หญิงสาวชนชั้นสูงยอมแต่งงานกับชายที่ไม่ได้รัก เพื่อเลี้ยงดูลูกของคนรักที่ได้จากไป ยี่สิบปีต่อมาพวกเขาได้โอกาสให้กลับมารักกัน

เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me) - บทที่ 2 เมื่อเราใจตรงกัน โดย LiLi Lee @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,หญิง-หญิง,ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ไทย,แต่งงาน,ท้อง,ทหาร,พีเรียดไทย,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,หญิง-หญิง,ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แต่งงาน,ท้อง,ทหาร,พีเรียดไทย,ดราม่า

รายละเอียด

เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me) โดย LiLi Lee @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

หญิงสาวชนชั้นสูงยอมแต่งงานกับชายที่ไม่ได้รัก เพื่อเลี้ยงดูลูกของคนรักที่ได้จากไป ยี่สิบปีต่อมาพวกเขาได้โอกาสให้กลับมารักกัน

ผู้แต่ง

LiLi Lee

เรื่องย่อ


 

เรื่องย่อ

หญิงสาวชนชั้นสูงยอมแต่งงานกับชายที่ไม่ได้รัก เพื่อเลี้ยงดูลูกของคนรักที่ได้จากไป ยี่สิบปีต่อมาพวกเขาได้โอกาสให้กลับมารักกัน

 

ตัวละคร

พลตรี หม่อมเจ้าสาทิสยา ไวทย์เวธน์ทิวากร / แม่วาด

สถานะ : คนรักของคุณจันทร์ และเป็นแม่ของจรณ์จิณณ์

 

หม่อมเจ้าจันทรารัตน์ ปัณณ์ปริชญ์ปัถย์ / จันทรารัตน์ กวินกานต์ / หม่อมจันทรารัตน์ ไวทย์เวธน์ทิวากร ณ อยุธยา

สถานะ : คนรักของแม่วาด แม่เลี้ยงของจรณ์จิณณ์ ภรรยาในนามของชรัน

 

พันโทชรัน กวินกานต์

สถานะ : พ่อของจรณ์จิณณ์ สามีของแม่วาด คุณจันทร์ วิมล

 

นักเรียนนายร้อยปัณณ์จรณ์ กวินกานต์

สถานะ : ลูกชายของชรันและแม่วาด

 

นักเรียนนายร้อยปัณณ์จิณณ์ กวินกานต์

สถานะ : ลูกชายของชรันและแม่วาด

 

วิมลตรา ดารารายณ์

สถานะ : ภรรยารองของชรัน

 

ชิรินตรา กวินกานต์

สถานะ : ลูกสาวของชรันกับภรรยารอง

 

รินจายา เปรมวาณิชย์

สถานะ : เพื่อนแม่วาดกับคุณจันทร์

 

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทวินปัณณ์ปริชญ์ปัถย์

สถานะ : เสด็จพ่อของคุณจันทร์

 

หม่อมเจ้าศิวากร ชิญชาญ ปัณณ์ปริชญ์ปัถย์

สถานะ : ท่านแม่ของคุณจันทร์และชายาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทวินปัณณ์ปริชญ์ปัถย์

 

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปันภาพร ไวทย์เวธน์ทิวากร

สถานะ : เสด็จป้าของพลตรีหม่อมเจ้าสาทิสยา

****เพื่อให้อ่านได้อย่างอรรถรสขอให้นักอ่านแวะเข้ามาอ่านครงนี้เล็กน้อยนะคะ****

 

1.คุณจันทร์เป็นหม่อมเจ้าหญิง แต่ในเรื่องจะเรียกว่าคุณจันทร์เพราะว่าคุณจันทร์ได้สละยศเป็นสามัญชนแต่งงานกับชรันและตอนแต่งงานกับหม่อมเจ้าสาทิสยา (หรือแม่วาด) ก็แต่งตอนเป็นสามัญชน ดังนั้นจึงเรียกคุณจันทร์ค่ะ

2.คุณจันทร์อนุญาตให้แม่วาดเรียกคุณจันทร์ด้วยคำปกติได้ เพราะทั้งสองเป็นคนรักกัน

3.ทุกอย่างในเรื่องเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนเพียงเท่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับเป็นจริงใดๆ โปรดอ่านเพื่อความเพลิดเพลินและใช้วิจารณญาณ

 

สวัสดีจ้านักอ่านทุกคนนนน ไรท์ขอฝากนิยายเรื่องเรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจนักอ่านักคนด้วยน้าาาา

เพลลิสต์เพลงมาฝากจ้า ทุกคนสามารถเข้าไปฝันเพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่านได้นะคะ

https://open.spotify.com/playlist/2FsZanXiU18yXisLHv58WG?si=48c563e9601d4084

 

ผังตัวละคร


 


 

 

 

ขอฝากนิยายเรื่องอื่นๆ ของเราด้วยน้าาา

 

 

เรื่องย่อ : เอมมาริน สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของโซเรลถูกลูกหลงโดนยิงจะกลุ่มผู้ประท้วงวิญญาณของเธอล่องลอยเข้าสู่ร่างของเอราเบล ลี ลูกสาวของตระกูลลีที่มีความใกล้ชิดทางสายเลือดกับราชวงศ์ โชคชะตาของเธอคือการชดใช้ไม่ว่าเธอจะอยู่สูงเพียงใด เธอต้องพบกับการสูญเสียพลัดพรากเฉกเช่นเดียวกันกับคนรักของเธอ

 

 

 

เรื่องย่อ : เลขาท่านผู้นำอย่างเอบิซาถูกจับให้มาแต่งงานกับผู้ปกครองเผ่างูในป่าลึกดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าบรรพชนจากการบูชาหญิงสาวเพื่อให้กำเนิดทายาทรุ่นต่อไปของอาวคลาส วาดิม เธียร์

 

 


 

เรื่องย่อ : ไม่ใช่แนวเกิดใหม่…แต่เป็นการทำงานรอนรกว่าง! ไป๋เหลียงคือหญิงสาวที่เข้าไปอยู่ในร่างของฮุุ่ยเจิน ผู้เป็นคุณนายใหญ่ตระกูลเหว่ย

 

 

 

 

 

 

สารบัญ

เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 0 บทนำ,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 1 เมื่อแรกพบเจอ,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 2 เมื่อเราใจตรงกัน,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 3 เจ็บปวด,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 4 ข้อตกลง,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 5 เริ่มต้นที่จุดสิ้นสุด 1/2,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 6 เริ่มต้นที่จุดสิ้นสุด 2/2,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 7 ไปเที่ยวอยุธยา,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 8 กลับวัง,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 9 ไปเที่ยวภูเก็ต,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 10 เรียบง่ายแต่สุขใจ,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 11 พ่อแม่,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 12 ความจริงมองอยู่ที่คนมอง,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 13 หม่อมคนแรก,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 14 วันหมั้น,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-E-book เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)

เนื้อหา

บทที่ 2 เมื่อเราใจตรงกัน

บทที่ 3

เจ็บปวด

 

ทันทีที่ท่านหญิงควบคุมความเสียใจได้แล้ว รินจายาก็รีบพาท่านหญิงออกมาจากห้องและเดินตรงออกมาสูดอากาศข้างนอกบริเวณสวนของโรงพยาบาล ทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกันโดยไม่มีใครพูดอะไรปล่อยให้สายลมอันแผ่วเบาปลอบใจเรา

เธอไม่รู้จะเริ่มบทสนาทนาอย่างไรดี เพราะตอนนี้เดาพระทัยของท่านหญิงไม่ออก ท่านหญิงเองก็ทรงเอาแต่นิ่งเงียบหลังจากออกมาจากห้องนั่น เธอเองก็ทำตัวไม่ถูก

จนสุดท้ายท่านหญิงเป็นฝ่ายเริ่มพูด “เรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง” ท่านหญิงทรงตรัสด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบและไม่มีคลื่นอารมณ์ของความเสียใจ สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่ชาชินและเย็นจับขั้วหัวใจ ทำเอาเธอที่ได้ฟังรู้สึกไม่ดีเสียเลย

“ท่านหญิงทรงจำตอนที่ร้อยเอกชรันกับแม่วาดแต่งงานกันได้หรือไม่เพคะ...” ระหว่างพูดเธอสังเกตท่านหญิงตลอดว่าจะมีท่าทีอะไรหรือไม่ เพราะกลัวว่าถ้าเล่าอะไรไปจะทำให้ท่านหญิงยิ่งเศร้ามากกว่าเดิม กว่าท่านจะกลับมาเป็นปกติได้มันยากเสียยาก “ตอนนั้นยังไม่มีใครรับรู้ว่าร้อยเอกชรันเคยคบถึงขั้นอยู่กินกับผู้หญิงคนหนึ่ง ครอบครัวฝ่ายชายดูเหมือนไม่ได้สนใจอะไรกับเรื่องนี้ พอแม่วาดตั้งครรภ์ขึ้นมาทุกคนต่างก็ดีใจที่จะมีหลาน แต่ว่ามีเพียงคนหนึ่งที่ไม่ดีใจ นั่นก็คือผู้หญิงที่ชื่อวิมล เท่าที่หม่อมฉันฟังมาจากคนงานในบ้านของแม่วาด ตอนยังไม่ท้องแก่มากผู้หญิงที่ชื่อวิมลได้มาพบแม่วาด แสดงตัวว่าชรันไม่ได้มีแม่วาดคนเดียวและบอกว่าเขามีเธอมานานแล้ว” เธอเงียบไปเพื่อรอดูท่าทีคุณจันทร์ แต่เห็นว่ายังนิ่งอยู่ก็เล่าต่อ

“ตอนนั้นแม่วาดก็ไม่ได้มีท่าทีตกใจแต่อย่างใด ออกจะเรียบเฉยเสียด้วยซ้ำ เพราะเราต่างก็รู้ดีว่าแม่วาดรักใคร...” เธอหันมาเน้นประโยคนี้กับท่านหญิง “และงานแต่งงานครั้งนี้ก็ไม่ได้มีความรักเข้ามาเกี่ยวข้องนอกจากความเหมาะสมโดยวิจารณญาณของผู้ใหญ่” เธอหันหน้ากลับไปราวกับพูดกับลมพูดกับอากาศ “พอเรื่องที่ผู้หญิงที่ชื่อวิมลมาพบแม่วาด เรื่องนี้รู้เข้าถึงหูของครอบครัวทั้งสองฝ่ายช่วงแรกก็มีทะเลาะกัน แต่สุดท้ายก็ดีกันเหมือนเดิม...แน่สิ พวกเขาไม่ใช่คนที่จะต้องมาเดือดร้อนกับครอบครัวคนอื่นเสียหน่อย”

“แล้วเด็กล่ะ” เป็นคำถามแรกหลังจากที่เงียบมานานของท่านหญิง

“เด็กๆ หรือเพคะ คลอดออกมาเป็นแฝดชายหน้าตาเหมือนแม่วาดยิ่งนักเพคะ แต่เด็กพวกนี้น่าสงสาร ตอนพวกแกเกิดมาไม่มีใครมาดูแลเลยเพคะ ไหนบอกว่าดีใจที่ได้หลานทียังงี้ทำเป็นหายหัว ส่วนพ่อของเด็กตอนนี้คงไม่สนใจอะไรแล้วกระมัง เหมือนตัวเองทำหน้าที่ของตนเองเรียบร้อยแล้ว แม่วาดจะเป็นจะตายยังไงก็ช่างมัน ส่วนลูกก็ให้คนอื่นมาดูแล” เธอก่นด่าด้วยความไม่ชอบใจครอบครัวของชรันมันแย่เสียยิ่งกว่าแย่ แม่วาดเองก็ไม่ใช่ลูกตาสีตาสาที่จะมาปล่อยปละละเลยแบบนี้ได้ แต่พวกเขายังกล้าทำไม่รู้ว่าไปกินหมีหัวใจเสือที่ไหน ไม่เห็นหัวกันแม้แต่น้อย

“พาฉันไปดูหน่อยสิริน” ระหว่างทางท่านหญิงจันทร์จมอยู่ในภวังค์ความคิดของตน ความเจ็บปวดถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อนใส่ท่านหญิงจันทร์ แต่ไม่สามารถจะอ่อนแอได้ ความเงียบเป็นสิ่งเดียวที่จะสามารถรักษาความรู้สึกเจ็บปวดตอนนี้ได้ แค่รู้ว่าแม่วาดแต่งงานก็นับว่าเจ็บปวดมากแล้ว มีลูกกับคนอื่นก็ยิ่งเจ็บปวดเป็นทวีคูณ แต่ไม่มีความเจ็บปวดไหนเท่าความเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียแม่วาดไป

“ตรงนี้เพคะ เด็กทั้งสองหน้าตาราวกับถอดแม่วาดมาเลยเพคะท่านหญิง”

เธอมองเข้าไปในห้องกระจก นั่นคือห้องพักเด็กอ่อน เธอไล่สายตาไปรวมอยู่ตำแหน่งที่รินชี้ให้เธอดู เด็กทั้งสองหน้าตาเหมือนกันจริงๆ พวกเขาดูนิ่งมากน่าจะคงหลับอยู่ ใบหน้าของพวกเขาเหมือนแม่วาดจริงๆ มือน้อยๆ นั่นคงจะบอบบางมาก ‘จรณ์...จิณณ์?’ ไม่รู้ว่ามันบังเอิญหรือเธอสายตาดี สายตาของเธอถึงได้ไปจดจ่อที่ป้ายชื่อของเด็กทั้งสอง

“แม่วาดถ้าพวกเรามีลูก แม่อยากตั้งชื่อพวกเขาว่าอะไร”

“คุณจันทร์พูดเล่นหรือเพคะ เดี๋ยวคนอื่นได้ยินนะคุณจันทร์”

“ไม่เห็นจะมีตรงไหนแปลกเสียหน่อยแม่ ในอนาคตฉันอาจรับเด็กมาเป็นบุตรบุญธรรมมีฉันเป็นแม่ แลแม่วาดก็เป็นแม่ทูนหัวของลูกอย่างไรเล่า “หรือ...เผื่อวันข้างหน้าวงการแพทย์มีการพัฒนาอาจจะเป็นไปได้ก็ได้ เร็วเข้าลองบอกชื่อมา” ท่านหญิงทรงคิดแกล้งแม่วาดจึงได้เอ่ยประโยคสุดท้ายด้วยความหยอกเย้าแต่มันกลับกลายเป็นเสน่ห์อันเหลือร้ายที่ทำให้แม่วาดติดอยู่ในภวังค์ ใบหูที่แดงขึ้นมาต่างบอกได้ว่าเจ้าตัวรู้สึกเช่นไร ก่อนที่เจ้าตัวจะตีนิ่งขรึมและตอบคำถามท่านหญิงจันทร์ออกไป

“อืมมม...จรณ์ไม่ก็จิณณ์”

“ทำไมเลือกชื่อนี้ล่ะแม่”

“เพราะจรณ์และจิณณ์ต่างก็แปลว่าการประพฤติดี ไม่ว่าจะเขียนแบบจรณ์หรือจิณณ์สุดท้ายก็แปลออกมาในความหมายเดียวกันเหมือนกับเราสองคน...ร่างกายของเรานั้นไม่แตกต่างแต่ใจของเรานั้นแตกต่าง...ฉันอยากให้เขาพึงระลึกไว้อยู่เสมอว่าไม่มีอะไรที่เท่าเทียมกันแม้จะมีของบางสิ่งที่เหมือนกันก็ตาม”

 

 

เธอมาส่งท่านหญิงที่บ้าน...บ้านแห่งความทรงจำของแม่วาดและท่านหญิง ณ เวลานี้ท่านหญิงยังไม่อยากกลับวัง ไม่อยากให้ใครมาเห็นสภาพที่ดูไม่ได้ของท่าน

ตอนแรกท่านหญิงจะทรงรถกลับเอง แต่เธอเป็นห่วงแลเห็นว่าคงจะไม่กลับถึงบ้านเป็นแน่ ใจของท่านหญิงดูล่องลอย กลัวเหลือเกินว่าจะเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง เธอจึงอาสาขับรถไปส่งท่านหญิง

เมื่อถึงบ้าน ท่านเอาแต่นั่งมองม้านั่งที่เคยนั่งคู่กับแม่วาด เธอเห็นท่าจะไม่ดีบวกกับเป็นห่วงท่านหญิง เธอบอกให้คนขับรถไปเรียนพ่อแม่ของตนว่าเธอจะอยู่ดูแลท่านหญิงเสียหน่อยไม่ต้องเป็นห่วงเธอ

 

เมื่อวาน...ฉันกำลังทรมานเพราะคิดถึงใครคนหนึ่ง...

มาวันนี้ฉันเจ็บปวดกว่าเมื่อวาน...เพราะสูญเสียคนหนึ่งไปตลอดกาล

 

 

“จะเก็บดอกบัวหรือ? ให้ฉันพายเรือให้หรือไม่แม่”

คุณจันทร์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ใบหูของแม่วาด อาจเพราะมีส่วนสูงใกล้เคียงแม่วาดทำให้ปลายจมูกของคุณจันทร์เสมือนหายใจรดต้นคอแม่วาดเมื่อก้มหน้า พอแม่วาดหันหน้ากลับมาดวงหน้าของทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงแค่ช่วงหนึ่งของลมหายใจ ดวงหน้าที่เปื้อนยิ้มของคุณจันทร์คลับคล้ายคลับคลาเป็นยิ้มของโอรสท้าวกุเรปันผู้เลื่องลือเสียมากกว่า เมื่อพอรวมๆ แล้วกลับดูแพรวพราวล่อลวงให้หลงใหล ยิ่งดวงหน้าใกล้ชิดฉันนี้คงทำแม่วาดหวั่นไหวไม่น้อย

 

เธอตกใจหลังจากการโผล่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงของคุณจันทร์ ดวงหน้าที่ยื่นเข้ามา เราสองสูดลมหายใจแลกเปลี่ยนของกันและกัน เธอเกือบหักห้ามใจไม่ให้ล่วงล้ำไปมากกว่านี้ไว้ไม่อยู่ รีบสะบัดความคิดเหล่านั้นออกไป หญิงสาวสูงศักดิ์เช่นท่านหญิงจันทร์คงไม่มีทางคิดเป็นอื่นแน่ ท่านหญิงคงแค่หยอกล้อเธอเล่น ดวงใจเจ้าเอย…อย่าได้ถลำลึกไปมากกว่านี้เลย

“คุณจันทร์” หลังจากที่ตีกับความคิดของตนอยู่นาน เธอก็ไม่ทันสังเกตว่าคุณจันทร์ขึ้นไปนั่งบนเรือเสียแล้ว เห็นทีคงจะปฏิเสธไม่ได้กับความพิเศษนี้ เธอคิดได้หรือไม่ว่าคุณจันทร์ก็มีใจตรงกันกับเธอ

ท่านหญิงจันทร์แม้ว่าท่านจะทรงอนุญาตให้เรียกด้วยถ้อยคำที่เป็นกันเองแต่ใช่ว่าเธอจะไม่ให้เกียรติท่าน คุณจันทร์สำหรับเธอท่านสง่างามทุกระเบียบนิ้ว น้ำเสียงนั่น ท่าทางนั่น ชวนให้ผู้คนอยากเข้าไปสัมผัส ความฉลาดของท่านก็เย้ายวนให้ผู้คนหลงไปติดกับ ฉันเองก็หลงเข้าไปเช่นกัน... ไม่มีใครเดาความคิดของท่านออกว่าท่านรู้สึกนึกคิดเช่นไร ท่านปฏิบัติกับทุกคนเหมือนกันหมด หรือเป็นเธอเองที่หวั่นไหวกับท่าทางเหล่านั้น...ถามตัวเองเสมอว่าคิดไปเองหรือเปล่า ท่านรู้สึกเช่นเดียวกับเธอจริงหรือไม่

“ขึ้นมาสิแม่วาด” คุณจันทร์ไม่ได้พายเรือออกไปไกลมากนัก แต่ก็ห่างจากฝั่งอยู่ไม่น้อย ส่วนเธอไม่กล้าแม้จะสบตาคุณจันทร์เพราะกลัวว่าจะถูกเปิดเผยความในใจไม่รู้ตัว กลัวคุณจันทร์จะรังเกียจ จึงได้ก้มหน้าก้มตาเก็บดอกบัวไปในหัวคิดว่าจะเอาบัวพวกนี้ไปทำอะไรดีไม่ให้เสียของ

ความจริงแล้วเธอมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ฝีมือหม่อมเจ้าศิวากรก็เพราะท่านหญิงจันทร์ แต่อะไรหลายๆ อย่างไม่สามารถเปิดเผยได้ เธอไม่สามารถห้ามใจที่เรียกร้องให้อยู่ใกล้ท่านได้คงทำได้เพียงพาตัวเองมาอยู่ใกล้ๆ เจ้าของหัวใจโดยที่ไม่ให้ใครๆ รู้ เธอจะซ่อนมันให้ลึกที่สุดในหัวใจของเธอ หวังว่าการที่ทำอย่างนี้จะทำให้ท่านหญิงมีความสุข อย่างน้อยเป็นสหายของท่านก็ยังดี

เธอตกหลุมรักท่านหญิงจันทร์เมื่อนานมาแล้ว หญิงสาวสูงศักดิ์ดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและความเมตตา ทำให้เธอหลงเข้าในอยู่ในภวังค์นั้นได้ง่ายดาย หญิงสาวผู้สูงศักดิ์ที่เคารพความคิดและซื่อสัตย์ต่อตนเองช่างเป็นเสน่ห์ที่น่าหลงใหล ทัศนวิสัยบวกกับคารมของท่าน ทำให้คนคล้อยตามได้ไม่ยาก นั่นเป็นเสน่ห์อันล้นเหลือของท่าน เธออยากทำความรู้จักกับหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ท่านนี้

เธอไม่รู้เลย…ว่าใจของเธอถลำลึกไปมากเพียงใด แต่เมื่อรู้ก็สายไปเสียแล้ว แต่เธอไม่เสียใจหรอก

 

แม่วาดของเธอยังเป็นคนขี้อายเหมือนเดิมช่างน่ารักยิ่งนัก เหตุการณ์เมื่อกี้เป็นช่วงเวลาที่พิเศษมากเราสองคนไม่เคยได้ใกล้ชิดกันขนาดนี้มาก่อนแค่จับมือก็ยังไม่กล้าเสียด้วยซ้ำ หมดกันความเป็นนักเรียนนอก ความกล้าคิดกล้าทำของเธอไปหลบซ่อนอยู่มุมใดกันนะ

ปลายจมูกแตะกันแผ่วเบาทิ้งร่องรอยแผ่วเบาไม่จางหาย กลิ่นหอมหวานรัญจวนจากตัวแม่วาดยังหอมตรึงใจเธอไม่เสื่อมคลาย ต้องละเมอเพ้อพกเหม่อลอยกระทั่งมาลงเรือจับไม้พายเสียแล้ว ลมหายใจของเราสอดประสานกันราวกับเป็นอีกครึ่งหนึ่งของกันและกัน เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เธอแน่ใจ…ว่าเธอ…ไม่ได้มีความรู้สึกกับแม่วาดแค่ชั่วครั้งชั่วคราวที่มาให้ตื่นเต้นแค่ช่วงแรก...แต่กับแม่วาดทั้งหัวใจแลสายตาต่างมีแม่วาดเป็นศูนย์กลาง ความเพ้อพกของเธอคงจะกู่ไม่กลับเสียแล้วกระมัง

เธอแก้เขินด้วยการเด็ดดอกบัวขึ้นมาหักก้านให้สั้น เลือกดอกที่บานเต็มที่ขึ้นมาทัดที่หูข้างซ้ายของตนพร้อมกับทำท่าทางที่คิดว่าน่ารักที่สุดให้แม่วาดดู “แม่วาด เป็นอย่างไร ดอกบัวนี้เหมาะกับฉันหรือไม่”

เธอเห็นท่าทีเช่นนั้นก็รู้สึกตลกขบขันแลคิดว่าคุณจันทร์เล่นอะไรแผลงๆ อีกแล้ว ดอกบัวสีครามก้านเกสรข้างในเป็นสีเหลือง คือดอกบัวยักษ์คราม แม้มันจะใหญ่ไปบ้าง(ไม่บ้างอะ) แต่ก็เหมาะกับรอยยิ้มสว่างๆ นั่นของคุณจันทร์

“ดอกบัวงามย่อมเหมาะกับหญิงสูงศักดิ์เพคะท่านหญิง”เธอพูดออกมาจากใจตามความรู้สึกจริงๆ แต่คุณจันทร์ยิ้มแห้ง และเปลี่ยนเรื่องพูดคุย

“แม่วาด ฉันอยากกินน้ำรากบัวฝีมือแม่ แม่ทำให้ฉันกินได้หรือไม่”

“ได้เพคะ”

เธอหยิบของบางอย่างขึ้นมาคล้ายกล่องเครื่องประดับ เธอจับมันและลูบไล้ไปมา “แม่วาด ฉันมีของจะให้แม่”

แม่วาดพะวงตั้งหน้าตั้งตาเก็บดอกบัวละจากดอกบัวแลหันมาสนใจคุณจันทร์ “อะไรหรือคุณจันทร์”

“แม่เปิดดูสิ”

แม่วาดรับกล่องเครื่องประดับมาเปิดดูก็พบว่าเป็นเข็มกลัดเพชรรูปดอกเบญจมาศมีไข่มุกขาวแวววาวห้อยเป็นติ้ง ทั้งใหญ่ทั้งหนักคงจะสวมใส่ได้ยาก แม่วาดยิ่งคิดยิ่งสงสัยว่าคุณจันทร์ให้เธอทำไม

คุณจันทร์เหมือนจะเดาไว้ก่อนแล้วจึงเอ่ยออกไป “ฉันอยากให้ของขวัญวันเกิดแม่เป็นคนแรก และนี่ก็เป็นปีแรกที่ฉันได้ให้ของขวัญวันเกิดแม่ แม่ชอบหรือไม่” เมื่อเธอได้ฟังที่มาก็ไม่ได้มีอะไรผิดแปลกไป การให้เหมาะสมตามวาระโอกาส แต่ทำไมน้ำเสียงถึงได้สวนทางกับแววตาคู่นั้นกันนะ ของมีราคาแพงเช่นนี้ยิ่งมาให้คนที่รู้จักไม่ถึงปีด้วยแล้ว...

แม่วาดก้มมองเข็มกลัดอีกรอบ เข็มกลัดนี้ มีอะไรแปลกไปหรือเปล่า ดอกเบญจมาศ?

ดอกเบญจมาศเป็นดอกไม้สูงศักดิ์และทรงเกียรติ เป็นสัญลักษณ์แห่งความซื่อสัตย์ว่าจะจงรักภักดีตลอดไป

เมื่อเธอได้รับรู้ถึงความหมายเธอตระหนักได้ว่าหัวใจของเธอเต้นแรง ถ้าใครมอบดอกเบญจมาศแก่คนรักจะหมายถึง เขาคนนั้นจะซื่อสัตย์และภักดี หรือ…เธอคือรักแท้ของเขา

แต่เธอไม่อยากคิดเข้าข้างตนเอง ไม่อยากให้ตัวเองคิดอาจเอื้อมหญิงสูงศักดิ์ ไม่ว่าจะสถานะใด เธอก็ไม่เหมาะสมกับท่านหญิงแม้แต่น้อย คนอื่นอาจจะมองว่าเราเป็นพวกผิดเพศและอาจสร้างความเสื่อมเสียมาให้คุณจันทร์ได้ เธอไม่อาจปล่อยให้เป็นเช่นนั้นได้ เพราะไม่ว่าคำตอบของคุณจันทร์จะเป็นเช่นไร เธอก็จะเก็บความรู้สึกนี้ฝังมันให้มิดชิด

ทั้งๆ ที่รู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่ามันอาจจะไม่สมหวัง อาจถูกมองด้วยสายตารังเกียจ แต่เธอห้ามใจของตนเองไม่ได้ จะเป็นอะไรไหม…ถ้าเธออยากอยู่ใกล้ดวงใจสุดคะนึงหาเฝ้าอาวรณ์ของเธอ

เธอผสานตากับคุณจันทร์เราทั้งสองต่างก็คาดหวังกับคำตอบของกันและกัน และ...

เบญจมาศแทนจันทร์สัตตบรรณ แทนสะยา

เดือน คู่ปัทมาสลักลึกลงวิญญา

เมื่อได้สดับรับฟังคำกลอนอันแสนไพเราะเธอตระหนักได้ทันทีว่าสิ่งที่เธอคิดนั้นได้กลายเป็นจริงแล้ว

“...แม่ชอบเข็มกลัดดอกเบญจมาศหรือไม่...” เหมือนคุณจันทร์กำลังย้ำว่าเข็มกลัดเพชรนั่นคือดอกเบญจมาศ เสมือนตอกย้ำความหมายของมัน สายตาที่คาดหวังคำตอบ หามีแววตาขี้เล่นไม่ เมื่อเป็นอย่างนั้นเธอก็พร้อมจะเสี่ยงลอง

“หม่อมฉันชอบดอกเบญจมาศนี้มากค่ะคุณจันทร์” เธอเน้นคำออกเสียงดอกเบญจมาศอย่างเฉพาะเจาะจง ดอกเบญจมาศที่ชอบไม่ใช่เพียงเข็มกลัดเท่านั้นแต่ยังหมายถึงคน คนๆ นั้นก็คือเจ้าของใจเธอ

 

แววตาจริงจังคู่นั้นของแม่วาดกลับทำให้เธอเชื่อได้อย่างหมดใจว่าคำพูดที่เปล่งออกมาเหมือนดั่งคำมั่นสัญญา ดวงหน้าที่มักอ่อนหวานกลับหนักแน่นติดอยู่ในความทรงจำของเธอไม่รู้ลืม

 

 

พอเริ่มคิดถึงความหลังเก่าๆ ความรู้สึกรวดร้าวก็พุ่งขึ้นมากักเก็บน้ำตาไว้ไม่อยู่แม้แต่เสียงก็ไม่อาจซ่อนงำอารมณ์ความเจ็บปวดเจียนจะขาดใจ ใครได้ยินคงรู้ว่าคนร้องทุกข์ระทมเพียงใด เหมือนท่านหญิงกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง

แม่วาดจากเธอไปแล้ว...

จากเธอไปในที่ไกลแสนไกล...

 

‘ในโลกนู่นแม่มีความสุขหรือไม่ แต่ฉันคิดถึงแม่มากเลย ไม่มีแม่ชีวิตของฉันก็กลายเป็นสีขาวดำ ฉันไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรกับโลกใบนี้แล้ว ความสุขหนึ่งของฉันได้จากไปแล้ว ฉันจะอยู่อย่างไรในเมื่อไม่มีแม่...ฉันน่าจะปกป้องแม่ให้มากกว่านี้ ฉันน่าจะทำเพื่อแม่ให้มากกว่านี้ แม่วาดฉันเสียใจเหลือเกิน ฉันให้อภัยตัวเองไม่ได้จริงๆ’

 

 

ปากคลองตลาด

ปากคลองตลาดอยู่ใกล้สถานศึกษามากมายมีลูกหลานของข้าราชการมาร่ำเรียน เขาว่าที่ๆ ปลอดภัยที่สุดคือที่ๆ อันตรายที่สุด

หลังจากกันวันนั้นที่สระบัวเราสองปฏิบัติตัวกันแบบปกติ เพิ่มเติมคือความใส่ใจเล็กน้อยๆ ที่มีให้กัน บางครั้งก็แอบมาเที่ยวด้วยกันสองคนหรือสามคนเพื่อไม่ให้ผิดสังเกตจนเกินไป อย่างเช่นวันนี้เรามาใส่บาตรกันไกลมาก แต่ก็เพื่อหลีกหนีสายตาผู้อื่น รินเป็นเพื่อนสนิทของเธอและแม่วาด เธอรู้จักรินได้ไม่นานก็รับรู้ได้ว่ารินเป็นคนที่ใช้ได้คนหนึ่ง

“นิมนต์เจ้าค่ะพระคุณเจ้า”

ระหว่างเตรียมของเพื่อใส่บาตรพระคุณเจ้า เธอตั้งใจแกล้งลืมทัพพีโดยแกล้งทำหายหรือแม้กระทั่งกล่าวโทษข้าหลวงที่เตรียมสำรับไม่ดี ฉันได้แต่ขอโทษอยู่ในใจ เมื่อเห็นเช่นนั้นแม่วาดจึงกล่าวว่าใช้ของแม่เถิด เธอไม่รอช้ารีบเอามือกุมมือข้างที่แม่วาดถือทัพพีทันที ส่วนรินก็จับข้อศอกของฉันเพื่อไม่ให้ผิดสังเกตจนเกินไป

แต่เธอเห็นรินกรอกสายตาไปด้านบนนะ แต่ทำอย่างไรเล่าคนมีความสุขไม่สนใจเรื่องหยุมหยิมหรอก ส่วนแม่วาดของเธอชะงักไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้หันมาตำหนิแต่อย่างไร ส่วนเธอจับแล้วจับเลย จับแน่นเสียด้วย

 เธอรู้สึกเหมือนมีอะไรวิ่งพล่านไปทั่วตัว เหมือนโลกใบนี้หยุดเดินเพื่อให้เธอได้เสพสุขจากช่วงเวลานี้ มือคู่นี้ช่างอ่อนนุ่มละมุนใจนัก ความรู้สึกของการได้สัมผัสคนรักมันเป็นอย่างนี้นี่เอง เธอพยายามเก็บอาการด้วยความเข้มขรึม แต่ว่ามันก็ปิดดวงตาที่เปล่งประกายไม่มิด

เขาบอกว่าอย่างไรนะ? ตักบาตรร่วมขันใช่หรือไม่? ถ้าตักบาตรร่วมกันชาติหน้าก็จะกลับมาเจอกันอีก กลับมาเป็นคู่กันอีก แม้ภายนอกจะไม่แสดงอะไรออกมา แต่ว่าทั้งคู่ต่างเขินกันและกันอย่างแน่นอนและไม่ได้อยากจะละจากการสัมผัสครั้งนี้เลย น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสมากกว่านี้

ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่อยู่ด้วยกัน