ทุกการกระทำล้วนมีเหตุผล… แต่เหตุผลอะไรกันล่ะที่ทำให้คน ๆ หนึ่งปิดชีพคนที่ตัวเองเรียกว่า ‘เพื่อน’ ได้?
ลึกลับ,ชาย-ชาย,จิตวิทยา,อาชญากรรม,รัก,ทิวจันทร์,๑๔,แฟนเก่า,ดรามา,โรแมนติก,ปริศนา,ฆาตกรรม,สืบสวน ,bl,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
dear murderer, เรื่องคืนนั้นฉันรู้นะทุกการกระทำล้วนมีเหตุผล… แต่เหตุผลอะไรกันล่ะที่ทำให้คน ๆ หนึ่งปิดชีพคนที่ตัวเองเรียกว่า ‘เพื่อน’ ได้?
จิณณ์ ถูกพบเสียชีวิตในคืนวันเกิดตัวเอง เจ้าหน้าที่สรุปเป็นการทำอัตวินิบาตกรรม
แต่ 1 ปีถัดมา… บุคคลปริศนาได้ส่งข้อความหาเพื่อสนิท(?)ของจิณณ์ทั้ง 6 คน
ข้อความระบุว่า 1 ในพวกเขาคือฆาตกร… มันหมายความว่ายังไงกัน?
จันทร์โยนร่างทั้งร่างของตัวเองทิ้งลงบนโซฟาสีเทาตัวยาวอย่างอ่อนล้า เงยหน้ามองเพดานพร้อมถอนหายใจออกมาแผ่วเบา แต่มันดังมากพอที่จะแทรกเข้าไปในโสตประสาทของชายหนุ่มผิวเข้มที่นั่งมองเขาอยู่ แค่เสียงถอนหายใจอันแผ่วเบาของคนด้านข้างก็ทำให้สิงห์รวดร้าวไปทั้งใจ เขาไม่ชอบเลยเวลาเห็นคนที่ตัวเองรักต้องมีสีหน้าเศร้าแบบนี้ จริง ๆ ก็คงไม่มีใครชอบเห็นคนที่รักทุกข์ใจหรอก
“ร้อนจังเลยนะ… ฝนทำท่าจะตก แต่ไม่รู้สึกว่ามันจะเย็นขึ้นมาเลย ไหนกรมอุตุฯ บอกหมดหน้าฝนแล้วไง” สิงห์เอ่ยขึ้น พยายามชวนอีกคนคุยเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศขมุกขมัวที่เริ่มก่อตัวขึ้นภายในห้อง
จันทร์เอื้อมมือหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบทีหนึ่งแล้วกล่าวเสียงเรียบนิ่ง “อากาศประเทศไทยแปรปรวนเหมือนอารมณ์ใครบางคนแหละ”
“ใครจะคงที่ได้เท่ามึงล่ะ” ชายหนุ่มผิวสองสีหัวเราะเบา ๆ หันมองคนเจ็บด้านข้างแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ทั้งสองคนสบตากันนิ่งครู่หนึ่งก่อนที่จะเป็นสิงห์อีกเช่นเคยที่เอ่ยทำลายความเงียบ “พวกมึงไม่ได้กลับไปคบกันใช่ไหม”
“มะ-ไม่…” จันทร์ตอบตะกุกตะกักพร้อมหันหน้าหนีไปทางอื่น นัยน์ตาไหววูบครู่หนึ่ง “ถามทำไม”
“กูจะได้มั่นใจว่ากูก็พอมีหวังอยู่บ้าง… แค่นิดเดียวก็ยังดี” น้ำเสียงแผ่วลงในตอนสุดท้าย ก่อนจะพยายามขยับตัวหันประจันหน้ากับคนด้านข้าง
จันทร์เห็นท่าทีทุลักทุเลจึงขยับเข้าไปช่วยประคองด้วยคิดว่าอีกคนต้องการลุกไปไหนหรือเปล่า เมื่อขยับปรับท่านั่งได้ที่แล้วสิงห์จึงกล่าวต่อ “กูเฝ้ามองมึงอย่างเงียบ ๆ มาโดยตลอด ไม่เคยคิดจะแย่งเลยสักครั้ง…”
เขายกมือขึ้นช้า ๆ แล้วใช้หลังมือลูบแก้มคนตรงหน้าอย่างแผ่วเบา ราวกับกลัวว่าหากสัมผัสแรงกว่านี้อีกเพียงนิด ชายที่เขาแอบรักและเฝ้ามองมาตลอดจะบุบสลายหายไปเสียดื้อ ๆ แม้สิงห์จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายแกร่งแค่ไหน
จันทร์มองตามการเคลื่อนไหวของมือนั้นอยู่นิ่งสลับกับสบตาเจ้าของมือพร้อมรอยย่นนิด ๆ ที่ปรากฏขึ้นบนหน้าผากอย่างต้องการคำตอบ
“พอได้ยินว่ามึงเลิกกันแล้ว มันฟังดูแย่ก็จริงนะ แต่ยอมรับตรง ๆ เลยว่าวินาทีนั้น หัวใจกูกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งเมื่อรู้ว่าพอจะมีหวัง”
จันทร์เคลื่อนมือมาจับมืออีกคนที่ข้างแก้มออกช้า ๆ เขามองอีกคนนิ่งโดยไม่พูดตอบอะไรออกไป
สิงห์จึงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่หนักแน่น “กูไม่ได้อยากเป็นคนที่อยู่ตรงนี้แค่เพราะเขาไม่อยู่… กูอยากเป็นคนที่มึงเลือกให้อยู่ด้วย แม้เขาจะยังอยู่ก็ตาม… และกูก็ไม่ได้อยากแทนที่ใครด้วย”
ภายในใจหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก จันทร์ไม่เคยรับรู้ถึงความรู้สึกของสิงห์มาก่อนเลย ไม่เคยคิดเลยว่าตลอดเวลาที่คุยกันหรือตอนที่เขาเล่าปัญหาเรื่องทิวให้ฟัง สิงห์เก็บความรู้สึกของตัวเองไว้เงียบ ๆ มาตลอดโดยที่จันทร์ไม่ทันได้สังเกต
จันทร์นั่งนิ่งเงียบงันอยู่อย่างนั้น ความรู้สึกผิดถาโถมแทบท่วมท้นทะลักออกมา ความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถตอบอะไรกลับไปได้ในแบบที่สิงห์อยากฟัง
“ไม่ต้องรีบตอบตอนนี้ก็ได้ กูรอได้” ริมฝีปากหยักของชายหนุ่มผิวเข้มค่อย ๆ เผยรอยยิ้มออกมา หวังจะให้คนตรงหน้าคลายกังวลลงบ้างก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพูด “กูจะไปอาบน้ำละ ยังไม่ได้อาบตั้งแต่เมื่อวานตัวเหนียวไปหมด”
“อาบได้เหรอ เดี๋ยวกูช่วย” จันทร์รีบประคองเพื่อนชายตรงหน้าทันทีที่เห็นอีกฝ่ายพยายามพาร่างตัวเองลุกขึ้นอย่างยากลำบาก
“…ขอบคุณ” สิงห์กล่าวขณะแขนถูกยกพาดบ่าที่ดูผิวเผินอาจไม่ได้กว้างใหญ่มาก แต่เมื่อได้สัมผัสกลับรู้สึกถึงมวลกล้ามเนื้อที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวนี้
“อือ กูเคยดูแลคนเข้าเฝือกมาก่อน”
“หมายถึงทิวเหรอ” สิงห์เหลือบมองคนด้านข้างเล็กน้อย ถามเองก็รู้สึกเจ็บใจเองหน่อย ๆ
จันทร์นิ่งเงียบไม่ตอบ ทำเพียงหันหน้ามามองครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมองตรงแล้วพาเขาเดินมุ่งขึ้นชั้นสองของบ้าน
หลังจากจัดการเช็ดเนื้อเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สิงห์เรียบร้อยแล้ว เขาก็พาเพื่อนไปนั่งที่เตียง แผ่นหลังพิงแนบไปกับพนักเตียง ชายหนุ่มผิวเข้มส่งยิ้มให้แล้วกล่าวขอบคุณ พร้อมยื่นมือไปกอบกุมมืออีกฝ่ายซึ่งยืนอยู่ข้างเตียงอย่างอ่อนโยน ออกแรงดึงแผ่วเบาเป็นเชิงบอกในนั่งลงก่อน จันทร์จึงทำตาม เขาค่อย ๆ ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงนุ่ม พลางในหัวก็นึกถึงเรื่องที่สิงห์พูดก่อนหน้านี้
“คิดอะไรอยู่” สิงห์ใช้นิ้วจิ้มเบา ๆ ที่ระหว่างคิ้วคนตรงหน้าที่เริ่มผูกเป็นปมขึ้นมา “ใช่เรื่องที่กูบอกชอบมึงหรือเปล่า”
“กูขอโทษ…”
สิงห์ยกมือขึ้น ชูนิ้วชี้เลื่อนไปประชิดริมฝีปากอีกฝ่ายแล้วส่งเสียง ชู่ว แผ่วเบาแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “บอกแล้วไงว่าไม่ต้องรีบให้คำตอบ ไม่ว่าจะเป็นคำตอบแบบไหนก็ตาม… ช่วยเก็บกลับไปคิดก่อนได้ไหม”
จันทร์พนักหน้าช้า ๆ เป็นการตอบรับและก้มหน้าลงเล็กน้อย
สิงห์คลี่ยิ้มบางเบาที่เจือไปด้วยความขมขื่น ก่อนจะใช้มือประคองใบหน้าอีกฝ่ายให้เชิดขึ้นมาสบตาพลางมือโป้งก็ลูบไล้ข้างแก้มด้วยความทะนุถนอม
“อย่าฝืนตัวเองมากนะ กูรอมึงได้ตลอดแหละ” น้ำเสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “กูรอมึงมาตั้งแต่ม.4แล้ว”
จันทร์นั่งนิ่งไม่ตอบอะไร เขาเคลื่อนมือขึ้นมาทาบลงบนมืออีกฝ่ายที่แก้มของตัวเองครู่หนึ่งแล้วดึงออก นำไปวางไว้บนต้นขาของเจ้าตัวก่อนจะขยับตัวนั่งหันข้างให้อีกฝ่าย
คนเจ็บถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเผยยิ้มขมขื่นบางเบาออกมาอีกครั้ง เขาทิ้งน้ำหนักพิงพนักเตียงแล้วเงยหน้ามองเพดาน
ความเงียบคืบคลานเข้าครอบคลุมภายในห้องเพียงพักเดียว ก็เป็นสิงห์เองที่เริ่มเอ่ยทำลายความเงียบ “จะว่าไปเดือนนี้… เป็นเดือนตายของจิณณ์สินะ”
จันทร์เผลอนั่งตัวตรงขึ้นมาแล้วหันหน้าไปทางคนเจ็บทันที่ทีอีกฝ่ายพูดจบ “คืออะไร”
เขาตัดสินใจถามออกไป ไม่แน่ใจว่าทำไม่จู่ ๆ อีกคนก็พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เขาพยายามปรับลมหายใจให้ช้าลงเพื่อระงับความรู้สึกลุ้นระทึกที่เพิ่มขึ้น พลางมือก็สั่นเล็กน้อยพร้อมด้วยเหงื่อที่ซึมออกมาตามฝ่ามือ
สิงห์ยังไม่ตอบออกมาทันที เขายังคงจ้องมองเพดานนิ่ง ๆ อยู่อย่างนั้นราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ ยิ่งรอความตื่นเต้นลุ้นระทึกก็ทวีความรุนแรงขึ้น
“ทำไมจู่ ๆ ก็พูดถึงเรื่องนี้” จันทร์ถามต่อ พยายามทำน้ำเสียงให้เรียบนิ่งที่สุด
“ก็…” สิงห์ลากเสียงยาวอย่างไม่รู้จะเรียบเรียงประโยคหรือเริ่มพูดจากตรงไหนก่อนดี “เช้าวันอาทิตย์ที่กูไปรับมึงที่บ้าน ระหว่างรอมันก็มีข้อความแปลก ๆ ส่งมาจากใครก็ไม่รู้” เขาหยุดพูดลงแล้วละสายตาจากเพดานกลับมามองคนตรงหน้า ที่นั่งจ้องมาทางเขาด้วยสายตาคาดหวังในคำตอบ
“เนื้อหาข้อความคืออะไร” เมื่อเห็นสิงห์เงียบไปนานจันทร์จึงถามเพื่อคาดคั้นเอาคำตอบมากกว่านี้
“มันยาวมาก จำได้คร่าว ๆ ว่าเกี่ยวกับการตายของจิณณ์ ให้ไปมอบตัวหรืออะไรสักอย่าง”
“ขอดูหน่อยได้ไหม”
“ดู?” สิงห์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “ข้อความเหรอ”
“ใช่”
“อยากให้ดูอยู่หรอกนะ…” เขาพูดพลางหันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังมองหาอะไรสักอย่าง
จันทร์เองก็มองตามอย่างสงสัย “อะไร”
“ตอนมอ’ ไซค์ล้มโทรศัพท์มันกระเด็นกระแทกพื้น กระแทกฟุตพาทเละไปแล้ว กูเองก็ยังไม่ได้เห็นซากชัด ๆ เลย”
ใบหน้าและสายตาของจันทร์ฉายแววผิดหวังอย่างเห็นได้ชัดจนสิงห์สังเกตได้
“เป็นอะไรหรือเปล่าจันทร์”
“อือ”
“อือ…?” สิงห์ทวนคำพร้อมเลิกคิ้ว “อือ… นี่คือเป็น?”
จันทร์นิ่งเงียบไม่ตอบ เขาหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ตอนนี้จันทร์ค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าเพื่อนทุกคนได้รับข้อความจาก Karma แล้วการที่ไม่มีใครพูดถึงมันเลยก็แสดงว่าเนื้อความในจดหมายชัดเจนถ่องแท้แล้วว่าเป็นความจริง…
เพื่อนของเขาคนใดคนหนึ่งเป็นฆาตกร…
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้สมองก็พลันปิดการรับรู้จากทุกสิ่งภายนอก จันทร์ได้ยินเพียงเสียงหัวใจของตัวเองที่ดังกลบทุกอย่าง หลังจากนี้ควรเอาไงต่อดีล่ะ? ใครคือคนร้ายที่ Karma พูดถึง? แล้วเจ้านั่นมันเป็นใคร? ไปรู้ไปเห็นอะไรมา? แล้วถ้ารู้ตัวคนร้ายแล้ว ทำไมต้องไล่ส่งข้อความบ้านั่นให้คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย ความคิดมากมายวิ่งวนอยู่ในหัวไม่หยุด สมองอื้ออึงคล้ายกับมีเสียงนับถอยหลังของนาฬิกาเร่งเร้าอยู่ตลอด ปลายนิ้วเย็นเฉียบยกขึ้นกดขมับทั้งสองข้างแน่น ความเจ็บปวดแล่นเข้ามาเป็นระรอกราวกับคลื่นซัดเข้าหาฝั่งในคืนที่พายุโหมกระหน่ำ
“จันทร์!”
เสียงเรียกและแรงเขย่าที่ต้นแขนดึงเจ้าของชื่อที่เริ่มจมหายไปในทะเลความคิดให้กลับขึ้นสู่ฝากฝั่งที่เรียกว่าโลกความเป็นจริง เขาหันมองทางต้นเสียง สายตาของคนที่มองมาฉายแววความเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด
“เป็นอะไร จู่ ๆ ก็นิ่งไป เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตอบ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
“…นิดหน่อย”
“ปวดหัวเหรอ อยากนอนพักก่อนไหม” สิงห์พูดพร้อมพยายามอย่างสุดความสามารถของคนเจ็บคนหนึ่งที่จะขยับตัวไปด้านข้าง เพื่อจะได้ให้อีกคนนอนลงบนเตียงด้วย
“ไม่ ๆ” จันทร์จับตัวคนเจ็บที่พยายามจะขยับตัวให้อยู่นิ่ง ๆ “กูโอเคแล้ว” “เหรอ?”
สิงห์หรี่ตามองอย่างไม่เชื่อ “กูมองมึงมาตลอด มึงคิดว่ากูไม่รู้เหรอว่ามึงเป็นคนยัง”
“กูเป็นคนยังไง?”
“ชอบเก็บทุกอย่างไว้คนเดียว มีเรื่องไรก็ไม่ยอมพูด โดนแกล้งตอนม.ปลายก็เอาแต่บอก ไม่เป็นไร ๆ อึด ถึก ทนฉิบหาย” สิงห์ใช้กำปั้นต่อยไปเบา ๆ ที่ต้นแขนของจันทร์ในตอนท้ายของประโยค
“เหรอวะ” จันทร์หัวเราะเบา ๆ กับคำบรรยายตัวเองในมุมมองคนอื่น
“เออ” สิงห์ตอบ ยืนยันอย่างหนักแน่นในสิ่งที่ตัวเองพูด
พอจันทร์ลองมานั่งคิดดูดี ๆ แล้วก็คงเป็นอย่างที่อีกฝ่ายว่า ทิวเองยังเคยพูดอยู่บ่อย ๆ ว่ามีอะไรให้บอกได้ตลอด ชอบหรือไม่ชอบอะไรให้พูดออกมา มีปัญหาอะไรจะได้ช่วยกันหาทางแก้ไข แต่ก็มีอยู่หลายครั้ง จริง ๆ อาจเรียกว่าทุกครั้งเลยก็ว่าได้
ที่จันทร์จะเลือกเก็บเงียบไว้และหาทางแก้ไขคนเดียว จันทร์ไม่รู้ว่าต้องเป็นเรื่องร้ายแรงแค่ไหนถึงจะร้องขอความช่วยเหลือได้โดยจะไม่ถูกมองว่าอ่อนแอ จันทร์โตมากับแม่เลี้ยงเดี่ยว จึงพยายามที่จะไม่รบกวนอะไรแม่มากนัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างสะดุดล้มไปจนกระทั่งเรื่องจำพวกกลั่นแกล้ง ทั้งด้วยคำพูดหรือด้วยการกระทำ เขาเห็นคุณแม่ทำอะไรหลาย ๆ อย่างเพื่อเขาด้วยตัวคนเดียวมาตลอด แม้จะไม่ต้องพยายามมากในการหาเงินส่งเสียค่าเทอมเพราะพ่อยังคงส่งให้ ทั้งหมดทั้งมวลนี้อาจส่งผลให้จันทร์ไม่ค่อยอยากขอความช่วยเหลือจากคนอื่น แต่อยากจะช่วยเหลือคนอื่นมากกว่า
“แม้กระทั่งตอนที่รู้ว่าใครแกล้ง มึงยังนิ่งเฉย ไม่ตอบโต้ ไม่ทำอะไรเลย ไม่บอกไอ้ทิวที่เป็นแฟนตัวเองด้วยซ้ำ” สิงห์กล่าวต่อ น้ำเสียงเริ่มขุ่นขึ้นมานิด ๆ “ปล่อยผ่านไปเรื่อย ๆ แล้วยังไปฉลองวันเกิดมันหน้าตาเฉย”
“ห้ะ!”
“เห็นเรียนมวยมานึกว่ามึง—”
“เดี๋ยวก่อน” จันทร์ยกมือขึ้นสองข้างเป็นเชิงให้อีกฝ่ายหยุดพูดก่อน
สิงห์ทำตามพร้อมเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“เมื่อกี้มึงพูดว่าอะไรนะ”
“มึงเรียนมวย…”
“ไม่ใช่ ๆ ก่อนหน้านั้น”
สิงห์เอียงคอคิดเล็กน้อย “ปล่อยผ่าน… แล้วฉลองวันเกิดเหรอ”
“มึงรู้ด้วยเหรอ” จันทร์ถาม โน้มตัวเข้าใกล้อีกฝ่ายขึ้นเล็กน้อย
“รู้อะไร รู้ว่าใครแกล้งมึงเหรอ”
จันทร์พยักหน้าตอบรับ
“แน่นอนอยู่แล้ว กูไม่ได้โง่เหมือนแฟนเก่ามึงนะ” สิงห์กล่าวพร้อมพิงศีรษะไปกับกำแพง ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วว่าต่อ “พักหลังมากูเลยไม่ค่อยอยากคุยกับมันไง”
“ที่มึงทะเลาะกันบ่อย ๆ เพราะเรื่องนี้หรือเปล่า”
“ใช่” เขาตอบเสียงหนักแน่น “ตอนมึงโดนแกล้งแล้วมาขอให้กูช่วยเก็บเป็นความลับจากทิว กูดีใจมากนะที่มึงไว้ใจและพึ่งพากู กูก็เลยเริ่มสืบหาว่าใครเป็นคนทำจนรู้ว่าคนที่แกล้งมึงมาตลอดคือจิณณ์ กูเลยเลี่ยงเท่าที่ทำได้ แต่มันก็ยาก จิณณ์มันก็เพื่อนในกลุ่ม มันทำแย่ ๆ ไว้กับมึงก็จริง แต่กูไม่อยากทำให้กลุ่มแตกหักว่ะ กูคงทำได้แค่พยายามขวางเท่าที่ทำได้ เวลาจิณณ์จะทำอะไรมึง…”
……….
แสงสีส้มอ่อนจากดวงอาทิตย์ยามเย็นฉาบลงบนพื้นระเบียงทางเดินหน้าอาคารเรียนที่ไร้ซึ่งผู้คน จะว่าไร้ผู้คนก็ไม่ถูกนัก เพราะมีนักเรียนชายคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงม้านั่งยาวตลอดแนวระเบียงทางเดิน สมาธิจดจ่ออยู่กับการปรับสายซอตรงหน้า ใช้มือซ้ายค่อย ๆ หมุนลูกบิดทีละน้อยสักพักก็ลองสีเบา ๆ เพื่อตรวจความตึงของสาย เมื่อแน่ใจว่าสายอยู่ในระดับที่ต้องการแล้ว เขาจึงเริ่มวางนิ้วลงบนสายช้า ๆ กดให้แนบชิดติดกับคันทวน แล้วจึงค่อย ๆ ใช้คันชักสีไปมาจนเกิดเสียงนุ่มนวลแสนหวานอันทรงเสน่ห์ของซอสามสายดังก้องไปทั่วทางเดิน เสียงซอที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ลึกซึ้งแต่เจือความเศร้าหมองชอบกล ราวกับจะกลืนเข้ากับบรรยากาศยามเย็นที่ห้อมล้อมตัวเขาไว้
“มีอะไร” เขาหยุดมือลง “ไม่ซ้อมว่ายน้ำเหรอ” ผินหน้าไปทางเด็กหนุ่มผิวเข้มที่ยืนกอดอกพิงวงกบประตูห้องเรียนฝั่งตรงข้ามอยู่
“เดี๋ยวซ้อม…” เขาเว้นจังหวะครู่หนึ่ง ลากเก้าอี้ตัวที่ใกล้มือที่สุดจากในห้องเรียนออกมานั่งแล้วเอ่ยต่อ “แค่จะมาเอ่ยคำชมเชยมึงก่อน”
อีกฝ่ายย่นคิ้วเล็กน้อยพร้อมหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ “แน่นอนสิ งานกีฬาสีก็ใกล้เข้ามาแล้วด้วย”
“กูไม่ได้หมายถึงการสีซอของมึง” น้ำเสียงทุ้มต่ำเจือความขุ่นมัว ดวงตาฉายแววโทสะมองตรงไปยังคนที่หยุดมือจากการสีสอแล้วหันมามองรอให้เด็กหนุ่มผิวเข้มพูดต่อ “กูหมายถึงการปั้นสีหน้าของมึง จิณณ์”
มือที่กำลังกลับไปสีซอหยุดลง แต่ยังไม่หันไปมองเด็กหนุ่มผิวเข้ม สายลมแผ่วเบาพาดผ่านปะทะใบหน้าคนทั้งสอง
“พูดถึงอะไร”
“มึงรู้ว่ากูพูดถึงอะไร” เด็กหนุ่มผิวเข้มขบฟันแน่นพร้อมเดินเข้าใกล้อีกคนขึ้นเล็กน้อย “เลิกเสแสร้งได้แล้ว”
จิณณ์เผยรอยยิ้มบางเบาพร้อมค่อย ๆ วางซอสามสายพิงพนักที่นั่งไว้ให้มั่นคงที่สุดแล้วหันมาเผชิญหน้ากับอีกคนที่ยืนทำหน้าขมึงตึงมองมาทางเขา พ่นลมหายใจออกมาแผ่วเบาแล้วพูดพร้อมยักไหล่
“ช่วยไม่ได้ ก็มันสนุกนี่นา” เขายกยิ้มที่มุมปากจนปรากฏรอยบุ๋มที่ข้างแก้ม สายตาจ้องลึกเข้าไปยังดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเคืองของอีกฝ่าย “เจ้าตัวก็ไม่เห็นเป็นเดือดเป็นร้อนอะไร ทนไม่ไหว… ก็ตายไปซะ”
สิ้นคำของจิณณ์เด็กหนุ่มผิวเข้มก็ก้าวยาวพุ่งประชิดตัว มือข้างหนึ่งคว้าหมับเข้าที่คอเสื้ออีกฝ่าย อีกข้างกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นมาบนแขนชูขึ้นสูงเหนือศีรษะ แต่ยังไม่เหวี่งมันออกไป
“มึงพูดอีกทีสิ!” เขาตะโกนถามด้วยน้ำเสียงเดือดดาล
นัยน์ตาที่ลุกโชนด้วยไฟแห่งโทสะจ้องเขม็งเข้าไปในดวงตาคนตรงหน้า ที่แม้จะโดนกระชากคอเสื้ออยู่เจ้าตัวกลับไม่รู้สึกสะทกสะท้านเลยสักนิด ใบหน้ายังคงแปดเปื้อนไปด้วยร้อยยิ้มซึ่งมีความเย้ยหยันอยู่ในที่
มือข้างที่กำหมัดสั่นแรงด้วยความโกรธที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างพร้อมที่จะปล่อยหมัดใสคนตรงหน้าได้ทุกวินาที แต่สุดท้ายเขากลับสะบัดกำปั้นออกแล้วเหวี่ยงคนตรงหน้าลงกับพื้นทางเดินอย่างแรง
ใบหน้าของจิณณ์ฉายแววความเจ็บปวดเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะกลับมามีรอยยิ้มเยาะเย้ยตามเดิมยามเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนที่โมโหจนแทบขาดสติราวสัตว์ป่า
“กูไม่รู้นะว่ามึงทำเรื่องเหี้ย ๆ นี่ไปทำไม” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาดังกึกก้องไปทั่วโถงทางเดิน “แต่ต่อจากนี้ ถ้ากูเห็นว่ามึงทำอะไรจันทร์อีก… กูไม่ปล่อยมึงไว้แน่!”
พูดจบเขาก็หันหลังหมายจะเดินออกจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด แต่เป็นต้องชะงักเท้าลงพลันเมื่อได้ยินชื่อตัวเองถูกเปล่งออกมาเบา ๆ จากคนที่นั่งอยู่บนพื้นแต่ก็ดังพอที่จะได้ยิน
“หึ สิงหราชเหรอ…”
“อะไร” เขาเพียงหันหน้ามองผ่านไหล่ สองมือกำหมัดแน่นพยายามข่มอารมณ์ความโกรธของตัวเองเพราะพอจะเดาได้ว่าสิ่งที่กำลังจะถูกเอื้อนเอ่ยออกมานั้นคงไม่น่าฟังเท่าไหร่ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะอยากรู้
“มึงไม่ต่างอะไรจากลูกหมาเลยเพื่อน รักเขาแทบตาย ทำเพื่อเขาทุกอย่าง แต่เขาไม่เคยแม้แต่จะชายตามอง เขาทำแค่ลูบหัวแล้วบอกน่ารัก” จิณณ์ยันตัวเองลุกขึ้นจากพื้นพลางใช้มือปัดเศษดินเศษฝุ่นตามเสื้อผ้า “น่าสมเพชฉิบหาย”
ร่างกายคนฟังสั่นเทิ้มด้วยความต้องการที่จะระเบิดอารมณ์ใส่อะไรสักอย่าง และสิ่งโชคร้ายนั้น ถ้าไม่ใช่คนที่พูดจาแทงใจดำเยาะเย้ยถากถางเขาอยู่ตอนนี้เห็นทีคงจะเป็นอะไรอื่นไปอีกไม่ได้นอกจากเก้าอี้ไม้ที่เขาลากออกมานั่งเมื่อครู่
ปลายเท้าพุ่งตรงเข้าใส่เก้าอี้ตัวนั้นอย่างจัง มันกระแทกเข้ากับผนังปูนดังปังจนคนด้านหลังสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ยังพยายามเก็บอาการ
“น่าสมเพช” จิณณ์พึมพำออกมาขณะที่ร่างอีกคนเดินห่างออกไปเรื่อย ๆ น้ำเสียงแหบพร่าแผ่วเบาเจือความเจ็บปวดลึก ๆ ภายใน หยาดน้ำสีใสไหลเรื่องลงมาตามสองข้างแก้ม “มึงมันน่าสมเพช…”
แม้จะเป็นช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้วก็ตามที แต่เสียงเคาะกระทะจากการทำอาหารของป้าศรียังคงดังขึ้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพัก
งานกีฬาสีโรงเรียนใกล้เข้ามาทุกที นักเรียนในแต่ละคณะสีต่างพากันซ้อมกีฬากันอย่างเอาเป็นเอาตายราวกับเป็นงานแข่งระดับประเทศ
ผู้นำเชียร์ แสตนด์เชียร์ ดรัมเมเยอร์ และกีฬาทุกชนิด ทุกคนต่างจริงจังกับงานกีฬาสีมาก ทางโรงเรียนจึงอนุญาตให้นักเรียนอยู่ซ้อมที่โรงเรียนได้จนถึงประมาณสามทุ่มตรง
เหตุที่โรงเรียนทำแบบนี้เพราะไม่ว่าจะห้ามซ้อมจนดึกยังไง นักเรียนก็คงหาวิธีจัดแจงหาสถานที่เพื่อนัดกันซ้อมจนดึกจนดื่นอยู่ดี ทางผู้หลักผู้ใหญ่ในเครือข่ายผู้ปกครองเห็นพ้องต้องกันว่ามันอันตรายจึงเสนอแนวทางแก้ไขให้กับโรงเรียนทาง จากนั้นโรงเรียนจึงมีนโยบายนี้ขึ้นมา ให้ซ้อมกันอยู่ในครรลองสายตาคณะครูอาจารย์คงจะปลอดภัยกว่า
แต่ก่อนจะไปซ้อมกีฬา กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เพราะแบบนั้นในเวลานี้ ทิว จันทร์ และกันต์จึงได้นั่งอยู่ในร้านป้าศรีที่โต๊ะประจำเหมือนทุกที ส่วนเพื่อนคนอื่นจะตามมาทีหลัง เนื่องจากพวกเขาทั้งเจ็ดคนไม่ได้อยู่สีเดียวกันทั้งหมดแต่ละคนจึงมีหน้าที่รับผิดชอบต่างกัน
สำหรับทิวในตอนนี้ ซ้อมบาสเกตบอลก็สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้เป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากคนที่เป็นดั่งดวงจันทร์ในดวงใจของเขา ที่เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เดินตัวเปียกโชกราวกับลูกแมวตกน้ำเข้ามาในร้านป้าศรีหน้าตาดูไม่ทุกข์ร้อนอะไร ความรักความเป็นห่วงของทิวที่มีต่อจันทร์ทำให้เขาราวกับเดินทางได้เร็วกว่าแสง พุ่งตัวเข้าประชิดจันทร์และถอดแจ็กเกตโพลีเอสเตอร์สีดำคลุมให้คนรักทันที
พอทิวถามว่าไปทำอะไรมา ทำไมตัวเปียก จันทร์ก็ตอบกลับมาแค่ว่าไม่รู้ อาจจะเป็นแค่รางน้ำฝนหรือไม่ก็ท่อระบายน้ำฝนเสียหาย น้ำฝนที่ค้างอยู่เลยตกใส่เพราะจันทร์โดนตอนเดินผ่านหน้าอาคารเรียน ซึ่งทิวก็ไม่ค่อยเชื่อการคาดคะเนนี้เท่าไหร่ แต่มันไม่สำคัญมากไปกว่าการต้องพาจันทร์ไปทำความสะอาดล้างเนื้อล้างตัว
บริเวณชั้นสองของร้านป้าศรีเป็นพื้นที่ที่อยู่อาศัย คนนอกจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา แต่สำหรับทิวที่ได้รับตำแหน่งลูกรักป้าศรีแล้วเรื่องแค่นี้ถือว่าเล็กน้อย
จริง ๆ พวกเขาเองก็เกรงใจ คิดว่าจะไปใช้ห้องน้ำในสระว่ายน้ำของโรงเรียนตามที่กันต์แนะนำแต่ป้าศรีเห็นว่าเดินไปเดินมามันลำบากเลยบอกให้ขึ้นไปใช้ห้องน้ำที่บ้านของตนและยังใจดีหาท่อนล่างมาให้จันทร์ยืมใส่อีกระหว่างรอให้ชุดนักเรียนแห้ง เพราะทิวมีแค่แจ็กเกตให้ใส่ ครั้นจะไปยืมกางเกงของสิงห์มาใส่ก่อนทิวก็ไม่ยอม
สิงห์เป็นนักกีฬาว่ายน้ำจึงมักจะมีเสื้อผ้าสำรองอยู่บ้างในล็อกเกอร์ประจำตัวนักกีฬาว่ายน้ำ ทิวบอกกับจันทร์ว่าไม่อยากรบกวนสิงห์ ซึ่งทำให้จันทร์ไม่เข้าใจว่าไม่อยากรบกวนสิงห์ที่เป็นเพื่อนสนิท แต่กลับมารบกวนคุณป้าร้านอาหารตามสั่งดีกว่าหรือ
แต่เหตุผลที่แท้จริงที่ทิวไม่ยอมให้จันทร์ไปยืมกางเกงของสิงห์มาใส่แต่ไม่บอกออกไปตรง ๆ คือเขาไม่ชอบให้แฟนตัวเองใส่เสื้อผ้าผู้ชายคนอื่นเท่านั้นเอง ป้าศรีก็พลอยได้รับผลกระทบความเอาแต่ใจของทิวไปด้วย แต่เพื่อลูกรักอย่างทิวแล้วป้าศรีโอเคมาก ตอนยื่นผ้าถุงผืนใหม่ที่ยังอยู่ในซองใสปิดสนิทก็ยังยิ้มร่าบอกว่า ป้ามีแค่นี้นะที่คิดว่าจันทร์พอจะใช้ได้
“จันทร์” ทิวยกมือขึ้นเคาะประตูห้องน้ำสองถึงสามที เมื่อเห็นว่าอีกคนหายเข้าไปข้างในนานพอควรจนทิวเริ่มเป็นห่วงขึ้นมา ซึ่งจริง ๆ ก็เป็นห่วงมากอยู่แล้ว “เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมนานจัง”
ไร้เสียงตอบรับใด ๆ ก็ยิ่งทำให้ทิวเป็นห่วงขึ้นไปอีก เขาจึงใช้กำปั้นทุบประตูไปอีกหลายรอบสลับกับเรียกชื่อคนในห้องน้ำ ทิวรู้ดีกว่าใครว่าคนรักของเขาเก่งและแกร่งแค่ไหน แต่จะให้ทำไงได้ก็คนมันไม่เคยมีแฟนที่ทั้งหล่อทั้งน่ารักมากมายแบบนี้นี่นา
เมื่อกำลังจะเคาะเรียกอีกครั้งประตูห้องน้ำก็ถูกเปิดออกจากคนด้านใน
จันทร์เดินออกมาในสภาพที่ท่อนบนสวมเป็นเสื้อแจ็กเกตสีดำของทิวที่ถูกรูดซิปจนสุดถึงคอ ท่อนล่างเป็นผ้าถุงลายดอกไม้สีเขียวเข้มผืนใหม่เอี่ยมของป้าศรี ขอบผ้าถุงตรงช่วงเอวไม่ยอมราบเรียบไปกลับเนื้อผ้าอย่างที่จันทร์เคยเห็น ๆ ผ่านตาตามโซเชียลมีเดีย แต่มันกลับนูนพองขึ้นมารอบเอวราวกับห่วงยางที่ซุกซ่อนอยู่ใต้แจ็กเกตตัวโต
ทิวมองร่างตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าและพยายามอย่างมากที่จะทำหน้าให้ปกติที่สุดแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล ใครจะทนภาพน่ารัก ๆ ตรงหน้าได้ล่ะ
“ขำบ้าอะไร” จันทร์ถามเสียงแข็งปกปิดความเขินอาย จ้องเขม็งไปที่แฟนหนุ่มที่ยืนก้มหน้าก้มตาร่างกายสั่นเทาเล็กน้อยจากการพยายามกลั้นหัวเราะอย่างสุดชีวิต
“น่ารักดี”
“ไม่ต้องพูดเลย” จันทร์ทำหน้าบึ้งตึง จงใจกระแทกไหล่คนตัวสูงกว่าหน่อยยามเดินผ่าน
ทิวคว้าแขนคนรักไว้แล้วสวมกอดอีกฝ่ายจากด้านหลังพร้อมวางคางลงบนไหล่ “ทำไม ก็แฟนน่ารักจริง ๆ นี่นา” เขาจูบแผ่วเบาที่ต้นคอของคนรัก
“ทิว!”
จันทร์ใช้ศอกกระทุ้งไปที่ท้องคนด้านหลังอย่างแรงจนอีกคนต้องผละกอดออก เซถอยหลังไปเล็กน้อยพร้อมใช้มือลูบบริเวณที่โดนโจมตี
“เจ็บ…” เขาเงยหน้ามองคนรักก่อนจะเดินเข้าใกล้อีกนิดแล้ววางหน้าผากลงบนต้นแขนอีกฝ่าย ถูไถไปแล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ทำไมรุนแรงตลอดเลยล่ะครับที่รัก”
“สมน้ำหน้า” จันทร์ผลักศีรษะคนตัวโตออกแล้วหันหลังเดินออกประตูไป มุ่งลงสู่ชั้นล่างตามที่ปกติที่ควรจะเป็น
เด็กหนุ่มผิวเข้มเดินเข้ามาในร้าน ใบหน้าดุดันแผ่รังสีอำมหิตเหี้ยมเกรียมออกมาอย่างเห็นได้ชัด ราวกับพร้อมจะขย้ำทุกคนที่ขวางหน้า
เขาเดินตรงมายังโต๊ะประจำที่ตอนนี้มีคุณหนูกันต์กำลังนั่งกินข้าวไปเล่นโทรศัพท์มือถือไปโดยไม่ทันได้สนใจสิ่งรอบข้าง
สิงห์ทิ้งตัวนั่งลงข้างกันต์ที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะพร้อมดึงจานข้าวที่อีกฝ่ายไม่ค่อยให้ความสนใจในตอนนี้มาไว้ตรงหน้าตัวเองพร้อมกับช้อนส้อมคู่ใหม่ในกล่องตรงกลางโต๊ะแล้วตั้งหน้าตั้งตาตักข้าวเข้าปาก
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วมากจนเจ้าของข้าวต้องใช้เวลาหลายวินาทีกว่าสมองจะทำการประมวลผลเสร็จแล้วเอ่ยออกมาเสียงดัง “ข้าวกู ไอ้เวรสิงห์!” ครั้นจะดึงกลับมาก็โดนอีกฝ่ายยื้อไว้
โจรที่ฉกชิงข้าวไปต่อหน้าต่อตานั้นยังคงตักข้าวเข้าปากเรื่อย ๆ ใบหน้ายังคงฉายแววความหงุดหงิดอยู่ เห็นดังนั้นกันต์จึงจำยอมต้องปล่อยให้อีกฝ่ายไปพลางคิดว่าเพื่อนของตนคงโมโหหิวสุดขีด
นึกเสียดายหมูกรอบสองชิ้นที่อุตส่าห์ขโมยมาจากจานของทิวตอนเจ้าตัวพาแฟนหายขึ้นไปข้างบน เขาได้กินไปแค่ชิ้นเดียวเองเพราะจะเก็บอีกชิ้นไว้กินตอนท้ายสุด
เซ็งสุด ๆ เลย เวรกรรมมันหน้าตาเป็นแบบนี้นี่เอง
“เป็นไรวะ” กันต์ลองถามออกมาเผื่อการชวนคุยจะทำให้อีกคนอารมณ์เย็นลง
เขาคว้าแก้วน้ำมะพร้าวนมสดปั่นของตัวเองขึ้นดูดอึก ๆ รวดเร็วจนน้ำพร่องไปครึ่งหนึ่ง อย่างน้อยหากโดนโจรที่มาในคราบเพื่อนสนิทด้านข้างฉกชิงไปคงไม่เสียดายมาก
“หมาแม่งเห่าใส่” สิงห์ตอบ มือยังคงตักข้าวเข้าปาก “อย่าพูดถึงเลย แม่ง พูดแล้วหงุดหงิด”
ทันใดนั้นสายตาของคนทั้งคู่ก็หันไปเห็นร่างคุ้นตาในชุดที่แปลกตาเดินออกมาจากประตูทางหลังร้าน ตรงเข้ามายังตรงพวกเขาแล้วที่ตัวนั่งลงบนเก้าอี้ประจำซึ่งอยู่ตรงข้ามสิงห์ในตอนนี้
น้ำมะพร้าวนมสดในปากกันต์ที่ยังไม่ทันถูกกลืนลงไปพลันพุ่งพรวดออกมา เจ้าตัวรีบหยิบทิชชูจากกล่องตรงกลางโต๊ะมาเช็ดปาก ทั้งไอทั้งหัวเราะออกมาน้อย ๆ
ส่วนสิงห์ที่อยู่ด้านข้างถึงกับช้อนในมือหล่นอย่างไม่รู้ตัว จ้องเขม็งไปยังร่างเพื่อนสนิทไม่วางตาราวกับสมองยังคงประมวลผลอยู่
ความตึงเครียดเมื่อครู่สลายหายไปโดยพลัน
“…โห” คนที่ยังไออยู่เปล่งเสียงออกมา
แต่หยุดชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อจันทร์หันขวับมามองด้วยสายตาเรียบนิ่งตามปกติ ซึ่งเขากลับรู้สึกขนลุกวาบอย่างบอกไม่ถูก จึงพยายามกลั้นขำและทำหน้าให้ปกติที่สุด
“ดูดีมากเพื่อน… โคตรหล่อเลยว่ะ” ขณะพูดก็ยังเอี้ยวตัวไปด้านข้าง ก้มมองชุดที่เพื่อนใส่ชัด ๆ อีกที่
“เออ น่ารักดี” สิงห์พูดเสริม ก้มหน้าก้มตาตักข้าวเข้าปากไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองกลั้นขำอยู่
“เงียบไปเลยพวกมึง” จันทร์กระแทกเสียงก่อนจะคว้าแก้วมะพร้าวนมสดปั่นที่เหลืออยู่เกือบครึ่งแก้วมา
แต่ยังไม่ทันที่จะงับหลอดก็ถูกมือปริศนาของใครบางคนดึงแก้วนั้นไปจากมือเขาแล้ววางมันลงที่เดิม ส่วนมืออีกข้างปิดปากเขาเอาไว้
เห็นดังนั้น ความโล่งอกก็พลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าเจ้าของน้ำมะพร้าวนมสดปั่น นึกว่าจะต้องเสียน้ำไปอีกเสียแล้ว
“จันทร์ของกูหล่อมากใช่ไหมล่ะ”
ทิวที่ยืนประชิดอยู่ด้านหลังคนรักเอ่ยขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ พร้อมหยิบแก้วน้ำสตรอว์เบอร์รีปั่นของตัวเองที่เริ่มละลายนิดหน่อยแล้วให้แทนน้ำมะพร้าวนมสดปั่น ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงด้านข้างตรงหน้าจานข้าวที่เย็ดชืดของตัวเอง
“ไอ้กันต์…” ทิวกดเสียงต่ำเล็กน้อย
จ้องมองจานข้าวสลับกับหน้าเพื่อนชายที่หัวโต๊ะซึ่งมองซ้ายทีขวาทีอย่างมีพิรุธก่อนเจ้าตัวจะยกแก้วน้ำมะพร้าวปั่นขึ้นดูดและเลี่ยงที่จะสบตา ไม่ต้องพูดออกมามากกว่านี้กันต์ก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อ คงไม่พ้นเรื่องการโจรกรรมหมูกรอบหรอก
“เออ ๆ กูขอโทษ” เมื่อทนสายตาขึงขังของเด็กหนุ่มผิวขาวไม่ได้เขาจึงยอมสารภาพแต่โดยดี เพื่อที่โทษหนักจะได้กลายเป็นเบา
“หมูกรอบเลยนะเว้ย ใครจะอดใจไหว และอีกอย่าง มึงก็ได้หมูกรอบเยอะกว่าปกติอยู่แล้ว แบ่งปันเพื่อนนิดหน่อยเอง”
“มึงเอาไปตั้งสองชิ้น กูตั้งใจเก็บไว้ให้จันทร์” ทิวยืนขึ้นโน้มตัวไปทางกันต์พร้อมใช้สองมือจับคออีกฝ่ายหลวมแล้วออกแรงเขย่าเบา ๆ “เอาคืนมาเดี๋ยวนี้”
……….