หญิงสาวชนชั้นสูงยอมแต่งงานกับชายที่ไม่ได้รัก เพื่อเลี้ยงดูลูกของคนรักที่ได้จากไป ยี่สิบปีต่อมาพวกเขาได้โอกาสให้กลับมารักกัน

เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me) - บทที่ 4 ข้อตกลง โดย LiLi Lee @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,หญิง-หญิง,ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ไทย,แต่งงาน,ท้อง,ทหาร,พีเรียดไทย,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,หญิง-หญิง,ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แต่งงาน,ท้อง,ทหาร,พีเรียดไทย,ดราม่า

รายละเอียด

เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me) โดย LiLi Lee @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

หญิงสาวชนชั้นสูงยอมแต่งงานกับชายที่ไม่ได้รัก เพื่อเลี้ยงดูลูกของคนรักที่ได้จากไป ยี่สิบปีต่อมาพวกเขาได้โอกาสให้กลับมารักกัน

ผู้แต่ง

LiLi Lee

เรื่องย่อ


 

เรื่องย่อ

หญิงสาวชนชั้นสูงยอมแต่งงานกับชายที่ไม่ได้รัก เพื่อเลี้ยงดูลูกของคนรักที่ได้จากไป ยี่สิบปีต่อมาพวกเขาได้โอกาสให้กลับมารักกัน

 

ตัวละคร

พลตรี หม่อมเจ้าสาทิสยา ไวทย์เวธน์ทิวากร / แม่วาด

สถานะ : คนรักของคุณจันทร์ และเป็นแม่ของจรณ์จิณณ์

 

หม่อมเจ้าจันทรารัตน์ ปัณณ์ปริชญ์ปัถย์ / จันทรารัตน์ กวินกานต์ / หม่อมจันทรารัตน์ ไวทย์เวธน์ทิวากร ณ อยุธยา

สถานะ : คนรักของแม่วาด แม่เลี้ยงของจรณ์จิณณ์ ภรรยาในนามของชรัน

 

พันโทชรัน กวินกานต์

สถานะ : พ่อของจรณ์จิณณ์ สามีของแม่วาด คุณจันทร์ วิมล

 

นักเรียนนายร้อยปัณณ์จรณ์ กวินกานต์

สถานะ : ลูกชายของชรันและแม่วาด

 

นักเรียนนายร้อยปัณณ์จิณณ์ กวินกานต์

สถานะ : ลูกชายของชรันและแม่วาด

 

วิมลตรา ดารารายณ์

สถานะ : ภรรยารองของชรัน

 

ชิรินตรา กวินกานต์

สถานะ : ลูกสาวของชรันกับภรรยารอง

 

รินจายา เปรมวาณิชย์

สถานะ : เพื่อนแม่วาดกับคุณจันทร์

 

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทวินปัณณ์ปริชญ์ปัถย์

สถานะ : เสด็จพ่อของคุณจันทร์

 

หม่อมเจ้าศิวากร ชิญชาญ ปัณณ์ปริชญ์ปัถย์

สถานะ : ท่านแม่ของคุณจันทร์และชายาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทวินปัณณ์ปริชญ์ปัถย์

 

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปันภาพร ไวทย์เวธน์ทิวากร

สถานะ : เสด็จป้าของพลตรีหม่อมเจ้าสาทิสยา

****เพื่อให้อ่านได้อย่างอรรถรสขอให้นักอ่านแวะเข้ามาอ่านครงนี้เล็กน้อยนะคะ****

 

1.คุณจันทร์เป็นหม่อมเจ้าหญิง แต่ในเรื่องจะเรียกว่าคุณจันทร์เพราะว่าคุณจันทร์ได้สละยศเป็นสามัญชนแต่งงานกับชรันและตอนแต่งงานกับหม่อมเจ้าสาทิสยา (หรือแม่วาด) ก็แต่งตอนเป็นสามัญชน ดังนั้นจึงเรียกคุณจันทร์ค่ะ

2.คุณจันทร์อนุญาตให้แม่วาดเรียกคุณจันทร์ด้วยคำปกติได้ เพราะทั้งสองเป็นคนรักกัน

3.ทุกอย่างในเรื่องเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนเพียงเท่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับเป็นจริงใดๆ โปรดอ่านเพื่อความเพลิดเพลินและใช้วิจารณญาณ

 

สวัสดีจ้านักอ่านทุกคนนนน ไรท์ขอฝากนิยายเรื่องเรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจนักอ่านักคนด้วยน้าาาา

เพลลิสต์เพลงมาฝากจ้า ทุกคนสามารถเข้าไปฝันเพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่านได้นะคะ

https://open.spotify.com/playlist/2FsZanXiU18yXisLHv58WG?si=48c563e9601d4084

 

ผังตัวละคร


 


 

 

 

ขอฝากนิยายเรื่องอื่นๆ ของเราด้วยน้าาา

 

 

เรื่องย่อ : เอมมาริน สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของโซเรลถูกลูกหลงโดนยิงจะกลุ่มผู้ประท้วงวิญญาณของเธอล่องลอยเข้าสู่ร่างของเอราเบล ลี ลูกสาวของตระกูลลีที่มีความใกล้ชิดทางสายเลือดกับราชวงศ์ โชคชะตาของเธอคือการชดใช้ไม่ว่าเธอจะอยู่สูงเพียงใด เธอต้องพบกับการสูญเสียพลัดพรากเฉกเช่นเดียวกันกับคนรักของเธอ

 

 

 

เรื่องย่อ : เลขาท่านผู้นำอย่างเอบิซาถูกจับให้มาแต่งงานกับผู้ปกครองเผ่างูในป่าลึกดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าบรรพชนจากการบูชาหญิงสาวเพื่อให้กำเนิดทายาทรุ่นต่อไปของอาวคลาส วาดิม เธียร์

 

 


 

เรื่องย่อ : ไม่ใช่แนวเกิดใหม่…แต่เป็นการทำงานรอนรกว่าง! ไป๋เหลียงคือหญิงสาวที่เข้าไปอยู่ในร่างของฮุุ่ยเจิน ผู้เป็นคุณนายใหญ่ตระกูลเหว่ย

 

 

 

 

 

 

สารบัญ

เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 0 บทนำ,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 1 เมื่อแรกพบเจอ,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 2 เมื่อเราใจตรงกัน,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 3 เจ็บปวด,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 4 ข้อตกลง,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 5 เริ่มต้นที่จุดสิ้นสุด 1/2,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 6 เริ่มต้นที่จุดสิ้นสุด 2/2,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 7 ไปเที่ยวอยุธยา,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 8 กลับวัง,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 9 ไปเที่ยวภูเก็ต,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 10 เรียบง่ายแต่สุขใจ,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 11 พ่อแม่,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 12 ความจริงมองอยู่ที่คนมอง,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 13 หม่อมคนแรก,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 14 วันหมั้น,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-E-book เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)

เนื้อหา

บทที่ 4 ข้อตกลง

บทที่ 4

ข้อตกลง

 

“ท่านหญิงจันทร์เพคะ ท่านหญิงทรงจำหม่อมฉันได้หรือไม่ หม่อมฉันแม่สามีของแม่วาด ท่านหญิงมางานการกุศลเป็นเพื่อนหม่อมเจ้าศิวากรหรือเพคะ?” คุณหญิงนพเดินตรงดิ่งมาหาเธอ

ภายในงานเต็มไปด้วยเหล่าสตรีชนชั้นสูงและภรรยาของเจ้าขุนหมู่นายและภรรยาของนายทหารระดับสูง เนื่องจากงานนี้เป็นการจัดเพื่อการกุศลให้เหล่าสตรีทั้งหลายหาเรื่องออกมาสังสรรค์โดยใช้งานการกุศลมาบังหน้าแต่แท้จริงคือมาจับกลุ่มนินทาคนนั้นคนนี้เสียต่างหาก

ท่านแม่ของเธอได้รับเชิญมางานนี้ด้วยเช่นกัน ด้วยฝีมือเลิศรสไม่เป็นสองรองใครจึงได้ถูกเชิญให้มาเปิดร้านขายของหารายได้เพื่อนำไปบริจาค

 

แน่นอนว่าเธอบินมาจากปารีสเพื่อกลับมาที่กรุงเทพ เพื่องานนี้โดยเฉพาะซึ่งมันก็เหมาะเจาะที่จะใช้เป็นข้ออ้างว่าเรียนจบแล้วเหลือแค่รับปริญญาแต่ทนคิดถึงเสด็จพ่อท่านแม่ไม่ได้เลยรีบกลับกรุงเทพ แต่เหตุผลจริงๆ คือเธอจะทำให้คุณหญิงนพอยากได้เธอเป็นลูกสะใภ้ คนแบบนี้เล่นด้วยง่าย...หึ

เธอตอบด้วยน้ำเสียงปกติแม้ข้างในจะรังเกียจแค่ไหนก็ตาม พร้อมยิ้มอย่างสุภาพกลับไป “ใช่ค่ะ พอดีว่าช่วงนี้เรียนจบแล้วรอรับปริญญาอย่างเดียวเลยบินกลับมาช่วยงานเสด็จพ่อท่านแม่ก่อน”

“อย่างนั้นหรือเพคะท่านหญิง” คุณหญิงนพพยักหน้าแสร้งเหมือนเข้าใจไปยังงั้น เพราะเสียอย่างไรเธอก็เดาออกว่า คุณหญิงนพสนใจเธอแน่นอน

“ลูกจันทร์” หม่อมเจ้าศิวากรมีบรรยากาศรอบข้างสง่างามและใจดี แต่บุคลิกของท่าน ถ้ามองแค่บนดวงหน้าคงจะเดาไปว่าท่านดุเนื่องจากท่านมีดวงตาที่เฉี่ยวและกดต่ำอยู่เสมอ แม้ใบหน้าจะดูยิ้มแย้มกับคนใกล้ชิดสนิทสนม แต่คนภายนอกเมื่อมองมาจะมองเห็นไปอีกแบบคือคิดว่าท่านแม่คงแสยะยิ้มหรือยกยิ้มมุมปากอยู่ ราวกับบ่งบอกว่าอย่ามาเสแสร้งต่อหน้าท่าน

และใช่...ใบหน้าของท่านตอนนี้แสดงออกมาหมดเลยว่ารู้ทันคุณหญิงนพว่าต้องการอะไรจากลูกสาวของท่าน ท่านเดินเข้ามาใกล้ส่งสายตาไปให้คุณหญิงนพพร้อมกับทักทายเบาๆ อย่างนุ่มนวลดั่งสตรีสูงศักดิ์ “สวัสดีค่ะคุณหญิง”

“ทรงสบายดีไหมเพคะท่านหญิงพราว พอดีว่าหม่อมฉันเข้ามาทักท่านหญิงจันทร์ว่าได้ทรงเจอกันอีกแล้ว”

“งั้นหรือ? แล้วก่อนหน้านี้เจอกันที่ไหนล่ะ” เป็นคำถามที่ไม่ต้องคาดเดาเลย เพราะท่านแม่รู้อยู่แล้วว่าเธอเจอกับคุณหญิงนพที่ไหน ท่านแม่คงจะถามไปตามมารยาทเพียงเท่านั้น แต่เมื่อเธอเหลือบมองคุณหญิงนพคงจะกระอักกระอ่วนอยู่ไม่ใช่น้อย เธอเลยอาสาตอบท่านแม่แทนคุณหญิงนพ

“ลูกเจอคุณหญิงที่งานศพของแม่วาดเพคะ คุณหญิงเป็นแม่สามีของวาด” คุณหญิงนพส่งยิ้มเป็นนัยบอกขอบคุณเธอ เหยื่อติดกับแล้ว...

ท่านแม่เห็นเธอตอบแทนคุณหญิงนพ ท่านจึงหันมายกยิ้มใส่เธอและจะหันไปสนทนากับคุณหญิงนพต่อ “อ้อ คุณหญิงมาร่วมงานนี้ด้วยหรือคะ”

“ใช่เพคะ ร้านของพวกหม่อมฉันอยู่ตรงทางเข้าเวทีเพคะ”

ท่านแม่พยักหน้ารับรู้และตอบกลับไปอย่างสุภาพ ไม่ได้ปฏิเสธไมตรีแต่อย่างไร “ถ้ามีเวลาฉันจะแวะไปนะคะ”

“ยินดีเพคะท่านหญิงพราว หม่อมฉันของตัวก่อนนะเพคะ” คุณหญิงนพน่าจะรับรู้บรรยากาศโดยรอบได้ แต่คงไม่ขนาดที่จะเดาได้ว่าท่านแม่ไม่ชอบเธอ กิตติศัพท์ของคุณหญิงนพย่ำแย่เพียงใดใครเล่าจะไม่รู้ เมื่อคุณหญิงนพเดินออกไปจนลับสายตา ท่านแม่ก็หันมาคาดตาดุใส่เธอพร้อมกับเอ่ยปากเตือน

“ลูกอย่าไปอยู่ใกล้คุณหญิงนพมากนะหญิงจันทร์ แม่ได้ยินข่าวไม่ดีมา แม่วาดตายยังไม่เท่าไรก็จะหาสะใภ้เสียแล้ว อย่างนี้คนตายจะตายตาหลับได้เยี่ยงไร”

‘ใช่เพคะท่านแม่...แม่วาดคงจะตายตาไม่หลับจริงๆ ทุกค่ำคืนลูกเองก็หลับตาไม่ลงเช่นกันเพคะ’ เธอได้แต่พูดกับตัวเองในใจมิอาจเอ่ยปากเล่าถึงความทุกข์ระทมของตนเองที่ต้องเผชิญได้ ได้แต่ยิ้มรับคำเตือนของท่านเท่านั้น

“เพคะท่านแม่” แม้เธอจะตอบแบบนั้นไป ในใจของเธอกลับมีความรู้สึกมากมายผสมปนเปกัน ทั้งทรมาน ทั้งระทม ทั้งแค้น ทั้งสะใจ

 

 

เวลาผ่านไปไม่นานเพียงแค่สองสัปดาห์ ในระยะเวลาเพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้คุณหญิงนพคิดเองเออเองได้ว่าเธอไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไรที่จะต้องมาแต่งงานกับสามัญชน

เธอพยายามไปทุกๆ ที่ที่คุณหญิงนพไป ให้ดูเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญมีการสนทนาเล็กน้อย แต่ไม่ได้แสดงออกว่าจะลดตัวลงไปแต่งงานกับชรัน เพียงแค่นี้ก็คงทำให้คุณหญิงคิดอย่างได้ใจไปเสียแล้วว่าเธอไม่ได้ปฏิเสธ ไม่นานหรอก...คุณหญิงนพจะแบกหน้าของเธอมาที่วังนี้

“ฝ่าบาทเพคะ มีคนมาขอพบเพคะ”

“ใครกัน”

“บอกว่าเป็นคุณหญิงนพของท่านนายพลชัยชาญเพคะ”

“ตามสบาย ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรหรือเปล่า”

“หม่อมฉันและท่านนายพลมีเรื่องบางเรื่องจะขอคำชี้แนะจากท่านทั้งสองเพคะ คือว่าหม่อมฉันและครอบครัวมาสู่ขอท่านหญิงจันทร์เพคะ” พระองค์เจ้าทวินทรงนิ่งไป

 

“หม่อมฉันทราบดีเพคะว่าไม่ควรบังอาจ ครอบครัวสามัญชนของเราไม่มีทางอยู่ในสายตาของเสด็จทั้งสอง แต่หม่อมฉันอยากขอร้องให้ท่านทั้งสองทรงกรุณาต่อลูกชายหม่อมฉันเพคะ” ทางฝ่ายพ่อและแม่จันทร์นิ่งไม่พูดอะไรแต่เหมือนพ่อของจันทร์จะได้สติก่อน

“เท่าที่เราทราบลูกจันทร์ของเราเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศแลไม่ได้มีข่าวเสียหายกับใคร”

“โอ๊ะ ทางเราไม่ได้หมายความอย่างนั้นเพคะ คือว่าหม่อมฉันขอเรียนตามตรงครอบครัวหม่อมฉันเจอท่านหญิงในงานการกุศล และหลายๆ ครั้งเกิดเป็นความรู้สึกถูกชะตา ท่านหญิงจันทร์เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติของความเป็นกุลสตรี ใครเห็นก็อยากได้ท่านเป็นลูกสะใภ้เพียงแต่หม่อมฉันขอบังอาจหาญกล้าในเรื่องนี้เพื่อที่จะได้ท่านหญิงจันทร์มาเป็นสะใภ้เพคะ” ช่างเป็นคนไม่มีวาทศิลป์ในการพูดจริงๆ ใครได้ฟังต่างนึกรังเกียจกับความไม่เจียมตัวนี้

เหล่าข้าราชบริพารในวังรวมถึงพระองค์ท่านต่างไม่ถูกใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดแบบไม่เจียมตัวนี้ แต่พระองค์เจ้าทวินนั้นทรงรู้ดีกว่าผู้ใด

“เราจะเก็บไปคิด เด็กทั้งสองไม่เคยรู้จักกันมาก่อนจะให้ข้ามขั้นตอนเลยก็ใช่เรื่อง”

“ทรงเป็นพระกรุณาเพคะ” พอครอบครัวคุณหญิงนพกลับไปท่านแม่ก็เป็นฝ่ายพูดบ้าง

“เสด็จพี่ พระองค์ทรงไปรับปากเขาแบบนั้นทำไมเพคะ หม่อมฉันไม่เห็นด้วยที่จะให้ลูกสาวของเราแต่งงานกับคนตระกูลนี้”

“ทำไม ลูกสาวเราแต่งงานกับตระกูลนี้ไม่ดีหรืออย่างไร อีกอย่างดูแล้วลูกของคุณหญิงนพและนายพลชัยชาญ อนาคตราชการทหารของเขาน่าจะไปได้ไกล ก็ไม่ถือว่าเสียหายตรงไหน พอๆ พี่ไม่อยากคุยเรื่องนี้กับแม่ศิแล้ว” พระองค์เจ้าทรงตัดบทสนทนาและลุกออกไปทันที

ส่วนเธอเมื่อจัดการช่วยงานท่านแม่เรียบร้อยจึงจะขึ้นไปพักผ่อน ในขณะเดียวกันเธอยังไม่ทันได้นั่งพัก เสียงของมหาดเล็กของเสด็จพ่อก็ดังขึ้นมา

“ท่านหญิง พระองค์ท่านให้กระหม่อมมาเรียนว่ามีเรื่องอยากสนทนากับท่านพ่ะย่ะค่ะ เชิญพ่ะย่ะค่ะ”

เธอเดินเข้าไปห้องทรงอักษรของเสด็จพ่อแลนั่งลงบนเครื่องหนังรับรอง ยังไม่ทันนั่งให้หายเย็นเสด็จพ่อก็ทรงตรัสขึ้นมา

“วันนี้พ่อแม่ของเขามาสู่ขอลูก....สมใจลูกแล้วหรือไม่...”

“.....” เธอไม่ตอบอะไร เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรให้แทนความรู้สึกทั้งหมดนี้

 

“แม่วาดเสียไปแล้วทำใจเสียเถอะลูก ถึงแม้ว่าพ่อกับแม่จะไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานที่ต้องยอมลดตัวไปแต่งกับสามัญชน แต่พ่อจะทำเป็นไม่เห็นก็แล้วกัน” ท่านพูดด้วยน้ำเสียงขึงขังไม่ได้ใจดีเหมือนเวลาปกติ ในน้ำเสียงของท่านมีแต่ความเหนื่อยอ่อนแม้จะซ่อนมันไว้ลึกแค่ไหนเธอก็สามารถรับรู้ได้อยู่ดี

“....” เธอไม่มีอะไรจะตอบเสด็จพ่อ ท่านรู้ว่าเธอมีจิตปฏิพัทธ์กับแม่วาด ท่านรับไม่ได้จึงส่งเธอไปเรียนต่างประเทศแลเป็นคนจัดการให้วาดแต่งงานกับชรัน ทำไมเธอจะไม่รู้ ท่านพ่อคือคนที่อยู่เบื้องหลังทุกอย่าง

ครั้งนี้ยอมให้แต่งเพราะรู้ว่าอย่างไรเธอก็ไม่ชอบผู้ชายไม่มีวันที่จะได้แต่งงานแน่นอน ท่านกลัวเธอทำท่านเสื่อมเสีย คนเดียวในตอนนี้ที่ฉันยอมแต่งก็คือชรัน ท่านพ่อถึงไม่ห้ามอย่างไรล่ะ ท่านรู้ว่าอย่างไรเธอก็ต้องยอมแต่งเพื่อไปดูแลเด็กสองคนนั้นแทนวาด ถ้ามีทางเลือกควรตัดไฟตั้งแต่ต้นลมอย่าปล่อยให้มันโหมกระพือจนเผาไหม้ทุกอย่าง

 

 

หลายเดือนที่ผ่านมามันเร็วมากสำหรับเธอ มันเหมือนกำลังเดินหน้าสู่นรกที่ไม่มีวันจบสิ้น ในวันที่ต้องเข้าพิธีแต่งงานกับชรันใจของเธอถูกแผดเผาไปด้วยความแค้น ริมฝีปากของเธอสั่นไม่หยุดจากการสะกดกลั้นอารมณ์ สันกรามที่เกร็งตึงเพื่อระงับความรู้สึกรังเกียจนี้ให้มิดชิดและแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไร

เธอยิ้มแย้มตอบรับแขกที่มาร่วมงานไปทั่วงาน พิธีที่ถูกจัดขึ้นก็เหมือนขอไปที เพราะเธอไม่ได้อยากมีส่วนร่วมเลือกสรรอะไรกับงานแต่งนี้เท่าไร เธอโยนให้ท่านแม่และคุณหญิงนพเสียหมด

 

ถ้าจะให้ฉันพูดตามตรงงานก็ไม่ได้ออกมาแย่แต่ก็ไม่ได้มีเกียรติเหมาะสมกับเธอแบบที่ควรจะได้รับ เชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ ที่สนิทกับเราส่วนใหญ่ไม่ได้มาร่วมงานเพราะอคติที่เธอลดตัวลงไปแต่งงานกับสามัญชนที่มีประวัติตระกูลไม่น่าพิสมัยแม้จะเคยมีต้นตระกูลเป็นเจ้าเหมือนกันแต่ปลายหางกับไม่ได้เชื้อความเป็นเจ้ามาเสียนิด หลายท่านจึงไม่อยากนับร่วมวงศ์ตระกูลด้วย งานแต่งนี้มันก็เลยดูเงียบเหงาและไร้เกียรติเช่นนี้แล

ตลอดทั้งงานเธอไม่มองหน้าชรันเสียนิดเดียวคนนอกอาจจะมองว่าเธอเขินอายว่าที่สามีแต่เธออยากจะตะโกนกลับไปเสียว่า ‘เธอรังเกียจชรันเสียต่างหาก’

เมื่อถึงฤกษ์เข้าหอพวกเราได้แต่เดินตามผู้ใหญ่เข้ามาทำนู่นนี่นั่น เธอไม่สนใจหรอกว่ามันมีอะไรเพียงแค่อยากให้มันเสร็จๆ และจบลงไปเสียที และจนมาถึงขั้นตอนสุดท้ายคือการอวยพรคู่แต่งงาน

 

และเมื่อทุกคนออกไปจากห้องหมดแล้วเราสองคนลุกขึ้นมานั่งบนเตียงโดยไม่มีการพูดคุยกันเป็นเวลานานพอสมควร จนกระทั่ง... “กระหม่อมถามท่านหญิงได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ ทำไมท่านหญิงถึงตอบรับแต่งงานกับกระหม่อม” เข้าประเด็นเลยสินะ

“ฉันสละฐานันดรแล้ว ถ้าจะให้กลับไปเรียกแบบเก่าคงจะไม่เหมาะกระมัง งั้นขอถามกลับบ้างได้หรือไม่ ทำไมร้อยโทชรันถึงแต่งงานกับฉันหรือ” ตอนนี้เราสองคนอยู่ในงานแต่งงานของตัวเองที่เป็นเจ้าภาพและกำลังนั่งสนทนาในห้องส่งตัวเข้าหอ

“กระหม่อม…ผม…” ชรันอึกอักที่จะตอบเพราะไม่รู้ว่าถ้าพูดความจริงออกไปท่านหญิงจะรับได้ไหม ถ้าโกหกจะเป็นการหลอกลวงท่านหญิงหรือเปล่า ระหว่างคิดไปหลายตลบท่านหญิงก็เอ่ยขึ้นมา

 

“ฉันแต่งเพราะเสด็จพ่อเห็นสมควร และเสด็จพ่อคงจะคิดมาดีแล้วว่าชรันเป็นคนดีที่จะยกฉันให้ชรัน” ชรันหลบสายตาฉันราวกับปกปิดบางอย่างหรือเพราะอายจากสิ่งที่เธอพูด

ชรันนิ่งไปสักพักก่อนจะหันมาพูดอย่างจริงจัง “ผมขอสารภาพกับท่าน...คุณจันทร์ตามตรง ผมมีผู้หญิงที่เลี้ยงดูไว้ข้างนอกนั้น...คุณจันทร์ยังเห็นผมเป็นคนดีอยู่หรือไม่” ชรันสบสายตาเธอด้วยความต้องการคำตอบ เธอไม่รู้ว่าความจริงที่ชรันอยากฟังกับที่ฉันอยากบอกใช่สิ่งคำเดียวกันหรือเปล่า แต่เธอจะบอก

“ไม่” เธอหน้านิ่งสำรวมอยู่แล้วก็ยังเพิ่มความจริงจังด้วยการไม่ยิ้ม ในเมื่อต้องการคำตอบเธอก็จะให้คำตอบ ความเงียบเกิดแก่เราทั้งสองแต่เธอจะพูดต่อ “แต่ว่านะชรัน...เธอจะหยามเกียรติของฉันหรือเปล่า”

 

ชรันมองหน้าเธอนิ่งแต่ไม่ตอบ แต่แล้วจู่ๆ ก็มีท่าทีขึงขังและพูดขึ้นมา “ความจริงแล้วที่คุณแม่ไปสู่ขอคุณจันทร์เพราะต้องการคนเลี้ยงลูกชายของผม คุณแม่เห็นว่าท่าน...คุณจันทร์เป็นเพื่อนกับแม่วาดเลยคิดว่าคุณจันทร์คงจะเอ็นดูเด็กๆ ไม่มากก็น้อย ความให้เกียรตินี่ผมจะพอมอบให้กับคุณจันทร์ได้ ผมคิดว่าระหว่างเราคงเป็นได้แค่เพื่อนร่วมชีวิต ผมไม่อยากให้เราผิดใจกันเพราะเรื่องๆ รักๆ ใคร่ๆ ความสัมพันธ์ของเรามีค่ามากกว่าจะให้เรื่องราวของความรักมาทำลายมัน คุณจันทร์คิดเหมือนกันไหม” ชรันกำลังบอกเป็นนัยแก่เธอว่าเราจะเป็นแค่สามีภรรยากันในนาม ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เธอต้องการ ไม่มีความรัก เป็นแค่คนรู้จักในวงจรชีวิตที่อยู่ใกล้กันเพียงแค่นั้น

ความสัมพันธ์ที่ดีของเราไม่เคยมีตั้งแต่เริ่มและมันก็ถูกทำลายตั้งแต่ยังไม่เริ่มเช่นกัน แม้แต่ความเป็นเพื่อนเธอก็ให้ชรันไม่ได้เช่นกัน ชายผู้ทำลายแม่วาดของเธอ เธออยากจะยิ้มเยาะใส่เสียจริง

 

ก็ดี...ถ้าการบอกเรื่องราวเหล่านี้แล้วคิดว่านี่คือการให้เกียรติคงเรียกว่าการให้เกียรติจริงๆ นั่นแหละสำหรับชรัน แต่ว่านะ...ถ้าให้เกียรติจริงๆ มันต้องไม่มีผู้หญิงที่ชื่อวิมลตั้งแต่แต่งงานกับแม่วาดแล้ว

เธอสงสารผู้หญิงที่ชื่อวิมลเพียงเสี้ยวความคิด ชรันไม่ได้เห็นเธอเป็นคนรักด้วยซ้ำหรือแม้แต่ความกล้าที่จะพูดให้เต็มปากว่าวิมลเป็นอะไรสำหรับเขายังไม่มีความกล้าแม้แต่นิด แต่ก็เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งเท่านั้นเพราะยังไงเสียคนพวกนี้ก็ทำให้แม่วาดต้องมาตายโดยไร้การเห็นใจเป็นเหมือนเครื่องผลิตทายาทเท่านั้น

“ชรัน ฉันเกิดมาสูงศักดิ์แต่ก็ไม่ได้มีสิ่งใดได้ดั่งใจไปทุกครั้ง เรื่องความรักสำหรับฉันเป็นสิ่งที่ไกลตัวสำหรับฉัน (ตลอดกาล) สิ่งที่ฉันทวงถามชรันว่าจะสามารถให้เกียรติเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะให้ผู้หญิงคนหนึ่งได้หรือไม่” เพราะนายไม่เคยให้เกียรติแม่วาด เธอได้แต่พูดในใจเพียงเท่านั้น “เพราะระหว่างเราไม่ได้แต่งงานด้วยความสัมพันธ์ที่ดี เราแต่งงานกันด้วยความสัมพันธ์ของคนแปลกหน้า” ถ้าตีความดีๆ ก็จะรู้ว่ามันแปลตรงตัวมากๆ น่าเสียดายที่ชรันไม่มีทางได้รู้

“ความรักไม่จำเป็นสำหรับชีวิตคู่ของเราหรอก แต่ฉันต้องการแค่การให้เกียรติและความสงบสุขเท่านั้น ฉันไม่ต้องการให้เรื่องราวภายนอกต้องรั่วไหลเข้ามาถึงเด็กสองคนนั้น และไม่ต้องการให้ใครดูถูกการตัดสินใจของเสด็จพ่อว่าท่านมีสายตาที่ไม่แหลมคมเป็นขี้ปากของวงสังคมได้” เธอกำลังสื่อเป็นนัยๆ ว่าอย่าได้กระทำการเสื่อมเสียถึงเธอและเสด็จพ่อท่านแม่ของเธอ

“...อีกอย่าง ในเมื่อพูดคุยกันชัดเจนแล้วฉันจะขอบอกอะไรให้ชัดเจนอีกข้อ ฉันขอให้ชรันทำหน้าที่ของชรันให้ดีไม่จำเป็นต้องทำต่อฉันแต่ต่อเด็กสองคนนั้น...ต่อจรณ์จิณณ์ ฉันสามารถดูแลตัวเองได้ บ้านหลังนี้ฉันจะช่วยออกค่าใช้จ่ายครึ่งหนึ่งถือเสียว่าฉันมาอาศัยอยู่เสียแล้วกัน แล้วก็ไม่ต้องให้เงินเดือนฉัน ฉันมีทรัพย์มากพอที่จะเลี้ยงดูตัวเองได้ สินสอดที่ท่านยกไปสู่ขอกับเสด็จพ่อท่านแม่พวกท่านตรัสว่ายกให้เรา ฉันจะเก็บไว้ให้จรณ์จิณณ์ ส่วนค่าใช้จ่ายที่คุณจะต้องดูแล ก็มีเพียงจรณ์จิณณ์เท่านั้น ส่วนที่เหลือก็ตามที่แล้วมาเถอะ”

ชรันได้แต่มองหน้าเธอด้วยความฉงนปนแปลกใจก่อนจะรู้สึกถูกหยาม ราวกับเหมือนถูกเธอเหยียดหยามว่าเขาไม่สามารถดูแลเธอได้

“แม้พวกเราเป็นสามีภรรยากันในนาม แต่เรื่องอย่างค่าเลี้ยงดูผมมีพอที่จะให้คุณหญิงเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะสามารถดูแลผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นภรรยาได้ ถึงคุณจันทร์จะไม่อยากได้แต่ผมก็จะให้ ถึงคุณจันทร์จะไม่อยากใช้ก็ถือเสียว่าใช้เพื่อจรณ์จิณณ์ก็ได้ หรือจะเอาไปทำอะไรก็แล้วแต่คุณจันทร์จะเห็นสมควรเถอะ”

ดูท่าถ้ามัวแต่เถียงกันเรื่องนี้คงจะไม่ได้นอนกัน “แล้วอีกอย่างฉันคิดว่าเราควรแยกที่นอนกัน” ชรันได้แต่ทำหน้าฉงนไม่ชอบใจ เธอรู้ว่าสามีภรรยาเขาต้องทำอะไรกันแต่เธอไม่อยากทำกับชรัน แต่เหมือนว่าชรันไม่ได้มีความคิดเห็นแบบนั้น

“ถ้าชรันกลัวคนอื่นสงสัย เราสร้างห้องเป็นซ้ายขวาในห้องเดียวก็น่าจะดีใช้เหตุที่ว่าฉันชินกับธรรมเนียมของวังที่สามีภรรยาจะมีห้องของตนเองก็ได้”

ชรันมองหน้าคุณจันทร์ด้วยความรู้สึกหลากหลายไม่รู้จะเรียกความรู้สึกทั้งหมดอย่างไรดี มีทั้งแปลกใจ ฉงน ไม่ชอบใจ โกรธ และก็สนใจ

บางครั้งท่านไม่ได้ดูเขินอายเหมือนหญิงชาววังปกติ พูดเรื่องบางอย่างออกมาได้หน้าตาเฉยดูเป็นคนเหมือนไม่ยอมคนด้วย ทำให้เขาเกิดความน่าสนใจขึ้นมาว่าภายในนั้นจะมีอะไรให้น่าค้นหาอีกมั้ย ดูภายนอกท่านดูสูงศักดิ์ให้ความรู้สึกไม่กล้าแตะต้องเหมือนกับสิ่งที่ท่านพูดมาเหมือนไม่ต้องการให้เขาทำกิจระหว่างสามีภรรยา เขาเดาไม่ออกว่าท่านหญิงเพียงแค่เหนียมอายเหมือนหญิงชาววังปกติหรือเพราะรังเกียจเขาไม่อยากให้แตะตัว เพียงคิดว่าเป็นอย่างหลังทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา

คุณจันทร์เองเหมือนจะสูงศักดิ์แต่ก็ไม่ใช่หญิงสาวในแบบที่เขาชอบ ทั้งจืดชืดมืดสนิท ดูขาวซีดราวกับกระดาษหน้าตาดูดาษดื่นมีเพียงกลิ่นอายรอบตัวเท่านั้นแหละที่ทำให้รู้สึกว่าสูงศักดิ์ เล่นทำให้เขาไม่สบอารมณ์

แล้วชรันก็พูดออกไปด้วยความหงุดหงิด “คุณจันทร์จะทำเช่นไรก็แล้วแต่คุณจันทร์เสียแล้วกัน ผมเองก็มีเรื่องจะเรียนให้ทราบเช่นกันว่าผมจะไปๆ มาๆ เรื่องที่บ้านนี้กับบ้านนั้นผมจะมาอยู่ที่นี่เพียงแค่จันทร์-พฤหัสเท่านั้น คุณจันทร์จะได้ตระเตรียมอะไรได้ถูก อีกอย่างพูดก็พูดเรื่องของผมจบแล้ว คุณจันทร์มีเรื่องอะไรหรือไม่ ผมจะไปอาบน้ำนอน” คุณจันทร์ได้แต่มองชรันด้วยความสงสัยอะไรทำให้ชรันผีเข้าผีออกนะ?

“มี...ฉันต้องการความแน่นอน ให้ทนายมาร่างสัญญาสลักไว้หลังทะเบียนสมรสของเรา”

 

ชรันมองหน้าฉันนิ่งไปชั่วครู่ก่อนตอบรับ “ได้”

ถ้ามีคนอยากรู้ว่าทำไมเราไม่จดทะเบียนตั้งแต่วันงานแต่งก็พูดตามตรงว่าดวงของฉันมันอาฆาตดวงของชรันถ้าเลือกวันไม่ดี มีสิทธิ์ไม่สงบกันทั้งคู่แน่ ผู้ใหญ่ที่เห็นเช่นนั้นจึงเลือกว่าวันงานแต่งให้เป็นวันเดียวกับวันจดทะเบียนแต่ฉันเห็นทางรอดจึงเสนอว่าให้จดทะเบียนอีกวัน พระท่านก็เห็นชอบว่าแบบนี้คงจะดีกว่าผู้ใหญ่จึงไม่มีใครขัดกัน

และแล้วข้อความที่สลักอยู่ในทะเบียนสมรสด้วยกันแปดข้อ สามข้อเป็นของชรันและห้าข้อเป็นของฉัน สามข้อของชรันคือหนึ่งเราจะไม่ก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของกันและกัน (ผม) ไม่หึงหวง (ผม) ไม่แสดงความเป็นเจ้าของ (ผม) สองดูแลลูกชายฝาแฝดที่เกิดจากภรรยาเก่าของผม สามจะไปนอนบ้านนู้นสัปดาห์ละสามวัน

ส่วนของเธอคือ หนึ่งตลอดการแต่งงานจะไม่มีการล่วงเกินมากกว่าการเดินจับมือ สองห้องนอนให้ทำเป็นห้องเดียวกันแบ่งเป็นสามโซนขวาซ้ายคนละฝั่งส่วนตรงกลางเอาเป็นห้องนั่งเล่นเวลาเราจะเข้าจะออกก็ใช้ประตูห้องนี้จะได้ไม่มีใครสงสัย สามทรัพย์สินก่อนแต่งงานและหลังแต่งงาน จะไม่มีการยุ่งเกี่ยวซึ่งกันและกันนอกจากค่าใช้จ่ายของเด็กๆ ที่มีการทำหนังสือเบิกค่าใช้จ่ายและเอกสารต่างๆ ให้ทนายเพื่อความโปร่งใส สี่ต้องไม่มีใครมาสร้างความวุ่นวาย ห้าเธอมีสิทธิ์ในบ้านครึ่งหนึ่งเผื่อมีสิ่งที่อยากจะต่อเติม”

แน่นอนว่าชรันไม่พอใจกับสองสามข้อบนเหมือนเขาคิดว่าฉันไม่อยากร่วมหอกับเขาเพราะรังเกียจเขา

ใช่...เขาคิดถูก เธอรังเกียจเขาจริงๆ ไม่สามารถทนได้แม้แต่หายใจร่วมกัน

 

เขาไม่พอใจมากแต่ก็ยอมเซ็นรับทราบข้อตกลงแต่โดยดี แต่ฉันสบายใจมากที่อย่างน้อยมันก็เป็นสิ่งที่ฉันจะสามารถปกป้องตัวเองได้ ชรันเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัวและเจ้าชู้มาก นอกจากแม่วิมลก็มีคนอื่นอีกมากเพียงแต่ไม่ได้มีเป็นตัวเป็นตน

เธอเองก็ไม่ได้อยากยุ่งกับพวกชายแบบนี้เกรงจะติดโรค แต่วันนี้ในเวลานี้เธอมั่นใจอยู่อย่างหนึ่งคือชรันจะไม่แตะผู้หญิงที่ไม่ยินยอมเด็ดขาด อย่างน้อยให้เหลือความดีนี้ให้เธอได้ชื่นชมเสียหน่อยเถอะ อย่าให้มีเรื่องเกลียดชรันไปทั้งหมดเลย เธอไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่กับความแค้นเพราะเธออยากมีชีวิตอยู่เพื่อจรณ์จิณณ์