เมื่อมือสังหารต้องเลือกเส้นทาง… ระหว่างความถูกต้องกับความแค้น หยาดเลือดจะเป็นตัวตัดสิน!
ไซไฟ,ลึกลับ,แอคชั่น,สงคราม,จิตวิทยา,สืบสวนสอบสวน,ดราม่า,สายลับ,แวมไพร์,พล็อตสร้างกระแส,แอ็คชั่น ,แอ็คชั่น,สงคราม,สงครามโลก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Assassins Agent Lore Story Light Novel Editionเมื่อมือสังหารต้องเลือกเส้นทาง… ระหว่างความถูกต้องกับความแค้น หยาดเลือดจะเป็นตัวตัดสิน!
"ในโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งระหว่างมนุษย์และแวมไพร์ เซเรีย อาร์มสตรอง หญิงสาวผู้ถูกฝึกให้เป็นนักฆ่าตั้งแต่ยังเยาว์วัยจากสก็อตแลนด์ ต้องเผชิญหน้ากับภารกิจที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเธอไปตลอดกาล เมื่อองค์กรก่อการร้าย ไฮมานา ที่ตั้งอยู่ตะวันออกกลาง นำโดย กามิล มูฮัมหมัด คิดจะทำลายสมดุลแห่งโลก เซเรียและ คุซานางิ ลูอิส แวมไพร์นินจาปริศนาจากญี่ปุ่น และพรรคพวก ต้องร่วมมือกันเพื่อหยุดหายนะนี้ แต่ในเงามืดที่ซ่อนเร้น อดีตที่โหดร้ายของพวกเขากลับคอยตามหลอกหลอน การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ภารกิจ แต่มันคือเส้นทางแห่งการล้างแค้น ศรัทธา และเสรีภาพของพวกเขา!"
อัพเดทตอนทุกวันพฤหัสค่ะ จะพยายามอัพนะคะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น จะแจ้งข่าวทาง X และ Facebook นะคะ
คำเตือน
นิยายไลท์โนเวลเรื่องนี้มีเนื้อหาเหมาะสำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
ภายในเรื่องประกอบด้วยฉากความรุนแรง การต่อสู้ การทรมาน จิตวิทยามืด และการควบคุมทางอำนาจในโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง
เรื่องราวทั้งหมดเป็นผลงานสมมติ สร้างขึ้นเพื่อเล่าเรื่องในจักรวาลแฟนตาซี-ไซไฟ และไม่ได้มีเจตนาเชิดชูพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมใด ๆ ทั้งสิ้น
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน และพักใจหากรู้สึกไม่สบายใจในบางประเด็น
สนามประลอง – นาทีที่ 17
เสียงหอบหายใจดังสลับกันจากทั้งสองฝ่าย
เหงื่อไหลอาบใบหน้าเซเรีย แต่ในดวงตาของเธอกลับนิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
เหมือนอะไรบางอย่าง...กำลังจะหลุดออกมา
“แค่ขนาดนี้...ยังจะยืนไหวอีกเหรอวะ?” ลูอิสสบถถาม หอบเล็กน้อย
แววตามั่นใจเริ่มสั่นคลอน
เซเรียไม่ตอบ เธอกำหมัดแน่น —
ไฟฟ้ารอบตัวเริ่มประกายมากขึ้น ราวกับคลื่นพลังบางอย่างกำลังแผ่ออกมาจากร่างเธอทีละนิด
“รุ่นพี่...” ลูอิสชะงัก “...มีพลังแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ?”
เธอเงยหน้าขึ้น สบตากับเขาตรง ๆ
“ตั้งแต่วันที่ฉันเลือกจะไม่เป็นเหยื่ออีกต่อไปน่ะ นายไม่รู้อดีตของฉันแม้แต่น้อย”
ทันใดนั้น ร่างเซเรียพุ่งเข้ามาเร็วกว่าทุกครั้ง
หมัดซ้ายกระแทกเข้าชายโครงของลูอิส ก่อนหมุนตัวเตะเสยเข้าคาง
----- เปรี้ยง!!!!
ร่างเขาลอยกระเด็นไปชนขอบสนามเต็มแรง
เสียงกระแทกเงียบลง ก่อนร่างลูอิสจะทรุดลงกับพื้น
เขาพยายามจะลุก แต่ขาไม่ขยับ
เซเรียในตอนนี้ แทบจะไม่รู้สึกอะไรอีกเลย แววตาของเธอว่างเปล่า ทำให้ลูอิสมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีตามมา
“พอแล้ว...” ลูอิสพูดเบา ๆ พร้อมยกมือขึ้น “ฉัน...ยอมแล้ว”
สนามเงียบสนิท
วิเวียนยกนาฬิกาจับเวลา “จบการประลอง—ผู้ชนะ: เซเรีย”
เซเรียยังหอบอยู่ แต่ไม่ได้แสดงท่าทีดีใจ เธอเพียงยืนมองลูอิสที่ยังนั่งอยู่กับพื้นอย่างสงบ
ฟรานซิสรีบวิ่งเข้าไปใกล้แต่หยุดห่างออกหนึ่งก้าว
“เธอบ้าไปแล้ว...แต่ก็สุดยอดว่ะ”
“งั้นเหรอ ขอบใจนะ”
ลูอิสเงยหน้าขึ้น มองเซเรียด้วยแววตาเปลี่ยนไป
ไม่ใช่ดูถูก ไม่ใช่เยาะเย้ย — แต่คือการยอมรับ
“โอเค...ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกเขาถึงไว้ใจรุ่นพี่” เขาว่า พลางยิ้มเจื่อน ๆ “เธอไม่ใช่แค่เก่ง...แต่โคตรดื้อเลย”
เซเรียถอนหายใจเบา ๆ ก่อนหันหลังเดินออกจากสนาม
“จำไว้นะ” เธอพูดโดยไม่หันกลับมา “ใครที่คิดจะเดินข้างฉัน ต้องยืนให้ไหวก่อน”
ต่อมา พวกเขากลับไปที่ห้องทำงานเดิม
ลูอิสนั่งพิงพนักโซฟา
มีแผ่นแปะบาดแผลตรงแก้ม กับน้ำแข็งประคบตรงสีข้าง
เขาถอนหายใจแรง ๆ แต่ก็ยังอดยิ้มไม่ได้
“นี่แหละเหรอ…ชีวิตในทีม” เขาพึมพำ
“ปกติก็ไม่ต้องอัดกันขนาดนั้นหรอกนะ นายคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย ถึงไปท้ากับเซเรีย”
ฟรานซิสพูดขณะที่เดินเข้ามาพร้อมกล่องปฐมพยาบาล “แต่บางทีมันก็จำเป็นนะ ถ้าสู้ด้วยเหตุผลไม่ได้ ก็สู้ด้วยพละกำลังอ่ะนะ”
เอลล่าชะโงกหน้าจากโต๊ะข้าง ๆ “ถ้านายไม่กวนประสาทเซเรียตั้งแต่แรก...ก็คงไม่เละขนาดนี้นะ”
“ผมแค่...ทดสอบเท่านั้นน่ะ” ลูอิสยักไหล่ “ไม่คิดว่ารุ่นพี่เค้าจะเอาจริงขนาดนั้น”
“โชคดีแล้วที่ยังมีฟันและเขี้ยวแหลมๆอยู่ครบน่ะ ไม่งั้นเป็นแวมไพร์ฟันหลอไปแล้วล่ะ ฮะๆ” ฟรานซิสแซวหนัก ทำเอาเอลล่าหลุดขำและวิเวียนเกือบสำลักน้ำชา
“แต่ก็...ดีกว่าที่คิดไว้นะ เธอไม่ฆ่านายทันที” วิเวียนว่าพลางจิบชา
ประตูห้องเปิดออก
เซเรียเดินเข้ามาเงียบ ๆ หยุดมองพวกเขาสักพักก่อนจะเดินผ่านตรงไปที่ล็อกเกอร์
ลูอิสสบตากับเธอแวบหนึ่ง
“รุ่นพี่เซเรีย” เขาเรียกไว้เบา ๆ
เธอหยุด หันมามอง “มีอะไร”
“…ขอบคุณนะ ที่ไม่อัดผมให้ลุกไม่ขึ้นจริง ๆ”
เธอไม่ยิ้ม แต่แววตาอ่อนลงเล็กน้อย ลูอิสได้เรียนรู้เรื่องการพ่ายแพ้เป็นครั้งแรก ถึงจะเจ็บใจ แต่ก็เป็นบทเรียนในชีวิตของเขาเลย
“อย่าทำให้ฉันต้องสอนซ้ำแล้วกันนะ ลูอิส นายต้องเรียนรู้เพิ่มเติมอีกเยอะเลยล่ะ”
พูดจบเธอก็เดินออกจากห้อง ปล่อยให้ทั้งห้องเงียบไปชั่วครู่
ลูอิสมองตามหลังเธอ
แล้วหันไปหาฟรานซิส “เธอเป็นแบบนี้กับทุกคนเหรอ?”
ฟรานซิสหัวเราะในลำคอ “เปล่า เธอไม่เคยให้โอกาสใครแบบนี้ด้วยซ้ำ”
เอลล่ายิ้มบาง ๆ “ยินดีต้อนรับสู่องค์กร The Resistor อย่างเป็นทางการ”
ลูอิสพยักหน้าช้า ๆ ก่อนเอนตัวพิงโซฟา
ในหัวเขายังวุ่นวายกับคำพูดสุดท้ายของเซเรีย
"ใครที่คิดจะเดินข้างฉัน ต้องยืนให้ไหวก่อน"
เขายิ้มมุมปากอีกครั้ง
“งั้นก็คงต้องยืนให้ไหว...ไม่ว่าจะเจออะไรต่อจากนี้สินะ”
การเริ่มต้นใหม่ของพวกเขา กำลังจะมาเยือน
บรรยากาศเงียบสงบ
แสงไฟสลัวจากโคมไฟแชนเดอเลียร์ทำให้ห้องอบอุ่นแปลก ๆ
ฟรานซิสวางเบียร์กระป๋องลงบนโต๊ะ ส่วนเซเรียและคนอื่นๆวางกระป๋องน้ำอัดลม
“ในเมื่อวันนี้พวกเราไม่ตายกันไปซะก่อน...งั้นมานั่งเล่าเรื่องกันหน่อยเป็นไง?”
เขาพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนเอนหลังบนโซฟา
เซเรียนั่งกอดอก “ก็ดี จะได้เปลี่ยนอารมณ์บ้าง”
เอลล่านั่งไขว่ห้าอยู่บนพรม
ลูอิสนั่งเอกเขนกข้างฟรานซิส แต่สีหน้าดูครุ่นคิด
“…เริ่มจากผมก็ได้” ลูอิสพูดเบาๆ
ทุกคนหันไปมองเขา
ชายหนุ่มยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนถอนหายใจ
“ผม...เกิดในบ้านที่เรียกว่านรกก็ไม่ผิด
พ่อเป็นหัวหน้าแก๊งยากูซ่าใหญ่ระดับประเทศ แม่ตายตอนที่ผมยังเด็ก พี่สาวโดนขาย พี่ชายหายสาบสูญ
ผมหนีออกจากบ้านตอนอายุสิบขวบ ใช้ชีวิตข้างถนน...จนกระทั่งได้เจอกับอาจารย์เซนโกะ”
น้ำเสียงของเขาช้าลง
“หลังจากนั้น ผมถูกพาเข้าสำนักลับใต้ภูเขาโยโกะดาเกะ
กลายเป็นนินจา...กลายเป็นคนที่ไม่มีอดีต ไม่มีตัวตน
จนวันหนึ่ง ทุกอย่างพังทลาย เพราะคนที่ไว้ใจทรยศ”
ทุกคนเงียบ ไม่พูดแทรก
“ตั้งแต่นั้น ผมก็ไม่ไว้ใจใครอีกเลย...จนมาเจอพวกคุณนี่แหละ”
เสียงในห้องเงียบงัน ก่อนที่เอลล่าจะยิ้มเบาๆ
“ฟังดูหนักหนาดี...งั้นฉันขอต่อนะ”
เธอลูบนิ้วไล้ไปตามขอบกระป๋อง
“ฉันเกิดมาในตระกูลนักการทูต พ่อแม่เลี้ยงดูฉันให้เป็น ‘คุณหนู’ ซึ่งมันเป็นอะไรที่จุกจิกสุดๆ
ทั้งต้องมีมารยาท มีรสนิยม มีเส้นทางชีวิตที่ถูกวางไว้หมดแล้ว
แต่ฉันเกลียดมันมาก...เกลียดรอยยิ้มปลอม ๆ พวกนั้น
จนวันนึง ฉันก็ได้ทะเลาะกับพวกท่าน เลยหนีไปอยู่กับญาติที่ชนบทน่ะ”
“คุณหนูสุดๆ” ทุกคนคิดเป็นความเห็นเดียวกัน
เธอหัวเราะเบา ๆก่อนที่จะเล่าต่อ
“ฉันเรียนรู้การใช้ชีวิตจริงที่นั่น ตั้งแต่ขุดดิน ปลูกผัก ทำกับข้าว ฉันได้ลองทำอะไรที่ไม่เคยได้สัมผัสตั้งแต่เด็กๆ
และวันหนึ่ง ฉันเลือกทางนี้ — เข้าสู่องค์กร เพราะอยาก ‘ใช้ชีวิตที่ตัวเองเลือก’ ไม่ใช่ของใครกำหนด”
ฟรานซิสยกกระป๋องเบียร์ให้เธอ “เคารพเลยว่ะ”
เอลล่าพยักหน้าให้ แล้วหันไปทางฟรานซิส “ต่อเลย อดีตนาวิกโยธิน”
ลูอิสถึงขั้นขนลุกไปเลยทีเดียว เพราะ จริงๆแล้ว ฟรานซิสเคยเป็นกองกำลังทหารของสหรัฐอเมริกามาก่อน
ฟรานซิสยักไหล่ก่อนจะเอ่ยปากเล่าอดีตของตัวเอง
“ก็นะ ฉันเป็นนาวิกฯ ของอเมริกา เข้าประจำการตอนอายุ 18 ปีน่ะ
ซึ่งก็ผ่านสงครามมาหลายจุดเลย
จนวันหนึ่งโดนสั่งให้ไปทำภารกิจที่ไม่สมเหตุสมผล — ส่งเพื่อนฉันไปตายฟรี ๆ ซึ่งมันทำให้ฉันโมโหมากๆ
สุดท้ายฉันก็ขัดคำสั่ง แล้วลาออกทันที...แต่แน่นอน มันไม่ง่ายขนาดนั้น”
“แบบนี้มันเรียกว่า เอาพรรคพวกเป็นเหยื่อล่ออ่ะดิ” ทุกคนคิดเป็นความเห็นเดียวกัน
เขาหยุด ดวงตาหนักแน่นขึ้น
“องค์กรส่งคนมาหาฉันน่ะ ไม่ได้บังคับ แต่เสนอโอกาส — ให้ใช้ทักษะของฉัน เพื่อเปลี่ยนอะไรบางอย่าง
ฉันตกลง เพราะถ้าจะมีใครยิง ฉันอยากให้มันเป็นกระสุนนัดสุดท้ายของฉันเอง”
ทุกคนเงียบอีกครั้ง ก่อนสายตาจะหันไปที่คนสุดท้ายที่ยังไม่พูด
“เหมือนของฉันเลย คนในองค์กรเขาก็มาเชิญฉันมาทำงานเหมือนกัน”
ก่อนที่เซเรียจะเล่ามาในอดีต เธอเริ่มก้มหน้า
เธอพูดขึ้นเบา ๆ โดยไม่เงยหน้า
“ทางอดีตของฉัน โตมากับคำว่า ‘ผิดแปลก’ ถูกแกล้ง ถูกเหยียด ถูกซ่อนเอาไว้ในมุมที่ไม่มีใครอยากมอง
เพื่อนในห้องเรียนไม่มีใครอยากนั่งข้างฉัน พ่อแม่ฉันรวมถึงพี่ชาย พยายามบอกว่ามันจะดีขึ้นเอง แต่ไม่เคยดีขึ้นเลย สุดท้ายก็ต้องย้ายไปที่อื่นเพื่อไม่ให้เจ็บปวดอีก”
เธอหยุด สูดหายใจช้าๆ
“จนวันหนึ่ง ฉันไม่อยากเป็นเหยื่ออีกต่อไป
ฉันเริ่มสู้ เริ่มตอบโต้ เริ่มไม่สนว่าใครจะว่าอะไร
สุดท้าย พวกมันก็ได้รับกรรมไปในเมื่อปีที่แล้วนี่แหละ”
เธอหันหน้ากลับมามองเพื่อนร่วมทีมทีละคน
“ที่นี่...คือที่แรกที่ฉันไม่ต้องหลบใครน่ะ”
ความเงียบในห้องเปลี่ยนจากความอึดอัดเป็นความเข้าใจ
ทุกคนต่างมีแผล แต่เพราะแผลนั่นแหละ ที่พวกเขาได้มาเจอกัน
ลูอิสมองเซเรียอีกครั้ง คราวนี้แววตาเปลี่ยนไป
ไม่ใช่เพราะเธอเก่ง...แต่เพราะเขาเข้าใจเธอมากขึ้น
“เรานี่แม่ง...เป็นทีมประหลาดดีว่ะ” ฟรานซิสพูดขึ้น พร้อมยิ้มกว้าง “แต่ก็...ทีมที่โคตรจริงใจล่ะนะ”
ทุกคนหัวเราะเบาๆพร้อมกัน
ในห้องนั้น ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ
แต่ทุกคน “อยู่ตรงนี้” ด้วยความจริงใจของตัวเอง