การรู้ตัวตนที่แท้จริง ทำให้หลี่อี้มองทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง รวมถึงหวังซูเพื่อนรัก
แฟนตาซี,ชาย-ชาย,ยุคปัจจุบัน,จีน,รัก,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 2การรู้ตัวตนที่แท้จริง ทำให้หลี่อี้มองทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง รวมถึงหวังซูเพื่อนรัก
อธิบาย/เรื่องย่อ
นามปากกา : Kevinth M. PoTae
วาดปก : WALAN
.
หลังจากที่หลี่อี้ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มาได้อย่างฉิวเฉียด หลี่อี้ก็ถูกคุณนายเมิ่งสั่งให้มาอยู่ที่โรงน้ำชาแห่งนี้ แม้จะไม่ยินยอม แต่คงต้องยอมรับปากอย่างเสียไม่ได้
ยังเรื่องของวิญญาณตนนั้นที่มาขอความช่วยเหลือ ที่หลี่อี้ดันไปรับปากจนเกิดสัญญาโลกวิญญาณไปเสียแล้ว จึงไม่อาจที่จะปฏิเสธเรื่องนี้ได้ ที่สำคัญ การตายของนักศึกษาและชาวบ้านอย่างปริศนาชนิดรายวัน มันทำให้หลี่อี้อดไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้ามาเกี่ยวด้วยกับเรื่องนี้ จนกลายเป็นว่าหลี่อี้ต้องตกอยู่ในอันตรายนี้เสียเอง
นิยายเรื่องนี้เกิดขึ้นจากจินตนาการของนักเขียน ดังนั้นตัวละคร/สถานที่/เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเรื่อง จึงถูกสมมุติขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ทุกคำพูด ทุกตัวละครไม่มีอยู่จริง…โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน…
ฝากเป็นกำลังใจให้นักเขียนด้วยการกดไลก์ คอมเมนต์ และกดเข้าชั้นหนังสือด้วยนะครับ
ฝากช่องทางการติดต่อไว้ด้วยนะครับ^^
Threads : mungkorn_kevinth
Twitter : Kevinth_M
Tiktok : kevinth_m.author
Facebook : kevinthm.author
ตอนที่ 10
บนนั้นน่ะ…มีคนที่ข้ารักอยู่ด้วยนะ
“เหม่ยจูงั้นเหรอ เจ้าไปเจอเหม่ยจูที่ไหนกัน นางออกไปจากเมืองนี้ตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือไง?”
“นั่นน่ะสิ ฉันอุตส่าห์วางใจว่าได้อยู่ในเมืองนี้อย่างสบายใจแล้วแท้ ๆ ทำไมยัยปีศาจนั่นถึงไม่ยอมไปผุดไปเกิดสักทีนะ ประเทศนี้มีเมืองตั้งเยอะแยะ ประตูมิติก็ไม่ได้มีแค่ที่นี่ ทำไมต้องเป็นที่เฉิงตูด้วย”
หลิงเซียงพูดบ่นออกมาด้วยสีหน้าและแววตาหัวเสียอย่างถึงที่สุด เพราะเหม่ยจูนั้นคือปีศาจแมงมุมที่เป็นคู่อริกับหลิงเซียงมาแต่ไหนแต่ไร
และที่สำคัญ เหม่ยจูไม่ใช่ปีศาจที่มีอายุแค่ไม่กี่ร้อยปีอย่างหลายคนในโรงน้ำชาแห่งนี้ หากแต่มีอายุตบะพอ ๆ กันกับหลิงเซียง ราวกับว่าเกิดมาพร้อมกันอย่างไรอย่างนั้น
“ตอนนี้เหม่ยจูก็รู้แล้ว ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ แถมยังรู้ว่าเจ้าอยู่ภายใต้การดูแลของคุณนายเมิ่งอีก ฉันเชื่อว่าเหม่ยจูคงไม่กล้าเข้ามาก่อกวนเจ้าถึงในนี้หรอก เช่นนั้นเจ้าก็อยู่ที่นี่สักพักก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะบอกกับคุณนายเมิ่งให้เอง”
หลิงเซียงพยายามพยักหน้าตอบรับเท่าที่จะทำได้ ถึงแม้ว่า ร่างกายภายนอกของหลิงเซียง จะถูกเยียวยาด้วยชาเลือดมังกรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากแต่พลังวิญญาณภายในก็ยังคงถูกทำลายจนเสียหาย คงจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะกว่าจะฟื้นตัวและออกไปจากที่นี่ได้
.
.
“นี่นายมาทำอะไรตรงนี้เนี่ย ใกล้เวลาร้านจะปิดเต็มทีแล้วทำไมยังไม่ไปกางม่านมนตร์อีกล่ะ”
หลี่อี้เดินมานั่งที่ด้านหลังของโรงน้ำชาด้วยเหตุว่านอนไม่หลับ และตกใจตื่นขึ้นมาช่วงตีสองนิด ๆ จึงเอาผ้าคลุมมาปิดร่างกายกันหนาวเอาไว้แล้วเดินลงมาพร้อมกับชาร้อน ๆ เพื่อหวังจะชมดาวยามค่ำคืน
“เธอนั่นแหละทำไมถึงยังไม่นอนอีก พรุ่งนี้ไม่มีเรียนหรือไง?”
“ฉันเหรอ ไม่มีหรอก พรุ่งนี้มันเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ฉันไม่ต้องรีบตื่นขนาดนั้น ว่าแต่นายเถอะ มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้ แล้วหน้าร้านล่ะใครดูอยู่”
“ฉันวานให้พี่หลิงเซียงช่วยดูน่ะ เทพเซียนพวกนั้นออกไปจวนจะหมดร้านแล้วฉันเลยอยากจะออกมานั่งพักสักหน่อยน่ะ”
“ทำไม…ฉันถึงรู้สึกเหมือนว่านายจะมีอะไรอยู่ในใจแบบนั้นล่ะ?”
หลี่อี้ถามพลางแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า ตามสายตาของแมวหนุ่มที่ตอนนี้อยู่ในร่างของหนุ่มน้อยผิวขาวผมสีดำสนิท ในชุดสีดำคาดแดงที่มักจะเห็นทุกครั้งเมื่อเสี่ยวมู่จื่อกลายร่างเป็นคน
“นี่นาย…กำลังมองดวงจันทร์งั้นเหรอ?”
“ใช่ คืนนี้ดวงจันทร์สวยกว่าทุกคืนนะนายว่ามั้ย?”
“อืม…ก็สวยดีนะ พระจันทร์เต็มดวงสีเหลืองนวล นาน ๆ ถึงจะเห็นสักครั้ง”
“บนนั้นน่ะ มีคนที่ฉันรักอยู่ด้วยนะ”
“หือ อะไรนะ นายหมายถึงเทพธิดาฉางเอ๋อน่ะเหรอ?”
หลี่อี้ทำตาลุกวาวเมื่อได้ยินคำนั้น แต่ก็ถูกเสี่ยวมู่ปรามเอาไว้เสียก่อน ก่อนที่หลี่อี้จะคิดเลยเถิดไปไกล
“บ้าน่า ฉันหมายถึงอีกคนต่างหากล่ะ…”
“อีกคนงั้นเหรอ บนนั้นนอกจากเทพธิดาฉางเอ๋อแล้ว ยังจะมีใครอีกล่ะ หรือว่าเป็นเซียนน้อยที่อยู่บนนั้นงั้นเหรอ”
“นายนี่ตั้งแต่รู้ตัวว่ามีเส้นสายกับคุณนายเมิ่งนี่ เหมือนจะรู้เรื่องราวบนสวรรค์เยอะอยู่เหมือนกันนะ”
“เปล่าหรอก ฉันก็ดูมาจากในทีวีน่ะ ในมือถือก็มีแอปสตรีมมิ่งเยอะแยะ ฉันก็เห็นมาจากในนั้นแหละ”
“งั้นเหรอ มนุษย์นี่ช่างน่าพิศวงดีแท้นะ ไม่เคยขึ้นไปสวรรค์สักครั้งแต่กลับจินตนาการได้เหมือนจริงขนาดนี้”
“เอ๊ะหรือว่าจะเป็นพวกที่ไม่ยอมกินน้ำชาเลือนความจำของคุณนายเมิ่งกันล่ะ ถึงได้ยังมีความทรงจำของชาติที่แล้วอยู่น่ะ พอมาเกิดใหม่ก็เอาภาพจำที่ตัวเองเคยเห็นมาไปใช้ในซีรีส์ไง”
หลี่อี้นึกขำในสิ่งที่ตัวเองพูด จนลืมไปเสียสนิทว่าก่อนหน้านี้ทั้งสองพูดเรื่องอะไรกันอยู่ ฝ่ายเสี่ยวมู่เองก็คงปล่อยให้มันผ่านไป เพราะในใจก็คิดว่า ตนกับเทพเซียนผู้นั้นคงไม่มีทางเป็นไปได้
จึงคิดว่า ปล่อยเรื่องราวที่เผลอพูดออกมาก่อนหน้านี้ กลืนกลับหายไปเสียคงดีกว่าที่จะให้ใครต่อใครรู้แล้วกลายเป็นเรื่องตลกชวนหัวไปเสียเช่นนั้น
.
.
เช้าวันต่อมา
“ไร้สาระจริง ๆ เลยเจ้านี่ นี่ตกลงว่าที่เจ้าเจ็บปางตายแบบนี้เพราะแค่เจ้าเผลอไปแซงคิวหยิบเอาแก้วชาไข่มุกที่เป็นของนางมาอย่างนั้นหรือ?”
“หลี่อี้สินะ ข้าไม่น่าเล่าให้เขาฟังเลย ข้ารู้อยู่แล้ว ว่าเขาจะต้องมาเล่าให้เจ้าฟังแน่ ๆ แต่จะยังไงล่ะ ก็ข้าไม่รู้นี่นา ว่ายัยนั่นจะอยู่แถวนั้นแถมมาสั่งเมนูเดียวกันอีก ก็ตอนนั้นข้าไม่เห็นใครนี่นา”
“เจ้าไม่ต้องไปโทษหลี่อี้เลย เจ้าน่ะ ถ้าเป็นคนอื่นเจ้าก็คงจะยอมได้ แต่พอเจ้าเห็นว่าเป็นเหม่ยจู เจ้าก็เลยเจาะหลอดแล้วดูดไข่มุกต่อหน้าเลยใช่มั้ยล่ะ…”
“ฮะ!!! ข้าไม่เคยรู้เลย ว่าเจ้ามีตาทิพย์ด้วย”
หลิงเซียงพูดเย้ากระต่ายขาวที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าทะเล้นทั้งที่รู้ จนทำให้ทู่เอ๋ออดไม่ได้ที่จะใช้สันมือดันหน้าผาก แล้วผลักออกไปอย่างแรงพร้อมกับสีหน้าที่แสดงถึงความรังเกียจและเอือมระอาเต็มที
“ปีศาจอย่างเจ้าน่ะ ข้าไม่จำเป็นต้องใช้ตาทิพย์หรอก ข้ารู้จักเจ้ามาสามร้อยกว่าปี ทำไมข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าเป็นปีศาจเช่นไร เปลืองเลือดมังกรของข้าเสียจริง”
“เจ้าจะหวงเลือดมังกรกับข้าไปทำไม เพราะถึงยังไงข้าก็ต้องจ่ายเงินให้กับเจ้าอยู่ดีไม่ใช่หรือ”
“อย่าพูดมาก ข้าล่ะเหนื่อยใจกับเจ้าเสียจริงเลย”
“ทำเป็นบ่นข้า แท้จริงแล้วเจ้าก็เป็นห่วงข้าใช่มั้ยล่ะ ยอมรับมาเสียดี ๆ”
“ไร้สาระ แต่เหมือนข้าจะจำได้ว่า พลังวิญญาณของเจ้าถูกทำลายไปไม่น้อย ท่าทางว่าเจ้าคงจะต้องพักฟื้นอยู่ที่นี่ต่ออีกหลายวัน และเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็อย่าคิดที่จะมาเป่าหูอะไรหลี่อี้อีก ไม่อย่างนั้นข้าเล่นงานเจ้าแน่”
ทู่เอ๋อทำทีเป็นขู่ผีเสื้อสาวเพื่อนรักหวังกำราบ เพราะในทั่วทั้งสามภพนี้ มีเพียงหลิงเซียงเท่านั้น ที่กุมความลับของทู่เอ๋อเสินเอาไว้มากที่สุด และบางความลับ แม้แต่คุณนายเมิ่งก็ยังไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำ
“เป่าหูงั้นหรือ เจ้ากำลังกลัวเรื่องอะไรกัน ปีศาจอย่างข้ามีเรื่องอะไรที่จะต้องเป่าหูหลี่อี้เช่นนั้นหรือ?”
หลิงเซียงทำเป็นไม่เข้าใจ ทั้งที่ความจริงแล้วรู้เรื่องนี้ทุกอย่าง รวมถึงเรื่องของความรักของเทพกระต่ายอย่างทู่เอ๋อเสินด้วย
ตลอดระยะเวลาที่รู้จักกันมาสามร้อยปี ทู่เอ๋อหลงรักใคร มีใจให้กับผู้ใด รวมถึงกำลังจะรักใคร ล้วนอยู่ในความทรงจำของหลิงเซียงทั้งหมดสิ้น ชนิดที่ว่าไม่มีการตกหล่นเลยแม้แต่เรื่องเดียว
“เจ้าอย่ามาทำเป็นไม่รู้ ข้ารู้ว่าเจ้ารู้ทุกอย่าง ขอแค่เจ้าเก็บมันเอาไว้เป็นความลับก่อนก็แล้วกัน”
“นี่เจ้าแน่ใจแล้วหรือ ที่จะทำเช่นนี้ แล้วเยว่หมิงชางเล่าเจ้าจะทำอย่างไร?”
“ใครจะสนเจ้ากระต่ายใจดำตัวนั้นกัน…”
“แต่เขารักเจ้านะ เจ้ากับหมิงชางไม่เจอกันมาเกือบสองร้อยปีแล้ว เรื่องราวคราวนั้นหมิงชางก็ไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย เจ้าจะไม่ให้อภัยเขาเสียหน่อยหรือ?”
พูดถึงตรงนี้ ทู่เอ๋อกลับไม่พูดอะไรออกมา สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความโกรธและความน้อยเนื้อต่ำใจ ที่ไม่อาจช่วยเหลือคนที่ตัวเองรักเอาไว้ได้ เพราะการตายของคนรักคนล่าสุดของทู่เอ๋อ เจ้ากระจายบนดวงจันทร์ผู้นั้นก็มีส่วน
“ข้ารู้ว่าเจ้าน่ะปักใจรักเพียงแค่ผู้ตรวจการ แต่เจ้าอย่าลืมสิว่าเขาคือคนที่สั่งประหารเจ้านะ จนถึงตอนนี้ เขาชื่อแซ่อะไรเจ้าเองก็ยังไม่รู้ เพราะตอนนั้นเจ้าจำเขาได้เพียงแค่ท่านผู้ตรวจการสวินอันเท่านั้น”
“แต่การที่ข้าได้มาเจอเขาอีกครั้งในชาติที่สอง มันแปลว่าเราทั้งสองต่างมีวาสนาต่อกันไม่ใช่หรือ อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น เขาก็จะเป็นคนรักของข้าอยู่แล้ว แต่เพราะเจ้ากระต่ายในดวงจันทร์นั่น ที่มันทำให้เขาต้องตายจากข้าไปอีกครั้ง จนตอนนี้ ข้าเองก็ยังไม่รู้ ว่าเขาอยู่ที่ใด”
“ในเมื่อเจ้ายังคงปักใจรักท่านผู้ตรวจการคนนั้นจนถึงวันนี้ แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้…”
“ช่างเถอะ เรื่องนั้นข้ายังไม่ได้คิด เอาเป็นว่า เจ้าก็ดูแลตัวเองให้ดีก็แล้วกัน เดี๋ยวข้าจะไปเอาชาเลือดมังกรเข้ามาให้เจ้า”
พูดจบ ทู่เอ๋อก็เดินออกไปจากห้องนั้นในทันที โดยไม่ยอมตอบคำถามที่หลิงเซียงยังคงถามค้างคาเอาไว้
เพราะเอาเข้าจริงแล้ว ทู่เอ๋อเอง ก็ยังไม่ค่อยจะแน่ใจสักเท่าไร ว่าเพราะเหตุใด อยู่ ๆ ตนถึงได้มีความรู้สึกเช่นนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เรื่องแบบนั้นมันไม่เคยมีวี่แววมาก่อนเลยสักนิด
.
.