หญิงสาวชนชั้นสูงยอมแต่งงานกับชายที่ไม่ได้รัก เพื่อเลี้ยงดูลูกของคนรักที่ได้จากไป ยี่สิบปีต่อมาพวกเขาได้โอกาสให้กลับมารักกัน

เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me) - บทที่ 7 ไปเที่ยวอยุธยา โดย LiLi Lee @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,หญิง-หญิง,ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ไทย,แต่งงาน,ท้อง,ทหาร,พีเรียดไทย,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,หญิง-หญิง,ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แต่งงาน,ท้อง,ทหาร,พีเรียดไทย,ดราม่า

รายละเอียด

เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me) โดย LiLi Lee @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

หญิงสาวชนชั้นสูงยอมแต่งงานกับชายที่ไม่ได้รัก เพื่อเลี้ยงดูลูกของคนรักที่ได้จากไป ยี่สิบปีต่อมาพวกเขาได้โอกาสให้กลับมารักกัน

ผู้แต่ง

LiLi Lee

เรื่องย่อ


 

เรื่องย่อ

หญิงสาวชนชั้นสูงยอมแต่งงานกับชายที่ไม่ได้รัก เพื่อเลี้ยงดูลูกของคนรักที่ได้จากไป ยี่สิบปีต่อมาพวกเขาได้โอกาสให้กลับมารักกัน

 

ตัวละคร

พลตรี หม่อมเจ้าสาทิสยา ไวทย์เวธน์ทิวากร / แม่วาด

สถานะ : คนรักของคุณจันทร์ และเป็นแม่ของจรณ์จิณณ์

 

หม่อมเจ้าจันทรารัตน์ ปัณณ์ปริชญ์ปัถย์ / จันทรารัตน์ กวินกานต์ / หม่อมจันทรารัตน์ ไวทย์เวธน์ทิวากร ณ อยุธยา

สถานะ : คนรักของแม่วาด แม่เลี้ยงของจรณ์จิณณ์ ภรรยาในนามของชรัน

 

พันโทชรัน กวินกานต์

สถานะ : พ่อของจรณ์จิณณ์ สามีของแม่วาด คุณจันทร์ วิมล

 

นักเรียนนายร้อยปัณณ์จรณ์ กวินกานต์

สถานะ : ลูกชายของชรันและแม่วาด

 

นักเรียนนายร้อยปัณณ์จิณณ์ กวินกานต์

สถานะ : ลูกชายของชรันและแม่วาด

 

วิมลตรา ดารารายณ์

สถานะ : ภรรยารองของชรัน

 

ชิรินตรา กวินกานต์

สถานะ : ลูกสาวของชรันกับภรรยารอง

 

รินจายา เปรมวาณิชย์

สถานะ : เพื่อนแม่วาดกับคุณจันทร์

 

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทวินปัณณ์ปริชญ์ปัถย์

สถานะ : เสด็จพ่อของคุณจันทร์

 

หม่อมเจ้าศิวากร ชิญชาญ ปัณณ์ปริชญ์ปัถย์

สถานะ : ท่านแม่ของคุณจันทร์และชายาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทวินปัณณ์ปริชญ์ปัถย์

 

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปันภาพร ไวทย์เวธน์ทิวากร

สถานะ : เสด็จป้าของพลตรีหม่อมเจ้าสาทิสยา

****เพื่อให้อ่านได้อย่างอรรถรสขอให้นักอ่านแวะเข้ามาอ่านครงนี้เล็กน้อยนะคะ****

 

1.คุณจันทร์เป็นหม่อมเจ้าหญิง แต่ในเรื่องจะเรียกว่าคุณจันทร์เพราะว่าคุณจันทร์ได้สละยศเป็นสามัญชนแต่งงานกับชรันและตอนแต่งงานกับหม่อมเจ้าสาทิสยา (หรือแม่วาด) ก็แต่งตอนเป็นสามัญชน ดังนั้นจึงเรียกคุณจันทร์ค่ะ

2.คุณจันทร์อนุญาตให้แม่วาดเรียกคุณจันทร์ด้วยคำปกติได้ เพราะทั้งสองเป็นคนรักกัน

3.ทุกอย่างในเรื่องเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนเพียงเท่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับเป็นจริงใดๆ โปรดอ่านเพื่อความเพลิดเพลินและใช้วิจารณญาณ

 

สวัสดีจ้านักอ่านทุกคนนนน ไรท์ขอฝากนิยายเรื่องเรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจนักอ่านักคนด้วยน้าาาา

เพลลิสต์เพลงมาฝากจ้า ทุกคนสามารถเข้าไปฝันเพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่านได้นะคะ

https://open.spotify.com/playlist/2FsZanXiU18yXisLHv58WG?si=48c563e9601d4084

 

ผังตัวละคร


 


 

 

 

ขอฝากนิยายเรื่องอื่นๆ ของเราด้วยน้าาา

 

 

เรื่องย่อ : เอมมาริน สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของโซเรลถูกลูกหลงโดนยิงจะกลุ่มผู้ประท้วงวิญญาณของเธอล่องลอยเข้าสู่ร่างของเอราเบล ลี ลูกสาวของตระกูลลีที่มีความใกล้ชิดทางสายเลือดกับราชวงศ์ โชคชะตาของเธอคือการชดใช้ไม่ว่าเธอจะอยู่สูงเพียงใด เธอต้องพบกับการสูญเสียพลัดพรากเฉกเช่นเดียวกันกับคนรักของเธอ

 

 

 

เรื่องย่อ : เลขาท่านผู้นำอย่างเอบิซาถูกจับให้มาแต่งงานกับผู้ปกครองเผ่างูในป่าลึกดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าบรรพชนจากการบูชาหญิงสาวเพื่อให้กำเนิดทายาทรุ่นต่อไปของอาวคลาส วาดิม เธียร์

 

 


 

เรื่องย่อ : ไม่ใช่แนวเกิดใหม่…แต่เป็นการทำงานรอนรกว่าง! ไป๋เหลียงคือหญิงสาวที่เข้าไปอยู่ในร่างของฮุุ่ยเจิน ผู้เป็นคุณนายใหญ่ตระกูลเหว่ย

 

 

 

 

 

 

สารบัญ

เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 0 บทนำ,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 1 เมื่อแรกพบเจอ,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 2 เมื่อเราใจตรงกัน,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 3 เจ็บปวด,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 4 ข้อตกลง,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 5 เริ่มต้นที่จุดสิ้นสุด 1/2,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 6 เริ่มต้นที่จุดสิ้นสุด 2/2,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 7 ไปเที่ยวอยุธยา,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 8 กลับวัง,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 9 ไปเที่ยวภูเก็ต,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 10 เรียบง่ายแต่สุขใจ,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 11 พ่อแม่,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 12 ความจริงมองอยู่ที่คนมอง,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 13 หม่อมคนแรก,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 14 วันหมั้น,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-E-book เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)

เนื้อหา

บทที่ 7 ไปเที่ยวอยุธยา

บทที่ 7

ไปเที่ยวอยุธยา

 

แพลนที่เธอวางแผนไว้คือท่องเที่ยวคนเดียวอย่างเปล่าเปลี่ยวเมื่อได้มีแม่วาดเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งคน มันทำให้ใจของเธอฟูฟ่อง เปลี่ยนจากต้องท่องเที่ยวคนเดียวในต่างประเทศให้อยู่ในประเทศแทน

การไปอยุธยาเราจะทวนความทรงจำของเราสองคนเริ่มจากการนั่งรถไฟ (หวานเย็น) ไปลงสถานีอยุธยาเพราะแม่วาดอยากเห็นว่าผ่านมาตั้งยี่สิบปีแล้วมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่เธอคัดค้านเพราะรู้ดีว่ามันไม่ถึงแน่ๆ เลยต้องอ้างเหตุผลไปว่านั่งชั้นสองดีกว่า

เราทั้งสองเหมือนนักท่องเที่ยวแบ็กแพ็กเกอร์ที่แต่งตัวมินิมอลคลุมโทน การแต่งกายของเราแต่งตัวเข้าคู่กัน เธอใส่เป็นกางเกงขาสั้นสีน้ำตาลครีมและเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีครีมกับรองเท้าผ้าใบที่ถอดง่ายๆ แบบระบายอากาศ ส่วนด้านบนศีรษะมีหมวกปีกกว้างแบบผูกเชือกสีเดียวกันกับเสื้อ

ส่วนแม่วาดเป็นคนเรียบร้อยมาตั้งแต่ไหนแต่ไรส่งผลให้การแต่งกายจึงมีความน่าอึดอัดนิดหนึ่ง แม่วาดใส่กางเกงขายาวสีขาวครีมและเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีน้ำตาลครีมระบายอากาศ ส่วนรองเท้าและหมวกเหมือนกับฉัน เราทั้งคู่มีกระเป๋าใบที่ไม่ได้ใหญ่มากอยู่บนบ่า

และในที่สุดเราก็มาถึงสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ ซึ่งมันแปลกใหม่สำหรับเราสองคนมาก ที่นี่ไม่ได้ต่างอะไรกับสถานีรถไฟฟ้าผสมสนามบิน ทันสมัยจนแววตาแม่วาดเริ่มรู้สึกว่าประเทศเราเจริญขนาดนี้แล้วหรือ มีความภูมิใจที่ชาวบ้านอย่างเราๆ ได้ยกคุณภาพชีวิตแล้ว

พวกเรานั่งรอตรงหน้าเกตที่ต้องรอต่อขึ้นรถไฟโดยจะมีเจ้าหน้าที่ใส่เสื้อกั๊กสะท้อนแสงเป็นคนเรียกเข้าแถวเพื่อขอตรวจตั๋วก่อนขึ้นรถไฟที่อยู่ทางด้านบน ไม่นานนักเจ้าหน้าที่ก็ประกาศเรียกคนที่จะขึ้นขบวนอยู่ตรงชานชาลาด้านบนแล้ว พวกเรามีสัมภาระไม่มากจะไม่จำเป็นต้องขึ้นลิฟต์เลยเดินไปขึ้นบันไดเลื่อนแทน

พอเข้ามาถึงด้านในขบวนแม่วาดก็มองสำรวจสิ่งต่างๆ ไปรอบๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความอิ่มเอมใจ เธอเองก็ดีใจที่สามารถทำให้แม่วาดมีความสุข ใบหน้าเปี่ยมสุขนั้นไม่ว่าจะอยู่ในร่างไหนก็แสดงความสุขออกมาให้ผู้คนที่อยู่ใกล้รู้สึกร่วมยินดีและเสพความสุขนั้นไปพร้อมกับแม่วาด เป็นความสุขที่เธอเองก็เฝ้าต้องการมันมาตลอดทั้งชีวิตที่จะได้ใช่ร่วมกับแม่วาด จนไม่รู้ว่ารถไฟออกตัวไปเมื่อใด

หมูปิ้งไหมจ้า หมูปิ้ง ข้าวเหนียวหมูปิ้งไหมจ๊ะ ข้าวเหนียวหมูปิ้งไหมจ๊ะ น้ำเปล่า กาแฟ โอวัลตินสิบบาทจ้า สิบบาทจ้า

เสียงแม่ค้าพ่อค้าขายของบนรถไฟเรียกความสนใจแม่วาดได้เป็นอย่างดี แม่วาดมองภาพตรงหน้าไปด้วยรอยยิ้มที่สดใส สำหรับเธอช่างเป็นรอยยิ้มที่สุดแสนจะอบอุ่นทั้งหัวใจลุกลามไปทั่วร่างกายราวกับความสุขนี้ได้เกิดขึ้นทุกวัน

“คุณจันทร์ มันไม่ต่างจากเมื่อก่อนเลย มีคนขายของตามรถไฟระหว่างด้วย แม้ภายนอกรถไฟจะดูใหม่ ดูดีกว่าเมื่อก่อนมาก แต่ก็ค่อนข้างเก่าเหมือนกัน” ใบหน้าของแม่วาดที่เต็มไปด้วยความสุข น้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็มักพาให้คนฟังมีความสุขตาม ไม่ใช่ใคร ก็เธอไง

“ใช่แม่วาด นึกถึงเมื่อกก่อนเลยเนาะที่เราสองคนแอบมาเที่ยวกันสองคนบ่อยๆ” เธอยิ้มจนตาหยี ใครมองดูก็รู้ว่าในตอนนี้เธอมีความสุขมากแค่ไหน

แสงของทินกรที่สาดส่องลงมาที่ใบหน้าของแม่วาดช่างเปล่งประกายและเจิดจรัสทำเอาดวงตาของเธอพร่ามัว รอยยิ้มนั้นของแม่ก็สวยไม่แพ้จันทร์ฉายในยามค่ำคืน เพียงแต่แม่วาดของเธอเป็นศศิธรในตอนยามฟ้าสาง

“คุณจันทร์ก็พูดไป คุณจันทร์ต่างหากที่ชอบหนีเที่ยว ฉันเป็นห่วงคุณจันทร์ถ้าจะต้องให้ไปเที่ยวคนเดียว”

“เป็นห่วงฉันหรือแม่~~ ~~” เธอพูดหยอกเย้าแม่วาดด้วยน้ำเสียงที่แสนจะออดอ้อน ก็ฉันรักของฉันถึงแม้ตอนนี้ไม่ว่าแม่วาดจะอยู่ในร่างไหนแม่วาดก็ยังคงเป็นวาดของฉัน ยังเป็นคนที่ฉันอยู่ด้วยแล้วอบอุ่นหัวใจอยู่เสมอราวกับมีอหัสกรอยู่ข้างตัว เธอจับมือของแม่วาดมากุมมือและยกมาวางที่ตักของเธอ

มือคู่นี้ทั้งใหญ่และสากแตกต่างกับเมื่อยี่สิบปีก่อนที่ทั้งนุ่มทั้งสวย มีเนื้อหนังมังสาชวนให้ยุบยิบใจตลอดเวลาช่างน่ามันเขี้ยวจนเผลอหยิบมือที่กุมขึ้นมาหอมฟึดฟัดอย่างที่เธอชอบทำเป็นปกติเวลาอยู่ด้วยกันเมื่อยี่สิบปีก่อน จนแม่วาดที่กำลังเพลิดเพลินกับบรรยากาศข้างนอกต่างนั้นถึงกับหันขวับกลับมามองฉันทันที หลายวันมานี้เธอโดนแม่วาดรุกหนักมาก ถือว่าคราวนี้เธอขอรุกกลับคืนบ้าง

แม่วาดจะเขินอายทุกครั้ง เวลาเธอทำอะไรเช่นนี้แม้แม่วาดจะรุกเธอหนักเพียงใดแต่ก็ไม่เคยเกินขอบเขตของความเป็นกุลสตรี ถ้าเทียบความเป็นกุลสตรีระหว่างเราสองคน แม่วาดเป็นร้อยฉันเป็นศูนย์พูดอย่างนี้คงจะเหมาะสมกระมัง

“คุณจันทร์! หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้! มันไม่งาม! เป็นสาวเป็นนางจะมาจับมือชายหนุ่มหอมแบบนี้ได้อย่างไร!” แม่วาดก็ยังคงเป็นแม่วาด แม่จะตำหนิอย่างไรก็ไม่เคยคิดจะปล่อยมือจากเธอ ทำได้แต่ส่งสายตามองค้อนใส่เธอ

“อย่าถามหาความเป็นกุลสตรีจากฉันเลย แม่ยังไม่ชินอีกหรือ ความเป็นกุลสตรีของฉันน่ะ หมดไปตั้งแต่แม่โอบกอดฉัน จับมือฉัน และหอมหัวฉันแล้ว เวลานี้ฉันเพียงแต่เผลอนึกถึงเมื่อก่อนน่ะแม่ เผลอไปหน่อยแม่อยากตำหนิฉันเลยนะ” น้ำเสียงที่ออดอ้อนแสนสุดจะเย้ายวนใจ ชายหนุ่มคนใดเมื่อได้ฟังคงจะระทวยไม่ได้ต่างจากใจของแม่วาดที่ตอนนี้ละลายไปทั้งใจให้กับคุณจันทร์เป็นที่เรียบร้อยมาตั้งนานแล้ว

ไหนจะดวงตาสุกใสคู่นั้นที่กำลังจดจ่องมองเขาราวกับจะสยบยอมมอบให้กับเขา เป็นใครหากได้มาอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกับเขาก็คงอดที่จะเคลิบเคลิ้มไปกับดวงตาและน้ำเสียงนั่นไม่ได้

เขาไม่ตอบปล่อยให้คุณจันทร์กุมมือต่อไป ส่วนตัวเขาเองก็พยายามสงบจิตสงบใจโดยการไม่หันกลับไปมองไม่เช่นนั้นเขาคงต้องเสียอาการต่อหน้าคุณจันทร์เสียแล้ว ในหัวน้อยๆ ของเขาพยายามหาคิดวิธีรับมือว่าจะทำให้ใจของเขาหยุดเต้นได้เช่นไร วันนี้คุณจันทร์รุกเขาหนักเสียแล้ว

เมื่อทุกอย่างสงบแล้วคุณจันทร์ก็ยังไม่วายที่จะยกมือของแม่วาดขึ้นมาหอมก่อนจะทอดสายตาที่หวานเยิ้มให้กับแม่วาดดังที่เคยทำในอดีต แม่วาดหันกลับขมวดคิ้วดุเล็กน้อยจนคุณจันทร์ยอมยกธงขาวว่าจะไม่ทำอะไรนอกจากกุมมือกันเช่นนี้ไปเรื่อยจนกว่าจะถึงจุดหมาย

คุณจันทร์มองหน้าแม่วาดด้วยความหลงใหลแม้จะผิน ออกไปเป็นเพียงด้านข้างของดวงหน้าเท่านั้น แต่มันช่างดูดีสำหรับคุณจันทร์เสมอ แม่วาดก็ยังเป็นแม่วาดที่เธอรักเสมอความสดใส ท่าทาง การแสดง เมื่อหลายวันก่อนคงจะเป็นเด็กฝึกงานลงสนามกระมัง...

 

 

ตอนนี้เราสองคนถึงสถานนีอยุธยาแล้ว แม่วาดพูดขึ้นมาว่า ‘คิดว่าทุกสถานีจะเป็นเหมือนสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์เสียอีก’ แม่วาดจะสบถออกมาว่านี่มันเมืองโตเกียวชัดๆ

เราสองคนตกลงกันว่าจะไปเที่ยวก่อนที่จะเข้าโรงแรม พวกเราใช้บริการตุ๊กๆ หน้าสถานีแบบเหมาทั้งวัน และได้รีเควสที่ๆ เราอยากไปเป็นพิเศษเพราะมันคือที่พิเศษสำหรับเราสองคน

เธอบอกคนขับว่าขอให้สองสถานที่ที่จะไปเป็นสถานที่สุดท้ายของวัน ตลอดทั้งวันพวกเรากินอาหาร ของหวาน เข้าออกคาเฟ่เป็นว่าเล่น ราวกับเราทั้งสองตื่นเต้นกับสิ่งที่เปลี่ยนไปต่างๆ จึงคิดแข่งขันกันเล็กน้อยว่าสิ่งใดเปลี่ยนไปจากในความทรงจำของเธอและแม่วาดบ้าง เธอถ่ายรูปเก็บไว้มากมายเป็นความทรงจำของเราไว้ สถานที่สุดท้ายที่เราไปคือวัดราชบูรณะมันเป็นที่เราทั้งสองคนมีความทรงจำด้วยกันที่สวยงามที่สุด

ดีหน่อยที่เราไม่ได้มาในช่วงที่ละครดังกำลังออนแอร์ไม่อย่างนั้นคนคงเยอะมากกว่านี้ เราเดินไปรอบๆ วัดแบบที่เราเคยทำสมัยอดีต เพื่อเก็บความทรงจำอีกครั้งว่าเราเคยมาที่นี่อีกครั้งด้วยกัน...

เธอเดินจับมือกับแม่วาดตลอดการเดินทั่ววัด มันเป็นความสุขที่เราทั้งสองคนหาไม่ได้ในอดีต ที่นี่ เวลานี้ เราสามารถแสดงออกมาได้ว่าพวกเราเป็นคนรักกันไม่ต้องแอบสายตาคนอื่นเพื่อจับมือกันหรือใกล้ชิดกัน ไม่ต้องพะวงกับสายตาใครๆ กับการกระทำที่เราคนหนึ่งจะใส่ใจซึ่งกันและกัน คอยดูแลอีกฝ่าย มันเป็นความสุขที่ล้นอกของพวกเราทั้งสองมากๆ

“แม่วาด ฉันมีความสุขมาก ไม่คิดเลยว่าเราจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง กลับมาอยู่ด้วยกัน...กลับมาใช้ชีวิตด้วยกันอีกครั้ง ต่อไปนี้จะไม่มีใครมาพรากเราทั้งสองออกจากกันแล้วนะแม่ เราจะเดินเคียงคู่จับมือกันไปแบบนี้ตลอดไป ฉันรักแม่มากนะ...ฉันรักแม่มาตลอดไม่ว่าแม่จะอยู่ในร่างไหนแม่ก็ยังเป็นแม่วาดของฉัน เป็นคนที่ฉันรักและถนอมมาตลอด แม่เป็นคนที่ฉันอยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ไปกับแม่” เธอพยายามไม่ให้น้ำเสียงสั่นๆ เปล่งออกไปอย่างไม่มั่นคงจากความสุขที่ตื้นขึ้นมาเป็นหยาดน้ำตา ราวกับความปรารถนาของเราสองได้เป็นจริงอย่างที่ต้องการเสียที

แม่วาดเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน ในที่สุดก็มีวันที่เราสามารถแสดงออกว่าพวกเรารักกันได้เสียที มันช่างสุขเหลือเกิน ระหว่างที่แม่วาดกำลังจมอยู่กับความสุขนั่นก็เผลอกระชับมือที่กุมไว้แบบไม่รู้ตัวกลายเป็นว่าพวกเขาทั้งคู่ต่างรู้สึกถึงความมั่นคงในความรู้สึกของกันและกัน

เมื่อเดินไปเรื่อยๆ พวกเขาจำต้นไม้ต้นนั้นได้ ต้นที่พวกเขาเคยมานั่งหลบร้อนกันในอดีต พวกเขามองหน้ากันยิ้มให้กันและพากันเดินไปหยุดที่ต้นไม้นั่น คุณจันทร์จะเป็นคนที่ชอบดูแลแม่วาดเสมอ ปัดเป่าที่ทาง ซับเหงื่อ หรือยกแม่วาดเป็นที่หนึ่งในทุกการกระทำ

 หลังจากจัดท่านั่งเสร็จพวกเราก็นั่งรอลมปะทะแม้จะเป็นลมร้อนก็เถอะ พวกเขาทั้งสองต่างรำลึกถึงสิ่งที่ทำด้วยกันวันนี้ทั้งวัน มันเป็นสิ่งที่พวกเขาคุ้นเคยทำให้กันอยู่เสมอ

จู่ๆ คุณจันทร์ก็ยกมือแม่วาดขึ้นมาจูบอีกครั้งราวกับเฝ้าคะนึงหาไม่ยอมปล่อยเพราะกลัวจะเสียมือคู่นี้ไปอีกครั้ง คราวนี้แม่วาดไม่ได้เอยว่ากล่าวอะไรเพียงแต่เอ่ยบางอย่างออกมาแทน

“คุณจันทร์ ฉันรู้สึกเหมือนถูกเอาคืนเสียแล้ว” แม่วาดยิ้มแบบจำใจยอมต่อคนรัก ส่วนคุณจันทร์ได้เอาแต่ลูบมือของแม่วาดไปมา นวดๆ คลึงๆ ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นไปตอบพาทำใจสั่นสุดๆ

“รอยยิ้มของแม่...มันสวยมาก...สวยเสียจนฉันละสายตาจากแม่ไม่ได้ ฉันทั้งหลงใหล เคลิบเคลิ้มอยู่ในห้วงเสน่หา ในอดีตแม่สวยงามสำหรับฉันเช่นไร ตอนนี้ช่วงเวลานี้ แม่ก็ยังสวยงามสำหรับฉัน... ร่างกายที่เปลี่ยนไปมิอาจลบล้างความรัก ความหลงใหลที่มีต่อแม่ไปได้หรอก” คุณจันทร์นำมือข้างที่กุมไว้ของแม่วาดขึ้นมาแตะทรวงอกด้านที่มีหัวใจเต้นแรงอยู่ของตนเอง ทั้งสองประสานสายตากัน ทำเอาแม่วาดเขินแรงจนแก้เขินโดยถามออกไป

“ทำไมเป็นที่หัวใจของคุณจันทร์ล่ะ ทำไมไม่ใช่ที่หัวใจของฉัน”

“ก็ใจฉันอยู่ที่แม่วาด ส่วนใจแม่วาดก็อยู่ที่ฉันอย่างไรเล่า จับที่ฉันถูกแล้ว” หยอดเข้าไปอีก แม่วาดที่คิดว่าคุณจันทร์ในอดีตแพรวพราวมากแล้วยังสู้ปัจจุบันไม่ได้เลย ความช่างหยอกเย้าทางสายตา น้ำเสียง ท่าทางที่ออดอ้อนนั่น...

“อะไรกัน! เป็นสาวเป็นนางให้ผู้ชายจับหน้าอกได้อย่างไรกัน!” เมื่อคุณจันทร์เห็นท่าทีแก้เขินของแม่วาด ก็พลางกลั้นขำเล็กน้อย

“ความเป็นกุลสตรีของฉันมันหมดไปตั้งแต่พาผู้ชายเข้าบ้านแล้วหนาแม่ หึๆ” น้ำเสียงที่หวานหยดย้อยกำลังยั่วยวนใจแม่วาดจิตใจปั่นปวนเสียกิริยาราวกับว่าถ้าทำสำเร็จคุณจันทร์ก็จะรุกหนักเข้ามาเรื่อยๆ แน่ถ้าจับจุดได้ว่าเธอแพ้ทางคุณจันทร์

พวกเธอนั่งพูดคุยกันไม่นานก็เตรียมตัวกลับโรงแรม ก่อนกลับเราได้แวะหาของทานเล่นตามรถเข็นแถวนั้นเผื่อที่โรงแรมจะไม่มีอะไรให้สั่ง พวกเราต่างผลัดกันดูแลกันและกันเป็นปกติ จนทำให้แม่ค้าพ่อค่าแถวนี้แซวเรา

“เป็นคู่ผัวเมียที่น่ารักกันจังเลยนะ นี่มาเที่ยวหลังเกษียณกันหรือ” พวกเรามองหน้ากันยิ้มปนขำเล็กน้อยเพราะสุขจนล้นอก

“ใช่จ้ะพี่สาว พวกเราก็อายุอานามไม่ใช่น้อยแล้วก็อยากมาใช้ชีวิตปั้นปลายอีกเสียหน่อย” ฉันตอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่แสนจะมีความสุข

“เป็นคู่ที่ดีจริงๆ ไม่เหมือนผัวฉันเบื่อหน้ามันทุกวัน เมื่อไรจะตายๆ ไปเสียที อยู่แล้วเป็นภาระ” เจอประโยคนี้ของป้าเข้าไปพวกเราถึงกับไปไม่เป็นทีเดียว หมดกันอารมณ์ความสุขความหวานปานน้ำผึ้งของเรา พวกเราหันมาเจื่อนๆ ใส่กันก่อนจะขอตัวกลับก่อน

 

 

ในที่สุดก็ถึงโรงแรมพวกเราหมดแรงกันแบบไม่มีใครอยากจะอาบน้ำสักคน แต่เธอโดนแม่วาดดับฝันไล่ให้ไปอาบน้ำ ระหว่างที่แม่วาดกำลังเดินไปจัดนู่นจัดนี่ตามประสาคนชอบหอบของ เท้าแตะพื้นปั๊บแม่วาดแทบจะลงไปนอนกับพื้นเลยทีเดียว สงสัยวันนี้เดินมากเลยปวดเท้า อีกอย่างร่างกายนี้ของแม่วาดก็อายุหกสิบปีแล้วไม่ปวดสิแปลก เธอให้แม่วาดนั่งพักที่เตียงก่อนแล้วค่อยนวดๆ เท้าให้แม่วาด

“คุณจันทร์ทำแบบนี้ทีไร ฉันไม่ชินเสียที” ใครว่าแม่วาดจะทำให้คุณจันทร์หลงใหลได้เพียงคนเดียว แต่จันทร์ก็ทำให้แม่วาดหลงใหลมากเช่นกัน

การกระทำของคุณจันทร์มันอบอุ่นหัวใจแม่วาดเสมอมา ไม่เคยไม่มีครั้งใดที่คุณจันทร์จะไม่ใส่ใจเธอ มันดีแล้วจริงๆ ที่เธอได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ไม่ว่าจะขอบคุณใครสักกี่ครั้งเธอก็จะขอบคุณให้มากกว่าสิบเท่า

 

 

เช้านี้พวกเรายังไม่หายเหนื่อยจากเมื่อวานก็เลยไม่คิดจะออกไปไหนจึงทานอาหารเช้าที่โรงแรม สำหรับตอนกลางวันบ่ายๆ เราไปทานก๋วยเตี๋ยวเรือจากนั้นก็ไปพายเก็บดอกบัวแบบที่เคยทำเสมอเมื่อยังเป็นวัยรุ่น ส่วนตอนเย็นเธอจะพาแม่วาดไปดื่ม

 

 

การพายเรือเก็บดอกบัวเป็นกิจกรรมที่เราสองคนสามารถจะออกมาเจอกันได้โดยไม่ผิดสังเกตเพราะแม่วาดเป็นเด็กที่ท่านแม่รับเขามาฝึกความเป็นแม่บ้านแม่เรือนภายในวัง ทุกครั้งเธอจะเป็นคนพายเรือให้แม่วาดอยู่เสมอ เราจึงได้สนทนากันไปเรื่อยๆ และก็คิดในใจเหมือนกันว่าถ้าสระบัวใหญ่กว่านี้ก็คงดี

เวลานี้เราไม่จำเป็นต้องสนใจสายตาใครอีก เราสามารถยิ้มให้กันอย่างเต็มที่ ทัดดอกที่อีกฝ่ายยื่นดอกบัวมาทัดให้ที่ใบหู ทุกอย่างสำหรับเราตอนนี้มันเหมือนที่เราทั้งคู่ต่างจินตนาการมาตลอด เรายิ้มให้กัน ยื่นมือไปปัดปอยผมให้กันและกัน ราวกับต้องการแตะต้องอีกฝ่ายให้กระชุ่มกระช่วยหัวใจ ที่ใบหูของเราทั้งสองมีดอกบัวสีชมพูม่วงทัดอยู่ที่ใบหู

ไม่รู้สิ...ไม่รู้ว่ามันเหมาะกับพวกเราหรือเปล่า แต่มันเหมาะกับรอยยิ้มสวยๆ ของแม่วาดมาก ยิ้มแบบตาหยีๆ ยิงฟันขาวๆ น่ะ...สวยดี

“แม่วาด แม่อยู่เฉยๆ ให้ฉันหน่อยแม่” คุณจันทร์ที่จะไม่ยอมเก็บภาพความสุขนี้ไว้ในแค่ความทรงจำ คุณจันทร์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายแม่วาดเหมือนกับคนคลั่งรัก (เขาคลั่งของเขามานานแล้วต่างหาก)

“คุณจันทร์จะทำอะไรหรือ”

“ถ่ายรูปแม่อย่างไรเล่า คนน่ารักอย่างแม่ฉันไม่เก็บในแค่ความทรงจำหรอกนะ” แม่วาดก็เขินเป็นที่สุดจนเอียงไปข้างนั้นข้างนี่เพื่อหลีกเลี่ยงการถ่ายหน้าตรง แต่สุดท้ายคุณจันทร์ก็ได้มาหลายรูปเตรียมอัปขึ้นไอจี ที่มีรินเป็นเพื่อนเพียงคนเดียว เธอไม่ชอบสุงสิงกับใคร เพราะเพิ่งมาเปิดสาธารณะเมื่อตอนหย่าแล้วนี่แหล่ะ

“คุณจันทร์ทำอะไรอยู่”

“กำลังอัปรูปแม่วาดลงไอจีน่ะ” คุณจันทร์ยื่นโทรศัพท์ให้แม่วาดดู

“มันคืออะไรหรือคุณจันทร์”

“มันคือเครือข่ายสังคมออนไลน์ เอาเป็นว่าหลังจากกลับจากอยุธยาฉันจะสอนแม่เล่นนะเปิดบัญชีด้วย”

“อือ งั้นฉันถ่ายรูปคุณจันทร์บ้างนะ คุณจันทร์ถ่ายรูปฉันไปเยอะแล้ว” โทรศัพท์ที่ยื่นไปก็ยังอยู่ในมือแม่วาด คุณจันทร์ก็เหมือนสนุกที่แกล้งแม่วาดจึงโพสท่าทางมากมายให้แม่วาดตามถ่าย จนมีเจ้าหน้าที่ที่เข้ามาดูแลอาสาถ่ายรูปคู่ให้กับพวกเรา คุณจันทร์ก็โพสท่าเต็มที่ส่วนแม่วาดยังเขินๆ อยู่แต่ก็ยอมให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

“วิววัดพุธไทศวรรย์สวยจริงๆ คุณจันทร์”

“แม่ชอบฉันก็ดีใจ”

ระหว่างที่เรากำลังชมทัศนียภาพตรงหน้า พนักงานก็เดินมารับออร์เดอร์ บรรยายกาศแบบเหล้าเค้านารี เอ้ย! ไม่ใช่! เหล้า ความงามของ (แม่วาด) ทัศนียภาพเป็นของคู่กัน

“แม่วาดไม่ดื่มสักแก้วเหรือ”

“คุณจันทร์ก็รู้ว่าฉันไม่ดื่ม เลิกยุฉันได้แล้ว”

ถ้าใครที่ไม่ได้สนิทกับคุณจันทร์คงไม่รู้ว่าท่านเป็นคนชอบเสพการดื่มเหล้าเป็นชีวิตจิตใจ แต่เห็นทีคงจะมีแต่เขากระมังที่เห็นคุณจันทร์เมาแบบหมดสภาพ

ยัง...ยังก่อนตอนนี้ ตะวันยังไม่ตกดินความฮึกเหิมยังไม่มา...ตอนนี้ยังแค่แก้วสองแก้ว ไม่รู้ว่าเวลาที่ห่างกันยี่สิบปีคุณจันทร์ยังดื่มในปริมาณเท่าเดิมหรือเปล่า

 

คำตอบนั้นชัดเจนแล้วล่ะ...ไม่ต่างจากเดิมแต่มากกว่าเดิม! ตะวันลับขอบฟ้าราวกับเปิดสวิตช์อีกร่างของคุณจันทร์ทันที ถ้าจะสั่งค็อกเทลเยอะขนาดนี้สั่งเหล้ามาดื่มเถอะ! ไม่ทันได้รำพึงรำพันเหมือนความคิดของเขามันเด้งเข้าสู่สมองของคุณจันทร์อย่างไรอย่างนั้น ไม่ได้มาเป็นแก้วด้วยนะ มีเป็นขวดเลย! ยังมีหน้ามาแย่งสตรอว์เบอร์รีบนถาดไอศกรีมไปเป็นกับแกล้มเหล้าอีก!

เวลาเมาคุณจันทร์จะน่ามองเป็นพิเศษและมักจะดึงดูดสายตาใครต่อใครได้เป็นอย่างดี สภาพนี้แม้คนภายนอกจะมองว่าคุณจันทร์เป็นผู้หญิงที่เท่และมีคาริสม่า ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวไปทางใดก็น่ามองไปหมด

แต่เธอรู้...เก๊กหน้านิ่งแบบนี้...คือกำลัง...เริ่มล่ะ...เริ่มหยิบแว่นดำมาใส่ล่ะ...ชัดเลย

สภาพนี้คือเมาแล้ว ไม่ใช่ว่าคุณจันทร์เมาแล้วจะมีกิริยาไม่ดี แต่ต้องรีบพาคุณจันทร์ออกไปที่นี่ เพราะว่าเวลาเมาคุณจันทร์จะเริ่มพูดมากเป็นพิเศษ ช่วงทำตัวเหมือนอาจารย์มหาวิทยาลัยที่พูดสามชั่วโมงไม่พัก! คงไม่มีใครชอบใช่ไหมที่กำลังเสพสุนทรีภาพของวัดพุธไทศวรรย์ แล้วจู่ก็มีเสียงคนกำลังพูดเหมือนอาจารย์ประวัติศาสตร์ข้างหู คงจะเป็นตลกร้ายของคนอยู่ใกล้ๆ เป็นแน่

ไม่รอช้าคุณจันทร์เริ่มรู้ตัวจึงเรียกพนักงานมาเก็บเงิน พอจะลุกออกจากโต๊ะก็ทำท่าจะสะดุดลล้ม ก็ใครมันจะสวมแว่นกันแดดตอนกลางคืน ล้มลงไปก็ไม่แปลกหรอก แต่ไม่รู้ว่าล้มเพราะใส่แว่นดำหรือเมากันแน่? ดีที่เขาจับขึ้นมาได้ทัน

ยัง...ยังจะเอาหน้ามาถูต้นแขนเขาอีก ใบหน้าดูชื่นมื่นมาก มันทั้งน่ารัก ทั้งดูออดอ้อน เขาจะทำอย่างไรดีนะ?...

 

 

เขาเรียกรถมาส่งที่โรงแรม ทว่าสภาพตอนนี้บวกกับเดินทางเช้าคงจะปล่อยไปแบบนี้ไม่ได้ เลยขอให้คนขับจอดหน้าร้านสะดวกซื้อที่เราคุ้นเคยกันดี เพื่อที่จะเดินเข้าไปซื้อยาแก้แฮงก์ให้คุณจันทร์ เขาว่าคุณจันทร์ทรงตอนนี้น่าจะแกล้งเมามากกว่า ไม่รู้เขาคิดไปเองหรือเปล่า? มันก็มีวันที่คุณจันทร์ต้องอ่อนแอขึ้นหลังเขาเหมือนกันแฮะ

ไม่รู้สิ...แต่มันทำเขาอมยิ้มแทบไม่หุบเลย มันทั้งน่ารัก น่าเอ็นดูเหมือนกันนะ การที่เราเปลี่ยนมาเป็นคนมาดูแลบ้างมันก็...ซาบซ่านหัวใจเหมือนกัน

“คุณจันทร์คราวหลังจะมาดื่มแบบปล่อยตัวปล่อยใจแบบนี้ไม่ได้นะ คุณจันทร์ไม่เด็กแล้วหนาแม่” สภาพของเราสองคนเหมือนคนหาบกับคนเมานั่งอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อที่มีน้องๆ สี่ขาคอยนอนให้กำลังใจ ถ้าลุกไม่ไหวก็นอนแบบเราก็ได้ ชีวิต....ช่างน่าอนาถ... นั่งให้ยุงมันหามเสียเลยดีกว่า

“ก็ฉันอยากอ้อนแม่อย่างไรเล่า นานๆ ทีฉันจะมีคนคอยช่วยดูแลให้ฉันได้มีโอกาสดื่มจนสุดบ้าง ฮ่า! มันช่างสะใจ! จริงๆ โว้ย!” พูดเสร็จก็เอาหน้ามุดซอกแขนของเขา มันเลยมีสภาพแบบว่าเขานั่งเอาแขนคล้องคอคุณจันทร์ ดวงหน้าของคุณจันทร์ตอนนี้มันช่าง...ทนไม่ไหวแล้ว วุ้ย! กรึบ!

ถ้าคนผ่านมาเห็นก็คงจะเห็นผู้สูงอายุสองคนโดยเฉพาะผู้ชายที่กำลังบีบแก้มของฝ่ายหญิงอยู่ ก่อนจะก้มลงไปกัดอย่างมันเขี้ยว! คนโดนกระทำไม่พูดอะไร ออกจะชอบใจด้วยซ้ำ