เสียงเพลงในคาเฟ่เล็กๆ แห่งนั้นค่อยๆ กังวานขึ้น ความเงียบสงัดถูกแทรกด้วยบทสนทนาเล็กๆ ที่เอื้อนเอ่ยออกมาตรงมุมสงบของร้านกาแฟ ความสัมพันธ์ก่อตัวขึ้นภายใต้กลิ่นหอมของกาแฟคั่ว ดนตรีแจ๊ส และแอลกอฮอล์
รัก,ดราม่า,ชาย-ชาย,ดราม่า,BoyLove,BL,โรแมนติก,นิยายวาย,วาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เวฬาวาคีนเสียงเพลงในคาเฟ่เล็กๆ แห่งนั้นค่อยๆ กังวานขึ้น ความเงียบสงัดถูกแทรกด้วยบทสนทนาเล็กๆ ที่เอื้อนเอ่ยออกมาตรงมุมสงบของร้านกาแฟ ความสัมพันธ์ก่อตัวขึ้นภายใต้กลิ่นหอมของกาแฟคั่ว ดนตรีแจ๊ส และแอลกอฮอล์
เปิดเรื่อง 03/11/2024
TRIGGER WARNING !!!
นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหา 18+ และมีการใช้คำหยาบคาย ลามก โปรดพิจารณาก่อนอ่าน
ไม่แนะนำสำหรับนักอ่านที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
แด่ความรักทุกรูปแบบ
คำชี้แจ้ง
- นิยายเรื่องนี้จะมีการติดเหรียญ สำหรับตอนที่มี NC
- นิยายเรื่องนี้จะเปิดให้อ่านฟรี 10 ตอนแรก
- จะมีการติดเหรียญตอนอ่านล่วงหน้าสำหรับสายอ่านไว ตั้งแต่ตอนที่ 11 เป็นต้นไป แล้วจะปลดเหรียญให้อ่านฟรีหลังจากนั้น 7 วัน
- มีอีบุ๊คจำหน่าย แต่อาจจะช้าหน่อย
หมายเหตุ: เปิดให้อ่านฟรีตลอดช่วงเดือนมกราคม 2568 เป็นของขวัญปีใหม่ค้าบบบบบ
ข้าวของบางส่วนถูกรถกระบะขนย้ายมาจอดกองไว้ที่ด้านหลังอาคารของคอนโดที่วาคีนอาศัยอยู่ หลังจากที่ทั้งคู่ตกลงกันว่าจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เวฬาก็ใช้เวลาเก็บของเพียงไม่กี่วันแล้วย้ายเข้ามาที่นี่ทันที เขาไม่อยากจะเอาของอะไรมาเยอะเพราะไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง หากวันข้างหน้าเกิดเลิกกันขึ้นมาจะได้ไม่ต้องลำบากย้ายของออกให้วุ่นวายมากนัก อันที่จริงเขาก็ไม่ได้อยากจะให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นหรอก แต่เรื่องแบบนี้มันไม่แน่นอน ไม่มีใครคาดเดาอนาคตได้ วันนี้อาจดีต่อกัน แต่วันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างไม่มีใครรู้
“เดี๋ยวพี่ยกเข้าไปทางลิฟต์ขนของได้เลยนะครับ” เวฬาออกปากบอกพี่คนขับรถที่ว่าจ้างให้มาช่วยขนของย้ายที่พัก ถึงแม้ว่าเขาจะบอกว่าไม่อยากย้ายอะไรมาเยอะกลัวว่าต่อไปหากเลิกคบกันจะต้องลำบากย้ายของออกอีก แต่ดูจากที่ต้องจ้างรถมาช่วยขนของก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้น้อยอย่างที่เขาคิดเอาไว้
“โห... ไหนบอกไม่อยากเอาไรมาเยอะไง” วาคีนถึงกับเอ่ยปากแซวเมื่อเขาเปิดประตูฝั่งลิฟต์ขนของออกมาเจอสภาพสัมภาระกองเบ้อเริ่ม
“ก็ไม่ได้เยอะนะครับ ของใช้ส่วนตัวหมดเลย มีแต่ของจำเป็นครับ”
“อ่อ โอเคครับ”
เจ้าของห้องยิ้มแห้งเมื่อได้ยินคำกล่าวจากอีกฝ่าย เขาเองก็ไม่ได้กังวลเรื่องของเยอะเพราะห้องเขาก็ค่อนข้างกว้าง มีพื้นที่เหลือมากพอที่จะยัดของทั้งหมดที่เวฬาขนมาได้อย่างง่ายดาย เขาเดินนำคนขนของไปยังห้องของตัวเอง ใจหนึ่งก็แอบสงสารพี่เขาไม่น้อย เพราะมาคนเดียวแถมยังต้องช่วยขนของจำนวนมากอีก เป็นห่วงสุขภาพหลังพี่เขาอยู่เหมือนกัน
"เดี๋ยวยกเข้ามาไว้ข้างในได้เลยครับ ไม่ต้องถอดรองเท้าก็ได้ครับ” วาคีนเอ่ยบอกขณะที่เปิดบานประตูห้อง
คนส่งของเดินเข้าไปวางของที่ด้านในก่อนจะลอบถอนหายใจออกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย แล้วหยิบเอาใบเสร็จขึ้นมายื่นให้กับเวฬาที่เดินตามเข้ามาหลังสุด
“อันนี้ใบเสร็จค่าขนส่งครับ”
“แสกนจ่ายครับ”
“มีเลขบัญชีบริษัทอยู่ในใบเสร็จนะครับ ชำระตามนั้นได้เลยครับ ขอบคุณครับ” คนส่งของอธิบายก่อนจะยกมือขึ้นไหว้พร้อมรอยยิ้ม
“งั้นเดี๋ยวผมลงไปส่งลอบบี้นะครับ” วาคีนบอกก่อนจะเดินนำคนส่งของออกไป
พอวาคีนและคนส่งของเดินออกไป เวฬาก็เดินเช็กของที่ขนขึ้นมาทันทีว่ามีครบถ้วนไหม มีอะไรชำรุดหรือเปล่า เพราะเขาเป็นคนที่ค่อนข้างจะหวงของมากอยู่ไม่น้อย และของที่เอามาที่นี่แต่ละอย่างก็เป็นของรักของหวงที่เขาขาดไม่ได้แทบจะทั้งนั้น
ไม่นานวาคีนก็เดินกลับเข้ามาในห้องพร้อมพุ่งตัวเข้ามากอดพลางหอมหัวเวฬาไปหลายฟอด จนอีกฝ่ายหัวยุ่งไปหมด คนโดนกระทำออกแรงผลักคนที่ตัวสูงกว่าจนหลุดออกจากอ้อมกอดได้ก็วิ่งหนีไปจนทั่วพื้นที่ห้องนั่งเล่น ก่อนจะไปทิ้งตัวลงบนโซฟาจนเจ้าของห้องตามมากดร่างของเขาให้นอนราบลงไปบนโซฟานั้น
“จะทำอะไรครับ” เวฬาเอ่ยถามด้วยสายตาเย้ายวน
“ยังจะถามอีกเหรอครับ”
“งั้นก็ทำเลยสิครับ จะรออะไร”
จุ๊บ!
วาคีนบรรจงกดจูบลงบนหน้าผากของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน เขาค้างไว้เนิ่นนานราวกับไม่อยากจะยกจุมพิตนั้นออก แต่สุดท้ายเขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากของตัวเองออกมาแล้วยิ้มบางให้กับคนตรงหน้า
“จองไว้ก่อนแล้วกันครับ ตอนนี้คงไม่สะดวก เดี๋ยวผมต้องออกไปดูร้าน”
“อ่า... โอเคครับ”
“ลูกค้าน้อยมาเป็นเดือนแล้ว ผมเลยต้องเข้าไปดูบ่อยหน่อย ไม่รู้จะเอายังไงต่อดี”
“เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นครับ คุณไม่ต้องเครียดนะ”
จุ๊บ!
เวฬามอบกำลังใจผ่านการยื่นหน้าไปจุ๊บที่ริมฝีปากของอีกฝ่าย ทำเอาอีกคนลอบยิ้มออกมาเล็กน้อยด้วยความขวยเขิน
“อื้อ งั้นเดี๋ยวผมไปเตรียมตัวก่อน” วาคีนบอกพลางลุกขึ้นแต่ยังไม่เดินออกไป เวฬาก็เอ่ยทักเสียก่อน
“คืนนี้ผมขอไปร้านด้วยได้ไหมครับ”
“ได้สิครับ”
ท้องฟ้ามืดครึ้มในยามค่ำคืนที่เงียบสงัด ลมโชยไปมาสร้างบรรยากาศเย็นสบายให้ได้รู้สึกคลายร้อนบ้างนิดหน่อย แจ๊สบาร์ของวาคีนที่ตั้งอยู่ในซอยเล็กๆ กลางเมืองหลวงดูสงบเกินไปจนเหมือนจะไร้ชีวิตชีวา แสงไฟนีออนสีฟ้าสลัวที่ติดอยู่หน้าร้านยังคงส่องสว่าง แต่กลับไม่มีลูกค้าเดินผ่านประตูเข้ามาเหมือนอย่างที่วาคีนหวังไว้ เจ้าของร้านก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจำนวนลูกค้าที่เข้ามาในร้านถึงได้ลดลงทุกวัน ช่วงเปิดใหม่ยังพอใจชื้นว่าร้านจะไปได้ดี เพราะมีลูกค้าแน่นแทบทุกวัน แต่ยิ่งเปิดนานเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของร้านจะดูแย่ลงเรื่อยๆ
วาคีนยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์บาร์ มือของเขาเช็ดแก้วไวน์ใสใบหนึ่งซ้ำไปซ้ำมาเหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก เขามองไปรอบๆ ร้านที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยเสียงดนตรีและเสียงหัวเราะของลูกค้า แต่ตอนนี้กลับเงียบงันจนได้ยินเสียงนาฬิกาเดิน พนักงานต่างก็พากันนั่งหงอย เพราะไม่รู้จะบริการใคร เนื่องจากไม่มีลูกค้าเลยสักคน
“คุณ...” เวฬาเดินเข้ามาจากด้านหลัง พร้อมกับวางมือลงบนไหล่ของเขาเบาๆ “เครียดอีกแล้วใช่ไหม?”
วาคีนหันไปมองเวฬา รอยยิ้มบางๆ ที่พยายามฝืนทำไม่ได้ช่วยปกปิดความเหนื่อยล้าในดวงตาของเขา “ก็แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
เวฬาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะลากเก้าอี้บาร์มานั่งตรงหน้าเขา “คุณไม่ต้องโกหกผมหรอก ผมรู้ว่าคุณกำลังเครียดเรื่องร้าน”
เห้อ!
วาคีนถอนหายใจยาว ก่อนจะวางแก้วไวน์ลงบนเคาน์เตอร์ “ครับ... ร้านมันไม่ค่อยมีคนเลย แม้แต่วันศุกร์เสาร์ที่ควรจะเป็นวันที่ขายดีที่สุดก็ยังเงียบ ถ้ามันเป็นแบบนี้ต่อไป ผมคงต้องปิดร้านแน่”
คำพูดของวาคีนทำให้เวฬาใจหาย แม้ว่าเขาจะรู้ว่าสถานการณ์ร้านไม่ได้ดีขึ้นมาหลายเดือนแล้ว แต่การได้ยินคำว่า “ปิดร้าน”จากปากของวาคีนทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกบีบหัวใจอยู่ไม่น้อย เขารู้ดีว่าวาคีนทุ่มเทกับร้านนี้มาก ทำทุกอย่างเพื่อให้ร้านนี้เกิดขึ้นและดำเนินต่อไปได้ เขาจึงเข้าใจว่าทำไมอีกคนถึงได้เครียดขนาดนั้น ธุรกิจกำลังจะเจ๊งหากไม่เครียดก็คงแปลก
“แต่ร้านนี้มันมีความหมายกับคุณมากไม่ใช่เหรอ” เวฬาพูดเสียงเบา “อีกอย่างที่นี่คือที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำของพวกเราสองคน ผมไม่อยากให้มันหายไป...”
วาคีนยิ้มเศร้าๆ “ผมก็ไม่อยากให้มันหายไปเหมือนกัน แต่ถ้าขาดทุนต่อเนื่องแบบนี้ ผมคงไม่มีทางเลือก”
เวฬานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น “งั้นเราลองหาวิธีเพิ่มลูกค้าดูอีกสักครั้งดีไหม? ผมจะช่วยคุณเต็มที่เลย”
วาคีนมองเวฬาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง เขาพยักหน้าเบาๆ “อื้อ เอาสิ! ถ้าคุณอยากลอง ผมก็พร้อมที่จะลุยไปกับคุณด้วย”
วันต่อมา เวฬาและวาคีนเริ่มวางแผนกันอย่างจริงจัง โดยเวฬาใช้คอนเนคชั่นที่เขาพอจะมีอยู่ในวงการบันเทิงออกปากเอ่ยชวนเพื่อนนักแสดงศิลปินมาช่วยรีวิวร้านบนโซเชียลมีเดีย ทั้งยังจัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่ และเพิ่มการแสดงดนตรีสดจากวงดนตรีที่มีชื่อเสียงในวงการเพลงแจ๊ส แต่ถึงแม้จะพยายามอย่างเต็มที่ ผลลัพธ์ก็ยังไม่เป็นไปตามที่หวังไว้
ในคืนหนึ่งหลังจากร้านปิด เวฬานั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งกลางร้าน มองดูวาคีนที่กำลังนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์บาร์ เขาดูเหนื่อยล้ากว่าทุกที เหมือนคนที่กำลังต่อสู้กับความพ่ายแพ้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“คุณ...” เวฬาเรียกเขาเบาๆ
วาคีนเงยหน้าขึ้นมามอง “ว่าไงครับ”
“ถ้าเราลองจัดกิจกรรมพิเศษอีกสักครั้งล่ะครับ มันน่าจะดีไหมครับ” เวฬาพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้ดูสดใส
“กิจกรรมพิเศษเหรอครับ”
“ใช่... บางทีลูกค้าอาจจะสนใจมากขึ้น”
วาคีนยิ้มบางๆ แต่ในดวงตาของเขากลับเต็มไปด้วยความเศร้า “แล้วแต่คุณเลยครับ แต่ผมคิดว่าที่ผ่านมาเราทำทุกอย่างที่ทำได้แล้วล่ะ ถ้ามันจะดีขึ้น คงดีขึ้นไปแล้ว”
เวฬานิ่งเงียบ เขารู้ว่าวาคีนพูดถูก แต่หัวใจของเขากลับไม่อยากยอมแพ้
“คุณ...” เวฬาพูดเสียงเบา “ผมไม่อยากให้ร้านนี้ปิดจริงๆ นะ”
วาคีนเดินเข้ามาหาเวฬา เขาวางมือลงบนไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ “ผมก็ไม่อยากให้มันปิดเหมือนกัน แต่บางครั้งเราต้องยอมรับความจริง”
น้ำเสียงของวาคีนเต็มไปด้วยความอ่อนโยน แต่ก็แฝงไปด้วยความหนักแน่น เวฬารู้ดีว่าเขาคงไม่สามารถเปลี่ยนใจวาคีนได้อีกแล้ว
ในวันสุดท้ายของการเปิดร้าน เวฬาและวาคีนจัดงานเล็กๆ เพื่อบอกลาแจ๊สบาร์ที่เต็มไปด้วยความทรงจำ ลูกค้าประจำและเพื่อนๆ ต่างพากันมาร่วมงาน บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเศร้าสร้อย จนกระทั่งถึงเวลาปิดร้าน เวฬาและวาคีนยืนอยู่หน้าประตูร้านด้วยกัน ทั้งสองมองดูแสงไฟนีออนที่ถูกปิดลงเป็นครั้งสุดท้าย
“มันจบแล้วสินะ” เวฬาพูดเสียงเบา
วาคีนยิ้มบางๆ ก่อนจะจับมือของเวฬาไว้แน่น “ถึงร้านจะปิด แต่ความทรงจำของเรายังอยู่ ผมสัญญาว่าจะไม่ลืมสิ่งที่เราเคยมีที่นี่”
เวฬายิ้มทั้งน้ำตา “ผมก็เหมือนกัน”
คืนนั้น แม้แจ๊สบาร์จะปิดตัวลง แต่ความรักและความผูกพันของทั้งสองกลับยิ่งแน่นแฟ้นขึ้น เพราะพวกเขาได้เรียนรู้ว่าความสำคัญของสถานที่ไม่ได้อยู่ที่ตัวอาคาร แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในใจของคนสองคนที่สร้างความทรงจำร่วมกันต่างหาก