จากอนาคตแสนไกลย้อนคืนเป็นโลกใบใหม่ ดินแดนที่ความจริงสูญหายและสิ่งลี้ลับหวนคืน บาร์ตัน แบล็คฮาร์ท เด็กชายอายุเพียงสิบเอ็ดพลันต้องเรียนรู้โลกใหม่เพื่อเอาชีวิตรอด
แฟนตาซี,ไซไฟ,พารานอมอล,ผจญภัย,แฟนตาซี,ผจญภัย,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Astral Break มิติมนตรา ราชาสีดำจากอนาคตแสนไกลย้อนคืนเป็นโลกใบใหม่ ดินแดนที่ความจริงสูญหายและสิ่งลี้ลับหวนคืน บาร์ตัน แบล็คฮาร์ท เด็กชายอายุเพียงสิบเอ็ดพลันต้องเรียนรู้โลกใหม่เพื่อเอาชีวิตรอด
“พวกมันหิว พวกมันกระหาย ความสิ้นหวังของมนุษย์คืออาหารที่มันปรารถนาเจียนตาย และเมื่อมันเสพสมจนพอใจ... มันก็ทำให้ความฝันอันโหดร้ายหลั่งเลือดออกมาเป็นความจริง” - ทหารโดมิเนี่ยน, กล่าวถึงพาเรลในแดนมืด
นิยายแนวผจญภัย - ไซไฟ ผสมแฟนตาซี (และสตีมพังค์)
9 เดือนต่อมา
ป่าเรือนแสง… อาจไม่ใช่ชื่อที่แท้จริงของมัน ทว่าบาร์ตันก็ไม่มีคำเรียกใดใกล้เคียงไปมากกว่านั้น
ทางทิศใต้ ลงมาจากสถานีรีเลย์มากถึงสองพันกิโลเมตร อากาศก็เริ่มอยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าอบอุ่น
มันเป็นพื้นที่ป่า เต็มไปด้วยต้นไม้ยักษ์สีขาวโค้งสูง ในยามกลางวัน ใบของมันจะคล้ายใบเมเปิ้ลสีส้ม ทว่าในช่วงเวลากลางคืน ต้นไม้ประหลาดกลับเรือนแสงสีฟ้าอมม่วงที่แตกต่างไปจากยามกลางวันอย่างสิ้นเชิง
มันคือแสงอันเป็นเอกลักษณ์ของพลังงานแอสตรัล ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องมือตรวจสอบ เซนส์ของบาร์ตันที่เฉียบแหลมขึ้นทุกวันก็รู้ได้เลยว่าป่าแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ขนาดไหน
แอสตรัล… สัมผัสของมันนั้นทั้งเย็นสบาย ทั้งอบอุ่น ถ้าสงบจิตและตั่งใจฟังดีๆ จะได้ยินเสียงแว่วๆของมันที่ดังสะท้อนผ่านแก้วหูเป็นบทเพลง ราวกับท่วงทำนองพิศวงบางอย่าง
สัมผัสของมันคือหนึ่งในความรู้สึกที่บาร์ตันไม่อาจอธิบายได้ถูก
ยังไงก็ตาม ในต้นไม้สีขาวสูงกว่าสามสิบเมตรต้นหนึ่ง มันกว้างเท่ายี่สิบคนโอบ ปีนไปตามกิ่งก้านถึงกลางต้นนั้นจะมีโพรงไม้ตามธรรมชาติขนาดใหญ่เท่าห้องๆหนึ่ง และบาร์ตันก็ใช้ที่นี่เป็นบ้านของตนเองมาเดือนกว่าแล้ว
ในช่วงเช้า เด็กชายจะเปิดม่านใบไม้ที่เขาถักปิดทางเอาไว้ ปีนป่านลงไปด้านล่างเพื่อออกล่าหาอาหาร ซึ่งโชคดีที่สัตว์ป่าในแดนทางใต้นี่ไม่มีเนื้อเป็นพิษเหมือนแดนเหนือที่เขาจากมา จะติดอย่างเดียวเท่านั้นก็คือมันเต็มไปด้วยสัตว์นักล่ามากกว่าที่คิด
บาร์ตันไม่รู้จะเรียกสัตว์เหล่านี่ว่าอะไร ทอร์ทูรัสไม่มีสัตว์พื้นเมืองมากนักนอกจากเศษเหล็กจากการอุตสาหกรรม สุดท้ายเขาก็เลยจดจำเอาไว้ตามความคล้ายคลึงกับสัตว์ในดาวโลกจากหนังสือที่เขาเคยอ่าน
แต่โดยรวมแล้ว เด็กชายจำไว้เสมอว่าเจ้า ‘กระต่ายมีปีกแต่บินไม่ได้’ นั้นคือสัตว์ท้องถิ่นที่อร่อยและดีต่อสุขภาพท้องของเขามากที่สุด
กระต่ายแสงจันทร์… นั้นคือชื่อที่เขาตั่งให้มัน เพราะช่วงราตรีขนของมันจะเรือนแสงอ่อนๆ
ยังไงก็ตาม กิจวัตรประจำวันของเขานั้นหาได้มีอะไรมากนัก ส่วนใหญ่ก็เตรียมตัวในช่วงเช้า ออกล่าในช่วงสาย กลับเขตตัวเองในช่วงบ่าย จากนั้นก็ตัดฝืนด้วยขวานโง่ๆที่ทำจากหินและท่อนไม้ ทำอาหารและทุกอย่างให้เสร็จก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ใช้มีดแกะสลักงานไม้เป็นเครื่องใช้ที่จำเป็นหลายอย่าง จากนั้นก็ใช้เวลาช่วงเย็นในการฝึกฝนร่างกาย ก่อนจะอ่านหาความรู้การเอาชีวิตรอดจากปลอกแขนพีดีเอในช่วงดึก โดยใช้แสงจากใบเมเปิ้ลประหลาดนั้นเป็นแหล่งให้ความสว่าง
แล้วจากนั้น หลังสังเกตว่าใบไม้รอบตัวนั้นเริ่มอ่อนแสงลง เขาก็นอนหลับ
เขารู้สึกว่าตัวเองเริ่มกลายเป็นชาวป่าเต็มตัวขึ้นทุกวัน…
มันเป็นชีวิตที่เรียบง่าย มีอันตรายอยู่บ้าง การมีแขนข้างเดียวนั้นทำเอาเขาเสียสมดุลร่างกายพอสมควร ทว่าพอถึงจุดหนึ่งก็เคยชินไปกับมันไปแล้ว
โดยรวมแล้วบาร์ตันคิดว่าตัวเองปรับตัวจนสามารถอยู่แบบนี่ไปได้อีกนาน…
แต่มันจะติดอยู่ก็แค่อย่างเดียวเท่านั้น
‘เฝ้ามอง’
‘สงสัย… ฉงนใจ’
‘เฝ้าระวัง’
“…” เสียงในหัวยังคงกะซิบแผ่วเบาในหัวเขาอยู่ตลอด และคำพูดที่ได้ยินหลังๆนั้นมันทำเอาเด็กชายเสียวสันหลังวาบพอสมควร
พวกเสียงเตือนเขามาตลอดทั้งเดือน เตือนถึงอะไรก็ตามที่เฝ้ามองเขาอยู่อย่างเงียบๆ
เด็กชายเองเป็นกังวล แต่มันไม่มีอะไรที่เขาทำได้ แรกๆนั้นถึงกับนอนไม่หลับ ทว่าพอหลังๆก็เริ่มชินไปแล้วหลังรู้ว่าผู้เฝ้ามองนั้นไม่ได้คิดมุ่งร้ายแต่อย่างใด ไม่ว่ามันจะเป็นสัตว์ป่าหรืออะไรก็ตาม มันแค่มองเขาด้วยความฉงนใจเท่านั้น
“ทุกวันนี่… ฉันไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าอะไรเฝ้ามองฉันอยู่” บาร์ตันที่กำลังนอนถอนหายใจ “…ช่วยบอกตรงๆไม่ได้รึไง?”
เขากล่าวเช่นนั้น
และแน่นอน… มันไม่มีเสียงตอบรับ
เจ้าพวกเสียงนี่ไม่เคยตอบอะไรสักอย่าง
ไม่เคยบอกอะไรมาตรงๆตามที่เขาอยากรู้เลยสักครั้ง
แต่ก็นะ… ถ้าไม่ใช่พวกมัน บาร์ตันคงตายไปนานแล้ว
และเขาก็ซาบซึ้งใจกับเรื่องนั้น
ตะวันส่องแสง ราตรีมาเยือน วันเวลาผ่านพ้นไปอีกนับเดือน บาร์ตันก็เริ่มออกล่าด้วยความชำนาญที่มากกว่าเก่า เด็กชายเองมีเนื้อหนังมากขึ้นสมวัย เริ่มเห็นได้ชัดจากเสื้อผ้าว่าตัวเองสูงขึ้น และนอกจากสุขภาพที่ดีขึ้นแล้ว เขายังรู้สึกได้ถึงความเร็วและพละกำลังที่มาก
มันถึงกับชวนให้เขาสงสัยว่ามันเป็นปกติของคนสุขภาพดี หรือเป็นเพราะสภาพแวดล้อมกับอาหารที่เขากินในดาวประหลาดดวงนี่กันแน่?
แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรก็ตาม ถ้ามันทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น เช่นนั้นเขาก็พอใจ และเขายังต้องการที่แข็งแกร่งขึ้นกว่านี่อีกมาก
เพราะมันมีบางสิ่งที่เขาคิดว่าตนเองในตอนนี่… ยังเผชิญหน้าตรงๆไม่ได้
แกร็ก--!
“!?” บาร์ตันที่กำลังหอบกระต่ายมีปีกชะงัก เขาย่อตัวลงก่อนจะหันซ้ายขวา เสียงในหัวเองเริ่มร้องเตือนดังขึ้นทีล่ะนิด
เด็กชายขยับตัวอย่างเงียบเชียบ ราวกับแมวป่า หลบเข้าไปในเงามืดระหว่างต้นไม้ใหญ่สีขาว ไปทางตำแหน่งใต้ลมจากเสียงที่เขาได้ยิน ก่อนจะเฝ้ามองไปยังทิศทางหนึ่งอย่างใจจดใจจ่อ
และห่างไปไม่ไกล ในเขตป่าหนาทึบที่เห็นเพียงเงา… ดวงตาสีน้ำเงินหกดวงกำลังส่องแสง..
พาเรล
บาร์ตันสูดหายใจเข้าเต็มปอด ควบคุมสติ เข้าสมาธิ ปล่อยให้อารมณ์และความรู้สึกจางหายไป ไม่มีความกลัว มีเพียงแค่ตัวเขาที่เฝ้ามองอยู่เท่านั้น
พาเรลหกขา คล้ายหมามีเกล็ดสีม่วง มันคือสายพันธุ์เดียวกับที่เขาเจอในยานอพยพ ทว่าตัวนี่ใหญ่กว่ามาก อย่างกับรถถึง ทุกครั้งที่ก้าวเดินนั้นทำเอาพื้นสั่น ดินยุบเป็นทาง
มันส่งเสียงคำรามในลำคอ ดวงตาหกดวงกราดไปมา มีจะงอยบางอย่างเป็นเส้นสองเส้นโค้งจากหัวขยับไปมาในอากาศ
เขาไม่เคยเห็นเส้นจะงอยแบบนั้นมาก่อน
“….” เด็กชายจมอยู่ในความเงียบของห้วงจิต ไม่ปล่อยให้ตัวเองรู้สึกอะไรแม้แต่นิดเดียว พาเรลยักษ์เองก็ยังคงวนไปมา ราวกับว่ามันมั่นใจว่าได้กลิ่นเหยื่ออยู่แถวนี่
และใช่… เขารู้มาได้พักใหญ่แล้ว ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้นในยานอพยพ
พาเรล สิ่งมีชีวิตประหลาดจากต่างมิติ เป็นเอเลี่ยนแม้แต่กับดาวดวงนี่ มันล่าเพียงแค่มนุษย์เท่า ไม่เคยสนใจสัตว์ชนิดอื่น
และวิธีการที่มันล่ามนุษย์นั้นเอง… คือผ่านคลื่นอารมณ์และความรู้สึก
ราวกับว่ามันได้กลิ่นจิตใจของมนุษย์
'ศูนย์สี่! สงบสติลงซะ! คลื่นจิตของนายกำลังเรียกพวกพาเรล!'
นั้นคือคำกล่าวของหญิงสาวที่เรียกตัวเองว่าศูนย์สอง… และหลังจากนั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับพาเรลสักกี่ครั้ง บาร์ตันก็หลีกเลี่ยงมันได้อยู่ตลอด
ตราบใดที่เขาควบคุมตัวเองเอาไว้ได้ล่ะก็นะ
“….”
พาเรลยังคงวนเวียนไปมาไม่หยุด บาร์ตันเองพลันรู้สึกใจคอไม่ดี แน่นอนว่าถึงแม้การสงบจิตสงบใจจะทำให้มัน ‘สัมผัสตัวตน’ เขาไม่ได้ แต่เด็กชายก็ไม่อยากเสี่ยงที่จะโดนตาหกดวงนั้นพบเจอเข้าตรงๆอยู่ดี
ทำยังไงดี…
‘นิ่งเข้าไว้’
‘บาร์ตัน… นิ่งเข้าไว้’
แน่นอนสิว่าฉันต้องนิ่ง… ของแบบนั้นคิดว่าฉันจะวิ่งหนีทันรึไง?
แกร็ก…
“!?” พาเรลหูผึง มันหันขวับไปยังทิศทางหนึ่ง บาร์ตันที่หลบอยู่หลังใบไม้มองตามไปด้านบน ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่ด้านบนกิ่งไม้ยักษ์นั้น
มนุษย์…?
ไม่ผิดแน่ นั้นคือมนุษย์ ในชุดผ้าคลุมสีขาวลายใบไม้สีส้ม ใส่หน้ากากไม้สีเดียวกัน กลืนไปกับป่าแห่งนี่อย่างแนบเนียน แทบไม่มีทางมองเห็นหากอีกฝ่ายไม่จงใจขยับ
และมนุษย์ปริศนาคนนั้นก็พึ่งจะกระโดดพุ่งตัวปีนป่ายไปตามกิ่งไม้ยักษ์ด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
พาเรลเองแหกปากคำรามลั่น เสียงสะเทือนนั้นทำเอาต้นไม้สั่นไหวจนใบร่วงหล่น ก่อนเท้าของมันจะถีบตัวจนพื้นระเบิด พุ่งตามมนุษย์ปริศนาหายเข้าไปในป่ามืดทันที..
“….” บาร์ตันพูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองร่างยักษ์ที่หายไปในพริบตา และอะไรบางอย่างที่ราวกับหลอกล่อมันออกไป
ไม่ว่ายังไงก็ตาม… ตอนนี่เด็กชายได้คำตอบแล้วว่าสิ่งใดกันเฝ้ามองเขามาตลอดนับเดือน
*****
ช่วงราตรีเป็นช่วงที่บาร์ตันชื่นชอบที่สุด
นอกจากเป็นช่วงเวลาที่สัตว์ต่างๆเข้าสู่นิททรา มันยังเป็นช่วงเวลาอันแสนงดงามของยามค่ำคืน
แม้จะลงใต้มาไกล ทว่าแสงออโรร่าบนท้องฟ้าก็ยังเห็นได้อยู่บ่อยๆ ร่วมกับใบไม้ที่เรือนแสงของป่าแห่งนี่แล้ว มันราวกับเขาได้หลุดมาอยู่ในแดนเวทมนตร์ก็ไม่ปาน
เหนือฝากฟ้านั้นเอง เด็กชายค้นพบแล้วว่ามันหาใช่แสงออโรร่าที่เกิดจากพายุสุริยะ ทว่าแท้จริงแล้วคือการรวมตัวกันของพลังงานแอสตรัลในอากาศ จนเห็นได้ด้วยตาเปล่าเมื่อไม่มีแสงอาทิตย์
แอสตรัลไหลเวียนเป็นหนึ่งเดียวกับโลกใบนี้
ช่างเป็นสิ่งที่น่าพิศวง
บนกิ่งไม้ใหญ่ เด็กชายนั่งมองอย่างเงียบงัน ปล่อยความคิดและความฝันให้ล่องลอยไปกับแสงบนฝากฟ้า ออโรร่าพัดผ่านราวกับสายธารในในอากาศ และนานๆครั้งเขาก็เหลือบเห็นระอองแสงแอสตรัลตามขอบสายตา ซึ่งทุกครั้งที่มันพัดผ่าน ร่างของเขาจะรู้สึกเย็นสบายแถมยังผ่อนคลายจนเกือบหลับ
มันมีหลายสิ่งมากที่เขายังไม่รู้เกี่ยวกับโลกใบนี่
และแอสตรัลก็คือหนึ่งในนั้น
ราตรีผ่านพัน เช้ามืดวันต่อมาบาร์ตันยังคงนอนคลุมผ้าห่มหนังในโพรงไม้ อากาศวันนี้ดูเหมือนจะหนาวกว่าปกติ เด็กชายต้องใช้ความพยายามพอสมควรเพื่อที่จะลืมตา ทว่าครู่ต่อมาก็ต้องเบิกตาโพลงเมื่อพื้นสั่นสะเทือน
‘เสียงนี่มัน…’
บาร์ตันฉงน เสียงบางอย่างสะเทือนในอากาศ สั่นไหวในแก้วหูราวกับเครื่องยนต์ เด็กชายได้ยินบางสิ่งที่คล้ายคลึงมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนในอดีตพลันหัวใจเต้นรัว
เขาพุ่งตัวออกไป ย่อตัวต่ำ ขยับกิ่งไม้เปิดทางออก เหลือบมองออกไปดูด้วยความสงสัย
ม่านหมอกวันนี่ลงหนาทึบ เด็กชายพยายามเพ่งสายตามองขึ้นฟ้า ผ่านกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ และไม่กี่นาทีผ่านไป บางสิ่งก็พึ่งจะบินผ่านเหนือหัวไปต่อหน้าต่อตา
‘ยานบิน…?’
มันเป็นยานบินสีดำทรงเหลี่ยมแหลมปราดเปรียว ปรากฏไอพ่นที่กราบยานทั้งสองข้าง ตามเส้นทางการบินเองปรากฏระอองแอสตรัลสีแดงฉ่านราวกับโลหิตที่หลั่งไหล เหล่านกและสัตว์ตามกิ่งไม้ก็พลันวิ่งหนีหลบกันไปคนล่ะทิศล่ะทาง ใบไม้สีส้มเองแห้งเฉาก่อนจะร่วงตาย แล้วค่อยๆสลายทันทีที่ถูกระอองแอสตรัลสีแดงเลือดนั้นกระทบ
ทีแรกบาร์ตันคิดว่ามันเป็นยานของสหพันธ์โลก ทว่าดีไซน์นั้นแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
และที่สำคัญ…. คือมันใช้พลังงานแอสตรัลเป็นเชื้อเพลิง!
เป็นไปได้ด้วยงั้นเหรอ…?
เด็กชายคว้าผ้าคลุมหนัง สวมใส่ก่อนดึงฮู้ดคลุมปิด เหน็บมีดกับเข็มขัด ปีนตัวลงจากต้นไม้ยักษ์ ก่อนจะถีบตัวพุ่งไปตามเงามืดอย่างเงียบเชียบ
ช่วงเวลานี่ยังเป็นตอนเช้า แสงจากดวงอาทิตย์ที่ยังไม่ขึ้นขอบฟ้าดีสาดเงาแสงไปทั่วป่า เด็กชายพุ่งตัวตัดกับความมืด ออกตัววิ่งไปโดยไม่พยายามเหยียบกิ่งไม้เล็กๆหรือใบไม้แห้ง
เสียงของยานบินนั้นห่างไกลไปทีล่ะนิด ทว่าครู่หนึ่งก็ราวกับหยุดอยู่กับที่ เด็กชายพยายามสงบสติ ควบคุมความคิด พยายามที่จะฟังเสียงกระซิบ ทว่าเจ้าพวกเสียงในหัวก็ยังเงียบกริบ
“?” เด็กชายเบิกตา ก่อนจะพบกับพื้นที่โล่งกว้าง ยานบินสีดำนั้นกำลังจอดลงต่ำลงบนพื้นหญ้าสีส้มแดง เด็กชายเห็นเช่นนั้นก็กราดตามองขึ้นบนต้นไม้ ปีนขึ้นที่สูง ก่อนจะใช้กิ่งไม้ใบไม้เป็นเครื่องอำพราง
ยานบินจอดลงจนสนิท ประตูด้านหลังถูกเปิดออก ก่อนร่างในชุดเกราะสีดำที่ดูล้ำสมัยจะเดินออกมาสี่ร่าง
เด็กชายเฝ้าสังเกต พบเห็นว่าสามคนด้านหน้าสุดนั้นใช้ดาบและขวานสองมือเป็นอาวุธ จะมีเพียงแค่คนด้านหลังสุดเท่าที่ถือบางสิ่งที่คล้ายปืนยาวทรงสี่เหลี่ยม
“….”
พวกเขาพูดอะไรกันบางอย่าง บาร์ตันพลันหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนเซนส์การได้ยินที่เหนือมนุษย์มานานหลายปีจะขยายกว้างยิ่งกว่าเก่า
“-มั่นใจนะว่าพบสัญญาณล่าสุดในจุดนี่?”
“ถ้าผู้มีปัญญาสูงสุดไม่ผิดพลาดล่ะก็นะ แต่นายก็รู้ หลังๆมาพระองค์ ‘ขัดข้อง’ อยู่บ่อยๆ”
“สามหาว อย่าพูดจาขบฎต่อโดมิเนี่ยน อยากโดนเปลี่ยนสมองเป็นจักรกลทาส รึไง?”