึงจุดประสงค์ที่จู่ ๆ ก็มาหาเขาตอนนี้ “โค้ชมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ”


“ไม่มีหรอก แค่เห็นในโรงอาหารมีนักเรียนหญิงน้อย เลยคิดว่าพี่ทิวคนฮอตน่าจะกำลังเล่นบาสฯอยู่ ก็แค่จะมาดูเฉย ๆ เท่านั้นเอง” โค้ชตอบ


เลื่อนมือขึ้นมาตบที่ไหล่ทิวเบา ๆ แล้วพูดต่อ “แข่งครั้งหน้าทำให้ได้แบบนี้จะดีมากเลย เราน่ะมีพรสวรรค์พอที่จะเป็นนักกีฬาทีมชาติได้เลย พยายามต่อไปล่ะ”


“ครับโค้ช”


ทั้งคู่ยังคงพูดคุยกันต่อไปเรื่อย ๆ โดยมีสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาจ้องมองอยู่จากกลุ่มเด็กหนุ่มที่กำลังเล่นบาสเกตบอลอยู่ในสนาม




กลิ่นหอมกรุ่นของเครื่องเทศลอยอบอวลทั่วร้านของป้าศรี ร้านขายอาหารตามสั่งหน้าโรงเรียนยังคงเต็มไปด้วยเด็กนักเรียนที่ยังคงนั่งจับกลุ่มคุยกันตามเคย แม้เข็มนาฬิกาจะบอกเวลาเกือบหกโมงเย็นแล้วก็ตาม ท้องฟ้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มอมม่วง แสงสุดท้ายของวันสาดส่องเจ้ามาในร้านทาบทับลงบนพื้นไม้ที่ขัดจนเงาวับ


จันทร์นั่งอยู่กับสิงห์ที่โต๊ะด้านในสุด โต๊ะไม้ขนาดใหญ่พอดีพวกเขาทั้งเจ็ดคน ซึ่งถือได้ว่าเป็นโต๊ะวีไอพีสำหรับพวกเขาโดยเฉพาะ พวกเขามักจะแวะมาที่ร้านทุกเย็นหลังเลิกเรียนจนป้าศรีจำได้จนถือได้ว่าเป็นลูกค้าประจำไปโดยปริยาย


และถึงแม้จะไม่พูดออกมาตรง ๆ แต่ทุกคนก็พอจะดูออกว่าป้าศรีแอบลำเอียง เทใจไปให้ทิวมากกว่า ดูได้จากกะเพราหมูกรอบ ทิวก็มักจะได้หมูกรอบมากกว่า น้ำแข็งไสก็ได้เครื่องมากกว่า จนเพื่อน ๆ แซวกันว่าหรือบางทีป้าศรีอาจจะอยากได้ทิวเป็นลูกเขย ป้าศรีที่ได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะจนตาหยีอย่างชอบใจ ไม่ได้ปฏิเสธหรือตอบรับออกมาตรง ๆ


จันทร์ย่นคิ้วอย่างไม่เข้าใจกับข้อความที่เพิ่งได้รับจากแฟนหนุ่ม


‘กลับก่อนเลย โค้ชเรียกคุย’


‘กูรอได้’


‘กูไม่อยากให้มึงรอ มันนาน’


‘โค้ชจะคุยยัน2ทุ่มเลยหรือไง’


จันทร์คว่ำมือถือลงบนโต๊ะไม้สีน้ำตาลอ่อน ถ้วยน้ำแข็งไสที่ละลายกลายเป็นน้ำอยู่ครึ่งถ้วยสั่นไหวเล็กน้อยตามแรงกระแทก เมื่อหันไปทางด้านข้างสายตาของจันทร์ก็สบเข้ากับสายตาของชายผิวเข้มที่มองอยู่ก่อนแล้ว สิงห์อาสามานั่งรอทิวเป็นเพื่อนจันทร์ทุกครั้งที่ทิวมีเรียนหรือซ้อมถึงห้าหรือหกโมงเย็น


“มีอะไรหรือเปล่า” สิงห์ถาม คิ้วข้างซ้ายที่มีรอยบากบาง ๆ เลิกขึ้นด้วยความสงสัย


จันทร์ถอนหายใจเบา ๆ พลางยกมือขึ้นเสยผมสีดำขลับที่ตกลงมาปรกหน้า


“ทิวอยู่คุยกับโค้ชต่อบอกให้กลับก่อน”


“มึงจะกลับเลยไหม กูไปส่งได้นะ” เด็กหนุ่มผิวเข้มพูดจบก็ยืนขึ้นพร้อมหยิบกุญแจมอเตอร์ไซค์ออกจากกระเป๋านักเรียนของตน “มึงก็เอาเวสป้าทิวไว้นี่ ฝากกุญแจป้าศรีไว้ก็ได้”


“ไม่อะ มึงกลับก่อนเลย กูรอมันคนเดียวได้”


ไม่ทันสิ้นประโยคดี กระเป๋าเป้สีดำถูกวางลงบนโต๊ะ ที่ซิบของกระเป๋านั้นห้อยประดับด้วยพวงกุญแจผ้ารูปพระจันทร์เสี้ยวสีน้ำเงินซึ่งเป็นของคู่กันกับพวงกุญแจผ้ารูปพระอาทิตย์สีเหลืองขอบส้มที่ห้อยอยู่บนกระเป๋าเป้ของจันทร์


ร่างสันทัดของเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนมัธยมปลายหน้าตาดีที่เขาคุ้นเคยปรากฏขึ้น หากแต่ไม่ใช่คนที่จันทร์กำลังรออยู่ ผู้มาใหม่ใช้สองมือยันลงบนโต๊ะ พยายามตั้งสติและปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอ


“มีไรวะเด่น” จันทร์ถาม เขารู้สึกได้ถึงความผิดปกติทันที หัวใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อยขณะที่มองเด่นสลับกับกระเป๋าเป้ของทิวที่อยู่กับเจ้าตัวในตอนนี้


เด่นกัดริมฝีปากล่างแน่นอย่างชั่งใจ เขาสูดลมหายใจลึก ๆ ดวงตาสีเข้มมองสบตาจันทร์ตรง ๆ ราวกับรวบรวมความกล้า “ไอ้ทิวตกบันได”


คำพูดสั้น ๆ นั้นทำให้อุณหภูมิรอบตัวจันทร์เย็นเฉียบลงทันที


“โค้ชพาไปส่งโรง’ บาล—” เด่นพูดต่อแต่ยังไม่ทันที่จะจบประโยค จันทร์ก็คว้าโทรศัพท์มือถือพร้อมทั้งกระเป๋าเป้ทั้งของทิวและของตัวเองออกจากร้านไปอย่างเร่งรีบ




กระเป๋าเป้สีดำที่ห้อยพวงกุญแจผ้ารูปพระจันทร์เสี้ยวสีเหลืองใบเดิม พุ่งกระแทกเข้ากับร่างเด็กหนุ่มผิวขาวที่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่บนเก้าอี้แถวสแตนเลส มือที่กำลังคลี่ถุงพลาสติกขนาดไม่ใหญ่มากอย่างทุลักทุเลเป็นต้องชะงัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา


คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ แต่แล้วภูเขาแห่งไฟความโกรธที่กำลังจะปะทุก็พลันมอดดับลงเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือใคร ใบหน้าที่เคยบึ้งตึงแปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ


“จันทร์… มานี่ได้ไง” เสียงทิวแผ่วลงเล็กน้อยในท้ายประโยค มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบต้นคออย่างประหม่า


“ขี่เวสป้ามึงมาไง” จันทร์ตอบด้วยใบหน้าและน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง แต่ความกังวลและความเป็นห่วงที่มีต่อคนรักถูกส่งผ่านมาสายตามาหมดแล้ว


เขาถอนหายใจเล็กน้อยอย่างรู้สึกโล่งอกที่ทิวไม่ได้เป็นอะไรมากก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างคนรัก แขนยกขึ้นกอดอกแน่น


“มีไรจะพูดไหม” คำถามสั้น ๆ ทำเอาทิวยืดตัวนั่งหลังตรงขึ้นทันทีแบบไม่รู้ตัว


“ขอโทษครับ…” ทิวพูดพลางดึงมือข้างหนึ่งของคนรักมากุมไว้ และส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดไปให้อีกฝ่าย “ขอโทษที่โกหก ทิวแค่ไม่อยากให้จันทร์เป็นห่วง ขอโทษจริง ๆ ครับ”


จันทร์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ไหล่ที่เกร็งแข็งค่อย ๆ ผ่อนคลายลง มือข้างที่ถูกทิวจับไว้กระชับนิ้วตอบรับอย่างอ่อนโยน เขาไม่ได้โกรธอีกฝ่ายเลยสักนิด ไม่ได้โกรธที่ทิวโกหกและปิดบังเรื่องตกบันได เขาแค่น้อยใจต่างหาก เป็นแฟนกันแท้ ๆ แต่เขากลับเป็นคนสุดท้ายเลยที่รู้ว่าแฟนตกบันได


จันทร์ยกมืออีกข้างขึ้นปัดผมหน้าม้าคนตรงหน้าออก นั่นทำให้รอยฟกช้ำเป็นจ้ำสีเขียวอมม่วงปรากฏขึ้นต่อสายตา จากนั้นจึงวางหน้าผากของตัวเองทาบลงบนหน้าผากของอีกฝ่ายครู่หนึ่งก่อนจะดึงเข้ามากอด วางใบหน้าซบลงบนลาดไหล่โดยไม่สนใจผู้คนรอบข้างแม้แต่น้อย


“ถ้ามึงเป็นอะไรกูจะทำไงอะ”


“โอ๋ ๆ นะครับ แค่ขาหักกับข้อมือซ้นนิดหน่อยเอง แล้วก็หน้าผากช้ำ ไม่เป็นไรเลย” ทิวพูดปลอบคนรัก


“แล้วถ้าไม่ใช่แค่นี้ล่ะ ถ้ามึงเป็นอะไรมากกว่านี้…”


“กูจะไม่เป็นอะไร กูสัญญา” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นพร้อมลูบหลังปลอบโยนคนรักในอ้อมแขน จากนั้นก็ประทับริมฝีปากลงที่ลาดไหล่อีกฝ่ายแผ่วเบาและอ่อนโยน โดยไม่ทันสังเกตเห็นใครบางคนที่ยืนมองการกระทำของทั้งคู่อยู่สักพักแล้ว


“ทิว” คนมาใหม่ตัดสินใจเอ่ยเรียกออกไป


เป็นน้ำเสียงของหญิงวัยกลางคนที่ทิวคุ้นเคยเป็นอย่างดี นั่นจึงทำให้ทั้งคู่ผละตัวออกจากกันโดยเร็ว


“สวัสดีครับป้าภา” จันทร์ลุกพรวดขึ้นยืนพร้อมยกมือไหว้ทักทาย


“แม่… มาตั้งแต่เมื่อไหร่ โค้ชกลับไปแล้วเหรอ” ทิวพยายามคุมน้ำเสียงตัวเองให้ปกติที่สุด หัวใจยังคงระส่ำอยู่เล็กน้อย


เขาไม่ทันได้สังเกตจริง ๆ ว่าแม่เดินกลับมาจากการส่งโค้ชตั้งแต่เมื่อไหร่ แม่จะรู้หรือเปล่าว่าเขากับจันทร์ไม่ได้เป็นแค่เพื่อนกัน ถ้ารู้แม่จะทำอย่างไร จะไม่ให้เขาทั้งสองเจอกันอีกตลอดหรือเปล่า


คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเป็นปม คำถามเหล่านั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ยิ่งคิดหัวใจยิ่งเพิ่มจังหวะการสูบฉีดขึ้น ความกังวลเริ่มก่อกำเนิดทีละนิด ทิวไม่ได้อยากจะปิดเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับจันทร์จากผู้เป็นแม่หรอก แค่ตอนนี้ยังไม่พร้อมที่จะบอกให้ทั้งพ่อและแม่ของเขารู้ เขากลัวว่าพ่อกับแม่จะไม่ยอมรับในตัวจันทร์ในฐานะคนรัก ซึ่งจันทร์ก็เข้าใจดีและยังบอกอีกว่าไม่ต้องรีบหรือกดดันตัวเองว่าต้องบอกเรื่องของเรา แต่ถึงอย่างไรสักวันทิวก็ต้องบอก แค่ไม่ใช่ตอนนี้ เขายังไม่พร้อมที่จะเสียจันทร์ไปหากพ่อและแม่ไม่ยอมรับความสัมพันธ์ของพวกเขา


“ทิว!” เสียงเรียกของจันทร์ทำให้ทิวหลุดจากภวังค์ความคิด “เป็นอะไรไป หรือเจ็บตรงไหน”


“เปล่า… แค่คิดอะไรนิดหน่อย” ทิวตอบพร้อมส่งยิ้มบางไปให้อีกฝ่ายเพื่อให้คลายกังวล


“แม่มึงเดินไปรอที่รถแล้ว มา เดี๋ยวกูช่วย”


จันทร์คว้าสัมภาระของทิวมาถือไว้พร้อมทั้งช่วยพยุงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น ส่งไม้ค้ำยันที่วางอยู่ด้านข้างให้ ช่วยประคองไปส่งจนถึงที่รถ


“ส่วนมอ’ไซค์ทิว เดี๋ยวผมขับไปให้นะครับ” เมื่อเก็บทุกอย่างใส่รถแล้ว จันทร์จึงยกมือไหว้กล่าวลาผู้อาวุโสแล้วเดินแยกตัวไปทางบริเวณลานจอดมอเตอร์ไซค์ของโรงพยาบาล


“จันทร์เป็นเพื่อนที่ดีจังเลยนะ” ผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้นขณะที่มองร่างเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนค่อย ๆ เดินห่างออกไป ก่อนจะส่งเสียงเรียกชื่อลูกชายตัวเองอีกครั้งเมื่อเห็นว่าอีกคนนั้นเอาแต่นั่งก้มหน้าเงียบราวกับกลัวว่าแม่จะสังเกตเห็นความรู้สึกของเขา


“ทิว”


“อะ… ครับ” ทิวสะดุ้งเล็กน้อย


มือเย็นเฉียบด้วยความตกใจ ไม่กล้าที่จะหันไปมองหน้าผู้เป็นแม่เลยด้วยซ้ำ นภาเหลือบมองลูกชายตนเองเล็กน้อยก่อนจะเริ่มขับรถออกจากลานจอดโดยที่ไม่พูดอะไรอีก ทำแค่เพียงรอ… รอให้ลูกชายสุดที่รักเพียงคนเดียวพร้อมและพูดมันออกมาเองในสักวันหนึ่ง