ทุกการกระทำล้วนมีเหตุผล… แต่เหตุผลอะไรกันล่ะที่ทำให้คน ๆ หนึ่งปิดชีพคนที่ตัวเองเรียกว่า ‘เพื่อน’ ได้?
ลึกลับ,ชาย-ชาย,จิตวิทยา,อาชญากรรม,รัก,ทิวจันทร์,๑๔,แฟนเก่า,ดรามา,โรแมนติก,ปริศนา,ฆาตกรรม,สืบสวน ,bl,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะทุกการกระทำล้วนมีเหตุผล… แต่เหตุผลอะไรกันล่ะที่ทำให้คน ๆ หนึ่งปิดชีพคนที่ตัวเองเรียกว่า ‘เพื่อน’ ได้?
จิณณ์ ถูกพบเสียชีวิตในคืนวันเกิดตัวเอง เจ้าหน้าที่สรุปเป็นการทำอัตวินิบาตกรรม
แต่ 1 ปีถัดมา… บุคคลปริศนาได้ส่งข้อความหาเพื่อสนิท(?)ของจิณณ์ทั้ง 6 คน
ข้อความระบุว่า 1 ในพวกเขาคือฆาตกร… มันหมายความว่ายังไงกัน?
ร้าน A Cup of Sin ร้านขายกาแฟธรรมดา ๆ ในตึกคูหาสามชั้นสีดำกลางเมืองหลวง ซึ่งเมื่อตกกลางคืนจะแปลเปลี่ยนเป็นร้านนั่งชิลล์ที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่าง ๆ พร้อมดนตรีสดบ้าง ดนตรีจากแผ่นเสียงเก่า ๆ ที่คุณเจ้าของร้านสะสมไว้บ้าง ภายในร้านจะผสมผสานความมืดหม่นของสีดำและความนุ่มนวลของแสงไฟได้อย่างลงตัว พื้นปูด้วยไม้หอมหรืออีกชื่อว่าไม้จันทน์สีเข้มทึบ ซึ่งโต๊ะและเก้าอี้ก็ถูกสร้างจากไม้หอมเช่นเดียวกัน ทำให้ภายในร้านมีกลิ่นหอมจาง ๆ ของไม้อยู่บ้างผสานเข้ากับกลิ่นกาแฟอ่อน ๆ ชวนผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด
ในทุกวันอาทิตย์แบบนี้จะเต็มไปด้วยลูกค้าที่เป็นผู้หญิงเสียส่วนใหญ่ เนื่องจากในทุกวันอาทิตย์ทางร้านจะมีการขายไอศกรีมที่หากใครได้ลิ้มลองก็จะรู้สึกราวกับได้ขึ้นสวรรค์ นั่นเป็นคำบอกกล่าวของเหล่าลูกค้าวัยรุ่นผู้หญิง แต่ความเป็นจริงแล้วไอศกรีมก็รสชาติเหมือน ๆ ไอศกรีมทั่วไป แต่สิ่งที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้ไอศกรีมที่นี่อร่อยกว่าที่อื่นนั้น เห็นทีจะเป็นคุณเจ้าของร้านสุดหล่อผู้มีใบหน้าเรียบเฉยอยู่ตลอดเวลาราวกับไม่เคยมีความรู้สึก ดูลึกลับ เย็นชา น่าค้นหาอย่างบอกไม่ถูก การแต่งตัวแบบออลแบล็ก คือสวมเสื้อผ้าสีดำทั้งตัวช่วยขับผิวขาวซีดของเจ้าตัวได้ดี บวกกับเส้นผมดำเงาที่ถูกรวบไว้ครึ่งหัวนั้น อาจเป็นสิ่งที่ทำให้สาว ๆ หลงใหลก็เป็นได้
เสียงกระดิ่งหน้าร้านดังขึ้นเรียกความสนใจพนักงานพาร์ตไทม์หนุ่มให้หันมองพร้อมรอยยิ้มต้อนรับลูกค้าตามปกติ ก่อนที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นจะถูกแทนที่ด้วยใบหน้าที่บึ้งตึงเมื่อรู้ว่าลูกค้าผู้มาใหม่นั้นคือใคร
“อเมริกาโนเย็นแก้วนึงครับ ไม่ใส่น้ำตาลนะครับ ขอใส่เป็นหัวใจของคนชงแทน” ชายหนุ่มร่างสูงในชุดเสื้อยืดแขนยาวสีเทากับกางเกงขาสั้นเสมอเข่าสีดำเอ่ยสั่งเครื่องดื่มด้วยรอยยิ้มที่แสนจะมีความสุขที่ได้เห็นหน้าแฟนสุดที่รักของตน
“อเมริกาโนเย็นนะครับ... หกสิบบาทครับ” พนักงานตอบกลับเสียงนิ่งแกมเบื่อหน่ายกับลูกค้าคนนี้
“ท่าทางเย็นชาของมึงเป็นสิ่งที่กูชอบที่สุดเลยรู้ไหม” ทิวยื่นเงินสดจ่ายค่าเครื่องดื่มที่ตนสั่ง
“รอรับเครื่องดื่มด้านซ้ายมือนะครับ” พนักงานหนุ่มพูดโดยไม่สบตาพร้อมส่งเงินทอนให้
ทิวที่เดินไปรอเครื่องดื่มที่ปลายบาร์ยิ้มและก้มหัวเล็กน้อยเป็นการทักทายคุณเจ้าของร้านที่มองเหตุการณ์อยู่ อีกฝ่ายยกยิ้มเล็กน้อยเป็นการตอบรับคำทักทายนั้น ทิวก็ไม่ได้รู้จักอะไรกับคุณเจ้าของร้านเป็นพิเศษหรอก แค่เจอกันทุกอาทิตย์ในร้านนี้ก็เลยทักทายกันเป็นมารยาท
“อเมริกาโนเย็นครับ”
ชายหนุ่มรับเครื่องดื่มมาดูดเล็กน้อยแล้วส่งยิ้มไปให้พนักงานหนุ่ม “อร่อยมากครับ ชอบจังเลยคนชงกาแฟอร่อย”
พูดจบก็หันหลังเดินไปยังโต๊ะตรงมุมร้านที่มีเด็กสาวผิวขาวผมสีบลอนด์เข้มและเด็กหนุ่มหน้านิ่งที่มีไฝเสน่ห์ใต้ดวงตานั่งรออยู่ก่อนแล้ว ทั้งสามกล่าวทักทายกันเล็กน้อยก่อนที่ทิวจะนั่งตรงเก้าอี้ที่ว่างอยู่เตรียมพร้อมเข้าสู่บทเรียนของสัปดาห์นี้
จริง ๆ แล้ว ไอและยูนับได้ว่าเป็นรุ่นน้องจากโรงเรียนมัธยมปลายของทิว เพียงแต่ไม่ทันได้มีโอกาสได้พบเจอพูดคุยทำความรู้จักกัน เพราะในตอนที่ทิวจบการศึกษาทั้งคู่เพิ่งขึ้นชั้นม.4 เพิ่งมารู้เมื่อไม่นานมานี้ว่าทั้งคู่เรียนอยู่ที่ไหน
ที่ได้มีโอกาสมาสอนพิเศษทั้งสองคนนี้เพราะแม่เป็นคนแนะนำมา บอกว่าเป็นหลานคนรู้จัก แล้วที่แปลกคือทางผู้ว่าจ้าง หรือก็คือผู้ปกครองของไอ เขาจ่ายหนักมาก เกินเรทราคาที่ทิวตั้งไว้ ถ้าไม่ติดว่าแม่เป็นคนรับรองให้ว่าเป็นคนรู้จัก ทิวก็แอบคิดนะว่าบ้านเด็กสาวอาจเกี่ยวข้องกับธุรกิจเทาหรืออะไรทำนองนั้น
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงครึ่งตามที่ตกลงกันไว้เด็กหญิงและเด็กชายก็พากันเก็บของและทั้งสามคนก็พากันเดินออกจากร้าน ทิวยกมือขึ้นเรียกแท็กซีคันหนึ่งที่ผ่านมา
“กลับบ้านกันดี ๆ นะ แล้วอย่าลืมทบทวนสิ่งที่เรียนบ่อย ๆ ด้วยล่ะ ครูดุจอัปสรควิซบ่อย ระวัง พี่เจอมาแล้ว” เขากล่าวเตือนตามประสบการณ์ตรงที่เคยเจอขณะส่งเด็กนักเรียนทั้งสองขึ้นรถ
ครูสอนฟิสิกส์คนนี้ขึ้นชื่อเรื่องให้ทำควิซยิบย่อยแทบจะทุกคาบเรียน แต่โชคดีไปที่ทิวพอจะมีพรสวรรค์ในรายวิชานี้อยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นคงปางตายอยู่นะ
“รับทราบค่ะ” เด็กสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงสดใสก่อนจะโบกมือกล่าวลาครูสอนพิเศษ
เมื่อบอกลากันเรียบร้อยก็ทำการปิดประตูลงเพื่อให้รถได้ขับออกไป ส่วนตนก็เดินกลับเข้าไปในร้านตามเดิม เมื่อเปิดประตูเข้ามาในร้านสายตาก็พลันไปสบเข้ากับคุณพนักงานหนุ่มหน้าเคาน์เตอร์พอดิบพอดีก่อนที่อีกคนจะเป็นฝ่ายหลบตาแล้วทำทีจะเดินหนีเข้าไปหลังร้าน
“เดี๋ยวก่อนจันทร์”
เจ้าของชื่อหยุดเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อของตน ก่อนจะหันกลับมามองทางต้นเสียงด้วยสีหน้าแววตาที่เรียบเฉย
“กูมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย มึงเลิกงานสี่โมงใช่ไหม”
“ไม่ กูควบสองกะ เลิกเที่ยงคืน” พนักงานหนุ่มตอบทันควันพร้อมเบนสายตาไปทางอื่น
ที่ว่าเลิกงานเที่ยงคืนนั้นเป็นเรื่องโกหก ในเมื่อวันนี้คุณเจ้าของร้านอยู่เขาก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องทำงานรอบกลางคืนที่เปลี่ยนจากร้านกาแฟเป็นร้านนั่งชิลล์ยามดึก
“กูรอได้”
“ไม่เห็นต้องทำสองกะเลย วันนี้ผมอยู่ร้าน จันทร์ก็เลิกงานสี่โมงแบบทุกอาทิตย์ไง” คุณเจ้าของร้านที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่พูดขึ้น
จันทร์หันไปมองคุณเจ้าของร้านก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ตอบกลับชายหนุ่มที่กำลังยืนรอคำตอบอยู่ “งั้นก็นั่งรอไป อีกสามชั่วโมง”
ทิวส่งยิ้มให้กับพนักงานหนุ่มที่กลอกตาทำหน้าเบื่อหน่ายก่อนจะเดินไปนั่งรอยังโต๊ะเดิมที่ตนใช้นั่งสอนหนังสือเมื่อไม่กี่นาทีก่อน
เวลาผ่านไปจนถึงเวลาที่จันทร์เลิกงาน ทิวซึ่งเดินออกมาเพื่อสตาร์ตรถมอเตอร์ไซค์รออยู่ก่อนแล้วที่ในซอยด้านข้างร้านไม่นาน เมื่อเห็นร่างที่คุ้นเคยของแฟนเดินออกจากร้านมุ่งตรงมาที่มอเตอร์ไซค์ก็ยื่นหมวกกันน็อกเพียงใบเดียวให้คนที่ตอนนี้กำลังก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความส่งให้ใครบางคน แต่อีกฝ่ายสายหน้าปฏิเสธพร้อมยกแขนซ้ายขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงบอกว่าตัวเองมีหมวกกันน็อกอยู่แล้ว
เห็นดังนั้นทิวจึงสวมหมวกกันน็อกของตัวเองพร้อมเอื้อมไปหยิบหมวกกันน็อกพร้อมเสื้อแจ็กเกตยีนส์ในมืออีกฝ่ายมาถือไว้เพราะเห็นกำลังยุ่งอยู่กับการพิมพ์ข้อความหาใครบางคนอยู่
“ใคร” ทิวถามออกไปด้วยความเคยชินพร้อมกับจะสวมหมวกกันน็อกให้
“สิงห์”
คำตอบเพียงสั้น ๆ นั้นทำทิวชะงักไปเล็กน้อย มือที่ถือหมวกกันน็อกกำลังสวมให้อีกฝ่ายลดลง
“มึงกับสิงห์… ช่างเถอะ ไม่มีไร” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะฟังสิ่งที่เขากำลังถามเลย ทิวจึงกลืนคำถามนั้นลงไปตามเดิม
ไม่รู้สิ บางทีการไม่รู้อะไรก็น่าจะดีที่สุดแล้ว...
เมื่อพิมพ์ข้อความบอกให้สิงห์เรียบร้อยว่าวันนี้ไม่ต้องมารับ จันทร์ก็เก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋ากางเกง รับแจ็กเกตยีนส์สีอ่อนจากคนตัวสูงกว่าหน่อยมาสวมก่อนจะตามมาด้วยหมวกกันน็อกที่ยืมมาจากคุณเจ้าของร้าน พร้อมตวัดขาพาตัวเองขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์
“เราจะไปไหนกัน”
“หิว” ทิวตอบเพียงเท่านั้นแล้วก็ขับพาจันทร์ออกไป
“อากาศร้อนแบบนี้ มึงพากูมากินข้าวต้มเนี่ยนะ” จันทร์พูดในขณะที่มือก็ใช้ช้อนคนถ้วยข้าวต้มปลาตรงหน้าเพื่อระบายความร้อน
“มันก็ไม่ได้ร้อนขนาดนั้นไหมล่ะ มึงรู้สึกร้อนอาจเป็นเพราะความร้อนแรงของกูก็ได้นะ” ชายหนุ่มผิวขาวที่นั่งตรงข้ามกล่าวติดตลกพร้อมรอยยิ้ม แล้วตักข้าวต้มกุ้งที่ตนสั่งเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
“มึงรีบเข้าเรื่องเลยดีกว่า มีอะไรจะคุยกับกู” จันทร์วางช้อนลง ยกแขนสองข้างขึ้นมาเท้าโต๊ะโดยมือทั้งสองประสานกันไว้
“นั่นใช่แจ็กเกตที่กูซื้อให้หรือเปล่า” ทิวถามพร้อมชี้ไปที่เสื้อแจ็กเกตยีนส์ที่พาดอยู่บนพนักพิงเก้าอี้ด้านข้างของคู่สนทนา
“ใช่ แล้วทำไม”
“ก็ไม่ทำไม แค่ดีใจที่มึงยังใช้อยู่”
“นี่คือเรื่องสำคัญที่มึงพูดถึงเหรอ”
“แล้วเลิกใส่แหวนตั้งแต่เมื่อไหร่” ทิวถามต่อพร้อมมองไปที่นิ้วนางข้างซ้ายของจันทร์
ซึ่งจะเป็นแหวนคู่สีเงินหน้าเกลี้ยงที่ทิวซื้อให้สมัยที่เริ่มเป็นแฟนกันช่วงแรก จริง ๆ ทิวเห็นว่าจันทร์ไม่ได้ใส่แหวนมาสักพักแล้วแหละ เพราะเขาไปสอนที่ร้านที่จันทร์ทำงานอยู่ทุกอาทิตย์แต่ไม่มีโอกาสได้ถามเพราะจันทร์เอาแต่หลบหน้า พอรอจนเลิกงานก็เดินหนีหายไปไหนไม่รู้ แค่วันนี้อีกคนยอมมากินข้าวด้วยทิวก็ดีใจมากแล้ว คงพอจะมีหวังที่จะกลับมาคืนดีบ้างแหละ ทิวคิดเช่นนั้น
จันทร์หยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะพร้อมทั้งแจ็กเกตยีนส์ ลุกขึ้นหันหลังเตรียมจะเดินออกจากร้านเมื่อคิดว่าจุดประสงค์ของร่างสูงคือจะขอคืนดี ขืนคุยต่อไปมากกว่านี้เขาคงเริ่มหวั่นไหวลังเลขึ้นมา เพราะคนตรงหน้ารู้วิธีพูดให้เขาใจอ่อนเป็นอย่างดี แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของทิวที่ดังขึ้นแค่พอให้ได้ยินกันสองคน เจ้าตัวถึงกับต้องหันกลับมาและนั่งลงตามเดิม
“Dear Murderer…”
จันทร์มองหน้าคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม สีหน้าเรียบเฉยของจันทร์บัดนี้เจือไปด้วยความเคร่งเครียดเล็กน้อย
“อะไร” เขาถามเพื่อขอคำอธิบายจากอีกฝ่ายว่าจะเป็นแบบเดียวกันกับที่เขาเจอไหม
“เมื่อเช้ามีคนส่งข้อความแปลก ๆ มาหากู” ทิวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดข้อความที่ว่าให้คนฝั่งตรงข้ามของโต๊ะดู “ไม่รู้ว่าอำกันเล่นไหม แต่ที่มาบอกเพราะกูเป็นห่วง—”
ไม่ทันที่ทิวจะพูดจบ จันทร์ก็ดึงคอเสื้อของคนสูงกว่าให้เดินตามออกมาพร้อมวางเงินจำนวนหนึ่งไว้บนโต๊ะเป็นค่าข้าวต้มสองถ้วย จันทร์พาทิวออกจากร้านมายังลานจอดรถ ซึ่งคนไม่พลุกพล่านมากเท่าในร้าน ดวงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าแล้ว มีเพียงไฟสลัว ๆ จากเสาไฟสองสามต้นให้ความสว่าง เพื่อที่บทสนทนาของทั้งคู่จะได้มีความปลอดภัยขึ้น จันทร์มองซ้ายมองขวาสำรวจโดยรอบอีกทีให้แน่ใจว่าไม่มีคน เมื่อแน่ใจแล้วก็เริ่มพูดขึ้นบ้าง
“กูก็ได้ข้อความนี้เหมือนกัน เมื่อเช้านี้”
“หมายความว่าเป็นเรื่องจริงเหรอ จิณณ์ถูกหนึ่งในพวกเรา... ฆ่า” ทิวเสียงแผ่วลงในคำสุดท้าย
เขาแทบไม่อยากจะเชื่อเลย ถ้าเป็นอย่างที่ข้อความนั้นว่ามันคงเป็นอะไรที่ยากเกินกว่าจะทำใจยอมรับ พวกเราเป็นเพื่อนกันแล้วจะทำเรื่องแบบนั้นไปได้ยังไง
“มีคนแปลก ๆ มาป้วนเปี้ยนรอบ ๆ ตัวมึงบ้างหรือเปล่า” เขาเอ่ยถามเพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของอีกฝ่าย แม้จะรูดีอยู่แล้วว่าจันทร์เรียนมวยไทยมา แต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้
จันทร์เหมือนจะครุ่นคิดอะไรอยู่ไม่ได้ยินที่ทิวถามก่อนจะเอ่ยปากพูดขึ้นอีกครั้ง “เอากุญแจรถมา”
ทิวมองใบหน้าและแววตาของคนตรงหน้าก่อนจะหยิบกุญแจที่ห้อยด้วยพวงกุญแจรูปพระจันทร์เสี้ยวสีน้ำเงินเข้มออกจากกระเป๋าผ้าส่งให้อีกฝ่ายโดยไม่ถามอะไรเลย เพราะถ้าจันทร์อยากบอกเมื่อไหร่เขาคงจะพูดออกมาเอง แล้วทั้งคู่พากันมุ่งออกไปที่ไหนสักแห่งที่จันทร์กำลังคิดอยู่ในหัวตอนนี้