หญิงสาวชนชั้นสูงยอมแต่งงานกับชายที่ไม่ได้รัก เพื่อเลี้ยงดูลูกของคนรักที่ได้จากไป ยี่สิบปีต่อมาพวกเขาได้โอกาสให้กลับมารักกัน

เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me) - บทที่ 1 เมื่อแรกพบเจอ โดย LiLi Lee @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,หญิง-หญิง,ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ไทย,แต่งงาน,ท้อง,ทหาร,พีเรียดไทย,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,หญิง-หญิง,ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แต่งงาน,ท้อง,ทหาร,พีเรียดไทย,ดราม่า

รายละเอียด

เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me) โดย LiLi Lee @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

หญิงสาวชนชั้นสูงยอมแต่งงานกับชายที่ไม่ได้รัก เพื่อเลี้ยงดูลูกของคนรักที่ได้จากไป ยี่สิบปีต่อมาพวกเขาได้โอกาสให้กลับมารักกัน

ผู้แต่ง

LiLi Lee

เรื่องย่อ


 

เรื่องย่อ

หญิงสาวชนชั้นสูงยอมแต่งงานกับชายที่ไม่ได้รัก เพื่อเลี้ยงดูลูกของคนรักที่ได้จากไป ยี่สิบปีต่อมาพวกเขาได้โอกาสให้กลับมารักกัน

 

ตัวละคร

พลตรี หม่อมเจ้าสาทิสยา ไวทย์เวธน์ทิวากร / แม่วาด

สถานะ : คนรักของคุณจันทร์ และเป็นแม่ของจรณ์จิณณ์

 

หม่อมเจ้าจันทรารัตน์ ปัณณ์ปริชญ์ปัถย์ / จันทรารัตน์ กวินกานต์ / หม่อมจันทรารัตน์ ไวทย์เวธน์ทิวากร ณ อยุธยา

สถานะ : คนรักของแม่วาด แม่เลี้ยงของจรณ์จิณณ์ ภรรยาในนามของชรัน

 

พันโทชรัน กวินกานต์

สถานะ : พ่อของจรณ์จิณณ์ สามีของแม่วาด คุณจันทร์ วิมล

 

นักเรียนนายร้อยปัณณ์จรณ์ กวินกานต์

สถานะ : ลูกชายของชรันและแม่วาด

 

นักเรียนนายร้อยปัณณ์จิณณ์ กวินกานต์

สถานะ : ลูกชายของชรันและแม่วาด

 

วิมลตรา ดารารายณ์

สถานะ : ภรรยารองของชรัน

 

ชิรินตรา กวินกานต์

สถานะ : ลูกสาวของชรันกับภรรยารอง

 

รินจายา เปรมวาณิชย์

สถานะ : เพื่อนแม่วาดกับคุณจันทร์

 

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทวินปัณณ์ปริชญ์ปัถย์

สถานะ : เสด็จพ่อของคุณจันทร์

 

หม่อมเจ้าศิวากร ชิญชาญ ปัณณ์ปริชญ์ปัถย์

สถานะ : ท่านแม่ของคุณจันทร์และชายาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทวินปัณณ์ปริชญ์ปัถย์

 

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปันภาพร ไวทย์เวธน์ทิวากร

สถานะ : เสด็จป้าของพลตรีหม่อมเจ้าสาทิสยา

****เพื่อให้อ่านได้อย่างอรรถรสขอให้นักอ่านแวะเข้ามาอ่านครงนี้เล็กน้อยนะคะ****

 

1.คุณจันทร์เป็นหม่อมเจ้าหญิง แต่ในเรื่องจะเรียกว่าคุณจันทร์เพราะว่าคุณจันทร์ได้สละยศเป็นสามัญชนแต่งงานกับชรันและตอนแต่งงานกับหม่อมเจ้าสาทิสยา (หรือแม่วาด) ก็แต่งตอนเป็นสามัญชน ดังนั้นจึงเรียกคุณจันทร์ค่ะ

2.คุณจันทร์อนุญาตให้แม่วาดเรียกคุณจันทร์ด้วยคำปกติได้ เพราะทั้งสองเป็นคนรักกัน

3.ทุกอย่างในเรื่องเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนเพียงเท่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับเป็นจริงใดๆ โปรดอ่านเพื่อความเพลิดเพลินและใช้วิจารณญาณ

 

สวัสดีจ้านักอ่านทุกคนนนน ไรท์ขอฝากนิยายเรื่องเรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจนักอ่านักคนด้วยน้าาาา

เพลลิสต์เพลงมาฝากจ้า ทุกคนสามารถเข้าไปฝันเพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่านได้นะคะ

https://open.spotify.com/playlist/2FsZanXiU18yXisLHv58WG?si=48c563e9601d4084

 

ผังตัวละคร


 


 

 

 

ขอฝากนิยายเรื่องอื่นๆ ของเราด้วยน้าาา

 

 

เรื่องย่อ : เอมมาริน สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของโซเรลถูกลูกหลงโดนยิงจะกลุ่มผู้ประท้วงวิญญาณของเธอล่องลอยเข้าสู่ร่างของเอราเบล ลี ลูกสาวของตระกูลลีที่มีความใกล้ชิดทางสายเลือดกับราชวงศ์ โชคชะตาของเธอคือการชดใช้ไม่ว่าเธอจะอยู่สูงเพียงใด เธอต้องพบกับการสูญเสียพลัดพรากเฉกเช่นเดียวกันกับคนรักของเธอ

 

 

 

เรื่องย่อ : เลขาท่านผู้นำอย่างเอบิซาถูกจับให้มาแต่งงานกับผู้ปกครองเผ่างูในป่าลึกดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าบรรพชนจากการบูชาหญิงสาวเพื่อให้กำเนิดทายาทรุ่นต่อไปของอาวคลาส วาดิม เธียร์

 

 


 

เรื่องย่อ : ไม่ใช่แนวเกิดใหม่…แต่เป็นการทำงานรอนรกว่าง! ไป๋เหลียงคือหญิงสาวที่เข้าไปอยู่ในร่างของฮุุ่ยเจิน ผู้เป็นคุณนายใหญ่ตระกูลเหว่ย

 

 

 

 

 

 

สารบัญ

เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 0 บทนำ,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 1 เมื่อแรกพบเจอ,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 2 เมื่อเราใจตรงกัน,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 3 เจ็บปวด,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 4 ข้อตกลง,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 5 เริ่มต้นที่จุดสิ้นสุด 1/2,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 6 เริ่มต้นที่จุดสิ้นสุด 2/2,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 7 ไปเที่ยวอยุธยา,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 8 กลับวัง,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 9 ไปเที่ยวภูเก็ต,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 10 เรียบง่ายแต่สุขใจ,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 11 พ่อแม่,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 12 ความจริงมองอยู่ที่คนมอง,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 13 หม่อมคนแรก,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-บทที่ 14 วันหมั้น,เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)-E-book เรามาแต่งงานกันเถอะคุณจันทร์ (your majesty Marry Me)

เนื้อหา

บทที่ 1 เมื่อแรกพบเจอ

บทที่ 1

เมื่อแรกพบเจอ

 

พ.ศ.2543

ตืดดดดด ตืดดดดด ท่านหญิงจันทร์รับโทรศัพท์จากเมืองไทยโทรตรงมาที่เยอรมัน คนที่รู้เบอร์โทรศัพท์ที่เยอรมันของท่านหญิงจันทร์ได้คงมีแต่รินเพื่อนของเธอและแม่วาด

รินหรือรินจายาเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของแม่วาด แม่วาดเป็นลูกของคหบดีใหญ่ทางภาคใต้ ส่วนรินเป็นลูกของคหบดีใหญ่ทางภาคเหนือที่ถูกส่งไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เด็ก แต่เมื่อพ่อแม่ทำธุรกิจที่กรุงเทพจึงได้ย้ายกลับมาอยู่ที่กรุงเทพ และได้มีโอกาสรู้จักกับแม่วาดเลยสนิทกันตั้งแต่มัธยม

รินเป็นคนที่มีความคิดเฉียบคม มองทุกอย่างขาด รินเจอเธอเพียงไม่กี่ครั้งก็เดาออกได้เลยว่าความสัมพันธ์ของเธอกับแม่วาดมันมีอะไรที่มากว่าที่เห็น เพียงแต่เธอไม่คิดจะพูดมันออกมา ใครๆ ก็เดาบริบทของสังคมในตอนนั้นออก การรักชอบเพศเดียวกันจะถูกสังคมรุมประจานและพาดพิงไปถึงครอบครัว ยิ่งเป็นหญิงสาวจากสังคมชั้นสูงแล้วไซร้ ผู้คนก็ยิ่งอยากจะกดพวกเธอให้จมดิน

รินรู้ว่าเธอกับแม่วาดพึงใจต่อกันแต่ก็ไม่เคยมองเราด้วยความรังเกียจ ถ้าเป็นคนอื่นคงจะหลีกหนีที่จะคบค้ากับเธอกับแม่วาดเป็นสหาย เวลาเธอกับแม่วาดอยากจะออกไปเที่ยวด้วยกัน รินมักจะออกไปด้วยเสมอ เราสองคนต่างรู้สึกขอบคุณรินอยู่ในใจทุกครั้ง

 

 

 การที่เธอถูกเสด็จพ่อส่งมาเรียนที่ฝรั่งเศสมันไม่ได้เป็นความสมัครใจของฉันแม้แต่นิดเดียว ทั้งเธอและเสด็จพ่อต่างรู้ดีว่าเธอถูกส่งมาที่ฝรั่งเศสเพราะอะไร...

 

 

ใช่…เธอหนี…เธอมาเยอรมันด้วยตัวคนเดียวมิได้บอกกล่าวแก่ผู้ใดทั้งสิ้น เธอไม่อยากอยู่ในสายตาของเสด็จพ่อที่เหมือนกรงขัง จึงไปเรียนที่เยอรมันแบบที่ไม่มีใครรู้ คนที่รู้มีเพียงรินเท่านั้น นั่นเพราะรินรู้ด้วยความบังเอิญ ปกติเราจะส่งจดหมายหากันมากกว่าที่จะโทร

ดังนั้น การโทรมาครั้งนี้ต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

“...ฮัลโหล-”

“ท่านหญิง หม่อมฉันมีเรื่องทูลทรงเรียนให้ทราบ ท่านหญิงทรงตั้งสตินะเพคะ คือว่าแม่วาดเสียแล้วเพคะ...”เสียงบอกเล่าประโยคสุดท้ายของรินช่างแผ่วเบาเหมือนปุยเมฆแต่กลับดังแจ่มชัดในโสตประสาทของผู้รับสาร

มีเสียงหวีดเข้ามาในหูและดับลง เธอไม่ได้ยินอะไรต่อจากนี้อีก เธอหยุดหายใจอย่างไม่รู้ตัว มือไม้ที่แข็งแรงพลันอ่อนแรงโดยพลัน มันทั้งชาทั้งเย็น และรู้สึกแสบที่จมูกเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ม่านน้ำตาที่หยดลงมาไม่รู้เลยว่าน้ำตานั้นหยดเป็นเม็ดหรือเป็นสาย ขาของคุณจันทร์ทรุดลงไปนั่งกับพื้นและลากเครื่องโทรศัพท์ลงมาด้วย การกระแทกลงมานั่งของคุณจันทร์คงเจ็บน่าดู แต่เวลานี้คุณจันทร์คงไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอีกแล้วเพราะมีบางสิ่งที่เจ็บยิ่งกว่า

“ท่านหญิงฟังอยู่หรือเปล่า ท่านหญิง....” รินรู้ว่าท่านหญิงเมื่อได้ฟังประโยคเหล่านี้แล้วจะเป็นอย่างไร ตอนแรกเธอไม่กล้าบอกท่านหญิงด้วยซ้ำ จะให้บอกได้อย่างไร ถ้าบอกคุณจันทร์ต้องใจแหลกสลายเป็นแน่ และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

แต่ถ้าไม่บอกก็ไม่ได้ เพราะยังไงเสียท่านหญิงแลแม่วาดก็ต้องอยากพบกันเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเช่นไร ดังนั้นนี่จึงเป็นการตัดสินใจที่ลำบากมาก

ความลำบากของทั้งสองคนที่ต้องเจอ ใช่ว่าเธอจะไม่รู้ มันแสนยากเย็นเพียงใดที่ต้องแยกจากคนรัก อยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่ก็เหมือนห่างกันแสนไกล แต่เธอที่เป็นคนนอกยังรู้สึกว่ามันได้สูญสลายไปแล้ว การอดทนเพื่อเป้าหมายเพื่อปกป้องกันและกันคงทำไม่สำเร็จแล้ว

 

มีคนบอกว่าจากเป็นดีกว่าจากตาย...แต่จากตายเช่นนี้จะให้ทำอย่างไร สิ่งต่างๆ ล้วนพังทลายลงมา

 

คุณจันทร์เพิ่งได้สติก็ถามถึงสาเหตุการจากไปของแม่วาด “ทำไมแม่วาดถึงตาย”

 

แต่ท่านหญิงไม่สามารถปกปิดความเศร้าเสียใจไปได้ ปลายสายที่ได้ยินกลับรู้สึกผิดที่ต้องนำเรื่องนี้มาบอกท่านหญิงแลลังเลว่าตัวเองทำถูกหรือไม่ที่บอกเรื่องการตายของแม่วาดกับท่านหญิง

แต่ในเมื่อพูดไปแล้วก็ต้องบอกให้หมดไม่ให้ขาดตกบกพร่อง คิดเสียว่าตนทำเพื่อความรักของทั้งสองคน “เห็นว่าตกเลือดมากระหว่างคลอดเหมือนจะคลอดก่อนกำหนด เห็นเกิดอุบัติเหตุก่อนมาโรงพยาบาล”

“ฉันจะกลับไทยวันนี้ รินมารับฉันหน่อย”

ท่านหญิงจันทร์รู้แค่ว่าตัวเองอยู่ที่นี่ไม่ได้อยู่อย่างนี้ไม่ได้ เธอจะต้องไปเจอแม่วาดไปดูว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง

แม่วาดยังอยู่...ไม่ได้จากไป...ไม่ได้จากไปไหน... ท่านหญิงเก็บสัมภาระแบบลวกๆ เพราะไม่ได้สามารถรับความจริงที่แม่วาดตายไปแล้วได้ รู้เพียงแค่ว่าต้องไป ต้องไปเจอให้ได้ อะไรก็ไม่สำคัญไปกว่าแม่วาด

ท่านหญิงไม่ได้กินไม่ได้นอนเร่งเดินทางเพื่อมาที่ไทยให้เร็วที่สุดและตอนนี้ก็ถึงไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านหญิงรีบวิ่งเข้าไปหารินเพื่อจะขอให้พาไปพบแม่วาดให้เร็วที่สุด

รินที่เห็นท่านหญิงรีบร้อนมากและเหมือนคนไม่มีสติ น่าสงสารเหลือเกิน ถ้าได้ไปเจอแม่วาดจริงๆ คุณจันทร์จะไม่เสียใจมากกว่านี้หรือ แค่นี้ก็เหมือนสูญเสียจิตวิญญาณไปเสียแล้ว “ท่านหญิงทรงได้พักบ้างหรือเปล่าเพคะ”

“ไม่เป็นไร ฉันอยากไปเจอเธอ” พอลงสนามบินมาเธอไม่ได้สนใจว่าตอนนี้ตัวเองมีสภาพเป็นอย่างไร ขอเพียงได้ไปพบแม่วาดให้เร็วที่สุด ใจของเธอมันร่ำร้องว่าอยากเจอ

“เพคะท่านหญิง” รินรีบเข้าไปประคองท่านหญิงเพราะกลัวว่าระหว่างเดินทางท่านหญิงจะไม่สบายก่อนจะเดินทางไปถึงโรงพยาบาลเพื่อไปเจอวาด “หม่อมฉันขอคุณพ่อไว้แล้วเรื่องจะเข้าไปเยี่ยมดูร่างผู้เสียชีวิตเป็นกรณีพิเศษ ทรงมีเวลาไม่มากเข้าไปไม่นานเพคะ”

“ขอบใจเธอมากนะริน”

รินจายามองท่านหญิงด้วยความสงสารสุดแสนจะบรรยายได้ ไม่รู้จะปลอบใจท่านเยี่ยงไรดี ถึงจะสามารถทำให้ท่านหญิงไม่เศร้าไปมากกว่านี้ “หม่อมฉันช่วยเท่าที่จะช่วยได้เพคะท่านหญิง”

 

 

ตลอดทางเข้าไปห้องชันสูตร ท่านหญิงพยายามกลั้นน้ำตา ทั้งไม่อยากยอมรับความจริง เมื่อท่านหญิงเห็นร่างของคนรักนอนแน่นิ่งไม่ขยับ ร่างกายที่ขาวซีดทำให้ใจของท่านหญิงสลาย คนที่เธอเฝ้ารัก เฝ้าทะนุถนอมปกป้องมาเป็นอย่างดี สิ่งที่เธอหวังคือแม่วาดจะมีชีวิตที่ยืนยาวกับครอบครัวของเธอ แต่ทำไมกัน?...ทำไมเป็นอย่างนี้...

มือของท่านหญิงสั่นเทาเมื่อสัมผัสลงร่างไร้ลมหายใจที่เย็นเฉียบ แม้ท่านหญิงจะสามารถรักษากิริยาของท่านได้แต่ไม่สามารถปิดบังจากร่างกายของท่านได้ มือที่สั่นไหว ดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยธารน้ำตา สีหน้าบวกกับท่าทีสงบนิ่ง ทำให้ผู้ได้เห็นคงทราบดีโดยไม่ต้องอธิบายอะไรว่าใจของคนๆ นี้กำลังกลายเป็นร่างไร้วิญณาณ ดวงตาที่มืดมิดหม่นหมองจากการสูญเสียคนที่เป็นดั่งลมหายใจ โลกของเธอกลายเป็นสีขาวดำ

ท่านหญิงไม่รังเกียจแม้แต่น้อยที่จะโผเข้าไปกอดและซบลงบนร่างไร้วิญญาณของแม่วาด ท่านทรงกันแสงปานจะขาดใจถ้าใครบังเอิญได้ยินคงจะเข้าใจว่าเสียงทรงกันแสงนี้กำลังกรีดร้องอย่างทรมาน ไม่ต้องไปพูดถึงคนอื่นๆ รินที่อยู่ใกล้ๆ แทบจะทนเห็นภาพนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ

ภาพที่ท่านหญิงก้มลงไปกอดศพแม่วาดพยายามพูดคุย พยายามตระกองกอดกับร่างไร้ลมหายใจนั่น ทำเอาคนดูอย่างเรารู้สึกเหมือนคนขาดสติเหมือนกับเธอ แต่อันที่ทำให้รู้สึกว่าทนไม่ได้จนรู้สึกเศร้าไปพร้อมท่าน คือการที่ท่านหญิงจูบลงบนมือของแม่วาด ทรุดลงนั่งกับพื้นทรงกันแสงจับมือแม่วาดไม่ปล่อย

รินที่กลั้นน้ำตาไม่อยู่เพราะรู้สึกสงสาร เห็นใจทั้งคู่มาก ยิ่งทั้งคู่เป็นเพื่อนรักของเธอแล้ว ยิ่งรู้สึกว่าไม่ควรมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับพวกเขาเลยแค่พวกเขาถูกจับแยกก็น่าจะเพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมต้องแยกจากกันด้วยความตายด้วยเล่า?

เธอรู้สึกว่าจะปล่อยให้ท่านหญิงโดดเดี่ยวแบบนี้ไม่ได้ จึงได้เข้าไปนั่งข้างๆ กอดปลอบท่านหญิง แต่ไม่รู้ว่าเพื่อปลอบท่านหญิงหรือตัวเองกันแน่ ณ เวลานี้อะไรก็ไม่สำคัญหรือว่าต้องละเมิดกฎอะไรทั้งสิ้น

มันมีเพียงแค่คนที่เสียใจและเสียใจคนที่เราคิดว่าเป็นคนที่ใช่ คนที่ทั้งชีวิตตามหาได้จากเราไปตลอดกาล เหมือนมีอะไรมากัดกร่อนเราให้เราทรมานกับความรู้สึกนี้ไปจนตาย

การที่เราพบเจอคนที่ใช่ ทำไมถึงไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ทำไมคนที่ใช่สำหรับเรา ถึงไม่ใช่สำหรับคนอื่น จนทำให้ทุกข์ทรมานและส่งผลต่อเราขนาดนี้ ทำไม...ทำไมกัน... ทั้งคู่ถนอมกันและกันมาอย่างดีทักถอออกมาด้วยความตั้งใจเสกสรรมันขึ้นมาทำไมถึงได้ถูกทำลายแบบนี้...ทำไมกัน

 

 

หญิงสาวสูงศักดิ์มีพระพักตร์ดั่งต้องมนตร์สะกด สดใส แพรวพราว ดวงเนตรเป็นประกาย ไฝที่กรรณบ่งบอกว่าเจ้าตัวเป็นคนที่ซนและดื้อตามตำราอย่างแท้แน่นอน กำลังทรงดำเนินย่องไปด้านหลังของหญิงชราเพื่อหยอกเย้าแบบที่เคยโปรดทำประจำ หญิงสูงศักดิ์เดินเข้าไปจี้เข้าที่เอวของหญิงชราผู้นั้น

“ว้าย!!! ใครกันถึงกล้ามาจี้เอวฉัน!! โถ่ ~ ท่านหญิงทรงอย่าเล่นแบบนี้อีกนะเพคะหม่อมฉันตกใจหมดเลย” หญิงชราคนนี้คือนมพู แม่นมของหม่อมเจ้าจันทรารัตน์พระธิดาของพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าทวินปัณณ์ปริชญ์ปัถย์กับหม่อมเจ้าศิวากรชิญชาญปัณณ์ปริชญ์ปัถย์

นมพูกำลังเอ็ดเจ้านายตัวน้อยของเธอแม้ท่านหญิงจันทร์จะเจริญชันษามากแล้วก็ตาม ในสายตาของเธอท่านหญิงจันทร์ยังทรงเป็นเจ้านายตัวน้อยที่ทั้งซุกซนและเจ้าเล่ห์เสมอ

 

ท่านหญิงจันทร์ทรงเป็นหญิงสาวที่โตมากลับค่านิยมสมัยใหม่ ท่านถูกส่งไปศึกษาเล่าเรียนที่อังกฤษตั้งแต่เจริญชันษาได้สิบสองปี เหมือนกับพระโอรสของเจ้านายคนอื่นๆ แต่ที่ต่างออกไปคือท่านเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในรุ่นเดียวกันที่ได้ไปศึกษาในต่างแดน

 ถ้าเป็นหม่อมเจ้าหญิงคนอื่นๆ คงจะมีพระญาติที่เป็นห่วง ถ้าจะให้ไปศึกษาต่างแดนเพียงตัวคนเดียวแบบท่านหญิงจันทร์ ก็เกรงกลัวว่าจะไปหลงแสงสีได้บุตรเขยเป็นต่างชาติกลับมา

 

 

ในสมัยของท่านหญิงจันทร์ หญิงสาวมากมายได้รับการศึกษาที่สูง การที่ท่านจะมีความคิดสมัยใหม่ก็ไม่น่าจะแปลกอะไร ถ้าจะแปลกก็คงแปลกตรงที่ว่าท่านเด็กเกินไปที่จะไปศึกษาต่างแดนคนเดียวเสด็จพ่อแลท่านแม่ของท่านหญิงจันทร์ทรงอนุญาตให้ไปด้วยตัวของพระองค์เอง

พระองค์เจ้าทวินปัณณ์ปริชญ์ปัถย์ ท่านทรงไปศึกษาและทำงานในต่างแดนจนเวลาล่วงเลยจากวัยหนุ่มเข้าสู่วัยกลางคน กระทั่งได้พบรักกับหม่อมเจ้าศิวากรชิญชาญที่ทรงไปศึกษาในต่างแดน ท่านทั้งสองต่างเป็นนักเรียนนอกด้วยกันทั้งคู่ ถ้าจะว่าจะแปลกก็คงแปลกด้วยกันทั้งหมดนี่แล

พระองค์เจ้าทวินปัณณ์ปริชญ์ปัถย์ตอนที่ท่านทรงพบรักกับหม่อมเจ้าศิวากรชันษาของท่านล่วงเวลาการครองเรือนมาแล้ว แต่ท่านไม่ได้มีหม่อมในพระองค์เองมาก่อน ซึ่งทุกคนมองว่าแปลกประหลาดยิ่งนัก แต่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าคือไม่มีใครบังคับท่านให้เสกสมรสได้ อาจเป็นเพราะท่านถูกส่งไปเรียนที่ต่างประเทศมานานหลายปีและไม่ได้กลับมาเลยคงจะพ้นหูพ้นตาเจ้านายหลายคนเสียกระมัง จนกระทั่งเสกสมรสกับท่านแม่ท่านถึงได้กลับไป

ท่านทั้งสองจึงมีความคิดหัวสมัยใหม่อยู่พอสมควรพอกลับประเทศไทยก็ปรับตัวระยะหนึ่ง จนพระองค์ท่านเจ้านายสูงๆ สงสารจึงให้ไปถวายงานอย่างที่เคยทำในต่างแดนทำให้เสด็จพ่อท่านแม่จึงได้เดินทางไปที่ต่างๆ อยู่บ่อยๆ

กระทั่งท่านหญิงศิวากรให้การประสูติท่านหญิงจันทร์จึงได้กลับมาลงหลักปักฐานที่ไทยอย่างจริงจัง แต่เมื่อมีงานสำคัญพระองค์เจ้าทวินปัณณ์ปริชญ์ปัถย์จะพาท่านหญิงจันทร์ตามเสด็จด้วยเสมอ ทั้งที่ความจริงท่านให้ข้าหลวงในวังเลี้ยงก็ได้ แต่ท่านตรัสกลับไปว่าลูกของท่านท่านจะเลี้ยงเอง

คงปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าท่านหญิงจันทร์เป็นแก้วตาดวงใจของเสด็จท่านมากแค่ไหน แต่ท่านก็มีความเข้มงวดไม่ได้ปล่อยให้ตามใจจนเสียผู้เสียคน โดยไม่รู้ว่าเพราะการเลี้ยงดูของท่านจึงทำให้หญิงสาวผู้สูงศักดิ์มีความคิดความอ่านที่กว้างไกลและอาจจะพูดได้ว่าเป็นหัวหน้าก้าวหน้า

ท่านหญิงจันทร์ทรงเป็นคนกล้าคิดกล้าทำกล้าแสดงออก ไม่มีความเขินอายเหมือนกับสตรีชั้นสูงคนอื่นๆ ท่านทรงสดใส ซุกซน และแพรวพราว แต่ก็ไม่ได้มีอะไรไม่งาม ความเป็นสตรีชั้นสูงไม่มีทางที่จะทำอะไรให้ตัวเองเสื่อมเสีย แม้จะถูกเลี้ยงดูอยู่ที่ต่างประเทศเสียส่วนใหญ่ก็ตาม ดวงเนตรของท่านเมื่อใครได้สบดวงเนตรคู่นั้นก็ต้องบอกว่าตัวเองต้องมนตร์สะกดเพราะดวงตาคู่นั้นฉายแววความแพรวพราว ความมั่นใจ และความสูงศักดิ์ ไม่ว่าใครก็ตามสบดวงเนตรคู่นั้นไม่มีทางหาทางออกเจอ

“หญิงขอโทษนมพู ยกโทษให้หญิงนะ หญิงคิดถึงนมพูมากเลย โอ๊ะ! นมพูนั่นคืออะไรน่ะ” ท่านหญิงจันทร์มองไปยังอาหารที่ถูกจัดอย่างสวยงามตรงหน้าและหันมาถามนมพู “วันนี้มีแขกมาที่วังเหรอนมพู”

“เพคะ นี่เป็นฝีมือของแม่วาด แม่วาดมาเรียนการบ้านการเรือนกับหม่อมเจ้าท่านเพคะ”

“ท่านแม่น่ะหรือนมพู” ท่านหญิงจันทร์ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อกับหูของตัวเอง ปกติท่านแม่ไม่ชอบเรื่องวุ่นวายนานมากแล้ว ท่านไม่คิดจะรับลูกศิษย์อีก แม่วาดคนนี้น่าจะเป็นที่โปรดปรานของท่านแม่ไม่น้อย

“ใช่เพคะ คนนั้นไงเพคะ” คุณจันทร์มองขึ้นไปตามจุดที่นมพูชี้ให้เธอดู หญิงสาวผิวหมดจดสีน้ำผึ้ง ดวงตาคมเข้มคู่นั้นดึงดูดสตรีสูงศักดิ์ให้ต้องมนต์ ดวงหน้าคล้ายพระจันทร์ คิ้วเข้มดำสนิทปลายหางชี้ขึ้น ขนตาที่ยาวงอนนั่นกระพือตามแรงกะพริบตาเสมือนนกยูงร่ายรำกางปีก จมูกโด่งราวกับแขกสวยงามคมได้รูป ริมฝีปากอวบอิ่มที่ไม่คล้ายชาวกรุงเก่า ผมดำหนาสวย ไม่ว่าหญิงสาวคนนั้นจะขยับท่วงท่าไปทางใดก็น่าดูราวกับภาพวาด

งดงามเหลือเกิน...ในวินาทีนั้น คุณจันทร์ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเธอได้ตกหลุมรักแม่วาดเข้าให้เสียแล้ว เธอรู้เพียงว่าแม่วาดเป็นคนที่เธออยากจะทำความรู้จักให้มากกว่าแค่รู้ว่าเป็นลูกศิษย์ของท่านแม่

“นมพู สำรับนี้ยกไปให้ท่านแม่ใช่หรือไม่ เดี๋ยวหญิงยกไปให้เองนะ” ไม่รอให้นมพูตอบรับคุณจันทร์ก็คว้าพานเครื่องคาวหวานไปเสียแล้ว ช่างรวดเร็วจนคนแก่ๆ ตามไม่ทันทีเดียว ไม่ต้องเดาก็พอรู้ว่าคุณจันทร์รีบไปหาใคร

“นั่นลูก ถืออะไรมาน่ะหญิงจันทร์” ท่านหญิงจันทร์เดินเข้าไปและคุกพระชงฆ์คลานเข้าไปกราบท่านแม่ของท่าน แม้เสด็จพ่อและท่านแม่จะทรงเป็นนักเรียนนอกทั้งคู่แต่ก็ไม่ได้ลืมความเป็นมาของท่านเอง

ท่านแม่แม้จะเป็นนักเรียนนอกแต่การบ้านการเรือนไม่เคยแพ้สตรีในเชื้อพระวงศ์คนใดแม้แต่น้อย ท่านแม่ว่าเราสามารถอยู่ร่วมกันได้แม้จะแตกต่างอะไรที่ว่าดีก็นำมาปรับใช้ ไม่ใช่เออออตามกันไปหมด ท่านแม่มักจะกวดขันเธอให้เป็นสตรีชนชั้นสูงดังที่พึงกระทำไม่ให้ใครมาดูถูกได้

อย่างอื่นเธอทำได้หมดยกเว้นเรื่องการทำอาหารไม่ว่าจะพยายามเสียเท่าไรดูท่าจะไม่เป็นผลสำเร็จ จนท่านแม่ไม่อยากเห็นเธอเข้าครัวอีก เพราะชอบไปสร้างความเสียหายมากกว่าประโยชน์ ถึงแม้จะห้ามอย่างไรเธอก็ไม่ฟัง เพราะเธอชอบไปหานมพูเพื่อไปอ้อนขอชิมก่อนจะถวายเครื่องเสวยให้แก่เสด็จพ่อเสด็จแม่

หม่อมเจ้าศิวากรเมื่อเห็นดังนั้นก็พอใจในกริยาของบุตรสาวของตนเองแม้จะกลายเป็นลิงเป็นค่างไปบ้าง แต่กริยาก็ยังดูสำรวมตามแบบแผนของสตรีชนชั้นสูง

“ลูกกราบเสด็จแม่เพคะ” ท่านหญิงจันทร์หลังจากสำรวมได้ไม่นานก็เขยิบเข้าไปออดอ้อนหม่อมเจ้าศิวากรเอาดวงหน้าถูไปที่มือของหม่อมเจ้าท่านและพูดด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย “ท่านแม่เพคะ ลูกได้ยินว่าท่านแม่มีลูกศิษย์งานครัวแล้วหรือเพคะ?”

หม่อมท่านทรงเดาจุดประสงค์ของบุตรสาวของตนได้จึงพูดออกไป “อ้อ ที่มาหาได้ก็เพราะจะมาชิมอาหารสินะ หญิงจันทร์ลูกนี่เห็นแก่กินจริงๆ” หม่อมเจ้าท่านพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งว่ากึ่งหยอกล้อ มือของท่านจับดวงหน้าของท่านหญิงจันทร์ขึ้นมาก่อนจะจับขย้ำไปมาจนดวงหน้าของท่านหญิงจันทร์บู้บี้ไปหมดปากก็พูดไม่ได้ศัพท์ สร้างความขบขันปนเอ็นดูแก่ข้ารับใช้ที่อยู่แถวนั้นได้เป็นอย่างดีกับภาพอบอุ่นของเจ้าของวังนี้ “อยากกินชิมก็ชิม แม่ไม่ว่ากระไรหรอก กินแต่พองามนะหญิงจันทร์” หม่อมเจ้าท่านกำชับด้วยสายตาคมเข้มกริบใส่ท่านหญิงจันทร์ผู้เป็นธิดาของท่าน

“ขอบพระทัยเพคะท่านแม่” ท่านหญิงทรงสรวลแลทำให้ดวงเนตรเป็นสระอิ ทรงพูดเสียงเล็กเสียงน้อยราวกับเด็ก ก่อนจะหยิบจับเครื่องคาวหวานอย่างรวดเร็ว จนข้าหลวงที่นั่งอยู่นั้นว่าไม่จะเห็นกี่ทีก็ไม่อยากจะเชื่อสายตาเลยสักครั้ง แต่ข้าหลวงที่เลี้ยงท่านหญิงมานานอย่างนมพูและข้าหลวงของท่านแม่ต่างส่ายหน้าให้แก่ท่านหญิงอย่างระอาปนเอ็นดูราวกับปลงเสียแล้ว เมื่อทั้งสองหันมาปะกันมองตาก็รู้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างคิดเหมือนกันจึงได้หัวเราะออกมา

ส่วนท่านหญิงก็หยิบจับอันนี้ทีอันนู้นที ดวงเนตรเป็นประกายแวววับราวกับเจอของที่ถูกใจ และใช่...ท่านเจอของที่ท่านถูกใจจริงๆ ท่านตกอยู่ในภวังค์ของอาหารที่แม่วาดทำขึ้น เมื่อได้กินภาพในหัวของท่านก็ผุดใบหน้าของหญิงสาวผิวนวลน้ำผึ้งคนนั้น ท่านหญิงเสวยไปทรงสรวลไป คนอื่นอาจจะมองว่าท่านถูกใจรสมือของแม่วาด เพราะอาจจะเดาไปว่าในสำรับนี้มีแต่ของโปรดท่านหญิง อย่างน้ำรากบัว แกงมัสมั่น ไม่รู้ว่ามันบังเอิญหรือไม่

ใช่...นี่ไม่ใช่ความบังเอิญ

แต่ใครเล่า...จะรู้ว่าท่านหญิงจันทร์ก็สนใจตัวคนทำสำรับอาหารที่นี้เช่นกัน ไม่เพียงแต่อาหารเท่านั้น

ความรู้สึกที่เกิดขึ้นไม่ได้เลือกว่าอยากจะเกิดขึ้นกับใคร เพศอะไร อายุเท่าไร สถานะทางสังคมเป็นเช่นใด กว่าเราจะรู้ใจของตนเองและยอมรับมันก็ช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน เช่นเดียวกับท่านหญิงจันทร์บั้นปลายชีวิตของท่านช่างอิสระเสรีแต่ก็โดดเดี่ยว

แม้รัฐบาลที่เกิดใหม่จะสามารถให้หญิงสูงศักดิ์ลาออกจากฐานันดรเพื่อมาแต่งงานกับสามัญชนได้แล้ว แต่ก็ยังมีหญิงสูงศักดิ์จำนวนหนึ่งที่เลือกไม่แต่งงาน การที่เสด็จพ่อและท่านแม่ของท่านหญิงจันทร์เลี้ยงดูท่านในโลกอันกว้างใหญ่นี้ เพื่อให้ท่านได้มีอิสระเสรีในกฎระเบียบต่างๆ ที่มาพร้อมกับฐานันดรของตน เพื่อที่จะได้เรียนรู้ที่จะรักษาและหาความสุขให้กับตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพาใคร ไม่ว่าท่านหญิงจะตัดสินใจแบบไหนเสด็จพ่อและท่านแม่ของท่านก็ยินดีที่จะพร้อมยอมรับการตัดสินใจ

แต่...เรื่องบางเรื่องแม้จะเปิดกว้างแค่ไหน...ก็ใช่ว่าจะล้ำเส้นได้

“ท่านหญิง” หญิงสาวที่ยิ้มแย้มแจ่มใสคนนั้นมีเสน่ห์อันล้นเหลือไม่ว่าใครก็ต้องตกหลุมรักเธอ ท่านหญิงเองก็เช่นกัน...ท่านหญิงทรงรู้อยู่แล้วว่าจุดหมายปลายทางชีวิตของท่านจะต้องโดดเดี่ยวเพราะฐานันดรที่สูงศักดิ์

แต่ตอนนี้เหมือนจะมีความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้เจตจำนงเดิมได้เปลี่ยนไปอาจเป็นเพราะหญิงสาวตรงหน้า เธอพิเศษกว่าคนอื่นๆ กว่าใครทั้งหมด ความรู้สึกนี้ที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ คงจะสุดแล้วแต่ให้กาลเวลาเป็นตัวเร่งคำตอบ

“เรียกฉันว่าคุณจันทร์เถอะแม่วาด ความจริงแล้วถ้าท่านพ่อไม่ได้รับการเลื่อนยศฉันก็เป็นแค่หม่อมราชวงศ์เท่านั้น พูดคุยแบบธรรมดากับฉันเถอะนะแม่วาด”

“แต่ว่าท่านหญิงเพคะ” หญิงสาวผู้ยิ้มแย้มคนนั้นคือแม่วาด รู้สึกตกใจกับความกรุณาของท่านหญิงที่ทรงให้เรียกอย่างเป็นกันเอง

“งั้นเอาเยี่ยงนี้เป็นไร แม่วาดเรียกฉันว่าคุณจันทร์ตอนที่อยู่กันสองคนดีหรือไม่ ฉันขอเรียกแม่ว่าแม่วาดได้หรือไม่” เธอไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากจะสนิทกับแม่วาดขนาดนี้ทั้งที่เพียงรู้จักกันไม่นาน และก็ไม่รู้เช่นกันว่าทำไมตนเองถึงต้องใช้น้ำเสียงหวานไพเราะกับแม่วาดด้วย แต่เธอชอบความรู้สึกนี้เป็นอย่างมาก...มันเป็นเหมือนความสุขที่ถูกเติมเต็ม

“ได้เพคะ” แม่วาดมีท่าทีลังเลใจเล็กน้อยสุดท้ายก็ตอบตกลง

“ได้ยินข่าวจากท่านแม่ว่าแม่วาดจะมาเรียนการบ้านการเรือนกับท่านหรือ แม่วาดชอบทำอาหารหรือ” ระหว่างสนทนากันก็พากันเดินเคียงข้างกันไปรอบๆ สระบัว

“ใช่ค่ะคุณจันทร์ หม่อมฉันชอบทำอาหาร เห็นมีคนเล่าลือกันว่ารสมือของหม่อมเจ้าท่านดีมาก หม่อมฉันเลยอยากจะมาขอความรู้ไว้ประดับตัวเพ...-ค่ะ” แม่วาดยังไม่ชินและรู้สึกแปลกเล็กน้อยเลยเรียกผิดเรียกถูกไปบ้าง

“จริงหรือ ฉันน่ะเป็นนักเรียนนอกไม่ค่อยฝึกอะไรพวกนี้หรอก ท่านแม่ก็กวดขันฉันอยู่เรื่อยๆ แต่ฉันไม่มีฝีมือด้านนี้จริงๆ ยังไงฝากแม่วาดเป็นผู้สืบทอดวิชาจากท่านแม่เสียแล้ว ฉันจะรอชิมอาหารที่แม่วาดทำนะ ถ้าอยากได้คนชิมก็ขอให้นึกถึงฉันเป็นคนแรกนะแม่วาด”

“คุณจันทร์ชมมากเกินไปเสียแล้ว หม่อมฉันจะนึกถึงท่านหญิงเป็นคนแรกแน่นอนค่ะ” เราสองคนสนทนากันอย่างลื่นไหล ไม่รู้มาก่อนว่าสระบัวที่วังจะยาวขนาดนี้ เดินเท่าไรก็ยังวนไม่ครบรอบเสียที เวลาที่ดูเหมือนไม่ยาวนานกลับยาวนาน ท้องฟ้าที่มืดค่ำเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามืดแล้วและพวกเราใช้เวลาด้วยกันอย่างยาวนานคุยเท่าไรก็ไม่เบื่อ ปกติเธอรับรู้มาสักพักแล้วว่ามีคนที่มาขอเป็นลูกศิษย์ท่านแม่แต่จะได้พบหน้าจริงๆ จังๆ ก็วันนี้แล