เวลานับถอยหลัง ศัตรูเก่าหวนคืน อสูรหกตาไล่ล่าข้ามโลกที่ไม่ปรากฏ เด็กชายอายุเพียงแค่สิบเอ็ดพลันต้องเรียนรู้โลกใหม่เพื่อเป็นผู้ล่า ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นเพียงเหยื่อที่ไร้ทางสู้
แฟนตาซี,ไซไฟ,พารานอมอล,ผจญภัย,แฟนตาซี,ผจญภัย,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Astral Break มิติมนตรา ราชาสีดำ [Steampunk / Magicpunk]เวลานับถอยหลัง ศัตรูเก่าหวนคืน อสูรหกตาไล่ล่าข้ามโลกที่ไม่ปรากฏ เด็กชายอายุเพียงแค่สิบเอ็ดพลันต้องเรียนรู้โลกใหม่เพื่อเป็นผู้ล่า ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นเพียงเหยื่อที่ไร้ทางสู้
“พวกมันหิว พวกมันกระหาย ความสิ้นหวังของมนุษย์คืออาหารที่มันปรารถนาเจียนตาย และเมื่อมันเสพสมจนพอใจ... มันก็ทำให้ความฝันอันโหดร้ายหลั่งเลือดออกมาเป็นความจริง” - ทหารโดมิเนี่ยน, กล่าวถึงพาเรลในแดนมืด
นิยายแนวผจญภัย - ไซไฟ ผสมแฟนตาซี (และสตีมพังค์)
10 เดือนต่อมา…
หลายพันกิโลเมตรจากป่าสีขาวลงสู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ในพื้นที่ราบลุ่มสีเขียวที่เห็นต้นไม้เพียงน้อยนิดตลอดระยะสุดสายตา ปรากฏนครที่มีกำแพงใหญ่ตั้งใกล้กับแม่น้ำเชี้ยวกราดที่ไหลผ่านทวีป
มันมีกำแพงสูงกว่าสี่สิบเมตร ด้านบนสุดเต็มไปด้วยเครื่องยิงฉมวก ปืนใหญ่ และทหารชุดน้ำเงินประจำการ ในเมืองเองปรากฏสถาปัตยกรรมตัวเมืองคล้ายยุควิคตอเรียทว่าทันสมัยกว่า ประดับไปด้วยฟันเฟือง ทองเหลือง เครื่องจักรไอน้ำ และมีแม้กระทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบโบราณ
ทว่า… ภายนอกเมืองนั้นแทบไม่มีถนนหนทาง ไม่มียานพาหนะภาคพื้น แต่ทันทีที่เงยหน้าขึ้นฟ้า จะพบกับเรือเหาะสามถึงสี่ลำคอยบินเข้าออกตลอดเวลา และอีกเกือบสิบลำคอยลาดตะเวนอาณาเขตโดยรอบรอบเมือง
บางลำนั้นสร้างจากโลหะ บางลำสร้างจากไม้ผสม แม้ดีไซน์จะแตกต่าง ทว่าสิ่งที่เหมือนกันนั้นคือเครื่องยนต์ที่ปล่อยคลื่นพลังงานสีฟ้าออกมา
พาหนะลอยได้พวกนั้น ทุกลำล้วนใช้พลังงานแอสตรัลเป็นเชื้อเพลิง
ในจุดหนึ่งของกำแพงเมืองสูง คือท่าเทียบเรือเหาะสร้างจากปูน เหล็กกล้า ทองแดง และหินอ่อน ปรากฏเรือเหาะสองลำกำลังจอดเทียบ และมีเจ้าหน้าที่หน้าโต๊ะไม้คนหนึ่งก็กำลังตรวจคนเข้าเมืองด้วยสีหน้าถมึงทึง
“นี่อะไร ยาเซนิค ไม่ใช่รึไง? ไม่รู้เหรอว่ามันผิดกฎหมายในเมืองบริสเติล?” ตาลุงหัวล้านไว้หนวดในชุดทหารสีน้ำเงินตัดทองทำหน้าขมวดมุ่น “ไปซะ! ไปกรอกเสียค่าปรับตรงนู้นเลย!”
“แต่! แต่ผมไม่รู้นี้น่า! ในเมืองอื่น พวกเรานักล่าก็ใช้ยาเซนิคเพิ่มพละกำลังกันทั้งนั้น!-”
“เอ๋! ก็บอกแล้วไง ว่ามันนับเป็นยาเสพติดในเมืองนี่! ไปเลยไป! ไปเสียค่าปรับตรงนั้นซะก่อนฉันจะเรียกทหารมาจับ!”
“ชิ!” ชายร่างใหญ่คว้ากระเป๋าพร้อมเค้นเสียงอย่างขัดใจ แต่ก็ยอมเดินไปแต่โดยดี
“เสียเวลาชะมัด” ตาลุงคนตรวจเมืองส่ายหน้าอย่างหัวเสีย ก่อนจะไล่ตรวจตาคนเข้าเมืองถัดไป โดยรวมแล้วเรือเหาะครั้งนี่พาคนมามากกว่าสามสิบคน แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่มีปัญหาอะไรมากเท่าไหร่
จนกระทั้งถึงคนสุดท้าย
“ชื่ออะไร” ตาลุงหัวล้านถามโดยไม่เงยมอง
“บาร์ตัน...” ชายหนุ่มคนสุดท้ายกล่าวเสียงราบเรียบ “บาร์ตัน แบล็คฮาร์ท”
“???” ตาลุงเลิกคิ้วเล็กน้อย ชื่อกับสำเนียงอีกฝ่ายนั้นทำเอาเขาชะงักไปครู่หนึ่ง เห็นเช่นนั้นก็เงยขึ้นมอง ก่อนจะกราดตาสำรวจหัวจรดเท้า
ร่างสูงเพรียว ชุดสีดำดูทะมัดทะเมงตัว สะพายดาบเล่มใหญ่ สวมผ้าคลุมหนังสัตว์ปิดฮู้ด ทว่าก็ยังเห็นใบหน้าของช่วงวัยรุ่น ผมสีขาวแซมเทา มีผิวซีดเหมือนคนไม่ค่อยโดนแดด ส่วนแขนซ้ายสวมปลอกแขนเหล็กที่มีหน้าจอประหลาด เป็นของที่คนส่วนใหญ่นั้นคงไม่มีทางมี
ทว่าตาลุงหัวล้านที่เห็นคนมามาก พอฟังสำเนียง เห็นสีผิว และเครื่องมือประหลาดที่มีหน้าจอ เหลือบมองปราดเดียวก็พอเดาได้ทันทีว่าบาร์ตันมาจากที่ไหน
“โอ่ย… ชาวโดมิเนี่ยนไม่ใช่เรอะ? มาไกลนะเนี่ย” ลุงนั้นกล่าว มั่นใจในสายตาตัวเองมาก
แม้ความจริงแล้วจะผิดไปหน่อยก็ตาม
“ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอชาวโดมิเนี่ยนอีกในปีนี่ โดนเนรเทศเหรอ? ไม่สิ ถ้าโดนก็คงต้องติดอยู่ทางเกาะเหนือ ถ้างั้นคงหนีมาสินะ?”
“…” บาร์ตันครุ่นคิดเล็กน้อยว่าจะตอบยังไง ทว่าก็ตัดสินใจพยักหน้าตามน้ำไปทั้งแบบนั้น
“ว่าแล้วเชียว… แต่เอาเถอะ ยินดีด้วยที่หนีจากจักรวรรดิโหดบรรลัยนั้นได้ ได้ยินว่าเลี้ยงดูประชาชนตัวเองอย่างกับเป็นเครื่องจักร… ก็นะ ไม่งั้นคงไม่ขึ้นชื่อว่า ‘แดนจักรกล’ ตั้งแต่แรกหรอก ฮ่าๆๆๆ”
“…”
“เอ่อ... อืม ช่างเถอะ ยังไงก็ตาม ต่อให้เป็นผู้ลี้ภัยแต่ก็ต้องทำตามขั้นตอน เรามีจุดประสงค์อะไรถึงมาที่นี่?”
“…” บาร์ตันครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะพูดภาษาคนโลกนี่ทว่าก็ยังไม่คล่องเสียเท่าไหร่ “หางาน… เรียนรู้… ที่พัก..”
“หืมม…” ตาลุงครุ่นคิด ก่อนจะสะบัดมือไปมา “ถ้าไม่ถนัด พูดภาษาโดมิเนี่ยนก็ได้นะ มันเรียกว่าอะไรนะ? อังกอใช่ไหม? หรืออิงกัต? นั้นแหละๆ ฉันพอพูดได้อยู่ เห็นอย่างงี้แต่ก็เจอชาวโดมิเนี่ยนมาเยอะ”
บาร์ตันพยักหน้า ก่อนจะพูดตามความถนัดของตนเองทันที
“ต้องการหางาน กับหาที่พัก พลางเรียนรู้เกี่ยวกับโลกภายนอกไปพลางๆ”
“อ่ออออ… อืมม” ตาลุงฟัง ครุ่นคิด เหมือนพยายามแปลในหัว ก่อนจะพยักหน้า “เข้าจายแล้ว โอเค โอเคเลย…” ว่าแล้วก็ทำมือเป็นรูปโอเค ทว่าสุดท้ายก็กลับไปใช้ภาษาตัวเองอีกครั้งอยู่ดี ทว่าพูดช้าลง “สองอย่างหลังน่ะไม่มีปัญหา แต่อย่างแรกน่าจะยากหน่อย คนมาใหม่ตอนนี่มีเยอะมาก งานว่างน่ะแทบไม่มี… มีความสามารถด้านไหนบ้างล่ะ?”
บาร์ตันเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบ
“งานจักรกล”
“อ้า… แน่นอน” ตาลุงพยักหน้า “ก็คิดไว้อยู่แล้วล่ะ สมกับเป็นชาวโดมิเนี่ยน ถ้างั้นฉันจะช่วยติดต่อ-”
“แล้วก็งานล่า”
“!?” อีกฝ่ายชะงัก ก่อนจะกะพริบตาปริบๆ “ล่าอะไร?”
ถามปุ๊บบาร์ตันก็หยิบถุงหนังจากข้างเอว นำมาวางไว้ ตาลุงก็พลันสงสัย ก่อนจะเปิดดู แล้วก็ต้องตาลุกวาว
“ล่าอสูร..!?”
ตรงหน้าเขา ภายในถุงหนัง ปรากฏเขี้ยว เล็บ ฟัน เกล็ด และกระดูกของพาเรล หรือสิ่งมีชีวิตที่คนโลกนี่เรียกกันง่ายๆว่าสัตว์อสูร ทั้งหมดนี่ล้วนเป็นของมีค่า เป็นทรัพยากรที่นักประดิษฐ์ นักวิจัย และช่างอาวุธนั้นสามารถนำไปทำอะไรได้หลายอย่าง
ในโลกนอกกำแพงที่พวกพาเรลออกล่ามนุษย์อยู่ตลอดเวลา งานล่าอสูรนั้นมีไม่ขาด และวัตถุดิบที่ได้จากสัตว์ร้ายพวกนั้นก็มีราคาสูงอยู่เสมอ
ตาลุงเงยหน้ามองอีกครั้ง ก่อนจะเหลือบมองไปด้านหลังชายหนุ่ม เห็นดาบใหญ่ที่มีรอยบิ่นเต็มไปหมด เช่นนั้นอีกฝ่ายก็พยักหน้า
“สมเหตุสมผล ได้ยินอยู่ตลอดเหมือนกันว่าชาวโดมิเนี่ยนเป็นนักสู้โดยกำเนิด ก็นะ อยู่ในสังคมแบบนั้น แถมในแดนมืด ใกล้กับฝูงอสูรเหมือนอยู่หน้าประตูบ้าน ถ้าจำไม่ผิด พวกเธอเรียกเจ้าพวกเลือดน้ำเงินว่าพาเรลสินะ? เจ้าพวกสมาคมนักล่ากับเมืองอื่นๆก็เรียกว่าพาเรลเหมือนกัน จนตอนนี่กลายเป็นภาษากลางไปแล้ว”
ว่าแล้วอีกฝ่ายก็ขีดเขียนอะไรบางอย่างในกระดาษสีน้ำตาล หมุนกลับหน้า แล้วปั๊มตรารับรองทันที
“เอานี่ แผนที่กับใบรับรอง หน้าหลังลุงเขียนแนะนำสถานที่สำคัญไว้ให้ ทั้งที่พัก ร้านรับซื้อของในถุงพวกนั้น แล้วก็งานที่แนะนำ ตอนนี่พวกสภาผู้นำเมืองต้องการนักล่าพาเรลมากขึ้น คงหางานได้ง่ายอยู่หรอก แต่ถ้าให้พูดตรงๆ ลุงแนะนำให้ทำงานซ่อมแซมเครื่องยนต์เรือเหาะดีกว่า ถึงนักล่าจะได้ค่าตอบแทนมากกว่า แต่มันเสี่ยงเกิ๊น ไหนๆก็เอาชีวิตรอดจากแดนบรรลัยนั้นมาได้แล้ว ไปใช้ชีวิตอย่างปกติสุขเถอะพ่อหนุ่ม”
ว่าแล้วตาลุงก็ยกยิ้ม
“ยังไงก็ตาม ยินดีต้อนรับสู่เมืองแห่งไอน้ำ บริสเติล! ลุงชื่อเดลลัส ถ้ามีปัญหากับการปรับตัวก็มาหาได้ทุกเมื่อ หรือถ้าเจอพวกเหยียดชาวโดมิเนี่ยนรังแกล่ะก็ บอกลุงได้เลย! เดี่ยวลุงไล่ตบหัวเรียงตัวให้!”
“ขอบคุณครับ” บาร์ตันพยายามยิ้ม ทว่าเพราะไม่ได้ยิ้มมานาน รอยยิ้มของเขามันเลยดูฝืนและจืดจาง ตาลุงที่เห็นก็พลันเข้าใจผิด แอบเศร้าใจ พลางจินตนาการไปไกลโขว่ากว่าจะหนีออกมาจากโดมิเนี่ยนได้ เจ้าหนุ่มนี่ต้องเจอเรื่องเจ็บปวดมาเยอะมากแน่ๆ
ทั้งที่ตอนนี่บาร์ตันไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น นอกจากกำลังตัดสินใจว่าเขาจะกินเนื้อตากแห้งในกระเป๋าหรือหาซื้อของกินในเมืองดี
หลังตรวจกระเป๋าที่แทบไม่มีอะไรเสร็จ เดินผ่านประตูบานใหญ่ที่เชื่อมต่อระหว่างท่าเรือเหาะกับเมืองชั้นบน บาร์ตันเดินลงบันไดกว้างสวนกับผู้คนอีกหลายคน ก่อนจะเงยหน้ามองนครที่เต็มไปอาคาร กลไก ท่อทองแดง กับเรือเหาะที่บินลาดตะเวนอยู่บนท้องฟ้า
นี่คือเมืองใหญ่ที่เขาได้พบเป็นครั้งแรกหลังตกลงมาในโลกนี่
บริสเติล… นครแห่งไอน้ำ