เวลานับถอยหลัง ศัตรูเก่าหวนคืน อสูรหกตาไล่ล่าข้ามโลกที่ไม่ปรากฏ เด็กชายอายุเพียงแค่สิบเอ็ดพลันต้องเรียนรู้โลกใหม่เพื่อเป็นผู้ล่า ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นเพียงเหยื่อที่ไร้ทางสู้
แฟนตาซี,ไซไฟ,พารานอมอล,ผจญภัย,แฟนตาซี,ผจญภัย,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Astral Break มิติมนตรา ราชาสีดำ [Steampunk / Magicpunk]เวลานับถอยหลัง ศัตรูเก่าหวนคืน อสูรหกตาไล่ล่าข้ามโลกที่ไม่ปรากฏ เด็กชายอายุเพียงแค่สิบเอ็ดพลันต้องเรียนรู้โลกใหม่เพื่อเป็นผู้ล่า ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นเพียงเหยื่อที่ไร้ทางสู้
“พวกมันหิว พวกมันกระหาย ความสิ้นหวังของมนุษย์คืออาหารที่มันปรารถนาเจียนตาย และเมื่อมันเสพสมจนพอใจ... มันก็ทำให้ความฝันอันโหดร้ายหลั่งเลือดออกมาเป็นความจริง” - ทหารโดมิเนี่ยน, กล่าวถึงพาเรลในแดนมืด
นิยายแนวผจญภัย - ไซไฟ ผสมแฟนตาซี (และสตีมพังค์)
วันเวลาผ่านไป โชคดีที่โถงถ้ำโซนนี้มีขนาดใหญ่ บาร์ตันสามารถแบ่งพื้นที่ต่างๆชัดเจนมากขึ้น
บริเวณหน้าทางเข้าคือพื้นที่พักผ่อน เด็กหนุ่มสามารถหาฝืนได้จากรากไม้แห้ง น้ำเองก็ไม่ได้มีปัญหาเท่าไหร่นัก จะติดอย่างเดียวก็ตรงอาหาร นอกจากเจ้า ‘ส้มเบอรรี่’ นั้นจะมีจำนวนจำกัดไม่พอ เขาค้นพบว่าพวกกระต่ายมีปีกในถ้ำแห่งนี้ยังล่าได้ยากกว่าข้างนอกมากเพราะมีช่องรูให้หนี
สุดท้ายชายหนุ่มก็เรียนรู้ที่จะสร้างกัปดัก ใช้ผลไม้เป็นเหยื่อล่อ กับต้องถอดรองเท้าเดินเท้าเปล่าพันด้วยเสื้อที่ฉีกออกมา ฝึกย่องเบาในถ้ำที่มีเสียงสะท้อน แรกๆก็พลาดอยู่หลายรอบ แต่พอนานวันเข้าก็เริ่มชำนาญและประชิดพวกกระต่ายได้ก่อนที่มันจะรู้ตัว
บาร์ตันไม่ได้ชื่นชอบการฆ่า แม้จะผ่านมานับปีแล้วก็ตาม แต่เขาก็เรียนรู้มานานแล้วว่าบางครั้งมันก็เป็นสิ่งที่จำเป็น
นี่ไม่ใช่โลกใต้ขยะ เขาไม่สามารถทำเพียงแค่หาอะไหล่ไปขายแลกอาหารได้อีกต่อไป
ในโลกใบนี่… หากไม่กิน ก็ต้องถูกกิน และหากอยากรอดชีวิต การล่าสัตว์ก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
นอกจากล่าสัตว์แล้ว บาร์ตันไม่ลืมที่จะฝึกฝนตัวเอง วางแผน ท้าทายพวก ‘ผู้พิทักษ์’ ที่ยืนเฝ้าเส้นทางข้างหน้าอยู่เป็นประจำ และทุกครั้งเขาก็จะสลบเหมือบ แล้วถูกแบกลับมาจุดเริ่มต้นใหม่ และต้องใช้เวลานับวันเพื่อฟื้นตัวทุกครั้งที่บาดเจ็บ
มันไม่ฆ่าบาร์ตัน แต่ก็ใช่ว่าเขาจะตายเพราะมันไม่ได้ หากไม่ระวัง แรงปะทะศีรษะหรือจุดตายแค่ครั้งเดียวก็มากพอแล้วที่จะส่งบาร์ตันไปปรโลก
ส่วนใหญ่แล้วเด็กหนุ่มจะพยายามสู้จนถึงที่สุด เรียนรู้และศึกษาจากพวกมันให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เขาเองค้นพบว่าการถอยนั้นไม่ใช่ทางเลือก เมื่อทันทีที่เข้าไปท้าทาย พวกมันจะตามล่าเขาทันทีไม่ว่าจะหนีไปที่ไหน แล้วจะไม่ยอมหยุดจนกว่าเขาจะสลบ หรือทรุดหมดแรงจนไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป พวกมันถึงจะปล่อยเขาไปแต่โดยดี
แม้บางครั้งจะใช้เวลาหลายวันในการฟื้นตัว บางครั้งเป็นสัปดาห์ ทว่าเด็กชายเองก็ค้นพบว่าร่างกายของตนเองพื้นตัวเร็วขึ้นทุกครั้งที่บาดเจ็บ พอผ่านไปเกือบเดือน บาดแผลบางจุดก็หายสนิทจนไม่ทิ้งไว้แม้แต่ร่องรอยแผลเป็นเลยด้วยซ้ำ
มันไม่ใช่สิ่งปกติสำหรับคนทั่วไป แม้แต่ตัวเขาในสมัยที่อยู่อาณานิคมทอร์ทูรัสก็ไม่ได้เป็นแบบนี่
บาร์ตันมั่นใจแล้วว่าร่างกายเขาเปลี่ยนแปลงไปตั่งแต่ลงมายังโลกใบนี่ เขาเองเชื่อว่าทั้งอาหารการกินและสิ่งรอบกายเช่นธรรมชาติและพลังงานแอสตรัล ร่างกายของเขาก็ปรับเปลี่ยนตามสิ่งแวดล้อมจนเกิดการวิวัฒนาการ
และที่สำคัญที่สุด… อาจเป็นเพราะหลังจากวันนั้น วันที่เขาพุ่งผ่านรอยแยกมิติ พบกับเอนทิตี้ประหลาดราวกับดวงอาทิตย์ แล้วกระชากบางสิ่งติดตัวเขามา
เพราะคลื่นพลังงานแอสตรัลประหลาดนั้น ร่างกายของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่วันนั้น… และแขนขวาของเขาที่แข็งแกร่งเกินธรรมดาก็เป็นสิ่งยืนยัน
“จะว่าไป… แขนเรากันกระสุน แถมกลืนกินพลังงานแอสตรัลของคนพวกนั้นได้ สุดท้ายมันจะส่งผลไปทั้งตัวเลยรึเปล่า?” บาร์ตันครุ่นคิด เขาคิดว่ามันเป็นไปได้สูง ทว่าสุดท้ายก็ต้องส่ายหน้า ข้อมูลที่เขามีนั้นมันน้อยเกินกว่่าจะได้ข้อสรุปใดๆ และจนถึงทุกวันนี่ ความแข็งแกร่งเหนือธรรมชาตินั้นก็ยังเป็นแค่ที่แขนขวาของเขาจุดเดิมเท่านั้น
ในเวลาปกติ… มันเป็นแค่แขนธรรมตา มีสัมผัสและกล้ามเนื้อเหมือนปกติทุกอย่าง
แต่หากชกกำแพง หรือเอาดาบมาทุบมาฟัน มันกลับแข็งแกร่งจนไม่อาจมีอะไรทำอันตรายได้
วันเวลาผ่านพ้น ชายหนุ่มใช้เวลาวางแผนล่วงหน้าก่อนเริ่มท้าทายด้วยความระมัดระวังมากขึ้น เขาสามารถเอาชนะหุ่นหินสามตัวได้ในที่สุด ก่อนจะพบว่าห้องถัดไปนั้นมีถึงห้าตัว แถมมีอาวุธที่หลากหลายมากกว่าเดิม มีแม้กระทั้งหน้าไม้หินหัวกลมที่โดนยิงอัดทีก็ต้องกระอักเลือก และเขาต้องใช้เวลาวนเวียนอยู่ในห้องนี่นานนับเดือนกว่าจะเอาชนะได้
แล้วก็ต้องพบว่ามันยังมีห้องถัดไปที่แม้จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นมาไม่พอ มันยังมีหุ่นสัตว์หินสลักที่คล้ายคลึงกับพวกพาเรลอีกต่างหาก
เขารู้ได้ทันทีเลยว่าตนเองคงต้องติดอยู่ที่นี่ไปอีกนาน
*****
ใต้ดินนี้ไม่อาจนับเวลาได้… สิ่งเดียวเท่านั้นที่พอบอกเวลาเช้าเย็นให้บาร์ตันรู้คือใบไม้จากรากสีขาว เพราะมันจะส่องสว่างมากกว่าปกติเป็นพิเศษเมื่อถึงช่วงเวลาราวๆเที่ยงคืน
บาร์ตันคิดว่าตนเองติดอยู่ในนี่ไม่ใช่แค่สามสี่เดือน
แต่มันนานเกือบสิบเดือนแล้ว
ภายในถ้ำที่มืดสลัว คนปกติคงถึงกับเสียสติไปนานแล้ว ทว่าเด็กชายที่เคยชินกับความมืดในแดนใต้ขยะนั้นไม่ได้มีปัญหาเสียเท่าไหร่ เขาเรียนรู้มานานแล้วว่าไม่ว่าจะเกิดอะไร เพียงแค่ตัดความคิดที่จะทำให้ตัวเองจิตตกออกไป แล้วมุ่งเป้าไปที่การเอาชีวิตรอด แค่นั้นก็เพียงพอ
ทำสิ่งที่ตัวเองทำได้
สองปีกว่า… เกือบสามปี นั้นคือเวลาที่ติดอยู่ในโลกนี่ ผมขาวแซมดำตอนนี่ยาวเกือบถึงกลางหลัง ร่างสูงขึ้นอีกพอสมควร กางเกงตัวยาวที่ใส่มาตั้งแต่ดาวทอร์ทูรัสเองขาดวิ้นจนกลายเป็นกางเกงขาสั้น รองเท้าบูทนั้นถูกถอดทิ้งไว้เพราะเริ่มคับจนใส่เดินไม่สะดวก เสื้อกล้ามเองถูกฉีกออก เอาไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นมานานแล้ว เผยให้เห็นร่างเพรียวบางของเด็กหนุ่มที่อายุย่างเข้าสิบสี่สิบห้าปี
จากเด็กชาย ก็ได้กลายเป็นเด็กหนุ่ม
ทว่า แม้จะยังดูร่างเล็ก ผอมเพรียว และมีผิวที่ค่อนข้างซีด แต่ก็ปรากฏกล้ามเนื้อชัดเจน มันเป็นผลลัพธ์จากการฝึกฝนและเคลื่อนไหวต่อสู้กับพวกหินอยู่ทุกวี่วัน เด็กหนุ่มเองค้นพบว่าการเคลื่อนไหวของตนนั้นเฉียบคมขึ้นมาก ติดขัดน้อยลง และสามารถขยับตัวได้ลื่นไหลดั่งใจนึก
เขาไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าคนปริศนาที่เขาเกือบลืมไปแล้วปล่อยหย่อนเขามาในนี่ด้วยจุดประสงค์อะไร แต่บาร์ตันก็อดขอบคุณไม่ได้เลยจริงๆ
จะติดอย่างเดียว… ก็คือต้องหาทางออกไปจากที่นี้ให้ได้ และห้ามตาย
ไม่เช่นนั้นทุกอย่างที่ทำมาจนถึงทุกวันนี้ คงเสียเปล่า
บาร์ตันถอนหายใจ ก่อนจะหยิบเสื้อแจ็คเก็ตหนังตัวใหญ่ที่มีตรากะโหลก แม้จะโตขึ้นขึ้นบ้างแต่เจ้าเสื้อตัวนี้ใส่กี่ทีก็ยังโคร่ง มันเป็นสมบัติเพียงหนึ่งเดียวที่ติดตัวเขามาตั้งแต่ก่อนเสียความทรงจำ และยังคงอยู่เคียงข้างเขามาจนถึงทุกวันนี้
ชายหนุ่มใช้เปลือกไม้สอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อและช่องว่างต่างเกราะกำบัง รูดซิบ ก่อนจะพันเปลือกไม้แบบเดียวกันไว้กับขาทั้งสองข้าง แล้วออกไปท้าทายพวกหุ่นหินอีกครั้ง
เขาจำไม่ได้แล้วว่ามันครั้งที่เท่าไหร่ เขาเลิกนับไปนานหลังผ่านไปรอบที่สองร้อย การวิเคราะห์และศึกษาการเคลื่อนไหวของพวกมันเองวาดไปเต็มผนังหิน
จากเด็กที่เคยวาดรูปได้แค่ก้างปลา ตอนนี่บาร์ตันใช้ของแหลมสเก็ตภาพเหมือนจริงได้แล้วด้วยซ้ำ มันเป็นหนึ่งในกิจกรรมไม่กี่อย่างที่บาร์ตันทำได้ระหว่างฟื้นตัวแล้วไม่รู้จะทำอะไร
และอีกครั้ง และอีกครั้ง และอีกครั้ง บาร์ตันบุกเข้าไปลึกขึ้น และนานวันเข้าเด็กชายก็ใช้เวลาน้อยลงในแต่ล่ะห้อง เรียนรู้ที่จะวางแผนล่วงหน้า ใช้สภาพแวดล้อมให้เป็นประโยชน์ แม้จะมีหลายครั้งที่สะบักสะบอมอยู่บ้าง ทว่าความทรหดที่ได้มาจากการโดนน็อคอยู่หลายรอบก็ช่วยเขาเอาไว้ได้มหาศาล
เส้นทางภายในเองเริ่มซับซ้อน มันแยกไปได้หลายทาง มีบางพื้นที่ที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ทว่าเด็กหนุ่มก็ไม่ได้หลบผู้พิทักษ์ที่ดูอันตราย เมื่อตอนนี่ทักษะของตนเองเริ่มถึงระดับที่สามารถจัดการหุ่นหินร่างคนได้อย่างไม่ยากเย็น ความสูงที่เพิ่มขึ้นของเขาเองช่วยให้เขาก้าวหลบด้วยระยะที่มากขึ้น
ทว่า ส่วนที่ยากที่สุดคือพวกหุ่นพาเรลต่างหาก
*****
เปรี๊ยง--!!
ในห้องกว้างขนาดใหญ่ หุ่นหินพาเรลขนาดเท่าม้าถูกดาบสะบั้นขาทั้งหกของมันจนแหลก ก่อนจะจบลงที่บาร์ตันเหยียบหลังแล้วแทงดาบทะลุแกนกลางที่เป็นดั่งหัวใจ กระจุไฟฟ้าและแสงแอสตรัลสีฟ้าทองนั้นระเบิดไปรอบข้าง เศษหินปลิวกระจาย ก่อนร่างหินนั้นจะแน่นิ่งไปในที่สุด
“แฮ่ก… แฮ่กก…”
ลมหายหายใจหอบรวนริน เลือดไหลจากหน้าผาก เสื้อแจ็คเก็ตตัวเดียวที่มีขาดวิ่น รอบข้างเองเต็มไปด้วยซากมนุษย์หินอีกหกร่าง และอีกหลายร่างที่ถูกทำลายไปแล้วก่อนที่เขาจะท้าทายรอบล่าสุดนี้
“นั้นเกือบไปแล้ว…” เด็กหนุ่มหอบหายใจแรง การท้าสู้กับพวกหุ่นพาเรลนั้นอันตรายกว่ามาก ถ้าพลาดสักทีแล้วโดนกรงเล็บมันตะบบเข้าท้องก็อาจจะเลือดคั่งในตายได้ในทันที
เด็กชายดึงดาบที่เริ่มทื่อ ก่อนจะนั่งพักบนร่างพาเรลที่ไม่ขยับ เงยหน้ามองไปด้านในก็ต้องถอนหายใจ เมื่อกำแพงหินนั้นเริ่มเปิดทางไปต่อให้เขาอีกครั้ง
‘เมื่อไหร่จะสิ้นสุดสักที’
บาร์ตันเช็ดเลือด ใช้สมุนไพรกับใบไม้ที่หาได้ทำแผลชั่วคราว นั่งนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินต่อไปด้านใน พบกับห้องมืดที่แทบไม่มีแสงสว่างจากใบไม้ ตรงกลางเองปรากฏลานหินแปดเหลี่ยมที่มีของสองสิ่งวางเอาไว้
หนึ่งคือดาบ… ปักไว้กลางลาน แต่มันเป็นคนล่ะประเภท เล่มยาวและหนากว่าเก่า ใบดาบเองมีความกว้างมากกว่าเดิม อาจเรียกได้เลยว่าเป็นดาบใหญ่ ช่วงด้ามดาบเองปรากฏกระบังมือครอบเป็นเหล็กตรงๆคอยป้องกันมือเอาไว้
และตรงพื้นหน้าดาบใหญ่เล่มนั้นเอง… แขนเทียมไม้อีกข้างวางไว้อยู่ตรงนั้น
“เจ้าคนประหลาดนั้น…” บาร์ตันถึงกับถอนหายใจแรง สงสัยจริงๆว่าคนที่ลักพาตัวเขามามันโรคจิตหรือยังไง?
เขาได้อะไรจากเรื่องนี่? หรือเห็นเขาดิ้นรนข้างล่างนี้เป็นแค่เรื่องสนุก?
ยังไงก็ตาม เด็กหนุ่มเลิกสนใจ เขางมๆแขนเทียมอันเก่าที่เริ่มเล็กกว่าตัว ถอดมันออกได้เหมือนที่เคยตรวจสอบมาแล้วครั้งหนึ่ง ก่อนจะนำแขนอันใหม่มาใส่ เขารู้สึกชักกระตุกเล็กน้อยเมื่อเริ่มเชื่อมต่อ เส้นแสงแอสตรัลสีฟ้าเองไหลเวียนไปตามข้อต่อพร้อมสัมผัสเย็น บาร์ตันพลันค้นพบว่ามันพอดีตัวกว่าอันเก่ามาก พูดได้เลยว่าขนาดเท่ากับแขนขวาที่เติบโตขึ้นมาของเขาแล้ว
มันทำให้เขาใจคอไม่ดีเลยจริงๆ ราวกับถูกเฝ้ามองอยู่ตลอดเวลา ทว่าพอสังเกตว่าฝุ่นมันเกรอะทั้งดาบและแขนราวกับมันวางทิ้งไว้มานานแล้วแรมปี เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าคนลักพาตัวนั้นได้วางแผนไว้แต่แรก
มั่นใจแต่แรกแล้วสินะ… ว่าเขาจะดิ้นรนมาถึงตรงนี่ได้โดยไม่ยอมแพ้?
บาร์ตันไม่รู้หรอกนะว่ามันเป็นใคร หรือต้องการอะไร
แต่ถ้าเจอกันอีกครั้งล่ะก็ เขาอยากจะซัดหมัดใส่หน้าเข้าสักป๊าบ
ชายหนุ่มถอนหายใจแรง ดึงดาบนั้นขึ้นมาจากพื้น ผนังทางไปต่อก็พลันเลื่อนเปิดออก ทว่าชายหนุ่มที่เพ่งอยู่กับการยกดาบก็ต้องกัดฟันกรอด เพราะมันหนักมาก อาจจะสักสิบห้าถึงยี่สิบกิโลกรัมได้ เป็นของที่คนธรรมดาในโลกเก่าคงไม่มีทางยกไปฟันอะไรได้ง่ายๆ
ทว่าบาร์ตันก็ยกได้… อาจจะลำบากอยู่บ้างในการกวัดแกว่ง แต่เด็กชายเชื่อว่าด้วยเวลา เขาจะสามารถใช้มันจนเคยชินได้ในที่สุด
เห็นเช่นนั้นเด็กหนุ่มก็สำรวจ ใบดาบมันกว้างมาก มีคมเดียว และพบว่ามันมีความยาวพอๆกับส่วนสูงตนเอง ใบดาบเองมีความโค้งไปถึงปลาย
ดูแล้วคงดีไซน์ไว้ใช้สำหรับการฟันเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ใช่แทง
เขาเห็นแล้วก็สูดลมหายใจ แล้วยกมันพาดไหล่ ตัวเหล็กสีเทาเงินเองให้สัมผัสเย็นเยียบไปถึงกระดูก
บาร์ตันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังส่วนลึก เดินตามทางแคบๆไม่นานก็พบทางออก ก่อนจะมองลงไปด้านล่าง แล้วพบกับโถงถ้ำทรงแปดเหลี่ยมขนาดมโหฬาร มันเป็นพื้นที่กว้างไม่มีสิ่งกีดขวาง และบางสิ่งที่นอนอยู่ตรงกลางลานนั้นก็ทำให้ดวงตาของเด็กหนุ่มสั่นไหว
‘พูดเป็นเล่นน่า…’ เขาย่อตัวหลบลงต่ำแทบจะไม่ทัน ต้องควบคุมอารมณ์ฉับพลัน แล้วต้องด่าแช่งเจ้าคนที่ลักพาตัวเขามาที่นี่อยู่ในใจ
ลานกว้างนั้นเต็มไปด้วยเศษหินจากหุ่นกลที่ถูกทำลาย และที่ตรงกลางลานนั้นเอง พาเรลหมาป่าหกขาผิวเป็นเกล็ดกำลังนอนขนตัวหลับอยู่ และมันไม่ใช่แค่หุ่น ทว่าเป็นพาเรลตัวเป็นๆที่มีชีวิต มีลมหายใจ แถมยังตัวใหญ่สูงเกือบห้าเมตร
อาจจะไม่ตัวใหญ่เท่าตัวที่เขาเจอในป่าเมื่อปีก่อน ทว่าเด็กชายนั้นรู้ฤทธิ์ิเดชของมันดี ครั้งหนึ่งเขาเคยเห็นพาเรลประเภทเดียวฆ่าเพื่อนสนิทของตนไปต่อหน้าต่อตา ด้วยการตะวัดกรงเล็บหน้าของมันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
แต่เจ้าตัวนั้นยังเล็กกว่าเจ้าบ้านี่อีกด้วยซ้ำ!
บาร์ตัดคิดแล้วก็ต้องมือสั่น เมื่อภาพวันนั้นหวนคืนกลับมา
“!?” ใบหูเป็นครีบของมันกระดิก ผิวเกล็ดสีน้ำเงินม่วงเกิดแสงแอสตรัลกระเพื่อม ดวงตาของมันปรือขึ้นเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นจิต บาร์ตันพลันต้องควบคุมอารมณ์ ก่อนจะต้องรีบถอยกลับเข้าไปในโถงถ้ำทันที
ไม่มีทางที่เขาจะสู้กับมันได้ในตอนนี่
เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าโรคจิตนั้นถึงเอาแขนใหม่กับดาบใหญ่มาให้เขา
เพราะด้วยดาบเล่มเก่า มันไม่มีทางเลยที่คมดาบที่เริ่มทื่อกับน้ำหนักเพียงน้อยนิดของมันจะทะลวงเกล็ดหนานั้นได้
“ฟู่…” เด็กหนุ่มพิงตัวเองกับผนังหลังถอยกลับมาถึงห้องก่อนหน้า ก่อนจะเหลือบมองดาบหนักที่พิงไว้ข้างตัว “…ดูเหมือนว่าต้องเตรียมการอะไรหลายอย่างเลยสินะ”