"กูเลี้ยงมึงมากับมือ ใครก็พรากมึงไปจากกูไม่ได้!"เศรษฐีหนุ่มใหญ่วัย 39 ปี ที่หวงเด็กในอุปการะพี่เลี้ยงมาอย่างปาริชาติ เด็กกำพร้าที่นับวันยิ่งโตยิ่งสวยนับวันยิ่งหัวกระไดไม่แห้งเพราะเธอต้องเป็นของเขา

จงอางหวงไข่(ดุตัวพ่อ) - บทที่ 13 สั่งสอนคนปากดี โดย บุหงารำพึง-2537 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,ไทย,ผู้ใหญ่,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

จงอางหวงไข่(ดุตัวพ่อ)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,ไทย,ผู้ใหญ่

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

จงอางหวงไข่(ดุตัวพ่อ) โดย บุหงารำพึง-2537 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"กูเลี้ยงมึงมากับมือ ใครก็พรากมึงไปจากกูไม่ได้!"เศรษฐีหนุ่มใหญ่วัย 39 ปี ที่หวงเด็กในอุปการะพี่เลี้ยงมาอย่างปาริชาติ เด็กกำพร้าที่นับวันยิ่งโตยิ่งสวยนับวันยิ่งหัวกระไดไม่แห้งเพราะเธอต้องเป็นของเขา

ผู้แต่ง

บุหงารำพึง-2537

เรื่องย่อ

เศรษฐีไกรสรผู้ที่เป็นเจ้าของโรงเลื่อยเจ้าใหญ่ที่สุดในเมืองระยอง เขาเป็นผู้ชายที่หวงความโสดมากที่สุดและไม่เคยชายตาและผู้หญิงคนไหนที่จะเอามาเป็นเมียหรือแม่ของลูก นอกจากผู้หญิงชั่วคราวที่เอาไว้บำเรอความใคร่เขา 


 แต่แล้วเหมือนโชคชะตาจะกลั่นแกล้งให้เขาเจอเด็กผู้หญิงที่มีแววตาเศร้าสร้อยที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอนั่งอยู่ในโรงเลื่อยของเขาด้วยท่าทีที่เหม่อลอยเธอกลับถูกชะตาเด็กผู้หญิงมอมแมมคนนั้นจนถึงขั้นรับเลี้ยงเธอ


ปาริชาติเด็กผู้หญิงอายุ 12 ปีที่พ่อแม่ด่วนจากไปก่อนวัยอันควรและเธอก็ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนเธอได้อาศัยอยู่กับป้าแม้นป้าใจดีในโรงเลื่อยแต่ป้าก็ไม่ได้มีเงินทองมากมายจึงทำให้เธอไม่ได้เรียนหนังสือออกมาช่วยป้าแม้นทำงานในโรงเรื่อยเล็กๆน้อยๆ  


ใครๆก็บอกว่าเศรษฐีเจ้าของโรงเลื่อยเป็นคนใจดีมากปาริชาติเพิ่งเคยเห็นเศรษฐีเจ้าของโรงเลื่อยเป็นครั้งแรกเธอแอบกลัวเขาอยู่เล็กน้อยแต่ไม่รู้เคราะห์ซ้ำหรือกำซัดที่อยู่ดีๆก็ถูกรับเลี้ยงโดยเศรษฐีเจ้าของโรงเลื่อยที่ขึ้นชื่อเรื่องความดุและโหดที่สุด

 

สารบัญ

จงอางหวงไข่(ดุตัวพ่อ)-บทที่ 1 แรกพบสบตาเด็กหญิงกำพร้า,จงอางหวงไข่(ดุตัวพ่อ)-บทที่ 2 สิ่งที่เลือกไม่ได้,จงอางหวงไข่(ดุตัวพ่อ)-บทที่ 3 สายตาและคำดูถูก,จงอางหวงไข่(ดุตัวพ่อ)-บทที่ 4 การปรับตัวของปาริชาติ,จงอางหวงไข่(ดุตัวพ่อ)-บทที่ 5 พัฒนาชีวิต,จงอางหวงไข่(ดุตัวพ่อ)-บทที่ 6 หัวใจของปาริชาติ,จงอางหวงไข่(ดุตัวพ่อ)-บทที่ 7 แม่หนูปาริชาติ,จงอางหวงไข่(ดุตัวพ่อ)-บทที่ 8 ความผูกพัน,จงอางหวงไข่(ดุตัวพ่อ)-บทที่ 9 ความเปลี่ยนแปลง,จงอางหวงไข่(ดุตัวพ่อ)-บทที่ 10 พ่อไกรสรแรง ,จงอางหวงไข่(ดุตัวพ่อ)-บทที่ 11 สถานการณ์ที่ตึงเครียด,จงอางหวงไข่(ดุตัวพ่อ)-บทที่ 12 อย่าแตะต้องคนของกู,จงอางหวงไข่(ดุตัวพ่อ)-บทที่ 13 สั่งสอนคนปากดี,จงอางหวงไข่(ดุตัวพ่อ)-บทที่ 14 ความเป็นห่วง,จงอางหวงไข่(ดุตัวพ่อ)-บทที่ 15 ความน่ารักของปาริชาติ,จงอางหวงไข่(ดุตัวพ่อ)-บทที่ 16 ศัตรูในรอยอดีต

เนื้อหา

บทที่ 13 สั่งสอนคนปากดี

“ท่านผู้กำกับฯ” ทนายความของไกรสรเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงด้วยความจริงจัง “การกระทำของสารวัตรดอนนี่ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ครับ”

ผู้กำกับฯ หน้าถอดสี เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “คุณไกรสร... เรื่องนี้ผมต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ครับ ผมไม่ทราบเรื่องนี้เลย” เขาหันไปตวาดใส่สารวัตรดอนอย่างเหลืออด

 “ไอ้ดอน! แกไปทำอะไรไว้ แกทำแบบนี้ได้ยังไง!”

“คุณผู้กำกับฯ! ผมแค่ทำตามหน้าที่ ผมได้รับแจ้งว่าไกรสรมีไม้พยุงหมายและพรากผู้เยาว์!” สารวัตรดอนโต้เถียงอย่างร้อนรน

ไกรสรหัวเราะในลำคอ ไม้พยุงเหรอ? คุณสารวัตรเห็นมันแล้วหรือยัง” เขาชี้ไปที่เด็กหญิงปาริชาติที่ยังคงหลบอยู่หลังเขา 

“ส่วนพรากผู้เยาว์... ผมรับเธอมาอุปการะเลี้ยงดูเพราะเธอเป็นเด็กกำพร้า มีเอกสารรับรองถูกต้องทุกอย่าง แล้วที่สำคัญ...ใครเป็นคนแจ้งคุณว่าผมทำแบบนั้น”

สารวัตรดอนหันไปมองพิมพ์ภัทราด้วยสายตาตำหนิ พิมพ์ภัทราหน้าซีดเผือด เธอรู้ดีว่าเธอเป็นคนให้ข้อมูล แต่เธอไม่ได้คิดว่าเรื่องจะบานปลายขนาดนี้

“ไม่มีใครแจ้งหรอกครับ” ไกรสรพูดตัดบทพร้อมรอยยิ้มเย็นชา “คุณแค่ต้องการจัดการผม...เพราะคุณคิดว่าผมเป็นคนที่คุณจัดการได้ง่าย ๆ สินะ”

“คุณไกรสรครับ” ผู้กำกับฯ ก้าวเข้ามาอย่างประนีประนอม “ผมขอให้เรื่องนี้จบลงแค่นี้ได้ไหมครับ”

ไกรสรหันไปสบตาผู้กำกับฯ “ไม่ได้ครับ ผู้กำกับฯ เพราะถ้าเรื่องนี้ไม่ถูกจัดการให้เด็ดขาดในวันนี้...ในวันข้างหน้าก็อาจจะมีตำรวจที่ใช้อำนาจตามอำเภอใจมาทำแบบนี้อีก” เขาหันไปมองหน้าสารวัตรดอนอย่างไม่ลดละ

 “และผมก็ไม่ชอบให้ใครมาแตะต้องคนของผม”คำตอบของเศรษฐีไกรสรเฉียบขาดและเด็ดขาดมากเขาไม่ยอมเรื่องนี้เป็นอันขาดที่ถึงขนาดมีคนกล้าเอาปืนจ่อหัวเขาแล้วจะหลุดรอดออกไปอย่างง่ายๆเหมือนกำลังหยามเกลียดเขาเช่นกัน

ทนายความของไกรสรหยิบเอกสารขึ้นมาปึกหนึ่ง “ผมมีพยานหลักฐานครับท่านผู้กำกับฯ ว่าสารวัตรดอนใช้อำนาจเกินกว่าเหตุ มีพยานบุคคลมากมายและเสียงที่บันทึกไว้ในขณะที่สารวัตรดอนใช้ปืนจ่อหัวคุณไกรสรและข่มขู่พยานที่เป็นเด็กก็มีเด็กไม่โกหกแน่นอนครับ”ทนายประจำตัวของไกรสรพูดขึ้น

สารวัตรดอนทรุดฮวบลงกับพื้น เขารู้ดีว่าทุกอย่างจบสิ้นแล้ว ชื่อเสียงที่เขาสร้างมาพังทลายลงในพริบตาเดียว เขาหันไปมองพิมพ์ภัทราที่ยืนนิ่งและรู้สึกผิดอย่างรุนแรงเขาคิดว่ากำลังแก้แค้นให้กับน้องสาว

และทำไปเพราะความแค้นส่วนตัวหากเขาล้มไกรสอนได้ชื่อเสียงของเขาจะมีคนนับหน้าถือตามากอีกขึ้นเป็นเท่าตัว แต่วันนี้เขาก้าวพลาดอย่าว่าแต่จัดการไกรสรได้เลยแค่เขาคิดจะแตะต้องเขาก็พลาดตั้งแต่ออกจากโรงพักมาแล้ว

“เราคงต้องไปที่สถานีตำรวจกันแล้วนะครับสารวัตร” ผู้กำกับฯ พูดด้วยน้ำเสียงหมดหวัง เขารู้ดีว่าสารวัตรดอนจะถูกปลดออกจากราชการอย่างแน่นอน

หลังจากที่ผู้กำกับฯ และตำรวจที่เหลือจากเหตุการณ์ทั้งหมดออกไปแล้ว คฤหาสน์ของไกรสรก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง

ไกรสรก้มลงมองปาริชาติที่หลับไปในอ้อมแขนของเขา เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ต้องมาเจอกับเรื่องราวที่โหดร้ายเกินกว่าที่เด็กคนหนึ่งจะรับได้ เขาลูบผมเธอเบา ๆ แล้วเดินเข้าไปในบ้าน

“นายครับ...” เข้มเดินตามเข้ามา “แล้ว...จะเอายังไงกับพิมพ์ภัทราดีครับ”

ไกรสรหันไปมองพิมพ์ภัทราที่ยังคงยืนอยู่หน้าบ้าน เธอไม่ได้หนีไปไหน เธอยังคงยืนนิ่งเหมือนรูปปั้น ดวงตาของเธอแดงก่ำจากการร้องไห้

“ปล่อยเธอไปเถอะ” ไกรสรพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย “ให้เธอรับผิดชอบสิ่งที่เธอทำก็พอแล้ว”

ไกรสรไม่อยากจะสร้างรอยแผลเป็นใดๆให้กับพิมพ์ภัทราเธอไม่ได้เป็นคนเลวร้ายตั้งแต่แรกเริ่มแต่หากความแค้นที่ฝังอยู่ในใจของเธอมันบดบังความถูกต้องแต่ตอนนี้ไกรสรคิดว่าเธอคงได้รับบทเรียนที่สาสมไกรสรเดินออกไปพบพิมพ์ภัทรา

เข้มพยักหน้าเข้าใจ ก่อนที่จะเดินเข้าไปในบ้านอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้ไกรสรและพิมพ์ภัทรายืนอยู่ตามลำพัง

“ไกรสร...” พิมพ์ภัทราพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “ฉันขอโทษ”

ไกรสรไม่ได้ตอบ เขาแค่ยืนมองเธอด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา

“ฉัน...ฉันไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องมันเป็นแบบนี้” เธอพูดต่อ “ฉันแค่...ฉันแค่อยากให้พี่ชายของฉันได้แสดงฝีมือ ฉันก็อยากจะแก้แค้นกับสิ่งที่คุณทำให้ฉันเสียหน้าในวันนั้นฉันไม่คิดว่าเรื่องมันจะบานปลายเลยเถิดถึงขนาดนี้"

พิมพ์ภัทราเธอรู้สึกผิดจึงได้เอ่ยทุกความในใจออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้มเธอทำให้พี่ชายถูกเด้งจากตำแหน่งตำรวจและหมดอนาคตส่วนตัวเธอก็เจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะผู้คนก็คงพากันพูดเรื่องของเธอไปอีกนานว่าผู้ชายไม่เอาก็เลยส่งพี่ชายมาบังคับขู่เข็ญ

ไกรสรหันหลังให้เธอ เขาเดินเข้ามาในบ้านโดยไม่พูดอะไรอีก ปล่อยให้พิมพ์ภัทราจมอยู่กับความรู้สึกผิดเพียงลำพังบางครั้งการที่เราไม่พูดอะไรเลยอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพิมพ์ภัทราเหมือนเธอได้ยินเสียงในหัวของตัวเองและได้เห็นความผิดที่เธอได้ทำลงไป

พิมพ์ภัทรามองตามหลังเขาจนลับตา เธอรู้ดีว่าไกรสรไม่ได้โกรธเธอ แต่เขาแค่ไม่ใส่ใจเธออีกต่อไปแล้ว เธอพยายามจะก้าวตามเข้าไปในบ้าน แต่ก็ทำไม่ได้เพราะความรู้สึกผิดที่พรั่งพรูเข้ามาทำให้เธอไม่แม้แต่จะกล้าสบตาไกรสรอดีตว่าที่คู่หมั้นของเธอ

เธอหันหลังกลับเดินออกจากคฤหาสน์ของไกรสรไปอย่างช้า ๆ น้ำตาหยดลงมาบนพื้นดินอย่างเงียบเชียบ เธอรู้ดีว่าเธอได้สูญเสียทุกอย่างแล้ว... รวมทั้งความรักที่เธอเคยมีให้กับไกรสร

ตัดภาพมาที่สารวัตรดอนที่ตอนนี้กำลังร้องขออ้อนวอนผู้กำกับไม่ให้ถอดยศถอดตำแหน่งของเขาออกจากการเป็นตำรวจเขามุมานะอุตสาหะมาตั้งนานสร้างผลงานมากมายแต่ด้วยเรื่องของไกรสรถึงขนาดเด้งเข้าออกจากตำแหน่งสารวัตรดอนจึงมองว่าไม่ยุติธรรมและได้ทำการร้องประท้วงผู้กำกับของตน

"คุณกล้ามากที่มากร้องประท้วงผม สารวัตรดอน" ผู้กำกับหันมาตอบด้วยท่าทีโมโหและขึงขัง

"แต่ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ผมอาจจะผิดที่บุ๋มบ่ามเข้าไปโดยไม่มีหมายค้นืแต่สิ่งที่ผมทำเพราะผมได้รับแจ้งความมาว่านายไกรสรมีไม้พยุงอยู่จริงๆ" สารวัตรดอนยังคงเถียงข้างๆคูๆทั้งที่เขารู้เต็มอกว่าเรื่องทุกอย่างนั้นเมคขึ้นเพราะว่าเรื่องส่วนตัวล้วนๆ

"แต่เขาก็โชว์เอกสารสิทธิ์ให้คุณดู ทั้งที่คุณไม่มีอำนาจในการเป็นค้นบ้านของเขา โดยที่ไม่ได้รับคำสั่งหรือมีหมายศาล คุณทำเกินกว่าเหตุโดยการใช้ความรุนแรง ต่อหน้าเด็ก คุณคิดว่าเรื่องแค่นี้ผมยังไม่มีสิทธิ์ถอดถอนหรือปลดคุณออกจากการเป็นตำรวจเลยหรือไง.!" ผู้กำกับอธิบายความผิดของสารวัตรดอนออกมาเป็นข้อๆจนเขาเถียงไม่ออก

"เอาอย่างนี้ผมสั่งพักงานคุณ เป็นระยะเวลาสาม เดือน แล้วให้คุณบำเพ็ญประโยชน์ในทุกๆวันส่งรายงานผม แต่ถ้าหลังจากสามเดือนนี้คุณยังไม่ปรับปรุงตัวหรือดีขึ้น ผมจะไล่คุณและถอดตำแหน่งของคุณออก" 

ผู้กำกับสั่งคำสั่งเด็ดขาดกับสารวัตรดอนเขาทำอะไรไม่ได้นอกจากน้อมรับอย่างน้อยก็ผ่อนหนักกลายเป็นเบา...