คืนแรกของการได้ทำงานกะหลังเที่ยงคืน มันทำให้หลี่อี้ได้เห็นว่า โลกที่อยู่อีกฝั่งของคู่ขนานคือสิ่งใด
แฟนตาซี,ชาย-ชาย,ยุคปัจจุบัน,จีน,รัก,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 2คืนแรกของการได้ทำงานกะหลังเที่ยงคืน มันทำให้หลี่อี้ได้เห็นว่า โลกที่อยู่อีกฝั่งของคู่ขนานคือสิ่งใด
เรื่องย่อ เล่ม 2
นามปากกา : Kevinth M. PoTae
วาดปก : WALAN
.
หลังจากที่หลี่อี้ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มาได้อย่างฉิวเฉียด หลี่อี้ก็ถูกคุณนายเมิ่งสั่งให้มาอยู่ที่โรงน้ำชาแห่งนี้ แม้จะไม่ยินยอม แต่คงต้องยอมรับปากอย่างเสียไม่ได้
หลี่อี้ต้องมาทำงานหลังเที่ยงคืน และนั่น ทำให้หลี่อี้ได้เห็นร่างจริงของเสี่ยวมู่จื่อ แมวดำตัวน้อยที่ตำหนิหลี่อี้จนหน้าชาเมื่อคราวก่อน รวมถึงความตื่นตา ที่หลี่อี้ไม่คิดว่าจะได้เห็นในชีวิตนี้
.
.
นิยายเรื่องนี้เกิดขึ้นจากจินตนาการของนักเขียน ดังนั้นตัวละคร/สถานที่/เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเรื่อง จึงถูกสมมุติขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ทุกคำพูด ทุกตัวละครไม่มีอยู่จริง…โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน…
ฝากเป็นกำลังใจให้นักเขียนด้วยการกดไลก์ คอมเมนต์ และกดเข้าชั้นหนังสือด้วยนะครับ
ฝากช่องทางการติดต่อไว้ด้วยนะครับ^^
Threads : mungkorn_kevinth
Twitter : Kevinth_M
Tiktok : kevinth_m.author
Facebook : kevinthm.author
ตอนที่ 6
ทำตามสัญญา
“ทู่เกอครับ วันนี้ผมมีเรื่องตื่นเต้นจะเล่าให้ทู่เกอฟังด้วยนะครับ…” หลี่อี้เดินเข้ามาในร้าน พร้อมกับน้ำเสียงตื่นเต้น ด้วยความอยากจะเล่าเรื่องที่ตนเพิ่งเจอมาเต็มที แต่คนที่อยู่ในร้านนั้นกลับแสดงความเย็นชาออกมาเสียอย่างนั้น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้หลี่อี้ลดความพยายามลงเลยแม้แต่น้อย
“เรื่องอะไรของนาย เรื่องของคนที่จมน้ำตายที่แม่น้ำอู๋เจียงนั่นน่ะเหรอ”
“ฮะ!!! นี่ทู่เกอรู้เรื่องนี้แล้วเหรอครับ หรือว่าหวังซูโทรมาเล่าให้ฟังงั้นเหรอครับ?”
หลี่อี้นึกประหลาดใจ แต่ก็พอเดาออกว่าอาจจะมีใครบางคนตรงนั้นแอบโทรหรือส่งข้อความมาบอกช่วงที่หลี่อี้ไม่ทันสังเกต
ทู่เอ๋อเสินไม่ได้ตอบอะไร ยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อไปอย่างนั้น หลี่อี้ที่อยากเล่าเรื่องที่ตัวเองพบมาเต็มที ก็ไม่ได้สนใจว่าทู่เอ๋อจะตั้งใจฟัง หรืออยากรู้สิ่งที่ตัวเองจะพูดหรือเปล่า และยังคงเล่าออกไปอย่างต่อเนื่อง
“ปีศาจตัวนี้มันควักหัวใจออกมาเลยนะครับ น่ากลัวมากเลย ผมไม่คิดว่าผมจะได้เจอกับอะไรแบบนี้มาก่อนเลยนะครับ”
“เดี๋ยวนะ เมื่อกี้นายพูดว่าปีศาจอย่างนั้นเหรอ นายมั่นใจได้ยังไงว่าคนที่ก่อเรื่องนี้คือปีศาจ”
“อันที่จริงผมว่ามันก็ชัดเจนออกนะครับ คนแถวนั้นเขาก็เล่าให้ผมฟัง เพราะหัวใจของคนที่ตายถูกควักออกไปด้วยมือเปล่า มือเปล่าเลยนะครับทู่เกอ คนธรรมดาที่ไหนจะทำอะไรแบบนั้นได้กัน”
หลี่อี้เค้นเสียงให้ดังฟังชัดมากยิ่งขึ้น เพื่อยืนยันความน่ากลัวจากสิ่งที่ตนได้เจอมา แต่ยังไม่ทันที่หลี่อี้จะเล่าต่อ หวังซูที่ยืนอยู่ข้างหลังก็ทักห้ามขึ้นมาเสียก่อน
“ฉันว่านายพอเถอะหลี่อี้…”
หวังซูพูดแทรกขึ้น เมื่อสังเกตเห็นว่าทู่เอ๋อเสินดูเย็นชากับเรื่องเล่าของหลี่อี้ อย่างกับว่า หากจะเล่าก็จะฟังให้ แต่ถ้าไม่เล่า ทู่เอ๋อเสินก็เหมือนจะไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดเจื้อยแจ้วนั่นมากนัก
“อะไรของนาย นี่ฉันกำลังจะเล่าถึงตอนสำคัญเลยนะ…”
“ฉันดูแล้ว เหมือนว่าทู่เอ๋อเสินจะไม่ค่อยเชื่อในคำพูดของนายสักเท่าไรเลย ฉันว่านายอย่าเปลืองแรงเลย ไปข้างบนกันเถอะ เดี๋ยวฉันจะพานายไปส่งให้ถึงที่นอนเลย”
คำพูดนั้นเหมือนไปสะกิดสิ่งที่ซ่อนอยู่ในหัวใจของทู่เอ๋อเสินเข้าจนได้ จึงรีบคว้าตัวของหลี่อี้เอาไว้ราวกับหวงแหน
“ใครบอกว่าฉันไม่เชื่อกันล่ะ เพียงแต่ฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นฝีมือของปีศาจในเมืองนี้ก็เท่านั้น”
“ทำไมทู่เอ๋อถึงได้ดูมั่นใจกับเรื่องนี้นักล่ะ?”
“ปีศาจที่อยู่ในเมืองแห่งนี้ฉันรู้จักทั้งหมด หากจะมีดุร้ายไปบ้างแต่ก็ถูกควบคุมและจับตามองเอาไว้เรียบร้อยแล้ว จะมีปีศาจตนไหนกล้าเสี่ยงให้นายหญิงทำลายดวงจิตกันล่ะ”
“แต่นั่นก็ไม่สามารถรับรองได้นี่ครับ ว่าจะไม่ใช่ฝีมือของปีศาจจริง ๆ ต่อให้ปีศาจในเมืองนี้ไม่กล้า ก็ใช่ว่าเมืองอื่นจะไม่กล้านี่ครับ”
หวังซูและทู่เอ๋อส่งสายตาจ้องมองกันราวกับว่ารู้อะไรบางอย่าง ฝั่งของทู่เอ๋อ สีหน้าก็ยังคงเรียบเฉย หากแต่ฝั่งของหวังซูนั้น กลับยิ้มมุมปากหรี่ตาลงเล็กน้อยราวกับว่ากำลังกุมข้อมูลสำคัญอยู่ในมืออย่างไรอย่างนั้น
.
.
“นายมาแล้วเหรอ ฉันคิดว่านายจะไม่ซะอีก”
“ฉันรับปากแล้วฉันก็ต้องมาสิ…เรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวใครจะมาเจอเข้า”
พอถึงกลางดึกในคืนนั้น หวังซูก็แอบมาหาหลี่อี้หนีออกไปข้างนอกเพื่อทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับวิญญาณของกั๋วอันเฉิง หลี่อี้บอกกับทุกคนว่าอยากรีบเข้านอน เพราะว่าวันนี้เรียนหนักเกินไปก็เลยง่วงเป็นพิเศษ
แต่ความจริงแล้ว เพื่อนรักทั้งสองกำลังวางแผนที่จะหนีออกไปจากโรงน้ำชาในช่วงก่อนเวลาเที่ยงคืน เพราะไม่อย่างนั้น หากเหล่าแขกประจำของที่นี่แห่กันเข้ามา ถึงตอนนั้นก็คงจะยากที่จะลักลอบหนีออกไปได้
“นี่นายคิดดีแล้วใช้มั้ย ที่จะทำแบบนี้น่ะ?”
“ใช่สิ ถึงยังไง ฉันก็ไปรับปากกับเขาเอาไว้แล้ว หากฉันไม่ทำตามสัญญา เรื่องนี้ก็คงไม่จบ”
“นี่แหละน้า ทีหลังนายก็อย่าไปรับปากใครซี้ซั้วอีกก็แล้วกัน ไม่งั้น…สุดท้ายนายก็ต้องมาตามแก้ปมอะไรพวกนี้อีก แล้วฉันก็หวังว่า ภารกิจสื่อวิญญาณอะไรพวกนี้ คงจะเป็นเคสสุดท้ายนะ”
“เออน่า นายก็อย่าบ่นมากเลยน่า เอาเป็นว่าฉันสัญญา ว่าหลังจากนี้ฉันจะไม่รับปากทำเรื่องอะไรพวกนี้อีก นายโอเคมั้ย…”
“อืม ฉันก็หวังว่านายจะทำได้นะ ฉันล่ะกลัวจริง ๆ เลย ว่าเรื่องนี้มันจะไม่จบแค่นี้ วันนี้ไม่เกิดเรื่องวันหน้าก็คงเกิด…เฮ้อ…”
“เอาน่า เรารีบไปกันเถอะก่อนที่ใครจะมาเห็นเข้า”
หวังซูพาหลี่อี้หนีออกไปทางหลังร้าน ทั้งสองกลับมาที่บ้านในช่วงเวลาเที่ยงคืนครึ่ง เพื่อมาตามร่องรอยของวิญญาณกั๋วอันเฉิงที่คอยนำทางทั้งสองให้มาถึง
หลี่อี้จึงรู้ได้ทันที ว่าวิญญาณดวงนั้นยังไม่ยอมไปไหนและยังคงรอจนอยู่ที่บ้านของตนจนกว่าสัญญาที่เคยให้กันไว้จะได้รับการคลี่คลาย
“ผมคิดว่าคุณจะไม่มาแล้วเสียอีก ตอนที่ผมไปหาคุณที่โรงน้ำชานั้น ผมนึกว่าคุณจะผิดสัญญากับผมเสียแล้ว”
“ผมไม่ทำแบบนั้นหรอก สิ่งที่ผมเคยรับปากเอาไว้กับคุณ ผมก็จะต้องทำให้มันสำเร็จให้ได้ วันนี้ผมพาเพื่อนของผมมาด้วย คุณคงไม่ว่าอะไรใช่มั้ย?”
กั๋วอันเฉิงหันไปมองหวังซูที่ยืนอยู่ข้างหลังราวกับเป็นเทพผู้พิทักษ์ ก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา เพราะก่อนหน้านี้ตนจะสามารถเข้าใกล้หลี่อี้ได้ก็ต่อเมื่อหวังซูไม่อยู่เท่านั้น
แต่มาตอนนี้ กลับมีหวังซูยืนประกบอยู่ข้าง ๆ มันจึงทำให้วิญญาณของกั๋วอันเฉิงรู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาราวกับว่าจะโดนไฟเผาขึ้นมาอีกครั้งอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้าอย่าได้กังวลไป ข้ามาที่นี่เพราะต้องการจะมาเป็นเพื่อนของหลี่อี้เท่านั้น ข้าแค่อยากแน่ใจว่าเพื่อนของข้าจะไม่เป็นอะไร ข้าไม่ได้คิดจะทำร้ายอะไรเจ้าหรอก…”
“เจ้าจะไม่ทำอะไรข้าจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?”
“ข้าไม่ทำ หากเจ้าไม่เล่นตุกติกกับเพื่อนของข้า เจ้าก็จะปลอดภัย” หลี่อี้ที่ยืนฟังกั๋วอันเฉิงกำลังพูดคุยอยู่กับหวังซูด้วยความสนิทสนมและสำนวนแปลก ๆ เหล่านั้น ราวกับว่ารู้จักกันมาแสนนาน ก็ให้นึกแปลกใจ
“นี่นายกับวิญญาณดวงนี้รู้จักกันด้วยหรือไง ทำไมถึงได้พูดคุยอะไรแปลก ๆ แบบนั้นกัน?”
“ฉันก็รู้จักพร้อมกับที่นายรู้จักนั่นแหละ ถ้าวันนี้นายสนิทกับวิญญาณดวงนี้ ฉันก็สนิทด้วยแค่นั้น ทำไมเหรอ?”
“ก็เปล่า…ฉันก็แค่ถามดูไปอย่างนั้น”
ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่หลี่อี้ก็รู้สึกสงสัย เพราะคราวก่อน ตอนที่หลี่อี้เจอวิญญาณของกั๋วอันเฉิงอยู่ที่ขอบประตูนั้น ทันทีที่หวังซูวิ่งเข้ามาในห้อง แค่เพียงเงยหน้าขึ้นไป วิญญาณของกั๋วอันเฉิงก็หายไปในทันที พอมาคราวนี้ ทั้งสองกลับพูดคุยกันราวกับสนิทสนมเสียอย่างนั้น จึงทำให้หลี่อี้รู้สึกว่ามันดูแปลกไปจากคราวก่อน
“งั้นเรามาเข้าเรื่องกันเถอะ ผมออกมาที่นี่ได้ไม่นานนัก คุณช่วยบอกผมหน่อยได้มั้ยครับ ว่าภรรยาของคุณอยู่ที่ไหน?”
“บ้านของผมอยู่ที่ถนนเซียงลู่ บล็อกที่ 3 ภรรยาของผมชื่อฟู่หลิง คุณช่วยไปบอกเขาที ว่าผมยังมีของและทรัพย์สินส่วนหนึ่งทิ้งเอาไว้ให้เขา เขาสามารถเอาใบมรณะบัตรของผมไปแจ้งรับมาในฐานะของภรรยาได้ ส่วนเรื่องที่เขาคิดจะทำ บอกเขาว่า ให้หยุดความคิดนั้นเสีย มันได้ไม่คุ้มเสียหรอก คนอย่างพวกที่สถานีดับเพลิงนั่น มีแต่พวกชั่วร้าย อย่าเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องอีกเลย”
“ได้ ผมรับปาก แต่ถ้าให้ไปวันนี้ก็คงจะไม่สะดวก หลังเที่ยงคืนแบบนี้ต่อให้ภรรยาของคุณยังไม่นอน มันก็ไม่ใช่เวลาที่ผมจะไปเคาะประตูบ้านใคร วันพรุ่งนี้ผมมีเรียนครึ่งวัน ผมจะไปบอกให้ก็แล้วกันนะครับ”
“ผมสามารถไว้ใจคุณได้ใช่มั้ยครับ?”
“ไว้ใจได้สิครับ ไม่งั้นผมจะมาที่นี่เพื่อฟังปัญหาของคุณทำไมกัน”
“ผมขอบคุณคุณมากนะครับ หลังจากวันนี้ผมจะไม่มารบกวนคุณอีก แต่ผมจะยังไม่ไปไหนจนกว่าผมจะแน่ใจว่าภรรยาของผม จะได้รับสิ่งที่ผมทิ้งเอาไว้ให้เธอครบทุกบาททุกสตางค์”
พูดจบ วิญญาณดวงนั้นก็กลับคืนเป็นร่างของชายหนุ่มหน้าตาดี ผิดกับก่อนหน้านี้ที่เต็มไปด้วยเขม่าควันและรอยไหม้ แล้วค่อย ๆ เลือนหายไปอย่างช้า ๆ จนลับไป
.
.