ทุกการกระทำล้วนมีเหตุผล… แต่เหตุผลอะไรกันล่ะที่ทำให้คน ๆ หนึ่งปิดชีพคนที่ตัวเองเรียกว่า ‘เพื่อน’ ได้?

dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ - บทที่ ๑ ข้อความ โดย Duck Me! @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ลึกลับ,ชาย-ชาย,จิตวิทยา,อาชญากรรม,รัก,ทิวจันทร์,๑๔,แฟนเก่า,ดรามา,โรแมนติก,ปริศนา,ฆาตกรรม,สืบสวน ,bl,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ลึกลับ,ชาย-ชาย,จิตวิทยา,อาชญากรรม,รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ทิวจันทร์,๑๔,แฟนเก่า,ดรามา,โรแมนติก,ปริศนา,ฆาตกรรม,สืบสวน ,bl

รายละเอียด

dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ โดย Duck Me! @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ทุกการกระทำล้วนมีเหตุผล… แต่เหตุผลอะไรกันล่ะที่ทำให้คน ๆ หนึ่งปิดชีพคนที่ตัวเองเรียกว่า ‘เพื่อน’ ได้?

ผู้แต่ง

Duck Me!

เรื่องย่อ

จิณณ์ ถูกพบเสียชีวิตในคืนวันเกิดตัวเอง เจ้าหน้าที่สรุปเป็นการทำอัตวินิบาตกรรม

แต่ 1 ปีถัดมา… บุคคลปริศนาได้ส่งข้อความหาเพื่อสนิท(?)ของจิณณ์ทั้ง 6 คน

ข้อความระบุว่า 1 ในพวกเขาคือฆาตกร… มันหมายความว่ายังไงกัน?

สารบัญ

dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทนำ สุขสันต์วัน ‘ตาย’,dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๑ ข้อความ,dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๒ ตามรอย (๑/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๒ ตามรอย (๒/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๓ วันวาน (๑/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๓ วันวาน (๒/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๔ บาดแผล (๑/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๔ บาดแผล (๒/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๕ ชัดเจน,dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๖ อดีต (๑/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๖ อดีต (๒/๒),dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะ-บทที่ ๗ เจ้าป่า

เนื้อหา

บทที่ ๑ ข้อความ

แสงแดดอ่อน ๆ ช่วงสายสาดส่องลอดผ่านผ้าม่านบางสีเทาเข้ามาในห้องนอน ตกกระทบบางเบาลงบนใบหน้าของชายหนุ่มเจ้าของห้องซึ่งนั่งพิงหัวเตียงไม้อยู่ แผ่นหลังแนบกับพนักไม้สีอ่อน ขาข้างหนึ่งเหยียดตรงบนที่นอน ส่วนอีกข้างงอเข่าเล็กน้อยโดยมีสมุดเล่มหนึ่งวางอยู่ที่ต้นขา ใต้ตาที่คล้ำเล็กน้อยสื่อถึงการไม่ได้นอนมาตลอดคืน แววตาภายใต้กรอบแว่นสีเงินของเขาจ้องมองไปยังสมุดเล่มนั้นเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างระหว่างที่ปลายนิ้วเลื่อนสัมผัสหน้ากระดาษช้า ๆ อย่างแผ่วเบา


เสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าจากโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ข้างเตียงดังขึ้น เรียกความสนใจของชายหนุ่มให้กลับสู่โลกแห่งความจริง เขาปิดสมุดเล่มนั้นลงช้า ๆ ก่อนจะเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู คิ้วผูกเข้าหากันเล็กน้อย


ทันใดนั้นเสียงแจ้งเตือนข้อความก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือ เจ้าตัวมองชื่อที่แสดงอยู่หน้าบนหน้าจอเล็กน้อยก่อนกดรับ


“Yeah?”


“อากันต์!” เสียงสดใสของเด็กสาวดังมาจากปลายสาย “Good morning! ตื่นยังคะ”


“ครับ… มีอะไรหรือเปล่า” น้ำเสียงฟังดูแหบพร่าเล็กน้อย


“เสียงฟังดูไม่สดใสเลย นี่อาไม่นอนอีกแล้วเหรอ”


“นิดหน่อย…” เขาตอบ พร้อมเอนตัวทิ้งน้ำหนักไปที่หัวเตียงมากขึ้น


มือข้างหนึ่งยกขึ้นถอดแว่นตาออกช้า ๆ แสดงให้เห็นว่าเขาไม่จำเป็นต้องใช้มันอีกต่อไป พลางเงยหน้ามองเพดานขาวที่ถูกแต่งแต้มด้วยแสงแดดบาง ๆ ที่ลอดผ่านม่านมาเป็นลวดลายสวยงามอย่างน่าประหลาด เขายกแขนขึ้นมองสร้อยข้อมือลูกปัดหินสีเขียวหยกที่มีจี้รูปใบโคลเวอร์สี่แฉกสีเงินอยู่ ซึ่งสร้อยนี้เป็นของขวัญที่ได้มาจากเพื่อนในช่วงมัธยมปลาย


“เอาแต่คิดเรื่อง—”


“แล้วนี่เรามีเรื่องอะไรหรือเปล่า” ไม่ทันที่เด็กสาวพูดจบ เขาก็พลันพูดแทรกขึ้นมาก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่


“…แค่จะโทรมารายงานว่าแมวดำที่อาฝากดู ตอนนี้อาการปกติดีนะคะ”


“งั้นเหรอ…” ชายหนุ่มค่อย ๆ ยืดตัวนั่งตรง เขานำสมุดเล่นนั้นไปเก็บไว้ในลิ้นชักข้างเตียงตามเดิมพร้อมพูดต่อ “แล้วเจ้าของแมวล่ะ”


“ยังไม่มาค่ะ”


“ช่วยดูต่ออีกหน่อยนะ”


ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นจากเตียงช้า ๆ แล้วเดินตรงไปยังหน้าต่าง เลื่อนมือข้างหนึ่งไปเปิดผ้าม่านเพื่อรับแสงของวันใหม่ที่มาถึงเมื่อไหร่ไม่รู้


“ได้ค่ะ” เด็กหญิงตอบรับด้วยน้ำเสียงสดใสที่แฝงไปด้วยความจริงจัง


“แล้วก็อีกอย่างนะ” เขาพูดต่ออีกนิดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเจือความจริงจัง


เด็กสาวเงียบไม่พูดอะไร รอฟังในสิ่งที่ชายหนุ่มจะพูด


“พี่เป็นน้องชายพ่อเธอก็จริงนะ…” เขาเว้นจังหวะไปชั่วครู่ ถอนหายใจเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “แต่เลิกเรียกว่าพี่ว่าอาได้แล้ว เราสองคนอายุห่างกันไม่มาก”


“ค่ะ อากันต์” เด็กสาวหัวเราะคิกคักด้วยความขบขันก่อนจะชิงกดตัดสายไป


เขายิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก ขำน้อย ๆ ในใจด้วยเอ็นดูความขี้เล่นของเด็กสาว แต่ก็แอบรู้สึกขัดใจนิดหน่อย ทั้ง ๆ ที่อายุก็ห่างกันเพียงไม่กี่ปี แต่เธอไม่ค่อยจะยอมทำตามคำขอของเขาเลย ชายหนุ่มเดินกลับมานั่งลงบนเตียงอีกครั้งขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปที่น่าจอมือถืออย่างไม่วางตา




นิ้วเรียวกดล็อกหน้าจอโทรศัพท์มือถือเล็กน้อยก่อนจะโยนมันลงบนที่นอนอย่างไม่ใส่ใจนักหลังจากอ่านและตอบข้อความต่าง ๆ ที่ถูกส่งมา เขาเพ่งความสนใจไปที่การแต่งตัวเพื่อเตรียมตัวออกไปทำงาน


ในขณะที่ยืนติดกระดุมเสื้อเชิ้ตอยู่หน้ากระจกอย่างรีบร้อน เสียงร้องเรียกแสนหวานดังขึ้นจากทางประตูห้องที่ถูกแง้มไว้เล็กน้อย ก่อนจะตามมาด้วยความรู้สึกถึงสัมผัสที่นุ่ม ๆ ของสิ่งมีชีวิตซึ่งมีลักษณะคล้ายก้อนขนสีน้ำตาลอ่อน และมีสีน้ำตาลไหม้ที่ตามตัวเก้าตำแหน่ง


เจ้าก้อนขนเริ่มพันขาและม้วนตัวรอบเขาอย่างออดอ้อน ดวงตากลมโตสีฟ้าของเจ้าก้อนขนมองขึ้นมาทำให้เขาอดยิ้มไม่ได้ เขาถอนหายใจออกมาเล็กน้อยอย่างยอมแพ้ให้กับความน่ารัก พร้อมย่อตัวลงลูบหัวเจ้าก่อนขนนั้นเบา ๆ อย่างเอ็นดู


“เธอกำลังทำให้พี่ไปทำงานสายนะ รู้ไหม” เขาพูดทั้งที่มือยังไม่หยุดเกาพุงนุ่ม ๆ ของมัน


“จันทร์! แต่งตัวเสร็จหรือยังลูก” เสียงตะโกนของแม่ดังมาจากชั้นล่าง “เพื่อนมารอนานแล้วนะ”


“ครับแม่ ใกล้เสร็จแล้ว” เขาตะโกนตอบพร้อมผละมือจากความนุ่มนิ่มของแมวตรงหน้า แล้วจึงรีบแต่งตัวต่อให้เสร็จโดยพลัน


หยิบโน่นจับนี่อย่างเร่งรีบก่อนจะคว้าแจ็กเกตยีนส์และโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนเป็นเป็นอย่างสุดท้ายแล้วก้าวเท้ายาวออกจากห้อง และก่อนออกจากบ้านก็ไม่ลืมที่จะหอมแก้มนางฟ้าแสนสวยประจำบ้าน


“ไปแล้วนะครับแม่”


“จ้า เดินทางปลอดภัยนะลูก” เธอเดินตามออกมาส่งลูกหน้าบ้านด้วยความเคยชิน


“โทษทีสิงห์ รอนานไหม” จันทร์เอ่ยถามเมื่อเดินมาถึงหน้าบ้าน


ชายหนุ่มร่างสูงผิวเข้มส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคม และเมื่อสายตาเลื่อนไปเห็นร่างของหญิงวัยกลางคนที่เดินตามหลังมา สิงห์พลันเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกงแล้วยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม


“สวัสดีครับน้าดาร์”


เธอพยักหน้ารับเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มแสนอ่อนหวานแล้วพูดขึ้นอย่างอบอุ่น “วันหลังเข้ามานั่งรอในบ้านเลยนะลูก ทิวก็ทำบ่อย ๆ ตอนมัธยม”


ร่างสูงชะงักไปเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้ยิน พลันหันไปสบตากับจันทร์ที่ยืนใส่เสื้อแจ็กเกตอยู่ข้าง ๆ


“จะสายแล้ว…” จันทร์ว่าพร้อมผลักร่างของสิงห์เป็นเชิงให้อีกฝ่ายสตาร์ตมอเตอร์ไซค์ก่อนจะหันกลับหอมแก้มแม่อีกที “ไปจริง ๆ แล้วนะครับ”


สิงห์ตวัดขาคร่อมมอเตอร์ไซค์แล้วจึงยกมือไหว้น้าดาร์อีกรอบเพื่อกล่าวลา เมื่อจันทร์ขึ้นนั่งซ้อนท้ายเรียบร้อย เขาจึงบิดคันเร่งและพามอเตอร์ไซค์เคลื่อนตัวออกไป เสียงล้อบดพื้นถนนเบา ๆ และเสียงลมพัดผ่านทำให้รู้สึกผ่อนคลายก่อนที่จะเลี้ยวออกจากซอยบ้านแล้วต้องพบเจอกับความวุ่นวายของเมืองที่รออยู่




เสียงรถยนต์มากมายจากถนนใหญ่ดังคล้ายเสียงเพลงบรรเลงประกอบฉากความวุ่นวายที่แสนคุ้นเคยในทุก ๆ วัน แม้จะผ่านพ้นช่วงเวลาเร่งด่วนยามเช้ามาแล้ว แต่ท้องถนนยังคงหนาแน่นไปด้วยรถยนต์


เสียงยางรถซีดานคันหรูสีดำเงาบดกับพื้นถนนที่ทอดยาวออกนอกตัวเมือง ถนนเริ่มเปิดกว้างขึ้นเมื่อรถเริ่มวิ่งผ่านพ้นตัวเมืองไปได้แล้ว ทิวทัศน์ตึกสูงของมหานครทั้งสองข้างทางเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นอาคารพาณิชย์ โรงงาน และบ้านเรือนที่กระจายตัวออกห่างขึ้น บรรยากาศโดยรอบเริ่มโปร่งโล่งสบาย และดูราวกับทุกอย่างจะเคลื่อนไหวช้ากว่าใจกลางกรุงเทพฯ


“โอเคขึ้นยัง” คนขับรถเหลือบมองมาทางเพื่อนสนิทที่นั่งเหม่อมองออกไปนอกรถเล็กน้อยแล้วหันกลับไปเพ่งความสนใจกับถนนตรงหน้าอีกครั้ง


ไร้ซึ่งเสียงตอบรับใด ๆ จากอีกฝ่าย เขาก็ไม่คิดที่จะเซ้าซี้ถามไปมากกว่านี้จึงทำเพียงขับรถต่อไปเงียบ ๆ


ผ่านไปพักหนึ่งรถคันหรูก็แล่นเข้าใกล้ยังสถานที่ปลายทาง กลิ่นอายของทะเลเริ่มลอยมาตามลมอ่อน ๆ ทิวทัศน์ข้างทางเปลี่ยนเป็นพื้นที่เปิดโล่งมีต้นไม้เตี้ย ๆ พาดยาวริมถนน เสียงนกร้องแว่วมาจากไกล ๆ บรรยากาศพลิกจากความวุ่นวายของเมืองหลวงเป็นความนิ่งเงียบของธรรมชาติ ชายหนุ่มทั้งสองร่างที่เดินเคียงกันช้า ๆ อย่างต้องการผ่อนคลายไปตามทางเดินริมทะเลอันเงียบสงบ


ลมเย็นจากอ่าวไทยโอบล้อมร่างกาย พัดพาความชุ่มชื้นและกลิ่นเกลือจาง ๆ มาปะทะใบหน้าราวกับเป็นคำทักทายอันอ่อนโยนจากมหาสมุทร


“เด่น…” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดลำลองหม่นทั้งตัวเอ่ยเรียกเพื่อนสนิทที่เดินด้วยกันอยู่ข้าง ๆ เขาหยุดเท้าลงแล้วว่าต่อ “ขอบคุณมึงมากนะที่อยู่เป็นเพื่อนกูตลอด”


“อือ” เด่นตอบเพียงสั้น ๆ พร้อมยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาเสยผมสีขาวมุกที่ยุ่งเหยิงเพราะแรงลมแล้วถามอีกฝ่ายต่อ “แล้วมึงเป็นไงบ้าง รู้สึกดีขึ้นยัง”


เขาจ้องมองตรวจสอบสภาพโดยรวมของเพื่อนตรงหน้าอยู่พักหนึ่งก่อนที่ในที่สุดอีกฝ่ายจะเอื้อนเอ่ยตอบคำถามของเขา


“ยัง…” อีกคนตอบเพียงสั้น ๆ พร้อมทอดสายตามองยาวออกไปไกลสุดขอบฟ้าด้วยสายตาที่ไร้ความรู้สึกนึกคิดใด ๆ จากนั้นจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “บางที… ถ้ากูไม่ใช่ลูกพวกเขา อะไร ๆ มันคงจะดีกว่านี้”


เด่นจ้องมองเพื่อนสนิท ขยับปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบไว้


“ถ้ากูไม่ใช่บวรกิตติ์ สุพรรณไพศาล กูอาจใช้ชีวิตมีความสุขกว่านี้… หรือเปล่าวะ” เขาพูดเสียงแผ่วขณะก้มมองสร้อยข้อมือลูกปัดสีเขียวหยก พลางใช้นิ้วโป้งอีกข้างลูบเบา ๆ ที่จี้รูปใบโคลเวอร์สี่แฉกสีเงิน


เด่นมองตรงออกไปยังสุดขอบฟ้า มือข้างหนึ่งซุกไว้ในกระเป๋ากางเกง ส่วนอีกข้างกำไว้หลวม ๆ อยู่ข้างลำตัวพลางใช้ปลายนิ้วกลางและนิ้วนางลูบรอยสักขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มากที่บริเวณอุ้งมือของตัวเองอย่างกำลังใช้ความคิด หันกลับมามองทางเพื่อนสนิทแล้วพูดขึ้น


“กูอยู่ตรงนี้เพื่อมึงตลอด ต้องการอะไรแค่พูดออกมา”


กิตติ์ไม่ได้ตอบอะไรไปมากกว่านี้ ทำเพียงหันมองเพื่อนสนิทพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ ที่ต้องการบอกว่า ขอบคุณสำหรับตลอดเวลาที่ผ่านมา


ทั้งคู่ยังยืนอยู่ที่เดิม ไม่มีใครพูดอะไรต่อ ปล่อยให้ความเงียบค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสอง หมู่มวลนกน้อยใหญ่ ณ บริเวณส่งเสียงร้องคลอไปพร้อมกับเสียงสายลมที่พัดโชยมาจากทะเล กิตติ์หลับตาลงช้า ๆ ปล่อยความคิดที่ยุ่งเหยิงให้ลอยหาไปกับสายสม




คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเป็นปมแน่น เปลือกตาอันหนักอึ้งพยายามเปิดขึ้นอย่างช้า ๆ กระพริบตาสองสามทีเพื่อปรับให้รูม่านตารับแสงได้อย่างพอดี ก่อนที่มือหนาจะเอื้อมไปปิดเสียงร้องชวนหงุดหงิดของนาฬิกาปลุกที่ดังขึ้นทั่วห้องนอนนั้นลง


เขานอนมองเพดานห้องอีกสักพักแล้วจึงหยัดตัวลุกขึ้นนั่ง เผยให้เห็นร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่า มัดกล้ามเล็กน้อยที่หน้าท้องบ่งบอกอย่างดีว่าเจ้าตัวนั้นดูแลร่างกายดีแค่ไหน ชายหนุ่มลุกจากเตียงยืนเต็มความสูง บิดขี้เกียจซ้ายทีขวาทีก่อนจะลงไปวิดพื้นที่ข้างเตียงเหมือนที่ทำเป็นประจำในทุกเช้า เมื่อครบสามสิบครั้งตามที่ตั้งไว้ชายหนุ่มก็หยิบผ้าเช็ดตัวที่พาดอยู่ที่พนักพิงเก้าอี้เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ


เวลาผ่านไปราวสิบนาที ร่างสูงของเจ้าของห้องก็เดินออกมาจากห้องน้ำโดยมีเพียงผ้าเช็ดตัวสีเทาพันปิดท่อนล่างอยู่ เขาเลื่อนบานประตูตู้เสื้อผ้าออกเพื่อเลือกหาชุดที่จะใส่ในวันนี้ ซึ่งความจริงแล้วก็เลือกไม่ยากเท่าไหร่นักเพราะในตู้เสื้อผ้าก็มีแต่เสื้อผ้าสีโทนเดียวกันทั้งตู้คือสีเทา มีเสื้อเชิ้ตสีเขาสำหรับใส่ไปเรียนที่มหา’ลัยปะปนอยู่เล็กน้อยเท่านั้น


เสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าเรียกความสนใจจากคนที่กำลังยืนเลือกชุดอยู่ได้เป็นอย่างดี เขาเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางชาร์จแบตเตอรี่อยู่ข้างหัวเตียงขึ้นมาอ่าน พบว่าเป็นข้อความจากผู้ว่าจ้างแสนน่ารักน่าเอ็นดูของตน


‘morning ไอกับยูมาถึงcaféแล้วนะคะ โต๊ะเดิม’


พร้อมแนบรูปของตัวเองฉีกยิ้มกว้างชูสองนิ้วที่ถ่ายคู่กับเพื่อนชายคนสนิทที่หน้านิ่งเป็นธรรมชาติของเจ้าตัวมาให้เป็นการยืนยันกึ่งเร่งคุณครูสอนพิเศษไปด้วยในตัว


เสื้อยืดแขนยาวสีเทากับกางเกงขาสั้นเสมอเข่าสีดำถูกสวมลงบนร่างชายหนุ่มอย่างรวดเร็วเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังไปทำงานสาย คว้ากระเป๋าผ้าที่แขวนอยู่ตรงประตูห้องแล้วเปิดออกโดยเร็ว เมื่อล็อกห้องด้วยความลนลานเรียบร้อยแล้ว เขาก็ก้าวยาวตามโถงทางเดินตรงไปยังลิฟต์พลางตอบข้อความของเด็กสาวไปด้วย


‘รอสัก 5 นาทีนะ พี่ใกล้ถึงแล้ว’


บอกว่าใกล้ถึงแล้วอาจดูโกหกเพราะในขณะที่พิมพ์เจ้าตัวยังไม่ทันกดเรียกลิฟต์เลยด้วยซ้ำ แต่สิงห์ความเร็วอย่างเขาสามารถไปให้ทันภายในห้านาทีตามที่บอกได้


ทิวรับสอนพิเศษในช่วงวันหยุดเพื่อหาเงินจ่ายค่าเทอมตัวเองและใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เนื่องจากเหตุการณ์บางอย่างทำให้เขาออกจากบ้านมาใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ตอนแรกก็ทุลักทุเลนิดหน่อย เขาต้องทุบกระปุกเงินที่เก็บมาตั้งแต่ประถมออกมาใช้เพื่อหาห้องเช่าราคาถูกที่เงินเก็บของเด็กอายุสิบแปดอย่างเขาในตอนนั้นพอจะรับได้ สุดท้ายก็มาได้คอนโดฯนี้โดยมีคุณแม่ที่จัดการเรื่องต่าง ๆ ให้ ทีแรกแม่จะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องค่าเช่าในแต่ละเดือนให้ แต่ทิวก็ปฏิเสธเพราะไม่อยากรบกวนแม่ไปมากกว่านี้แล้ว ถ้าพ่อรู้พ่อคงโกรธแม่มากแน่ ๆ เขาคิดอย่างนั้น


ชายหนุ่มหยิบกุญแจมอเตอร์ไซค์ออกจากกระเป๋าผ้าเมื่อลิฟต์ลงมาถึงชั้นหนึ่งแล้วจึงแทรกตัวออกมาทันทีเมื่อประตูลิฟต์เริ่มเปิดขึ้น เดินตรงไปยังบริเวณลานจอดมอเตอร์ไซค์พลางหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลาก่อนจะขมวดคิ้วกับการแจ้งเตือนข้อความที่ถูกส่งมาจาก Unknown เมื่อกดเข้าไปดูก็ต้องขมวดคิ้วหนักขึ้นไปอีกกับเนื้อหาความข้อความที่ถูกส่งมาหนึ่งบับเบิลถ้วนแต่ยาวเกือบเป็นพารากราฟ ใจความว่า


‘dear murderer, สวัสดีเดือนใหม่ รู้หรือเปล่าว่าเดือนนี้มีอะไรพิเศษ tick tock… tick tock… เดือนเกิดและเดือนตายของจิณณ์… รู้สึกคุ้น ๆ ชื่อนี้บ้างหรือเปล่า แน่นอนว่าต้องคุ้น เขาเป็นทั้งเพื่อนทั้งคนที่คุณเกลียด… ไม่ต้องสงสัยหรอกนะว่าฉันรู้เรื่องนี้ได้ไง หรือแม้แต่ฉันเป็นใคร เอาเป็นว่าฉันให้เวลาคุณไปมอบตัวกับตำรวจก่อนถึงวันครบรอบ ไม่อย่างนั้นฉันจะเอาหลักฐานทั้งหมดที่มีส่งมอบให้ตำรวจ ไม่ต้องห่วงนะ มันมีมากพอที่จะมัดตัวคุณให้ดิ้นไม่หลุดเลยล่ะ คุณฆาตกร… warm wishes, Karma’