หญิงสาวชนชั้นสูงยอมแต่งงานกับชายที่ไม่ได้รัก เพื่อเลี้ยงดูลูกของคนรักที่ได้จากไป ยี่สิบปีต่อมาพวกเขาได้โอกาสให้กลับมารักกัน
รัก,หญิง-หญิง,ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ไทย,แต่งงาน,ท้อง,ทหาร,พีเรียดไทย,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)หญิงสาวชนชั้นสูงยอมแต่งงานกับชายที่ไม่ได้รัก เพื่อเลี้ยงดูลูกของคนรักที่ได้จากไป ยี่สิบปีต่อมาพวกเขาได้โอกาสให้กลับมารักกัน
เรื่องย่อ
หญิงสาวชนชั้นสูงยอมแต่งงานกับชายที่ไม่ได้รัก เพื่อเลี้ยงดูลูกของคนรักที่ได้จากไป ยี่สิบปีต่อมาพวกเขาได้โอกาสให้กลับมารักกัน
ตัวละคร
พลตรี หม่อมเจ้าสาทิสยา ไวทย์เวธน์ทิวากร / แม่วาด
สถานะ : คนรักของคุณจันทร์ และเป็นแม่ของจรณ์จิณณ์
หม่อมเจ้าจันทรารัตน์ ปัณณ์ปริชญ์ปัถย์ / จันทรารัตน์ กวินกานต์ / หม่อมจันทรารัตน์ ไวทย์เวธน์ทิวากร ณ อยุธยา
สถานะ : คนรักของแม่วาด แม่เลี้ยงของจรณ์จิณณ์ ภรรยาในนามของชรัน
พันโทชรัน กวินกานต์
สถานะ : พ่อของจรณ์จิณณ์ สามีของแม่วาด คุณจันทร์ วิมล
นักเรียนนายร้อยปัณณ์จรณ์ กวินกานต์
สถานะ : ลูกชายของชรันและแม่วาด
นักเรียนนายร้อยปัณณ์จิณณ์ กวินกานต์
สถานะ : ลูกชายของชรันและแม่วาด
วิมลตรา ดารารายณ์
สถานะ : ภรรยารองของชรัน
ชิรินตรา กวินกานต์
สถานะ : ลูกสาวของชรันกับภรรยารอง
รินจายา เปรมวาณิชย์
สถานะ : เพื่อนแม่วาดกับคุณจันทร์
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทวินปัณณ์ปริชญ์ปัถย์
สถานะ : เสด็จพ่อของคุณจันทร์
หม่อมเจ้าศิวากร ชิญชาญ ปัณณ์ปริชญ์ปัถย์
สถานะ : ท่านแม่ของคุณจันทร์และชายาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทวินปัณณ์ปริชญ์ปัถย์
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปันภาพร ไวทย์เวธน์ทิวากร
สถานะ : เสด็จป้าของพลตรีหม่อมเจ้าสาทิสยา
****เพื่อให้อ่านได้อย่างอรรถรสขอให้นักอ่านแวะเข้ามาอ่านครงนี้เล็กน้อยนะคะ****
1.คุณจันทร์เป็นหม่อมเจ้าหญิง แต่ในเรื่องจะเรียกว่าคุณจันทร์เพราะว่าคุณจันทร์ได้สละยศเป็นสามัญชนแต่งงานกับชรันและตอนแต่งงานกับหม่อมเจ้าสาทิสยา (หรือแม่วาด) ก็แต่งตอนเป็นสามัญชน ดังนั้นจึงเรียกคุณจันทร์ค่ะ
2.คุณจันทร์อนุญาตให้แม่วาดเรียกคุณจันทร์ด้วยคำปกติได้ เพราะทั้งสองเป็นคนรักกัน
3.ทุกอย่างในเรื่องเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนเพียงเท่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับเป็นจริงใดๆ โปรดอ่านเพื่อความเพลิดเพลินและใช้วิจารณญาณ
สวัสดีจ้านักอ่านทุกคนนนน ไรท์ขอฝากนิยายเรื่องเรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจนักอ่านักคนด้วยน้าาาา
เพลลิสต์เพลงมาฝากจ้า ทุกคนสามารถเข้าไปฝันเพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่านได้นะคะ
https://open.spotify.com/playlist/2FsZanXiU18yXisLHv58WG?si=48c563e9601d4084
ผังตัวละคร
ขอฝากนิยายเรื่องอื่นๆ ของเราด้วยน้าาา
เรื่องย่อ : เอมมาริน สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของโซเรลถูกลูกหลงโดนยิงจะกลุ่มผู้ประท้วงวิญญาณของเธอล่องลอยเข้าสู่ร่างของเอราเบล ลี ลูกสาวของตระกูลลีที่มีความใกล้ชิดทางสายเลือดกับราชวงศ์ โชคชะตาของเธอคือการชดใช้ไม่ว่าเธอจะอยู่สูงเพียงใด เธอต้องพบกับการสูญเสียพลัดพรากเฉกเช่นเดียวกันกับคนรักของเธอ
เรื่องย่อ : เลขาท่านผู้นำอย่างเอบิซาถูกจับให้มาแต่งงานกับผู้ปกครองเผ่างูในป่าลึกดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าบรรพชนจากการบูชาหญิงสาวเพื่อให้กำเนิดทายาทรุ่นต่อไปของอาวคลาส วาดิม เธียร์
เรื่องย่อ : ไม่ใช่แนวเกิดใหม่…แต่เป็นการทำงานรอนรกว่าง! ไป๋เหลียงคือหญิงสาวที่เข้าไปอยู่ในร่างของฮุุ่ยเจิน ผู้เป็นคุณนายใหญ่ตระกูลเหว่ย
บทที่ 3
เจ็บปวด
ท่านแม่เพคะ ทำไมช่วงนี้แม่วาดไม่มาที่วังล่ะเพคะ”
“นี่ลูกไม่รู้หรือ? แม่วาดจะแต่งงานในสัปดาห์หน้านี้แล้ว แม่วาดไม่ได้บอกลูกหรือ แม่คิดว่าบอกแล้วเสียอีก” เหมือนดั่งฟ้าผ่าลงกลางกระหม่อมของเธอ อะไรนะ? แม่วาดแต่งงาน แล้วที่ผ่านมาคืออะไรกัน? มันไม่ใช่เรื่องจริงหรือ
ท่านหญิงจันทร์รู้สึกชาไปทั้งตัว เพียงคิดไปว่าเธอไม่เข้าใจอะไรเธอเข้าใจอะไรผิดหรือ หรือที่ผ่านมาที่เธอคิดเข้าข้างตัวเอง ความรู้สึกมากมายประดังประเดเข้ามาหาเธอไม่หยุดราวกับว่าถ้าไม่หาคำตอบเสียเดี๋ยวนี้เธอจะไม่สามารถกักเก็บความรู้สึกเสียใจที่เอ่อล้นนี้ได้อีก
“ลูกรู้สึกไม่สบาย ลูกของตัวกลับไปที่ห้องบรรทมเพคะ” ท่านหญิงจันทร์ไม่รอให้หม่อมเจ้าท่านอนุญาตก็เดินออกไปเลย จุดมุ่งหมายของเธอคือการออกไปหาแม่วาดเพื่อถามให้รู้เรื่อง
แต่ทว่า...มีใครคนหนึ่งเข้ามาขวางเธอไว้ นั้นคือมหาดเล็กของเสด็จพ่อ เธอทราบเรื่องทั้งหมดได้ทันทีว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือใคร เธอเพียงถามตัวเองว่าเธอพลาดตรงไหน เธอไปทำให้เสด็จพ่อจับสังเกตได้ตอนไหนกัน แต่แล้วความรู้สึกผิดก็เข้ามาถาโถมใส่เธอ แม่วาดต้องมารับกรรมกับสิ่งที่ไม่ได้ก่อ แค่คิดว่าแม่วาดต้องทุกข์ทรมานก็เจ็บร้าวไปทั้งตัว
เมื่อจมกับความคิดได้ไม่นานเธอก็ถึงห้องทรงอักษรของเสด็จพ่อ ท่านนิ่งสงบเป็นอย่างมากราวกับรอฟังคำแก้ตัวของเธอ
เธอก้มลงไปกราบที่พระบาทของท่านแต่ก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไร เพราะไม่รู้จะกราบทูลเยี่ยงไรดี อารมณ์ของเสด็จพ่อตอนนี้ไม่สามารถคาดเดาได้ แต่ว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น แท้จริงแล้วเธอไม่มีแรงที่จะถามต่างหาก ความเสียใจมันจุกอยู่ที่อกเสียดสีกันอยู่ในนั้นให้อึดอัด อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกผิดเหมือนกับคนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จนในที่สุดเธอก็ไม่สามารถทนกับความรู้สึกอึดอัดนี้ได้จึงตัดสินใจถามออกไป
“เสด็จพ่อ...เป็นคนทำหรือเพคะ” เพียงคำถามเดียวบรรยากาศในห้องที่ติดลบอยู่แล้วก็เพิ่มมากขึ้นไปอีก มันหนักจนกดทับมาที่ตัวคนได้ เธอรับรู้ได้ถึงบรรยากาศนั้นดี
“พ่อทำอะไร” เสด็จพ่อไม่ได้ละจากหนังสือราชการของท่านแม้แต่น้อยราวกับตอบเสียงนกเสียงกาไม่ใส่ใจราวกับเกียจคร้านที่จะตอบมีความเหนื่อยหน่ายในน้ำเสียง
“เรื่องงานแต่งของแม่วา-” เธอยังไม่ทันพูดได้จบประโยค เสด็จพ่อก็แย้งขึ้นมาราวกับไม่ได้คุยเรื่องเดียวกัน “พ่อจะส่งลูกไปเรียนที่ฝรั่งเศส” เธอทรุดลงไปทันที การที่ท่านเสด็จพ่อตรัสแย้งโดยไม่รอฟังจบประโยคนั้นก็แปลได้ว่าท่านได้ลงมือทำจริงๆ และรับรู้เรื่องราวทุกอย่างของเธอและแม่วาดดูท่าจะรู้เยอะเสียด้วย เธอรู้สึกจนใจต่อโชคชะตาความสุขมักผ่านไปเร็วนัก เธอยังไม่อยากสูญเสียมันไปแต่คงเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว ท่านหญิงจันทร์อ้อนวอนเสด็จท่าน “ลูกจะไปเพคะ แต่ขอแลกกับการไม่ให้แม่วาดแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักนะเพคะ การได้แต่งงานกับคนที่เรารักคงเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุดในโลกแต่ถ้าไม่ก็คงทนทรมานไปจนตาย ลูกไม่อยากเป็นสาเหตุให้ใครมาพบเคราะห์กรรมเหล่านี้เพราะลูกเพคะเสด็จพ่อ” เสด็จท่านยังนิ่งไม่ใส่ใจกับคำขอของท่านหญิงจันทร์
“ไม่ได้ วันนี้เป็นวันแต่งงานของแม่วาด จะให้พ่อไปพังงานสมรสเพราะลูกนะหรือ? หญิงจันทร์ลูกจะเอาแต่ใจตัวเองไปหรือเปล่า”
“เสด็จพ่อ! อย่าทำเช่นนี้เลยเพคะ! ได้โปรดเถิดเพคะ ได้โปรด” ท่านหญิงจันทร์ ร้องขอด้วยความปวดร้าว เธอเจ็บ เธอเสียใจ เธอรู้สึกผิด ทำไมเธอต้องมารู้เรื่องนี้ช้ากว่าคนอื่นๆ เพราะอะไรกันทำไมทุกอย่างถึงได้กลายเป็นเช่นนี้
ท่านหญิงจันทร์ลงไปนั่งคุกเข่าข้างๆ เสด็จท่านพร้อมอ้อนวอนด้วยสายตาเจ็บปวด แต่เสด็จท่านใจแข็งเหลือเกินไม่แม้แต่ห้ามที่จะให้คุณจันทร์รักษากริยา เหมือนตั้งใจปล่อยให้สิ่งที่คุณจันทร์ทำมาให้สูญเปล่า ช่างเลือดเย็นจริงๆ
และแล้วท่านหญิงจันทร์ก็ถูกส่งไปเรียนปริญญาโทที่ฝรั่งเศส โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองต้องไปเรียนอะไร
เธอรู้สึกผิดและเจ็บปวดที่ต้องให้คนรักมาทนทุกข์ทรมานเจ็บปวดเพราะเธอ ตัวเธอเองเจ็บปวดได้แต่เธอไม่สามารถทนเห็นแม่วาดเจ็บปวดได้ เธอไม่รู้ว่าจะมีสิ่งใดในโลกใบนี้ที่มากพอจะชดใช้ให้ได้ ถ้ามีโอกาสได้ชดใช้เธอไม่ลังเลที่จะทำมัน
คุณจันทร์หวนนึกถึงอดีตอันแสนเจ็บปวด ที่เธอเป็นต้นเหตุให้แม่วาดต้องมาถูกบังคับแต่งงาน เธอไม่สามารถให้อภัยตนเองได้นั่นก็ยิ่งไม่สามารถให้อภัยคนที่ทำร้ายแม่วาดด้วยเช่นกัน
“ลูกกราบเสด็จพ่อท่านแม่เพคะ ลูกจะมาเรียนว่าจะขอไปงานศพของแม่วาดเพคะ” ท่านหญิงจันทร์กลับมาที่วังไม่นานรีบขออนุญาตไปงานศพของแม่วาด
ท่าทีของหม่อมเจ้าศิวากรต่อผู้เป็นศิษย์ของเธอนั้นทั้งสงสารและเวทนาแม่วาด ต้องด่วนจากไปเร็วก่อนวัยอันควรโดยไม่รับรู้อะไร ส่วนพระองค์เจ้าทวินปัณณ์ปริชญ์ปัถย์รับรู้ดีแลสงสารแม่วาดที่ต้องจากไปก่อนวัยอันควรส่วนหนึ่งก็มีเหตุมาจากท่านเช่นกันแต่ยังคงท่าทีที่นิ่งสงบไว้
“ไปเถอะลูกไปบอกลาเป็นครั้งสุดท้าย” พระองค์เจ้าทวินปัณณ์ปริชญ์ปัถย์แลหม่อมเจ้าศิวากรพยักหน้าเสมือนเป็นการอนุญาต
“เป็นพระกรุณาเพคะ”
เรื่องระหว่างเธอกับแม่วาดไม่มีใครรู้ ครอบครัวของเรารับรู้แค่ว่าเราเป็นเพื่อนสนิทกัน…ไม่สิ…เสด็จพ่อไงที่รู้…และเปลี่ยนแปลงมันทุกอย่าง
คุณจันทร์ได้แต่ปลงสังเวชตนเองอยู่ในใจว่าเธอนั้นไร้ความสามารถ
“สวัสดีค่ะคุณหญิงกรอง” คุณหญิงกรองเป็นแม่ของแม่วาด
“ท่านหญิงจันทร์ เชิญเพคะ”
“ขอบคุณค่ะคุณหญิงกรอง”
เมื่อเธอเดินเข้ามาข้างในทุกคนต่างมองเธอเป็นสิ่งแปลกใหม่เพราะแม่วาดเป็นคนเรียบร้อย นิ่งสุขุม มักพูดน้อยเพื่อนก็น้อยด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นญาติจากฝ่ายชายมากกว่าจะเป็นญาติจากฝ่ายแม่วาด
“นี่คุณหญิงกรอง ผู้หญิงสวยๆ นั้นใครหรือ”
“หม่อมเจ้าจันทรารัตน์ ปัณณ์ปริชญ์ปัถย์” คนที่ถามไม่ใช่ใครที่ไหนคนนั้นคือแม่สามีของแม่วาด คุณหญิงนพ
“ฉันไม่เคยเห็นคุณหญิงเลย อ่า!ไม่ใช่สิ ต้องท่านหญิงจันทร์ คุณหญิงกรองเชิญมาหรือ”
“ไม่กล้าเชิญท่านหรอกค่ะ ท่านคงจะมาเพราะเห็นแก่ที่แม่วาดเป็นสหายน่ะค่ะ”
“อ้าว แล้วทำไมตอนงานแต่งงานถึงไม่เห็นมาล่ะ”
“ท่านหญิงจันทร์ต้องกลับไปเรียนต่อที่ต่างประเทศค่ะ”
“งั้นหรอกหรือ?” คำถามแต่ละอย่างของแม่สามีของลูกสาวนั้นทำให้คุณหญิงกรองเกิดความแคลงใจในสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนสะบัดความคิดนั้นไป
“เฮ้ยย ผู้หญิงคนนั้นใครวะ เป็นญาติฝั่งไหนของแกวะชรัน ฝั่งภรรยาหรือเปล่า” พลคือเพื่อนของชรันที่มีนิสัยปากเสีย
“ผู้หญิงคนนั้นทำไมวะ” เทพเป็นเพื่อนอีกคนของชรันดูเป็นคนสุภาพมากกว่าพล
“ดูเหมือนจะไม่ธรรมดาไง แม้หน้าตาจะจืดชืดไปหน่อยก็เถอะแต่ปฏิเสธไม่ได้เลยเวลาที่เธอขยับตัวนั้นดูดีมาก เหมือนมีเสน่ห์ดึงดูด แต่ก็น่าเสียดายอีกแหละ แต่งตัวเรียบร้อยเกินไปไม่มีความโก้เก๋เลย”
“นี่มันงานศพจะมาเก๋อะไร แต่งเรียบร้อยก็ถูกแล้วที่นี่ไม่ใช่ผับบาร์เสียหน่อย พูดอะไรให้มันรู้กาลเทศะซะบ้าง แกไม่ต้องฟังมันมากมีแต่เรื่องไร้สาระ” เทพตำหนิพลที่แม้จะมีหน้าที่การงานยอดเยี่ยมแค่ไหนก็ไม่สามารถกล่อมเกลาปากของมันได้
“อืมม” สามีของแม่วาดหรือร้อยโทชรันได้มองไปตามที่เพื่อนๆ เขาพูดกัน ก็จริงเธอมีบุคลิกที่สง่างาม...แต่จืดชืดมากสำหรับเขา
“นี่ลูกเข้าไปทักทายท่านหญิงจันทร์เสียเดี๋ยวนี้” ท่าทีจีบปากจีบคอของคุณหญิงนพน่ารังเกียจเสียกระไร
“ใครครับแม่”
“ก็คนที่ลูกมองอยู่ไงล่ะ” คนที่เขามองคือคนที่เขาพูดถึงกัน หญิงสาวที่ดูโบราณๆ นั่น
“แม่จะทำอะไรครับ”
“แม่ไม่ทำอะไรหรอก แค่อยากให้ลูกได้รู้จักท่านหญิงจันทร์เท่านั้น” คุณหญิงนพแสดงออกทางสีหน้าชัดเจนใครบ้างจะดูไม่ออก
“แม่ครับงานของแม่วาดยังไม่เรียบร้อยเลยแม่จะให้ผมหาเมียใหม่แล้วหรือครับ ผมมีแม่สายแล้วนะครับ เดี๋ยวนะครับ? แม่เรียกผู้หญิงคนเมื่อกี้ว่าอะไรนะครับ? นั่นท่านเป็นเจ้านะครับ! นี่คุณแม่คิดอะไรอยู่!”
“นี่หยุดพูดนะ เดี๋ยวใครเขามาได้ยินเข้า ผู้หญิงคนนั้นแกจะเอามันไปไว้ตรงนั้นก็เรื่องของแกฉันไม่สนใจ เรื่องเมียใหม่ฉันหาให้แกแน่จะได้มีคนมาเลี้ยงหลานของฉันถ้าเป็นท่านหญิงจันทร์ก็ดี ถ้าแกทำสำเร็จเพราะท่านหญิงจันทร์ก็เป็นเพื่อนกับแม่วาดยังไงเขาก็เอ็นดูลูกของแกกับแม่วาดอยู่แล้ว ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน อีกอย่างแกก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนอื่นเสียหน่อย ปู่ของแกก็เป็นหม่อมหลวงมาก่อนแกก็ถือว่าเป็นเจ้าเหมือนกันแหละ”
“แต่แม่ครับนี่มันงานศพนะครับ เราควรให้เกียรติคนตายบ้าง”
“ก็ได้ๆ ฉันจะไม่ไปยุ่งกับเรื่องนี้จนกว่าจะจัดการทุกอย่างเสร็จ แต่แกอย่าลืมไปทำความรู้จักกับท่านหญิงจันทร์ล่ะ”
“ครับ ได้ครับ”
“น้ำฝ่าบาท”
“ขอบคุณค่ะ”
“กระหม่อมขอบังอาจถาม ท่านหญิงเป็นสหายกับภรรยากระหม่อมหรือฝ่าบาท”
“ใช่ค่ะ พอดีช่วงที่แม่วาดแต่งงานตรงกับที่ฉันจะต้องไปเรียนต่อที่ต่างประเทศก็เลยขาดการติดต่อกัน พอพูดถึงเรื่องเรียนก็ทำเอาฉันนึกขึ้นได้ว่ามีงานต้องไปทำ ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
“พะยะค่ะ”
เธอแค่ไม่อยากอยู่ด้วยกันสองคนเพียงลำพังกับชรันให้เป็นขี้ปากให้คนเขานินทาได้ เธอจึงเลือกเดินออกมาและเดินไปหาห้องน้ำเพื่อสงบสติอารมณ์ เมื่อได้เห็นหน้าชายที่ทำให้แม่วาดต้องมาตาย
เธอเลือกจะเดินไปเรื่อยๆ ระหว่างรอคนขับรถมารับให้ร่างกายปะทะกับสายลมเย็นๆ เพื่อให้รู้สึกดีขึ้น แต่ทว่ามันกลับตรงกันข้าม เธอรู้สึกหนาวเย็นจนถึงกระดูกเพียงเสี้ยววินาทีเธอกลับมีความคิดที่โดดเดี่ยว เหงา ภาพทุกอย่างกลับมาเป็นสีดำอีกครั้ง ใจของเธอดำดิ่งขั้นสุด เธอพยายามเรียกสติกลับมาและตั้งใจเดินไปขึ้นรถ
แต่ระหว่างนั้นเธอกลับได้ยินเพื่อนชรันที่ดูแล้วคงจะสนิทสนมกันพอควรได้พูดเรื่องราวมากมายแต่เธอไม่ได้สนใจมากนักเดินต่อไปเรื่อยๆ เพียงแต่ว่าเมื่อยิ่งเดินออกมาไกลมาเท่าไรก็ยิ่งชัดเจนมากเท่านั้น พวกเขาพูดถึงแม่วาดนั่นจึงทำให้การเดินของเธอหยุดชะงักลง
“มึงว่าชรันจะแต่งกับวิมลปะว่ะ”
“คงจะแต่งมั้ง เมียหลวงก็มีแล้ว ลูกก็มีแล้ว มันทำหน้าที่ของมันหมดแล้ว คราวนี้คงจะแต่งงานกับวิมลนั่นแหละ สงสารแต่เด็กที่เกิดมาแม่ก็มาตายเสียก่อน แม้วิมลจิตใจดี แต่คงไม่มีใครใจดีเลี้ยงลูกคนอื่นหรอก โดยเฉพาะคนรักของตน” พอเธอได้ยินแบบนั้นก็ทำให้อารมณ์โกรธที่เคยกดไว้พุ่งขึ้นมา โกรธจนตาแข็งปากสั่นด้วยความฉุนเฉียวกรามบนใบหน้าขึ้นเกร็งเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ จนเธอไม่รู้เลยว่าน้ำตาแห่งความโกรธนี้มีขึ้นมาตอนไหน เพื่อนคนนั้นของชรันพูดเหมือนกับว่าแม่วาดไปแย่งชรันมาจากผู้หญิงคนนั้น
แม่วาดไม่เคยแย่งของๆ ใคร!! ถ้าไม่อยากแต่งงานตั้งแต่แรกในเมื่อมีคนรักอยู่แล้วทำไมไม่ปฏิเสธทำไมต้องมาโทษผู้หญิงที่ไม่มีทางเลือกให้เลือก พวกเห็นแก่ตัว!!
เธอจะไม่ยอมให้คนพวกนี้เสวยสุข เธอจะไม่ให้ใครมาทำร้ายลูกของแม่วาด ฉันจะดูแลพวกเขาเอง
สามเดือนผ่านไปหลังจากงานศพแม่วาดเธอได้กลับมาใช้ชีวิตในปารีสอีกครั้งเนื่องจากกลับมาเขียนวิทยานิพนธ์ให้เสร็จ แต่การกลับมาครั้งนี้เธอพกความทุกข์ทรมานมาด้วยมากกว่าครั้งแรกที่มา เธอเจ็บปวดทุกข์ระทมเหลือเกิน เธอโทรจากปารีสไปกรุงเทพทุกคืนเพราะเธอนอนไม่หลับยามข่มตาก็กลับคิดถึงแต่แม่วาดต้องให้นมขาวกล่อมเธอนอนเหมือนเด็กๆ
เธอถามตัวเองเสมอว่าวันวานที่ผ่านมาไม่ใช่ความจริงใช่ไหม เธอเหมือนคนเดินหลงเวลา วันเวลาเดินไปเช่นไรเธอหลงลืมมันไปหมดสิ้น อยู่กับความรู้สึกที่แม้จะรู้ว่ากำลังหลอกตัวเองแต่ยังยืนยันที่จะเชื่อความคิดนี้ ทุกครั้งที่คิดถึงแม่วาดมักจะรู้สึกเจ็บปวด รู้สึกผิด และยังคิดถึงเสมอ วันๆ หนึ่งฉันคิดถึงแม่วาดเป็นล้านๆ รอบ ถ้าจะเปรียบคงเป็นทุกครั้งที่กะพริบตาหรือทุกลมหายใจเข้าออก
ระหว่างที่เธอกำลังจมดิ่งสู่ห้วงความคิดที่ไม่รู้จบของตนเองก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา
กริ๊งงงงงงง
“ฮัลโหล…ท่านหญิงเพคะ คุณหญิงนพกำลังหาภรรยาใหม่ให้ชรัน” เธอนิ่งไปจนรินเอ่ยถาม “ท่านหญิงทรงรู้อยู่แล้วหรือเพคะ?” ใช่ เธอรู้อยู่แล้วคุณหญิงนพแสดงออกชันเจนขนาดนั้น ตั้งแต่วันสวดศพของแม่วาดก็คัดเลือกลูกสะใภ้ไม่ดูกาลเทศะเสียนิดเดียว ช่างหน้าด้านหน้าทน ไหนจะได้ยินกับหูที่เพื่อนของชรันพูดอีก น้ำหนักความจริงในเรื่องนี้คงหนักแน่นดั่งภูเขา เพียงแต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ แค่หน้าด้านหน้าทน ไม่รู้จักกาลเทศะคงน้อยไปเพิ่มข้อไม่มีมารยาทด้วยก็ปรานีมากแล้ว ไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดให้แสบทรวงกว่านี้แล้ว
เธอหลงคิดในใจอยู่นานจึงตอบกลับไป “คุณหญิงนพแสดงออกในงานศพแม่วาดขนาดนั้น ใช่ว่าใครจะเดาไม่ออก เพียงแต่ไม่คิดว่าจะรวดเร็วเพียงนี้”
เสียงถอนหายใจจากปลายสายดังลอดเข้ามาในหูเธอ “จะรีบเสียกระไรเพียงนั้นคนเพิ่งตายได้แค่สามเดือน เด็กก็ยังไม่หย่านมดีเลย สิ่งที่เหล่าคุณนายในสมาคมที่เขาพูดกันคงจะเป็นเรื่องจริงที่ว่าต้องการคนมาเป็นคนช่วยดูแลหลานๆ มากกว่าจะหาสะใภ้ ถ้าจะพูดให้เข้าประเด็นคือหาคนรับใช้ที่มีเกียรติ ช่างเป็นพวกเห็นแก่ตัวเสียจริง” รินกระแทกเสียงในประโยคสุดท้ายอย่างใส่อารมณ์
เธอถามถึงผู้หญิงคนนั้น “แล้วผู้หญิงคนนั้นล่ะ”
รินอารมณ์ไม่ลงจากประโยคเมื่อครู่ก็ตอบด้วยความไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด “ก็มีเรื่องมาจากแม่นั่นแหละเพคะ ร้อยโทชรันไม่ได้มีท่าทีอะไร ไม่ได้คิดมีใครใหม่ ทีนี้คุณหญิงนพเลยอยากตัดไฟแต่ต้นลมเพราะไม่อยากได้แม่นั่นมันเป็นลูกสะใภ้เลยจะหาสะใภ้ใหม่ที่ไม่ใช่แม่นั่น”
ก่อนที่รินจะพูดอะไรต่อเธอตัดสินใจที่จะเอ่ยถึงการตัดสินใจของเธอในเรื่องนี้ “แม่รินฉันตัดสินใจแล้ว...ฉันจะเป็นผู้ดูแลเด็กๆ เอง”
ปลายสายเงียบลงอย่างกะทันหันผ่านไปนับสิบอึดใจ ปลายสายจึงเอ่ยสนทนากลับมา
“ท่านหญิงแน่ใจหรือเพคะ? ทั้งชีวิตของท่านหญิงเลยนะเพคะ ท่านหญิงไม่ควรล้อเล่นนะเพคะ”
เธอถามย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้มีความล้อเล่นหรือติดโมโหอารมณ์คั่งค้างจากอันเก่า เธอถามด้วยความเป็นห่วงว่าสิ่งที่ท่านหญิงคิดคือสิ่งที่ไตร่ตรองมาดีแล้ว ไม่ใช่เพราะเศร้าเสียใจและอยากแก้แค้นแทนแม่วาด
เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นท่านหญิงคงต้องทุกข์ทรมานตลอดชีวิตและการเป็นเจ้าของท่านหญิงก็ต้องจบลงเช่นกัน เมื่อสละแล้วไม่สามารถกลับสู่ฐานะเดิมได้ ท่านหญิงพร้อมรับแรงกระแทกแล้วจริงๆ หรือ? นั่นคือสิ่งที่เธอสงสัยแต่ไม่ได้ถามออกไป
“ฉันตัดสินใจแล้วริน” ท่านหญิงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นราวกับตัดสินใจเรื่องนี้มานานมากแล้วท่าทีในน้ำเสียงที่ไม่แสดงออกถึงความไม่มั่นคง
เธอจึงทำใจยอมรับการตัดสินใจของท่านหญิง “แล้วท่านหญิงจะทรงทำอย่างไรเล่าเพคะ?”
“ในเมื่อคุณหญิงนพต้องการสะใภ้ใหม่เพื่อต้องมาดูแลเด็กๆ ฉันจะเป็นให้เอง…” น้ำเสียงของท่านหญิงนิ่งมาก ราวกับไม่มีอารมณ์ใดเข้ามาเจือปน มันใสบริสุทธิ์จนน่ากลัว ดวงตาที่เรียบเฉยไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ มาบดบังนั้น กลับทำให้ขนลุกจนน่าประหลาด ท่วงท่าที่นิ่งเฉยไม่เคล้าของความเสียใจเหมือนกับที่ผ่านมานั้น...ไม่มีใครสามารถเดาได้เลยว่าท่านหญิงจะทำเช่นไรในภายภาคหน้า