หญิงสาวชนชั้นสูงยอมแต่งงานกับชายที่ไม่ได้รัก เพื่อเลี้ยงดูลูกของคนรักที่ได้จากไป ยี่สิบปีต่อมาพวกเขาได้โอกาสให้กลับมารักกัน
รัก,หญิง-หญิง,ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ไทย,แต่งงาน,ท้อง,ทหาร,พีเรียดไทย,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)หญิงสาวชนชั้นสูงยอมแต่งงานกับชายที่ไม่ได้รัก เพื่อเลี้ยงดูลูกของคนรักที่ได้จากไป ยี่สิบปีต่อมาพวกเขาได้โอกาสให้กลับมารักกัน
เรื่องย่อ
หญิงสาวชนชั้นสูงยอมแต่งงานกับชายที่ไม่ได้รัก เพื่อเลี้ยงดูลูกของคนรักที่ได้จากไป ยี่สิบปีต่อมาพวกเขาได้โอกาสให้กลับมารักกัน
ตัวละคร
พลตรี หม่อมเจ้าสาทิสยา ไวทย์เวธน์ทิวากร / แม่วาด
สถานะ : คนรักของคุณจันทร์ และเป็นแม่ของจรณ์จิณณ์
หม่อมเจ้าจันทรารัตน์ ปัณณ์ปริชญ์ปัถย์ / จันทรารัตน์ กวินกานต์ / หม่อมจันทรารัตน์ ไวทย์เวธน์ทิวากร ณ อยุธยา
สถานะ : คนรักของแม่วาด แม่เลี้ยงของจรณ์จิณณ์ ภรรยาในนามของชรัน
พันโทชรัน กวินกานต์
สถานะ : พ่อของจรณ์จิณณ์ สามีของแม่วาด คุณจันทร์ วิมล
นักเรียนนายร้อยปัณณ์จรณ์ กวินกานต์
สถานะ : ลูกชายของชรันและแม่วาด
นักเรียนนายร้อยปัณณ์จิณณ์ กวินกานต์
สถานะ : ลูกชายของชรันและแม่วาด
วิมลตรา ดารารายณ์
สถานะ : ภรรยารองของชรัน
ชิรินตรา กวินกานต์
สถานะ : ลูกสาวของชรันกับภรรยารอง
รินจายา เปรมวาณิชย์
สถานะ : เพื่อนแม่วาดกับคุณจันทร์
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทวินปัณณ์ปริชญ์ปัถย์
สถานะ : เสด็จพ่อของคุณจันทร์
หม่อมเจ้าศิวากร ชิญชาญ ปัณณ์ปริชญ์ปัถย์
สถานะ : ท่านแม่ของคุณจันทร์และชายาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทวินปัณณ์ปริชญ์ปัถย์
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปันภาพร ไวทย์เวธน์ทิวากร
สถานะ : เสด็จป้าของพลตรีหม่อมเจ้าสาทิสยา
****เพื่อให้อ่านได้อย่างอรรถรสขอให้นักอ่านแวะเข้ามาอ่านครงนี้เล็กน้อยนะคะ****
1.คุณจันทร์เป็นหม่อมเจ้าหญิง แต่ในเรื่องจะเรียกว่าคุณจันทร์เพราะว่าคุณจันทร์ได้สละยศเป็นสามัญชนแต่งงานกับชรันและตอนแต่งงานกับหม่อมเจ้าสาทิสยา (หรือแม่วาด) ก็แต่งตอนเป็นสามัญชน ดังนั้นจึงเรียกคุณจันทร์ค่ะ
2.คุณจันทร์อนุญาตให้แม่วาดเรียกคุณจันทร์ด้วยคำปกติได้ เพราะทั้งสองเป็นคนรักกัน
3.ทุกอย่างในเรื่องเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนเพียงเท่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับเป็นจริงใดๆ โปรดอ่านเพื่อความเพลิดเพลินและใช้วิจารณญาณ
สวัสดีจ้านักอ่านทุกคนนนน ไรท์ขอฝากนิยายเรื่องเรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจนักอ่านักคนด้วยน้าาาา
เพลลิสต์เพลงมาฝากจ้า ทุกคนสามารถเข้าไปฝันเพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่านได้นะคะ
https://open.spotify.com/playlist/2FsZanXiU18yXisLHv58WG?si=48c563e9601d4084
ผังตัวละคร
ขอฝากนิยายเรื่องอื่นๆ ของเราด้วยน้าาา
เรื่องย่อ : เอมมาริน สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของโซเรลถูกลูกหลงโดนยิงจะกลุ่มผู้ประท้วงวิญญาณของเธอล่องลอยเข้าสู่ร่างของเอราเบล ลี ลูกสาวของตระกูลลีที่มีความใกล้ชิดทางสายเลือดกับราชวงศ์ โชคชะตาของเธอคือการชดใช้ไม่ว่าเธอจะอยู่สูงเพียงใด เธอต้องพบกับการสูญเสียพลัดพรากเฉกเช่นเดียวกันกับคนรักของเธอ
เรื่องย่อ : เลขาท่านผู้นำอย่างเอบิซาถูกจับให้มาแต่งงานกับผู้ปกครองเผ่างูในป่าลึกดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าบรรพชนจากการบูชาหญิงสาวเพื่อให้กำเนิดทายาทรุ่นต่อไปของอาวคลาส วาดิม เธียร์
เรื่องย่อ : ไม่ใช่แนวเกิดใหม่…แต่เป็นการทำงานรอนรกว่าง! ไป๋เหลียงคือหญิงสาวที่เข้าไปอยู่ในร่างของฮุุ่ยเจิน ผู้เป็นคุณนายใหญ่ตระกูลเหว่ย
บทที่ 5
เริ่มต้นที่จุดสิ้นสุด 1/2
ปัจจุบัน
ผ่านมาแล้วยี่สิบปีมีอะไรเปลี่ยนไปมากมาย อาหาร การแต่งกาย บ้านเรือน ผู้คน ความเชื่อความคิดและทัศนคติต่อสิ่งต่างๆ ถนน อาคารก็เปลี่ยนไปตามกระแสโลก บ้านที่เธอเคยอยู่เคยมีความทรงจำดีๆ กับแม่วาดอยู่ในเขตพระนครเป็นเมืองเก่าและมีสถาปัตยกรรมสวยงามมากมายกลมกลืนไปกับความศิวิไลซ์ของกรุงเทพ ไม่โบราณจนเก่าเก็บยังคงธำรงรักษาไว้ซึ่งความสวยงามแบบร่วมสมัยความเป็นยุโรปและไทย การเดินทางที่สะดวกสบาย ท้องถนนเต็มไปด้วยรถราวิ่งเสียงดังฝุ่นฟุ้งไปทั่วผิดจากอดีตที่เงียบสงบ
บ้านสไตล์นีโอคลาสสิกถูกสร้างขึ้นในยุคกลางรัชกาลที่ห้ามีความวิจิตรบรรจงสวยงามของลายขนมปังขิงที่มีประดับไปทั้งเรือน เมื่อก้าวเข้ามาจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแห่งความสงบสุขห่างไกลจะเรื่องวุ่นวายภายนอกด้านหลังตึกมีสระบัว รอบๆ บ้านมีดอกเบญจมาศสีขาวส่งเสริมให้ที่นี่ดูสูงส่ง
เธอเดินทางมาถึงแล้วบ้านที่มีความทรงจำร่วมกันกับแม่วาด
บ้านของพวกเรา...
เธอหยุดอยู่หน้าบ้านเพื่อชื่นชมและซึมซับความรู้สึกต่างๆ ที่ประดังประเดเข้ามาไขประตูบ้านด้วยความมือสั่นไม่รู้ว่าสั่นเพราะคิดถึงคะนึงหาหรือเพราะดีใจที่ได้กลับมา แต่ไม่ว่าเพราะอะไรมันล้วนแต่ดีทั้งสิ้น
เธอเข้าไปในบ้านกวาดสายตาไปรอบๆ ทั่วบ้านสักพักไหล่ของเธอก็สั่นไหวจากนั้นน้ำตาก็พลั่งพรูลงมา เธอกอดตัวเองและบอกกับตัวเองว่ากลับมาแล้วนะ กลับมาอยู่ด้วยกันแล้วนะแม่...
เธอเริ่มทำความสะอาดและจัดของต่างๆ ให้เหมือนดังเดิมที่เคยเป็น ถ้าถามว่าทำไมเธอถึงไม่ให้ข้าหลวงเก่าในวังของเสด็จพ่อมาช่วยก็ต้องบอกว่าเธออยากจะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ทุกส่วนของบ้านเต็มไปด้วยความทรงจำของพวกเธอ
เธอหยิบกรอบรูปที่ถูกรื้อออกมาพลางบอกในใจกับตนเองว่าถึงเวลาแล้วนะ ถึงเวลาแล้ว ถึงเวลาที่จะเอามาตั้งโชว์แล้ว เธอเช็ดกรอบรูปอย่างทะนุถนอมเบามือ บรรจงเช็ดแล้วเช็ดอีกก่อนจะดึงกรอบรูปเข้ามากอดและหลั่งน้ำตาออกมา กรอบรูปนั่นมีรูปของแม่วาดและคุณจันทร์ที่ถ่ายร่วมกันในงานบุญที่วัดปทุมฯ กำลังยิ้มให้กันอย่างมีความสุข
เมื่อจัดวางกรอบรูปทุกอันเรียบร้อยดีแล้วคุณจันทร์มาจัดแจกันดอกไม้อย่างที่แม่วาดเคยชอบทำ ดอกไม้ที่แม่วาดจะชอบนำมาจัดแจกันมากที่สุดคือดอกบัวและดอกเบญจมาศ
แม่วาดมักจะพูดอยู่เสมอว่าชอบดอกบัวและเธอเปรียบเสมือนเป็นดอกเบญจมาศ สูงศักดิ์และมีเกียรติ แต่สำหรับเธอแม่วาดคือดอกเบญจมาศส่วนฉันคือดอกบัวเพราะเธอชอบกินน้ำรากบัว
แจกันใบนี้แม่วาดหวงนักหนาเลยเชียว ในคราแรกเธอก็ไม่เข้าใจว่ามันมีความพิเศษตรงไหนแม่วาดถึงได้ชอบเสียขนาดนั้น จนได้มารู้หลังแม่จากไปเสียแล้ว ลวดลายบนแจกันเป็นลายที่คล้ายกับลายกระเบื้องประดับบนผนังตึกโคโลเนียลในสิงคโปร์ ส่วนลายของมันมีความหมายว่าอายุมั่นขวัญยืน แม่วาดเล่าว่ามันเป็นแจกันใบแรกที่เธอสามารถช่วยพ่อแม่ค้าขายได้กำไรด้วยตนเองและนี่คือกำไรจากการค้าครั้งแรกของเธอ
ดังนั้นไม่ว่าแจกันใบนี้จะราคาเท่าไรก็ตามแต่มันคือสัญลักษณ์ความภาคภูมิใจของแม่วาดและการที่แม่วาดมอบแจกันใบนี้ให้เธอดูแลนั้นก็หมายความว่าแม่วาดรักเธอมากที่จะมอบของสำคัญๆ ให้เธอดูหรืออีกความหมายหนึ่งก็คือขอให้พวกเราอายุยืนนานอยู่ด้วยกันแบบนี้ไปนานๆ
คุณจันทร์จัดแจกันขณะนั่งลงบนม้านั่งตัวโปรดที่มักจะนั่งคู่กับแม่วาดประจำ พอจัดเสร็จก็นำแจกันที่จัดไว้ไปวางตามจุดต่างๆ ที่แม่วาดเคยวางบรรยากาศในบ้านจึงคล้ายกับตอนที่แม่วาดอยู่
คุณจันทร์นั่งเขียนไดอารี่เรื่องราวที่ได้เจอในแต่ละวันราวกับส่งสารไปถึงคนอีกฟากหนึ่งของภพภูมินี้
วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562
“แม่วาด วันนี้ฉันกลับมาที่บ้านแถวเขตพระนคร แม่จำได้หรือไม่ ฉันได้ทำความสะอาด เช็ดกรอบรูปของเราสองคนด้วยนะ แจกันที่แม่ชอบจัดดอกไม้แม่ยังจำได้หรือไม่ วันนี้ฉันจัดดอกไม้ลงแจกันแทนแม่แต่อาจไม่สวยเท่าตอนที่แม่จัด ฉันนั่งม้านั่งตัวโปรดของฉันที่นั่งคู่กับแม่ด้วยนะ ฉันกินข้าวครบสามมื้อทุกวันนะแม่ไม่ขาดเลยสักมื้อเพียงแต่ทานได้ไม่กี่คำก็ต้องหยุด ไม่รู้ว่าเพราะแก่แล้วหรืออย่างไรถึงไม่รู้สึกอยากอาหาร ฉันคิดถึงน้ำรากบัวฝีมือแม่จังแม่วาด คิดถึงอาหารที่แม่ทำ ฉันคิดถึงแม่เหลือเกิน”
จาก จันทรารัตน์
คุณจันทร์หลับไปขณะกอดหนังสือและกรอบรูปบนม้านั่งตัวโปรดของเธอโดยที่เธอไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนที่เธอเฝ้ารอมาเนิ่นนานนั้นได้เฝ้ามองดูเธอเหมือนกัน
เช้าของวันรุ่งขึ้นคุณจันทร์ตื่นมาทำอาหาร บางเมนูก็อร่อยบางเมนูก็ไม่ค่อยอร่อย ทำให้หวนนึกคิดถึงแม่วาด วันนี้คุณจันทร์มีภารกิจที่ต้องไปทำนั่นคือการไปเยี่ยมแม่วาด ในทุกๆ ปีคุณจันทร์จะเอาดอกไม้ไปหาแม่วาดเสมอ ไม่เคยมีสักครั้งที่ผิดสัญญานอกจากเธอจะป่วยถึงเธอจะป่วยเธอก็จะมา เธอเตรียมดอกเบญจมาศและดอกบัวไปด้วยทุกครั้งและจัดตกแต่งใส่แจกันวางอยู่หน้าฮวงซุ้ย
อากาศวันนี้ดีมากๆ แสงแดดยามเช้าสวยงามและอบอุ่นพาลทำให้คนเรารู้สึกอบอุ่นตามไปด้วย ลมเย็นๆ ที่พัดตลอดบางครั้งก็สร้างความปลอบประโลมบางครั้งก็สร้างความหนาวเย็นและโดดเดี่ยว จนเธอต้องตระกองกอดตัวเอง
“แม่วาดฉันเลี้ยงลูกของเราเติบโตมาเป็นเด็กหนุ่มแข็งแรง สดใส พวกเขาหน้าตาเหมือนแม่วาดมาก นิสัยก็เหมือนขี้ใจอ่อนขี้สงสารเหมือนกันเลย” เธอพูดไปด้วยจัดดอกไม้ลงแจกันทำความสะอาดรอบๆ ไปด้วย “ฉันได้ตัดสินใจหย่ากับชรันแล้วนะ ตอนนี้เด็กๆ ของเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ตอนนี้ถึงเวลาของเราสองคนบ้าง ฉันสามารถมาหาแม่ได้บ่อยๆ แล้วนะแม่”
จู่ๆ คุณจันทร์ก็รู้สึกอารมณ์ดิ่งขึ้นมาจนพูดประโยคที่ไม่ค่อยน่าฟังออกมา “ฉันคิดถึงแม่มากนะ...มากเสียจน...อยากไปอยู่กับแม่” เธอเผอเรอพูดออกไปพอตั้งสติได้ก็พูดแก้ต่างให้ตนเองกับคนตาย ว่าเธอไม่ได้คิดเช่นนั้นเพราะกลัวว่าแม่วาดถ้าอยู่แถวนี้รับรู้แล้วจะเป็นห่วง “ฉันนี่เอาแต่พูดอะไรก็ไม่รู้ วันหลังฉันจะมาใหม่นะ”
ผ่านมาหลายสัปดาห์วันนี้เธอมาเยี่ยมแม่วาดอีกครั้ง แต่วันนี้ไม่เหมือนทุกวันตรงที่มีผู้ชายคนหนึ่งก็มาเยี่ยมแม่วาดเหมือนกัน เป็นชายวัยห้าสิบถึงหกสิบปี ใส่ชุดทหารยศใหญ่ ยืนนิ่งหน้าหลุมฝังศพแม่วาดอยู่ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน เธอไม่รู้ว่าชายคนนี้ยืนอยู่ตรงนี้นานหรือยัง แต่เธอคิดว่าน่าจะเป็นญาติของแม่วาดกระมัง เธอเข้าไปเงียบๆ อยู่ทางด้านหลังและก้าวขึ้นไปวางดอกไม้แบบที่เคยทำและถอยลงมาอยู่อย่างนิ่งสงบคล้ายกับชายคนนั้น เธอทำทุกอย่างด้วยความเงียบเชียบเพื่อไม่ให้กิริยาของเธอไม่รบกวนห้วงความคิดของชายคนนั้นที่กำลังนึกถึงความทรงจำเกี่ยวกับคนตาย
แต่จู่ๆ ชายคนนั้นก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยและเป็นคำถามที่ค่อนข้างไร้มารยาท “คุณคิดยังไงกับการที่ผู้ชายคนหนึ่งแต่งงานหลังจากที่ภรรยาตัวเองตายไปไม่กี่เดือนและผู้หญิงคนนั้นก็เป็นเพื่อนของเธอ”
เธอไม่รู้ว่าชายคนนี้มีจุดประสงค์อะไร แต่ที่เธอรู้ก็คือชายคนนี้คงจะหมายถึงเธอกับชรัน “...คุณต้องการจะพูดอะไร...” ชายคนนั้นยังนิ่งราวกับเมื่อกี้ไม่ได้พูดอะไรและไม่ได้ละสายตาจากป้ายหลุมศพแม่วาด
“แค่เล่านิทานเรื่องหนึ่งให้คุณฟังก็เท่านั้น...”
“ฉันจะถามคุณอีกครั้งคุณต้องการจะพูดอะไร” เธอไม่รู้ว่าชายคนนี้เป็นใครและต้องการอะไร ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีใครนินทาเรื่องที่ว่าฉันแย่งสามีเพื่อนตัวเอง ในสังคมคนมีปากก็สักจะพูดไปทั่วไม่ได้ผ่านกลั่นกรองเสียเท่าไร เรื่องนี้เองเธอก็ได้ยินผ่านหูผ่านตามาบ้างแต่มันก็นานแล้ว แต่จู่ๆ ชายคนนั้นก็ถามขึ้นมา จะไม่ให้เธอสงสัยได้อย่างไร แล้วชายคนนี้เป็นอะไรกับแม่วาด
“ทำไมคุณถึงหย่ากับสามี” ชายคนนั้นไม่แม้จะหันมาพูดคุยกันตรงๆ
“เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน ไม่จำเป็นต้องเล่าให้คนนอกฟัง”
“งั้นเหรอ...” จู่ๆ ชายคนนั้นก็หันมาประจันหน้ากับเธอแล้วถามคำถามที่เธอไม่คิดว่าจะต้องตอบใคร จู่ๆ ก็มาถามเรื่องแม่วาดแล้วยังมาพูดเรื่องนี้ เธอไม่อยากพูดกับชายคนนี้จริงๆ”ถ้าผมเป็นแม่วาดคงเสียใจน่าดู คนที่เธอรักแต่งงานกับคนอื่น”ชายคนนั้นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงดูถูก แต่ไม่เข้าใจว่าเขามีจุดประสงค์อะไร
“คุณรู้อะไรมา” เธอนิ่งและเริ่มคิดได้บางอย่างว่าชายคนนี้ต้องรู้ความสัมพันธ์ของเธอกับแม่วาดเป็นแน่ แต่ที่น่ากลัวคือเขาเป็นใคร? มาดีหรือร้าย?
เธอมัวแต่คิดจึงไม่ได้เงยมองสังเกตหน้าผู้ชายคนนั้นดีๆ จนกระทั่ง... “ทำไมฉันจะหึง หวง คนรักของตนเองไม่ได้ล่ะ การเห็นเธอใช้ชีวิตกับคนอื่นมันทำให้หัวใจดวงนี้มันแหลกสลาย คุณจันทร์เข้าใจหรือไม่ ว่ามันเจ็บมันปวดเพียงใด” เธอว่าประโยคพวกนี้ฟังดูแปลกมาก ชายคนนี้หมายถึงใครกันแม่วาดหรือ?
เธอเงยหน้าขึ้น มีอยู่แวบหนึ่งที่ทำให้เห็นคนตรงหน้าเป็นแม่วาด เธอไม่สามารถยับยั้งความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ เธอพยายามสลัดความคิดชุดนั้นออกจากสมอง แต่ทว่ามือและปากไปเร็วกว่าสมอง ทำให้มือในตอนนี้ได้สัมผัสบนใบหน้าของอีกฝ่าย รู้สึกว่าอากาศรอบตัวต่างหยุดนิ่ง
“แม่วาดหรือ?...” มือของเธอยื่นออกไปลูบใบหน้านั่นอย่างต้องการพิสูจน์ว่าใช่ความจริงหรือไม่
สายตาของเธอมันทั้งเว้าวอนจนน่าสงสาร จนคนถูกลูบสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากฝ่ามือที่กำลับจับใบหน้าของเขานั้นรับรู้ได้ถึงความทะนุถนอม จนทำให้เขาใจสั่นอยากจะยื่นมือไปปลอบคนข้างหน้า
“ขอโทษค่ะ ฉันเห็นคุณเหมือนใครคนหนึ่ง” คุณจันทร์ที่เพิ่งได้สติก็รีบขอโทษกับการกระทำที่ไม่เหมาะสมของตนเองและชักมือกลับ แต่ยังไม่ทันได้ผละออกชายคนนั้นก็ดึงเธอเข้าไปกอดแน่น
“คุณจันทร์...” เธอตกใจมาก พยายามผละออกจนสำเร็จ เมื่อกี้เธอถือเสียว่าหายกันก็แล้วกัน เพราะเธอเป็นคนรุ่มร่ามกับเขาก่อน
“คุณ..รู้จักฉันหรือคะ?” เธอถามออกไปด้วยความสงสัย
“คุณจันทร์บอกกับฉันมาตามตรง คุณจันทร์ยังรักแม่วาดอยู่หรือเปล่า” ชายคนนี้รู้เรื่องแม่วาดกับเธอ ทำไมชายตรงหน้าถึงได้คาดคั้นเธอ? แล้วรู้เรื่องระหว่างเธอกับแม่วาดได้ยังไง? เธอพยายามนิ่งให้มากที่สุดจะไม่ยอมให้ใครจับได้อีก
“...” เธอไม่ตอบ และชายคนนั้นก็พูดเรื่องที่มีแค่เธอกับแม่วาดเท่านั้นที่รู้กัน ชายคนนั้นสบตาของเธอเป็นเวลานานก่อนจะเอ่ยถ้อยคำที่น่าเหลือเชื่อออกมา
“คุณจันทร์...ยังจำเรื่องที่เราสองคน เคยถามเรื่องการตั้งชื่อได้มั้ย”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณ??!”
“ถ้าฉันบอกว่าฉันคือแม่วาด คุณจันทร์จะว่าอย่างไร”
“อย่ามาล้อเล่นนะ! แม่วาดตายไปยี่สิบปีแล้วจะมาเป็นชายแก่อย่างคุณได้ยังไง คุณต้องการอะไรกันแน่ แล้วรู้เรื่องฉันกับแม่วาดได้ยังไง”
“คุณจันทร์อย่าโศกเศร้าเสียใจเลย ฉันยังอยู่ตรงนี้ แม่จันทร์ยอมมองฉันสักหน่อยเถิด ฉันไม่ใช่คนรักแม่จริงๆ หรือ?”
คนๆ เดียวที่เรียกฉันว่าแม่จันทร์มีเพียงแม่วาดของเธอ...เธอไม่เข้าใจมันหมายความอย่างไร แม่วาดจะเป็นชายแก่ตรงหน้าเธอได้เยี่ยงไร?
“แม่จันทร์...แม่จันทร์ของฉัน...แม่รู้หรือไม่ฉันเฝ้ามองแม่มานานหลายปี...ตอนแรกฉันก็สับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปหมด...คนแรกที่ฉันนึกถึงก็คือแม่นะ...แม่จันทร์”
“หยุดพูดไม่รู้เรื่องเสียที ครั้งนี้ฉันจะไม่ถือมารยาทของคุณก็แล้วกัน แต่เราอย่าได้มาทำรุ่มร่ามใส่กันอีก” เธอหันหลังไม่มองกลับไป ทิ้งให้ชายคนนั้นมองเธอด้วยความเศร้าสร้อย
นับตั้งแต่นั้นมาทุกๆ ที่ที่ไปมักจะมีชายคนนี้ปรากฏตัวอยู่เรื่อย จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน ร้านก๋วยเตี๋ยวแถวเยาวราชร้านโปรดของแม่วาดเธอมักจะไปกินทุกๆ วันอาทิตย์ ดีที่เจ้าของร้านยังไม่เลิกกิจการ บางครั้งก็มานั่งพักชมแสงแดดฟังคนแก่พูดเรื่องราวต่างๆ ในร้านกาแฟ เมนูที่เธอชอบสั่งเป็นประจำเสมอคือโอเลี้ยง พอสายๆ เธอจะซื้อซาลาเปาไปกินเป็นของว่าง ก่อนกลับจะเดินซื้อชาในร้านต่างๆ ในเยาวราช
ตั้งแต่แม่วาดเสียฉันไม่เคยได้กลับไปเยาวราชอีก นี่เป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบปี ที่นี่เปลี่ยนไปมากมีตึกสวยงามมากมาย แสงแดดยามเช้าผู้คนคึกคักรีบเร่งออกไปทำงาน การเดินทางมาที่นี่ก็สะดวกเพียงนั่ง MRTวัดมังกรก็ถึงเยาวราชแล้ว
ชายคนนั้นตามติดเธอเหมือนเงาตามตัวไปร้านก๋วยเตี๋ยวก็เจอ ร้ากาแฟก็เจอ ไปซื้อชาก็เจอ จนสุดท้ายทำให้ความอดทนของเธอขาดผึง
วัดแถวท่าเตียนคือที่ที่เธอแลแม่วาดชอบมาถวายสังฆทาน แม้กระทั่งเข้าไปสักการะด้านในถูกตามไปด้วย ช่างน่ารำคาญเสียจริง เธอไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวจึงไม่ได้เข้าไปพูดเตือนอะไร
“โยมสองคน ทำไมไม่มาถวายสังฆทานด้วยกันล่ะ ไม่ได้มาด้วยกันหรอกเหรอ” พระคุณเจ้าถามด้วยความสงสัย
“ไม่ใช่ค่ะ”
“งั้นเหรอ ทําบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน คู่แล้วไม่แคล้วกัน สีกาท่านนี้เรื่องบางอย่างจำเป็นต้องใช้ใจมองหนาถึงจะพบความสุข”
“ค่ะพระคุณเจ้า” เธอสงสัยแต่ก็ปล่อยผ่านไป หลีกเลี่ยงชายคนนั้นไม่ได้
“โยมบงกชแก้วมีอันเดียว โยมทั้งสองให้ด้วยกันก่อนได้หรือไม่หรือรอให้อาตมาบอกเด็กให้ไปเอามาให้”
“ดิฉันรอได้ค่ะ”
“ผมใช้กับเธอได้ครับ”
“โยมสีกาว่าอย่างไร จะรอเด็กหรือไม่”
“ถ้าอย่างงั้นได้เจ้าค่ะ” ถ้าไม่เกรงว่าจะรบกวนพระคุณเจ้าฉันเพลเธอคงรอเด็กไปยกมาให้อีกอัน
เมื่อพระเริ่มสวดเธอจึงเริ่มยกบงกชแก้วขึ้นมากรวด และตกตะลึงที่จู่ๆ ชายคนนั้นขยับเข้ามานั่งซ้อนด้านหลังแลยื่นมือมากุมมือของเธอ ลมหายใจของเขารดอยู่ที่ต้นคอของเธอ มันดูโรยรินติดๆ ขัดๆ ราวกับอารมณ์ของเขาไม่คงที่ เธอไม่ชอบการกระทำของเขาแต่ก็ไม่อยากเสียมารยาทต่อหน้าพระคุณเจ้า
“ดิฉันขอเอาน้ำไปรดต้นไม้ก่อนนะคะ”
“เชิญเลยโยม”
หลังจากที่คุณจันทร์เดินออกไปด้วยท่าทีเร่งรีบเขารู้ดีว่าคุณจันทร์ไม่พอใจกับการที่เขาทำแบบนี้ แต่ไหนแต่ไรมาคนๆ เดียวที่คุณจันทร์ยิมยอมให้แตะต้องร่างกายของท่านได้มีแต่เขา ถึงตอนนี้ท่านจะรังเกียจเขาแต่เขากลับดีใจและปลื้มปริ่ม
“ประสกท่านนั้น ท่านมาอยู่ที่นี่ได้นานหรือยัง” เขาขยับเข้าไปใกล้พระคุณเจ้าเพื่อตอบคำถามท่าน
“ไม่นานไม่เร็วครับ”
“ประสก อาตมาไม่สามารถพูดเรื่องทางโลกได้ แต่อยากจะเตือนประสกเล็กน้อย อย่าได้ตั้งคำถามอะไรมากมายกับโอกาสที่ได้รับ เมื่อมีโอกาสจงใช้มันให้ดี ประโยคที่ว่าทําบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน ยังใช้ได้อยู่นะโยม”
“ขอบคุณพระคุณเจ้าที่เตือนสติ”