เวลานับถอยหลัง ศัตรูเก่าหวนคืน อสูรหกตาไล่ล่าข้ามโลกที่ไม่ปรากฏ เด็กชายอายุเพียงแค่สิบเอ็ดพลันต้องเรียนรู้โลกใหม่เพื่อเป็นผู้ล่า ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นเพียงเหยื่อที่ไร้ทางสู้

Astral Break มิติมนตรา ราชาสีดำ [Steampunk / Magicpunk] - ตอนที่ 21 แขนและเหล็ก โดย Vsrin @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ไซไฟ,พารานอมอล,ผจญภัย,แฟนตาซี,ผจญภัย,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Astral Break มิติมนตรา ราชาสีดำ [Steampunk / Magicpunk]

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ไซไฟ,พารานอมอล,ผจญภัย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ผจญภัย,พล็อตสร้างกระแส

รายละเอียด

Astral Break มิติมนตรา ราชาสีดำ [Steampunk / Magicpunk] โดย Vsrin @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

เวลานับถอยหลัง ศัตรูเก่าหวนคืน อสูรหกตาไล่ล่าข้ามโลกที่ไม่ปรากฏ เด็กชายอายุเพียงแค่สิบเอ็ดพลันต้องเรียนรู้โลกใหม่เพื่อเป็นผู้ล่า ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นเพียงเหยื่อที่ไร้ทางสู้

ผู้แต่ง

Vsrin

เรื่องย่อ

 

“พวกมันหิว พวกมันกระหาย ความสิ้นหวังของมนุษย์คืออาหารที่มันปรารถนาเจียนตาย และเมื่อมันเสพสมจนพอใจ... มันก็ทำให้ความฝันอันโหดร้ายหลั่งเลือดออกมาเป็นความจริง” - ทหารโดมิเนี่ยน, กล่าวถึงพาเรลในแดนมืด

 

นิยายแนวผจญภัย - ไซไฟ ผสมแฟนตาซี (และสตีมพังค์)

สารบัญ

Astral Break มิติมนตรา ราชาสีดำ [Steampunk / Magicpunk]-ตอนที่ 1 เด็กใต้ขยะ,Astral Break มิติมนตรา ราชาสีดำ [Steampunk / Magicpunk]-ตอนที่ 2 พาเรล,Astral Break มิติมนตรา ราชาสีดำ [Steampunk / Magicpunk]-ตอนที่ 3 ศูนย์สอง,Astral Break มิติมนตรา ราชาสีดำ [Steampunk / Magicpunk]-ตอนที่ 4 รอยแยกมิติ,Astral Break มิติมนตรา ราชาสีดำ [Steampunk / Magicpunk]-ตอนที่ 5 พาเรล เจเนซิส,Astral Break มิติมนตรา ราชาสีดำ [Steampunk / Magicpunk]-ตอนที่ 6 โลกใบใหม่... โคลด์ฮาร์เบอร์,Astral Break มิติมนตรา ราชาสีดำ [Steampunk / Magicpunk]-ตอนที่ 7 สูญเสีย,Astral Break มิติมนตรา ราชาสีดำ [Steampunk / Magicpunk]-ตอนที่ 8 สถานีรีเลย์,Astral Break มิติมนตรา ราชาสีดำ [Steampunk / Magicpunk]-ตอนที่ 9 โลกแห่งแอสตรัล,Astral Break มิติมนตรา ราชาสีดำ [Steampunk / Magicpunk]-ตอนที่ 10 ป่าเรือนแสง,Astral Break มิติมนตรา ราชาสีดำ [Steampunk / Magicpunk]-ตอนที่ 11 ทหารโดมิเนี่ยน,Astral Break มิติมนตรา ราชาสีดำ [Steampunk / Magicpunk]-ตอนที่ 12 ถ้ำ ดาบ หยดน้ำ และร่างหิน,Astral Break มิติมนตรา ราชาสีดำ [Steampunk / Magicpunk]-ตอนที่ 13 ทักษะจากบทเรียนอันแสนเจ็บ,Astral Break มิติมนตรา ราชาสีดำ [Steampunk / Magicpunk]-ตอนที่ 14 บอส,Astral Break มิติมนตรา ราชาสีดำ [Steampunk / Magicpunk]-ตอนที่ 15 สัตว์นักล่า (1/2),Astral Break มิติมนตรา ราชาสีดำ [Steampunk / Magicpunk]-ตอนที่ 16 สัตว์นักล่า (2/2),Astral Break มิติมนตรา ราชาสีดำ [Steampunk / Magicpunk]-ตอนที่ 17 ไอร์นา อเมร์ริณ (1/2),Astral Break มิติมนตรา ราชาสีดำ [Steampunk / Magicpunk]-ตอนที่ 18 ไอร์นา อเมร์ริณ (2/2),Astral Break มิติมนตรา ราชาสีดำ [Steampunk / Magicpunk]-ตอนที่ 19 เมืองแห่งไอน้ำ (1/2),Astral Break มิติมนตรา ราชาสีดำ [Steampunk / Magicpunk]-ตอนที่ 20 เมืองแห่งไอน้ำ (2/2),Astral Break มิติมนตรา ราชาสีดำ [Steampunk / Magicpunk]-ตอนที่ 21 แขนและเหล็ก

เนื้อหา

ตอนที่ 21 แขนและเหล็ก

ห่างไปจากเมืองบริสตัลหนึ่งวันระยะเรือเหาะ เมืองเก่าๆที่กำแพงขึ้นสนิมตั้งอยู่ติดกับภูเขา หมอกหนาสีเทาประหลาดลอยนิ่งบดบังทัศนียภาพ และแสงสีแดงประหลาดวิ่งพล่านตัดหมอกไปทั่วเมือง

และในส่วนหนึ่งของเมืองที่เงียบสงบ บนถนนที่ถูกทิ้งร่าง ห้วงอวกาศเกิดการกะพริบวูบวาบ อากาศสั่นไหว พลันชั่วพริบตาร่างหนึ่งจะปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า

“..หืม?” ร่างในชุดสูทอวกาศล้ำสมัยเงยหน้าขึ้น มองไปรอบกาย ก่อนจะถอกหมวกอวกาศออก เผยให้ให้หญิงสาวผมสั้นสีดำย้อมปลายแดง และดวงตาสีแดงที่ตาขาวกลายเป็นสีดำทั้งหมด “โอ้… มีเมืองด้วยเหรอ? นึกว่าโลกนี่เป็นโลกร้างซะอีก”

แกร็กๆ… แกร็กๆ…

“?” หญิงสาวหันขวับ ชักปืนออกมาก่อนจะเล็งไปด้านหลัง “…วอทดะฟัค?”

คิ้วขมวดเล็กน้อย พบกับดวงตาสีแดงก่ำส่องสว่างในม่านหมอก จากหนึ่งดวงก็กลายเป็นสองดวง จากสองก็เป็นสิบ

และจากสิบก็กลายเป็นร้อย

ดวงตาทั้งหมดพุ่งเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงกัน หญิงสาวเค้นเสียงในลำคอ เปลี่ยนโหมดปืนไฮเทคเป็นออโตเมติก ก่อนจะยิงกราดทุกสิ่งที่อยู่ขวางหน้าทันที

‘ฉันแค่กะจะมาลากตัวศูนย์สี่กลับตามคำสั่งศูนย์หนึ่ง แต่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นในโลกนี่วะเนี่ย…!?’

‘ทำไมพวกมันถึงอยู่ที่นี่…!?’

 

*****

 

เมืองบริสเติล

“สมัครเป็นช่างแขนกล…?” 

ชายร่างสูงสวมแว่นขยายกรอบทองถึงกับเบิกตากว้าง เขาถอดแว่นขยายออกจนเห็นผมสีน้ำตาลยุ่งเหยิง พลางมองบาร์ตันตาไม่กะพริบ

“ใช่ครับ มีคนสมัครไปแล้วเหรอ?” บาร์ตันกล่าว ด้วยสำเนียงทื่อๆที่ยังไม่ชินภาษา ชายที่ดูอายุยี่สิบกลางๆในชุดกั๊กสีน้ำตาลก็พลันชะงัก

“ม-ไม่หรอก มีสิตำแหน่งว่าง ว่างมานานแล้วอีกต่างหาก ฉันเพียงแค่ประหลาดใจเพราะไม่นึกว่าจะมีคนมาสมัคร แถมใบประกาศนั้นฉันเอาไปแปะไว้เป็นปีจนลืมไปแล้วด้วยซ้ำ… ฮ่ะๆ”

ชายร่างสูงหัวเราะเบาๆ บาร์ตันเองพยักหน้าอย่างเข้าใจได้ก่อนจะสำรวจรอบข้าง

ร้าน ‘แขนและเหล็ก’ เป็นร้านเล็กๆที่ตั้งอยู่ในเมืองชั้นกลาง ติดกับเขตการค้า ใกล้กับระเบียงและบันใดที่จะลงไปเมืองชั้นล่าง

ไม่ใช่ร้านที่ใหญ่มาก พูดว่าแคบเลยคงถูกกว่า ทว่ามีหลายชั้น ชั้นแรกนั้นเป็นหน้าร้าน ชั้นใต้ดินเป็นห้องเก็บเครื่องปั่นไฟ และชั้นบนเป็นโซนที่พักกับเวิร์คช็อปทำงาน

“ว่าแต่… เคยมีประสบการณ์งานแขนกลมาก่อนรึเปล่าล่ะ? มันค่อนข้างยุ่งยากนะ พนักงานใหม่ก็มักถอดใจกันตลอด แถมค่าตอบแทนน้อยไม่พอ พนักงานล่าสุดเกิดอุบัติเหตุจนเสียมือไปอีกต่างหาก”

“…”

‘ปกติเวลาคนต้องการพนักงาน… เขาต้องโฆษณาให้ร้านตัวเองดูดีไม่ใช่เหรอ?’ บาร์ตันกะพริบตาปริบๆ

“มี”

“มี…?” เจ้าของร้านเลิกคิ้ว

“มีประสบการณ์… ผม” บาร์ตันตอบสั้นๆ ห้วนๆ เจ้าของร้านก็ร้อง ‘อ่ออ’ ออกมา เข้าใจได้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่ชินภาษาท้องถิ่น ซึ่งก็เดาได้ไม่ยาก แม้จะสวมเสื้อสีขาวทับเสื้อกั๊กสีน้ำตาลเข้ากับคนเมือง ทว่าทั้งผิวที่ขาวซีดกว่าคนอื่น และสำเนียงการพูดแบบนั้น ใครๆก็มองออกได้ทันทีว่าไม่ใช่ประชาชนในเครือพันธมิตร

‘หืม ผิวซีดเหมือนไม่ค่อยโดนแดด แดนเหนือเป็นไปไม่ได้เพราะเต็มไปด้วยพาเรล คำตอบเดียวเท่านั้นก็คือแดนมืดทางตะวันตก’

‘โดมิเนี่ยนสินะ’

เขาคิดเช่นนั้น ทว่าก็ไม่เอ่ยออกมา ชาวโดมิเนี่ยนที่หนีมามักไม่ชอบให้พูดถึงบ้านเกิดตัวเองเท่าไหร่ ซึ่งเขาเองที่แลกเปลี่ยนสินค้าและอะไหล่จากพ่อค้าของโดมิเนี่ยนเป็นประจำนั้นรู้ดี

และอีกอย่าง ถ้าเป็นชาวโดมิเนี่ยนที่ประชาชนถูกบังคับให้ทำงานกับเครื่องจักรตั้งแต่เด็กล่ะก็ เขาเองคงไม่ต้องกังวลเรื่องความรู้ของอีกฝ่ายเสียเท่าไหร่นัก

“ฉันเดาว่านายคงมีทักษะอยู่แล้ว ถ้างั้นฉันคงไม่ต้องถามอะไรมาก เรามาลองงานกันเลยดีกว่า” 

ว่าแล้วชายร่างสูงก็โบกมือ เรียกให้บาร์ตันตามไปด้านใน ชายหนุ่มเองก็ตามขึ้นบันไดไป โดยที่ดวงตายังกราดมองสำรวจไปมาไม่หยุด

เขารู้ดีว่าในเมืองนี่มันปลอดภัย… ทว่าก็ปลอดภัยเกินไปจนเซนส์ของเขาปวดตุบๆ ชายหนุ่มเองตกอยู่ในความกังวลตลอดเวลา เมื่อไม่มีสัตว์ร้ายหรือพาเรลมาคอยอ้าปากจะงาบเขาเป็นประจำอย่างทุกที มันก็อดทำให้เซนส์ของเขารวนไม่ได้

ทว่า เจ้าของร้านที่เหลือบเห็นนั้นกลับคิดไปคนล่ะแบบ รู้สึกเศร้าใจขึ้นมา พลางจินตนาการว่าทำไมเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองต้องถูกกระทำอย่างป่าเถื่อนในเมืองของพวกโดมิเนี่ยนด้วยนะ

แม้ตามเทคนิคแล้วบาร์ตันจะไม่เคยพูดสักครั้งว่าตัวเองมาจากโดมิเนี่ยนก็ตาม

เขาไม่เคยพูดเลยสักครั้ง

“ฉันชื่อชอล์น นายล่ะ?”

“บาร์ตัน” ชายหนุ่มตอบสั้นๆ 

“ยินดีที่ได้รู้จักนะ บาร์ตัน ส่วนนี่คือที่ทำงานของเรา อาจจะแคบไปหน่อย แต่เดี่ยวนายก็ชิน”

ไม่นานชอล์นก็เปิดห้องชั้นบนให้เห็น มันมีโต๊ะทำงานเป็นรูปตัว L วางชนกันสามตัวกลางห้อง และด้านหน้าหนึ่งในโต๊ะนั้นปรากฏร่างเล็กร่างหนึ่งกำลังซ่อมแซมแขนจักรกล ใบมีดที่เลื่อยโลหะให้เปิดออกนั้นส่งเสียงแหลมเจ็บหู แล้วยังไม่พอ สะเก็ตไฟร้อนระอุยังพุ่งพล่านไปรอบห้องอีกต่างหาก

คนทั่วไปคงขนลุกซู่เสียววาบกับอุปกรณ์พวกนั้น ทว่าบาร์ตันนั้นมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย 

กลิ่นน้ำมัน เสียงโลหะกระทบกัน และอากาศที่ร้อนระอุและเหม็นฉุนเพราะสะเก็ตไฟ

มันทำเอาบาร์ตันอดรำลึกความหลังในดาวทอร์ทูรัสไม่ได้ 

“…” ชอล์นมองพร้อมกับยกยิ้มเล็กน้อย “ยังไงก็เถอะ นี่คือเพื่อนรวมงานของนาย… เอนัว สวัสดีพี่เขาสิ”

“?” 

ร่างเล็กหยุดมือ ผงกหัวขึ้นเล็กน้อย บาร์ตันพลันเลิกคิ้วฉงน พบว่าอีกฝ่ายเป็นแค่เด็กชายอายุสักสิบเอ็ดสิบสองขวบ มีผมสีน้ำตาล ทับด้วยหมวกแก๊ปหนังพองๆ เนื้อตัวมอมแมมไปด้วยคราบน้ำมัน สวมแว่นครอบกันสะเก็ตไฟ ถุงมือหนาและชุดเอี้ยมหมีตัวใหญ่ 

“ฉกตัวใครมาอีกแล้วอ่ะลุง? เดี่ยวก็มือขาดไปอีกคนหรอก” 

“เฮ้ๆ อย่าพูดแบบนั้นสิ” ชอล์นเกาหน้าแกร็กๆ กลัวบาร์ตันจะถอดใจ ก่อนจะแนะนำตัวคนข้างๆ “เอนัว นี้คือบาร์ตัน พี่เขาจะมาทำงานร่วมกับเรา ส่วนบาร์ตัน นี่คือเอนัว พนักงานคนเดียวของร้านเราเอง… ถ้าไม่รวมฉันล่ะก็นะ”

“พนักงาน… คนเดียว?” บาร์ตันถึงกับฉงน ชอล์นพลันยักไหล่

“ไม่ใช่ทุกคนที่ทำงานด้านนี่ได้ และอีกอย่าง อย่าได้ดูถูกเจ้าเปี๊ยกนี่เชียว เห็นแบบนี่ แต่ฉันสอนเขามาเองกับมืิอตั้งแต่ยังตัวเท่าลูกหมา… ถึงตอนนี่จะยังเท่าลูกหมาอยู่เหมือนเดิมก็เถอะ”

“เฮ้! ลุง พูดงี้เดะผมโยนแขนเหล็กใส่หน้าเลยนะ!”

“ฮ่าๆๆ!”

ชายข้างตัวหัวเราะลั่น บาร์ตันถึงกับมองด้วยความฉงน ทว่าถึงเช่นนั้นก็ไม่ได้ดูถูกแต่อย่างใด

เพราะตอนตัวเท่าอีกฝ่าย บาร์ตันก็ซ่อมแซมของพวกนั้นไปขายในร้านใต้ขยะอยู่เหมือนกัน

“ว่าแต่ให้ตายสิลุง ของชุดใหม่นี่ไม่ได้เรื่องเลย โครงสร้างมันซับซ้อนกว่าเดิมมาก ผมหาจุดบกพร่องของมันไม่ได้ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมไม่ขยับ ลองต่อกับเส้นประสาทจำลองแล้วก็ยังไม่กระดิก”

“หืม… ได้ใส่แกนแบตเตอรี่ไปรึยัง?”

“ใส่แล้ว”

“ไหนดูสิ” ชอล์นเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะงมๆมองแขนกลสีดำที่ล็อคเอาไว้กับตัวจับ หมุนมันไปมา พยายามมองหากันว่าเกิดข้อผิดพลาดตรงไหน ในระหว่างที่บาร์ตันเดินตามเข้ามาด้วยความสงสัย แล้วต้องเลิกคิ้วฉงนทันทีเมื่อเห็นแขนดังกล่าว

“เป็นการออกแบบที่ประณีตมาก ไม่เคยเห็นโครงสร้างแบบนี่มาก่อน” ชอล์นสวมแว่นเลนส์พิเศษกรอบทอง มองระบบภายในมันไปมาก่อนจะต้องถอนหายใจแรง “บ้าจริง เจ้าพวกพ่อค้าพวกนั้น ฉันบอกว่าต้องการอวัยวะกลธรรมดาเอาไว้ให้คนงานเหมืองที่เสียแขนขาไปได้ใช้ แต่นี่อะไร? นี่มันกันกระสุนได้เลยไม่ใช่เหรอ? เอาไว้ให้ทหารใช้รึไง?”

“….” บาร์ตันมองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวออกมา “โปรเซสเซอร์น่าจะเสีย”

“?”

“?”

ทั้งสองเงยหน้า กะพริบตาปริบๆ

“แขนทั่วไปใช้ตัวปัมป์ ตัวเชื่อม กับตัวจับเส้นประสาท… แต่ไม่ใช่กับตัวนี่” ว่าแล้วบาร์ตันก็ชี้ “…ขอลอง” 

“ลอง? อ่อ” ทั้งสองเลิกคิ้วสูงกับคำกล่าวสั้นๆ ก่อนจะมองหน้ากัน ชอล์นก็พลันขยับทางให้

บาร์ตันเดินเข้าไป ยืนอยู่หน้าแขนกล มองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขออนุญาตใช้ไขควง ถอดเกราะนอกมันออกทีล่ะส่วน และมันก็เป็นอย่างที่ชอล์นกล่าวไม่ผิด ของแบบนี่นับเป็นเกรดทหาร เกราะนอกของมันนั้นแข็งแกร่งพอจะกันกระสุนได้เลยด้วยซ้ำ

ทั้งสองคนด้านหลังกะพริบตาปริบๆ มองหน้ากัน ก่อนจะหันมามองบาร์ตันอีกครั้งแบบไม่กะพริบตา อีกฝ่ายเองดูจะถอดประกอบได้อย่างชำนาญ รู้จุดเชื่อมยิบๆย่อยๆที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน

ที่ผ่านมาพวกเขาไม่ได้รับของคุณภาพสูงแบบนี่เท่าไหร่นัก ส่วนใหญ่เป็นของเหลือจากโดมิเนี่ยนที่เน้นพอให้ขยับได้ แต่ราคาของมันยังสูงลิ่วอยู่ดีเพราะเป็นวิทยาการต่างแดน 

ส่วนบาร์ตันเอง แม้จะจับดีไซน์แขนนี่เป็นครั้งแรก ทว่าประสบการณ์ในโลกใต้ขยะนั้นทำให้เขาเจอของใหม่ๆอยู่เสมอ ยิ่งเห็นแพทเทินการดีไซน์ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าโดมิเนี่ยนนั้นใช้วิทยาการของสหพันธ์โลกอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มที่จับประกอบของไปขายเป็นพันเป็นหมื่นครั้งก็พลันถอดประกอบมันได้อย่างชำนาญ

และในที่สุดบาร์ตันก็พบกับปัญหาของแขนตัวนี่

“อย่างที่คิด…” 

เขาว่า ถอนน็อตออก ก่อนจะใช้เหล็กคีบดึงโปรเซสเซอร์ของมันออกมา มันมีลักษณะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมอันเล็กกระจิริดที่ดูไม่น่าจะมีอะไรสำคัญ 

“แขนนี่ไม่ใช่ระบบเมนนวล มันควบคุมผ่านเอไอ แต่โปรเซสเซอร์เสีย”

ชอล์นเลิกคิ้ว เจ้าเด็กเอนัวกะพริบตาๆปริบ

เมนนวล?

เอไอ?

โปรเซ่อเซ่อ?

อะไรนะ??

“ไม่มีทางใช้ได้ถ้าไม่มีระบบควบคุมส่วนกลาง… ต้องเปลี่ยนอะไหล่เป็นแบบเมนนวล แบบแขนกล….ธรรมดา” 

บาร์ตันขมวดคิ้วเล็กน้อย เพ่งสายตา เขาใช้เหล็กคีปพลิกโปรเซสเซอร์ไปมา ก่อนจะรีบลุกเดินไปใกล้กับโคมไฟ

“แปลว่า… มันใช้ไม่ได้ตั้งแต่แรกงั้นเหรอ?” 

“ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่เมืองบริสตัลไม่มีเอไอ แขนนั้นควบคุมผ่านปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะ ไม่ใช่ผ่านระบบประสาท เพราะมันไม่มีเส้นประสาทจำลอง แขนนี่มีไว้สำหรับหุ่นยนต์หรือไซบอร์กเท่านั้น… ไม่ใช่มนุษย์” 

บาร์ตันกล่าว ยกโปรเซสเซอร์ขึ้นสูง เอียงคอเงยมองตัดกับแสงไฟ ส่วนชอล์นนั้นแม้จะไม่เข้าใจเท่าไหร่ แต่ก็เดาออกว่าตัวเองโดนหลอกขายของที่ใช้กับมนุษย์ไม่ได้

“เจ้าพวกบ้านั้น…” ชอล์นถึงกับหัวเสีย เขาหมดต้นทุนไปไม่น้อยกับของพวกนี่ และแม้กระทั้งแขนกลธรรมดาก็แพงอยู่แล้ว ทุกวันนี้พวกคนงานชั้นล่างที่เสียแขนขาก็ยังหาเงินซื้อไปใช้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

“คุณชอล์น…”

“?”

“ของพวกนี่… มาจากโดมิเนี่ยนใช่ไหม?” บาร์ตันถาม ดวงตายังไม่ล่ะไปจากโปรเซสเซอร์ที่คีบด้วยเหล็ก ชอล์นเองพยักหน้า

“ใช่ กลุ่มเมืองพันธมิตรยังไม่มีวิทยาการที่สร้างอวัยวะกลขึ้นมาเองได้ ส่วนใหญ่จะเป็นของนำเข้าจากพวกพ่อค้าเถื่อนไม่ก็ขุนนางจากโดมิเนี่ยน ฉันเคยวางแผนจะนำเข้าของราคาย่อมเยาให้พวกคนเหมืองใช้… แต่ดูของที่ได้มาแต่ล่ะอย่างนี่สิ-”

“แขนนี่ คุณได้มาเมื่อไหร่?” 

ชอล์นเลิกคิ้วเล็กน้อย 

“ได้มาจากเรือเหาะที่พึ่งเทียบท่าเมื่อวาน” เขาตอบ บาร์ตันครุ่นคิด เขาจำได้ว่าเมื่อวานมีเรือเหาะสองลำมาจอดเทียบท่า 

หนึ่งคือเรือเหาะที่เขาโดยสารมา และอีกลำคือเรือขนส่งสินค้า

“มีทั้งหมดกี่อัน?”

“เอ่อ… สิบสอง?” ชอล์นขมวดคิ้ว มองด้วยความสงสัย บาร์ตันเองหันมอง พอเห็นเตาหลอมเหล็กที่ด้านในสุดของห้องก็เดินไปทางนั้นทันที

“บาร์ตัน..?” อีกฝ่ายถาม ทว่าชายหนุ่มไม่ตอบ บาร์ตันก้มมองลงที่โปรเซสเซอร์ตรงหน้า ช่วงพื้นผิวของมันนั้นปรากฏคราบเมือกคล้ายเส้นเลือดสีน้ำเงินที่เกาะอยู่ตามวัตถุ

และกำลังเต้นตุบๆ

‘ไวรัสพาเรล…’ บาร์ตันหรี่ตา เครียดหนักทันทีที่เห็น‘ทำไมถึงอยู่ที่นี่…?’

ชายหนุ่มลอบถอนหายใจเล็กน้อย เขาจำลักษณะของมันได้ เหมือนกับบนร่างของ ไอร์น่า อเมร์ริณ ที่กลายพันธ์ด้วยเชื้อพาเรลไม่มีผิด ลักษณะคราบเมือกแบบเดียวกันยังปรากฏอยู่เต็มแคปซูลที่หญิงคนนั้นขังตัวเองเอาไว้อีกต่างหาก

และเขาใช้เวลาตั้งหลายชั่วโมงเลยกว่าจะเผามันจนหมด แล้วปิดล็อคดาวน์โบราณสถานนั้นได้

เห็นเช่นนั้นบาร์ตันก็โยนมันลงไปในเตาหลอม แล้วปิดฝาครอบทันที

“เอ๋…!?” เอนัวกับชอล์นถึงกับร้องเสียงหลง บาร์ตันเห็นเช่นนั้นก็อธิบาย

“มัน… เป็นอันตรายต่อมนุษย์ ในที่ๆผมจากมา เคยมีคนต้องตายไปแล้วเพราะมัน”

“….” ชอล์นมองหลังบาร์ตันด้วยความสงสัย ทว่าเมื่อคำนึงว่าอีกฝ่ายมาจากโดมิเนี่ยน ดินแดนที่เป็นต้นกำเนิดวิทยาการหลายอย่างในทวีปนี่ ความรู้เรื่องจักรกลย่อมสูงกว่าอยู่แล้วต่อให้เป็นแค่ชนชั้นแรงงานมาก่อน 

และจากที่สังเกตแววตาแบบนั้น มันเป็นก็เป็นไปได้สูงที่อาจเกิดเรื่องแย่ๆขึ้นเพราะเจ้าโปรเซสเซอร์อะไรนั้น

บาร์ตันเองครุ่นคิด รู้สึกตะหงิดใจแปลกๆ

ทำไมโดมิเนี่ยนถึงขายของที่ใช้กับมนุษย์ไม่ได้ให้กับเมืองภายนอก?

แถมไวรัสพวกนั้นไม่ได้เริ่มเกาะกินจากภายนอก แต่ฝังอยู่ภายใน เหมือนมีใครตั้งใจใส่เอาไว้

มันราวกับว่าใครจงใจเอาของที่ใช้ไม่ได้มาขาย คาดเดาไว้แล้วว่าคนที่ซื้อไปต่อต้องถอดประกอบเพื่อหาปัญหา 

และหากเขาไม่เข้ามา มันเป็นไปได้สูงว่าชอล์นกับเอนัวที่เปิดดูนั้นอาจจะเผลอไปแตะต้องและติดเชื้อไวรัสเข้าให้

มันราวกับ… โดมิเนี่ยนจงใจขนย้ายไวรัสมาปล่อยในเมืองนี่?

ถ้าไม่ใช่ว่าเขาที่มีภูมิคุ้มกันต่อพวกพาเรลมาเจอก่อนล่ะก็ เชื้อไวรัสที่แพร่กระจายในมนุษย์ได้นั้นอาจทำให้เมืองนี้เกิดหายนะได้เลยทีเดียว

และอีกอย่าง จากข้อมูลที่เขาได้มาจากโบราณสถาน มันไม่ใช่ว่าพาเรลทุกตัวจะเป็นพาหะนำไวรัสชนิดนี่ และโอกาสที่จะเจอได้คือหนึ่งในแสน แม้กระทั้งตอนที่ดาวทอร์ทูรัสถูกโจมตีจนล้มสลาย บาร์ตันก็ยังไม่เคยเห็นไวรัสแบบนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ

แต่การที่ถึงขนาดเอามาใส่ข้างในอย่างเฉพาะเจาะจงแบบนี่ได้… มันเป็นไปได้สูงว่ามีใครบางคนจงใจเพาะเลี้ยงมันโดยเฉพาะ 

ไม่ใช่เพราะติดมาโดยบังเอิญ

‘เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ตอนนี่ต้องจัดการกับแขนกลพวกนั้น’

‘แต่ก่อนอื่น…’

“ผมได้ยิน ว่าร้านคุณชอล์นต้องการขายอวัยวะกลให้ชนชั้นแรงงาน แต่ต้นทุนของมันสูงเกินจนไม่มีใครซื้อได้… ใช่ไหมครับ?”

“อ้า… ก็ใช่” 

ชอล์นที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดรัวก็แปลกใจ สำเนียงที่ยังไม่ชัดนั้นพาให้เขาต้องใช้เวลาแปลอีกที 

“ก็นะ มันคือเป้าหมายแรกเริ่มเลยที่ฉันเปิดร้านนี้ พวกคนงานด้านล่างเกิดอุบัติเหตุอยู่เป็นประจำ สูญเสียแขนขากันบ่อยๆ ของพวกนี้ฉันนำเข้าเพราะอยากให้พวกเขาได้ใช้นั้นแหละ”

ว่าแล้วชายสวมแว่นก็ถอนหายใจเล็กน้อย ทุกวันนี้เขาช่วยลดราคาให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะลดได้ เล่นเอาแทบไม่ได้กำไรอะไร แต่แทบไม่มีคนมาซื้ออยู่ดีเพราะราคาสูงเกินไป ส่วนพวกคนรวยก็ไม่ค่อยมีมาซื้อตั้งแต่แรก เพราะไม่ได้ทำงานอันตรายอะไรที่ถึงกับต้องสูญเสียอวัยวะร่างกาย และเมืองชั้นบนเองก็มีร้านแขนกลที่ดีกว่า ซึ่งพวกคนมีเงินกับพวกนักล่ามักจะไปซื้อกันอยู่แล้ว

และเพราะขายแทบไม่ได้ งานในร้านของเขาเลยแทบไม่มีใครมาสมัครเพราะค่าตอบแทนต่ำ มีคนเข้ามาลองอยู่หลายคน แต่สุดท้ายก็ลาออกกันไปหมดทั้งนั้น

“ผมช่วยได้”

“หือ..?”

“ผมเติบโตมากับของพวกนี่… ผมช่วยปรับแต่งให้แขนกลใช้วัตถุดิบน้อยลงแต่คุณภาพเท่าเดิม”

“…” ชอล์นกะพริบตาปริบๆ 

“ผมขอลอง”

“อ้า… เอาสิๆ”

ว่าแล้วอีกฝ่ายก็ขยับทางให้ทันที บาร์ตันพลันไปยืนตรงหน้าโต๊ะเวิร์คช็อปอีกครั้ง นำแขนกลธรรมดามาล็อคเอาไว้ ถอดประกอบส่วนต่างๆ ไม่ใช่แค่เกราะครอบด้านนอก แต่ยังรวมระบบต่างๆภายใน ตัดกลไกที่ไม่จำเป็น และตัดสายไฟบางสายออกแล้วม้วนเก็บไว้ ไม่นานจากแขนโลหะท่อนใหญ่ๆ ก็เหลือเพียงโครงเหล็กราวกับกระดูกเท่านั้น

ชอล์นกับเจ้าเด็กเอนัวมองด้วยดวงตาไม่กะพริบ ฝ่ายหลังเองจดตามแทบจะทุกขั้นตอน และไม่นานบาร์ตันก็นำไปทดสอบกับเส้นประสาทจำลอง ขยับไปมา พลันแขนกลก็ขยับเขยื้อนเป็นการเคลื่อนไหวต่างๆ

“การตอบสนองดีมาก ไม่สิ มันดีกว่าเดิมอีกต่างหากเพราะน้ำหนักลดลง” ชอล์นสวมแว่น หมุนเลนส์ ก่อนจะชะโงกหน้ามอง “ไม่คิดเลยว่าตัดสายเชื่อมตรงนิ้วออกก็ยังขยับได้อยู่ แต่ใช้วิธีไหนกัน? โอ้ ต่อพ่วงกับท่อเชื่อมสายประสาทตัวเดียวกันนี่เอง แถมแบบนี่ยังประหยัดพลังงานอีกด้วยต่างหาก ทำไมฉันถึงคิดไมถึงนะ”

ชอล์นกับเอนัวมองด้วยดวงตาเป็นประกาย ชายสวมแว่นเองหันขวับมาทางบาร์ตันก่อนจะยิ้มกว้าง

“พร้อมเริ่มงานได้เมื่อไหร่...?”

ดูเหมือนว่าเขาไม่จำเป็นต้องฝึกงานก่อนเลยด้วยซ้ำ