เสียงเพลงในคาเฟ่เล็กๆ แห่งนั้นค่อยๆ กังวานขึ้น ความเงียบสงัดถูกแทรกด้วยบทสนทนาเล็กๆ ที่เอื้อนเอ่ยออกมาตรงมุมสงบของร้านกาแฟ ความสัมพันธ์ก่อตัวขึ้นภายใต้กลิ่นหอมของกาแฟคั่ว ดนตรีแจ๊ส และแอลกอฮอล์

เวฬาวาคีน - Chapter 1 โดย Run_Kantheephop @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ดราม่า,ชาย-ชาย,ดราม่า,BoyLove,BL,โรแมนติก,นิยายวาย,วาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เวฬาวาคีน

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ดราม่า,ชาย-ชาย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,BoyLove,BL,โรแมนติก,นิยายวาย,วาย

รายละเอียด

เวฬาวาคีน โดย Run_Kantheephop @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

เสียงเพลงในคาเฟ่เล็กๆ แห่งนั้นค่อยๆ กังวานขึ้น ความเงียบสงัดถูกแทรกด้วยบทสนทนาเล็กๆ ที่เอื้อนเอ่ยออกมาตรงมุมสงบของร้านกาแฟ ความสัมพันธ์ก่อตัวขึ้นภายใต้กลิ่นหอมของกาแฟคั่ว ดนตรีแจ๊ส และแอลกอฮอล์

ผู้แต่ง

Run_Kantheephop

เรื่องย่อ

เปิดเรื่อง 03/11/2024

TRIGGER WARNING !!! 

นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหา 18+ และมีการใช้คำหยาบคาย ลามก โปรดพิจารณาก่อนอ่าน 

ไม่แนะนำสำหรับนักอ่านที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี

แด่ความรักทุกรูปแบบ

คำชี้แจ้ง

- นิยายเรื่องนี้จะมีการติดเหรียญ สำหรับตอนที่มี NC

- นิยายเรื่องนี้จะเปิดให้อ่านฟรี 10 ตอนแรก 

- จะมีการติดเหรียญตอนอ่านล่วงหน้าสำหรับสายอ่านไว ตั้งแต่ตอนที่ 11 เป็นต้นไป แล้วจะปลดเหรียญให้อ่านฟรีหลังจากนั้น 7 วัน

- มีอีบุ๊คจำหน่าย แต่อาจจะช้าหน่อย

 

หมายเหตุ: เปิดให้อ่านฟรีตลอดช่วงเดือนมกราคม 2568 เป็นของขวัญปีใหม่ค้าบบบบบ

สารบัญ

เวฬาวาคีน-Prologue จุดเริ่มต้น,เวฬาวาคีน-Intro บทนำ,เวฬาวาคีน-Chapter 1,เวฬาวาคีน-Chapter 2,เวฬาวาคีน-Chapter 3,เวฬาวาคีน-Chapter 4,เวฬาวาคีน-Chapter 5,เวฬาวาคีน-Chapter 6,เวฬาวาคีน-Chapter 7,เวฬาวาคีน-Chapter 8,เวฬาวาคีน-Chapter 9,เวฬาวาคีน-Chapter 10,เวฬาวาคีน-Chapter 11,เวฬาวาคีน-Chapter 12,เวฬาวาคีน-Chapter 13,เวฬาวาคีน-Chapter 14,เวฬาวาคีน-Chapter 15,เวฬาวาคีน-Chapter 16,เวฬาวาคีน-Special Chapter

เนื้อหา

Chapter 1

เสียงปรบมือดังกึกก้องหลังภาพบนจอ LED ฉายภาพและรายชื่อนักเขียนจำนวน 5 คนผู้เข้าชิงรางวัลนักเขียนยอดนิยมประจำปี 2566 จากนั้นพิธีกรสาวก็เดินขึ้นมาพร้อมด้วยไฟจากสปอร์ตไลท์ส่องสว่างเรียกสายตาผู้คนไปยังจุดที่เธอยืนอยู่ ดนตรีประกอบเร้าจังหวะตื่นเต้นดังขึ้นก่อนที่เธอจะหันไปรับซองสีขาวจากทีมงานที่เดินมายื่นให้แล้วค่อยๆ แกะซองนั้นออกจากนั้นก็หยิบรายชื่อนักเขียนที่ได้รับรางวัลออกมา 

         “และรางวัลนักเขียนยอดนิยมประจำปี 2566 ได้แก่....” 

พิธีกรเว้นช่วงการประกาศเพื่อให้ดนตรีได้บรรเลงเพื่อสร้างความตื่นเต้นกับผู้ชมเพียงครู่หนึ่ง พอทีมงานด้านล่างให้สัญญาณมือว่าได้เวลาประกาศรายชื่อแล้วเธอก็รีบก้มไปอ่านรายชื่อในกระดาษอีกครั้งหนึ่งเพื่อความมั่นใจก่อนจะประกาศรายชื่อนั้นออกมา

“คุณเวฬา จากนิยายเรื่อง ฤาทานตะวันมิอาจหันมองดวงอาทิตย์ค่า!!!” 

กรี๊ดดด! วู้ววว!

         เสียงปรบมือและโห่ร้องแสดงความยินดีดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกสายตาจับจ้องมาที่เวฬานักเขียนหนุ่มที่ยังคงมีใบหน้างงหลังจากได้ยินชื่อของตัวเองถูกประกาศบนเวที เพราะนี่คือช่วงเวลาที่เขาเฝ้ารอมาตลอดการเป็นนักเขียนเกือบห้าปี ในที่สุดก็ถึงวันของเขาเสียที

         “รีบลุกไปเร็ว” พี่แป้งบรรณาธิการสาวที่วันนี้รับบทผู้จัดการส่วนตัวนักเขียนหันมาสะกิดเวฬาแล้วกระซิบเมื่อเห็นว่านักเขียนหนุ่มยังคงนั่งนิ่งอึ้งอยู่แบบนั้น

         เวฬาสะดุ้งเล็กน้อยแล้วรีบลุกขึ้นพลางยกมือขึ้นไหว้หันไปมองรอบๆ ก่อนจะก้าวขาออกเดินตรงไปยังเวทีด้านหน้าด้วยความประหม่าและหัวใจที่เต้นแรง

         สองขาของเขาก้าวยาวตามลำดับขั้นบันไดขึ้นไปบนเวทีแล้วหันไปยิ้มกว้างให้พิธีกรสาว จากนั้นเขาก็ตรงไปยังรางวัลที่ตั้งอยู่กลางเวทีด้วยความตื่นเต้นแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมากราวกับว่ากำลังฝันไป มือข้างขวาของเขาคว้าเข้าที่โทรฟีรางวัลนั้นแล้วชูขึ้นสุดแขน รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของเวฬาคงเป็นรอยยิ้มแห่งความดีใจที่กว้างที่สุดที่เขาเคยยิ้มมาในชีวิต

         “ตื่นเต้นมากเลยครับ…” เวฬากล่าวขึ้นเมื่อเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าไมโครโฟน “เมื่อก่อนผมได้แต่ฝันมาโดยตลอดว่าอยากมีโอกาสได้รับรางวัลนักเขียนยอดนิยมบ้างสักครั้ง แต่ก็ไม่คิดเลยว่าจะได้มีวันนั้นจริงๆ ตลอดระยะเวลาเกือบห้าปีที่ผมเขียนหนังสือมา ไม่เคยมีวันไหนที่ผมอยากเลิกเขียนเลยแม้แต่นิดเดียว รางวัลนี้ผมจะถือว่าเป็นรางวัลแห่งความพากเพียรของตัวผมนะครับ แล้วก็ขอบคุณผู้ใหญ่ทุกท่านที่ให้โอกาสผมมายืนรับรางวัลอยู่ตรงนี้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ”

          สิ้นเสียงพูดของเวฬาเสียงปรบมือก็ดังกึกก้องขึ้นทั่วหอประชุมอีกครั้ง เขาเดินลงมาด้านล่างด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมล้นแบบบอกไม่ถูก แม้จะเดินกลับมานั่งแล้วก็ตาม เขายังคงหันไปถามพี่แป้งอยู่อีกหลายครั้งว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันคือเรื่องจริงไม่ได้ฝันไปใช่ไหม

         หลังจบงานบรรดาผู้สื่อข่าวหลายสำนักก็ขอสัมภาษณ์เวฬาในฐานะนักเขียนยอดนิยมคนใหม่ที่ล้มสถิติของคุณ ‘วันเดอร์เพนซิล’ นักเขียนนิยายแฟนตาซีที่ได้รับรางวัลนักเขียนยอดนิยมอย่างต่อเนื่องมาถึง 6 ปีซ้อนลงได้ ทุกคนจึงอยากที่จะพูดคุยกับเขาเป็นพิเศษเพราะเขาเองก็นับว่าเป็นม้ามืดในปีนี้อยู่เหมือนกัน

         “คุณเวฬาคะ ขอกล้องนี้หน่อยค่า!”

         “กล้องนี้ด้วยค่า!!”

         “ชูหนังสือให้นิดหนึ่งได้ไหมครับ”

         “ขอทางนี้ด้วยค่า!!”

         เสียงร้องตะโกนเรียกเวฬาดังทั่วไปหมดหลังจากที่พี่แป้งพาเขาเดินออกมาพบสื่อมวลชน เขาเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนเพราะไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์แบบนี้แต่ก็ต้องยิ้มสู้ไปก่อน เขาหันไปทุกทิศที่มีคนตะโกนเรียกเขา แสงแฟลชสว่างวาบเข้าตาจนเขารู้สึกแสบไปหมดแต่ก็ยังต้องอดทนต่อไป นี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้ฉายแสงในฐานะนักเขียนที่ประสบความสำเร็จเสียที พ่อแม่จะต้องภูมิใจที่ในวันนี้เขาทำตามความฝันได้สำเร็จ แถมยังมีรายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้เป็นอย่างดีอีกด้วย 

         แชะ!!!

กริ๊งงงงงง!!!!!!

         เฮือกกกกก!!!!

         เวฬาสะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อเสียงนาฬิกาปลุกดังแบบลั่นห้อง เขาหอบหายใจแรงรีบลุกขึ้นมานั่งแล้วชะโงกหน้าไปมองที่มือถือของเขาทันทีก่อนจะรีบกดปิดเพราะทนหนวกหูไม่ไหว

         “เชี่ยเอ๊ยย! กำลังฝันดีอยู่แท้ๆ” เขาสบถด่าเมื่อพบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเพียงความฝันของเขาเท่านั้น

         เขาขยี้หัวแรงด้วยความหงุดหงิดก่อนจะมองไปที่ชั้นวางหนังสือที่มีนิยายไม่ได้เรื่องของเขาวางอยู่บนนั้น ทั้งๆ ที่เขาทุ่มเทกับการเขียนนิยายเหล่านั้นเป็นอย่างมาก แต่คนอ่านก็เหมือนจะยังสัมผัสถึงความตั้งใจของเขาไม่ได้ อาจเพราะนิยายของเขายังไม่สนุกมากพอ หรืออาจเพราะสิ่งที่เขาเขียนไม่ตรงจริตกับคนอ่านส่วนใหญ่ก็เป็นได้ ครั้งหนึ่งเคยมีคนแนะนำให้เขาเปลี่ยนไปเขียนนิยายแนวอื่นที่เป็นความต้องการของตลาดดูบ้าง แต่เขาก็ค้นพบว่ามันไม่ใช่ทางของเขาและเขาก็ไม่สามารถฝืนเขียนต่อไปได้ เขาจึงตัดสินใจเขียนในสิ่งที่เขาอยากเขียนมากกว่าเพื่อหวังว่าในอนาคตสิ่งที่เขาเขียนจะไปตรงใจกับนักอ่านได้บ้าง

         เวฬาลุกออกจากเตียงแล้วรีบเดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแปรงฟัน จากนั้นก็รีบอาบน้ำแบบลวกๆ เพื่อที่จะออกมานั่งเขียนนิยายต่อแม้ว่าจะยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลยสักคำก็ตาม

         โครกกก~~~

         เสียงท้องร้องดังขึ้นแต่ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรสักเท่าไหร่นัก นอกเสียจากว่ารบกวนสมาธิในการทำงานของเขาก็เท่านั้น 

         แป้นพิมพ์เริ่มส่งเสียงเมื่อเรียวนิ้วของเวฬากดลงไปบนนั้น ตัวอักษรปรากฏขึ้นทีละตัวร้อยเรียงจนเป็นแถวบรรทัดยาว แต่เขาก็เขียนได้เพียงแค่ย่อหน้าเดียวแถมยังจำนวนไม่เกินห้าบรรทัดด้วยซ้ำ จากนั้นก็ดูเหมือนว่าหัวสมองของเขาจะเริ่มตันเอาเสียแล้ว เพราะมันดันนึกไม่ออกเลยว่าจะเล่าอะไรต่อดี

         “เห้อ คิดไม่ออกโว้ยยยยย!!!” เวฬาถอนหายใจยาวออกมาก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม สายตาพลางมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อดูวิวทิวทัศน์ไปเรื่อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายสักเท่าไหร่นัก

         เขาลุกขึ้นยืนแล้วคว้าหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างๆ ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งลุกจากเตียงไปได้ไม่นาน เขาปลดล็อกหน้าจอมือถือแล้วเข้าไปดูในอินสตาแกรม วงกลมสตอรี่ของเกดเพื่อนสนิทของเขาโชว์อยู่เป็นอันแรก เขาจึงกดเข้าไปดูแล้วพบว่าเกดอัปโหลดภาพงานนิทรรศการของศิลปินที่เขาชื่นชอบเอาไว้ในสตอรี่นั้น เขาจึงรีบกดพิมพ์ข้อความส่งไปหาเกดทันที

         Wela: ของพี่ Suntur ใช่ปะ?

         Kate: ช่ายยย

         Wela: จัดที่ไหนวะ

         Kate: River City อะ

         Wela: เชี่ยย จริงดิ โคตรใกล้บ้าน

         Kate: เออดิ

         Wela: ขอบใจมากมึง

         เวฬารีบวางมือถือลงทันทีแล้วลุกขึ้นไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อเลือกชุดมาเปลี่ยนสำหรับออกไปเดินเล่นหาแรงบันดาลใจที่อาร์ทแกลลอรีแห่งนั้นสักหน่อย เขาถอดเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ออกจนเหลือเพียงกางเกงในแค่ตัวเดียว จากนั้นก็หยิบเอากางเกงผ้าสีดำขาเต่อมาสวมเข้าไป ก่อนจะหยิบเสื้อยืดสีขาวมาใส่แล้วคว้าเอาเสื้อเชิ้ตสีครีมมาคลุมทับ พร้อมหยิบกระเป๋าสะพายข้างใบเล็กมาพาดบ่า สองเท้าของเวฬาก้าวกลับมาที่เตียงเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือแล้วเดินออกจากห้องไปในทันที

         เขาเดินจากบริเวณคอนโดโดยใช้ทางเชื่อมของโครงการเพื่อมุ่งหน้าสู่สถานีรถไฟฟ้าซึ่งใช้ระยะเวลาในการเดินประมาณสิบนาที แต่ถ้าวันไหนเอื่อยเฉื่อยหน่อยก็จะใช้เวลาเดินประมาณสิบห้านาที สองเท้าของเขาพาร่างกายเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าตู้จำหน่ายตั๋วรถไฟฟ้าอัตโนมัติ ก่อนที่นิ้วชี้ข้างซ้ายของเขาจะกดเข้าที่หน้าจอเลือกสถานีกรุงธนบุรี เพื่อที่จะไปเปลี่ยนขบวนเป็นรถไฟฟ้าสายสีทองที่นั่น หน้าจอแสดงผลแสดงราคาค่าตั๋วที่เพิ่มจากราคาเดิมขึ้นมาอีกแล้ว และดูเหมือนจะแพงกว่าความจริงที่ว่าประชาชนอย่างเราๆ ได้เงินเฉลี่ยต่อหัวน้อยนิดกว่าค่าครองชีพไปมากทีเดียว 

เวฬาหยิบเอามือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วเปิดแอพลิเคชันธนาคารเพื่อแสกนคิวอาร์โค้ดบนหน้าจอตู้ขายตั๋วเพื่อจ่ายเงิน เสียงกรึกดังขึ้นพร้อมกับตั๋วโดยสารรถไฟฟ้าร่วงหล่นลงมาที่ช่องรับบัตร มือขวาของเขาล้วงเข้าไปหยิบบัตรนั้นออกมาแล้วกลับหลังหันเดินไปยังทางเข้าสถานี

ติ๊ด!

เสียงแตะบัตรโดยสารดังขึ้นหนึ่งครั้งก่อนที่ประตูหนีบทั้งสองข้างจะเคลื่อนตัวออกให้เขาเดินผ่านไปได้ พัดลมตัวยักษ์ที่ตั้งเอาไว้เพื่อมอบความเย็นให้กับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสถานีพัดแรงจนทำให้ผมของเวฬาแอบเสียทรงอยู่เล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักเพราะกำลังตั้งหน้าตั้งตาเดินทางไปยังจุดหมายที่เขาตั้งใจมากกว่า

บันไดเลื่อนเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วกว่าในทุกวัน ไม่รู้ว่ามันเร็วขึ้นกว่าเดิมจริงๆ หรือเป็นครั้งแรกที่เวฬาเพิ่งจะสังเกตในความเร็วของมัน เมื่อขึ้นมาถึงด้านบนสถานีก็มีคนจำนวนหนึ่งยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขาจึงเดินไปต่อแถวซึ่งไม่นานขบวนรถก็เคลื่อนตัวเข้ามาจอดที่ชานชาลาและเมื่อประตูรถเปิดออกเขาก็รีบเดินเข้าไปในตัวรถทันทีเพราะอยากจะรีบหาที่นั่งแทนที่จะต้องยืนไปตลอดทาง

เขานั่งเล่นมือถืออยู่แบบนั้นจนขบวนรถไฟฟ้าเข้ามาจอดเทียบท่าสถานีกรุงธนบุรี เวฬารีบลุกขึ้นกระชับกระเป๋าสะพายแล้วเดินออกจากขบวนทันที ลมร้อนวูบหนึ่งพัดมาปะทะที่ใบหน้าของเขา นั่นยิ่งทำให้เขารีบก้าวเดินไวขึ้นกว่าเดิมเพราะไม่อยากที่จะต้องอยู่ด้านนอกนานๆ ไม่อย่างนั้นการที่เขาใส่เสื้อผ้ามาสองชั้นอาจสร้างความทรมานให้กับเขาได้ 

เมื่อเวฬาเดินมาถึงส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้าสายสีทองเขาก็รีบเดินไปกดบัตรโดยสารที่ตู้จำหน่ายทันที เขาเองก็รู้สึกเขินทุกครั้งที่หน้าจอแสดงผลของตู้จำหน่ายตั๋วแสดงรายชื่อสถานีขึ้นมา เพราะมันมีน้อยเหลือเกินเพียงแค่สามสถานีเท่านั้น ก็เลยอดที่จะขำไม่ได้ว่ามันช่างเป็นอะไรที่ทุนนิยมเหลือเกินเพราะถ้าไม่มีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ตั้งอยู่บริเวณนี้ ส่วนต่อขยายเส้นทางนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้

สองขาของเขาพาตัวเองเดินอย่างล่องลอยขึ้นมาจนถึงชานชาลารอรถ คนกลุ่มใหญ่ยืนรอรถจนแน่นไปหมดด้วยขนาดของชานชาลาที่มันมีขนาดเล็กกว่าปกติ แถมการยืนรอรถที่สถานีนี้ก็ต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก เพราะถึงแม้ว่ามันจะมีเพียงแค่สามสถานีแต่ระยะเวลาในการรอขบวนรถดันนานกว่ารถไฟฟ้าสายอื่นไปเสียได้ เวฬาพยายามที่จะยืนรออย่างใจเย็น ไม่อยากหงุดหงิดให้เสียอารมณ์จนกระทั่งขบวนรถเข้ามาจอดนั่นแหละความอึดอัดบางอย่างภายในใจจึงได้ผ่อนคลายลงไปบ้าง อาจด้วยอากาศร้อนพอเขาได้เข้ามาเจอแอร์เย็นๆ ก็เลยรู้สึกดีขึ้นได้

พอมาถึงสถานีเจริญนครเวฬาก็ก้าวออกจากขบวนรถแล้วเดินตรงเข้าไปยังส่วนของไอคอนสยามทันที เขารีบเร่งฝีเท้าจากด้านหลังไปยังด้านหน้าของห้างที่อยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อจะไปขึ้นเรือข้ามฟากไปยังริเวอร์ซิตี้สถานที่ปลายทางที่เขามุ่งหมายว่าจะไปเดินดูงานศิลปะของซันเต๋อสักหน่อย

เขาใช้เวลายืนรอไม่นานเรือข้ามฟากก็เข้ามาจอดเทียบท่า เขาต่อคิวเพื่อเดินขึ้นไปบนเรือที่เต็มไปด้วยชาวต่างชาติ มีกลุ่มคนไทยอยู่เพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นซึ่งคาดคะเนจากตาเปล่าก็คงไม่เกินห้าคนหรอก

เรือโอนเอนไปตามแรงคลื่นส่วนเขาก็ยืนเกาะเสาตรงกลางเรือเอาไว้เพราะไม่มีที่นั่ง เพียงครู่เดียวเรือก็มาจอดเทียบท่าอีกฝั่งซึ่งเป็นท่าเรือชื่อว่าสี่พระยา เขารอจนเรือนิ่งสนิทจึงก้าวลงจากเรือแล้วเดินตรงเข้าไปยังริเวอร์ซิตี้ทันที

“คนเยอะจังวะ” เขาบ่นพึมพำกับตัวเองเมื่อเดินเข้ามาถึงด้านใน ความแปลกใจจึงทำให้เขาหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อเปิดดูปฏิทินว่าวันนี้เป็นวันอะไร ก่อนที่เขาจะค้นพบว่ามันเป็นวันเสาร์จึงไม่น่าประหลาดเท่าไหร่ที่จะมีผู้คนมากมายอยู่ในที่แห่งนี้ และเช่นเคยว่าเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทั้งนั้น

เวฬาถึงกับส่ายหัวเมื่อค้นพบว่านักท่องเที่ยวต่างชาติมีจำนวนมากกว่าที่คิดและเขาต้องใช้เวลานานในการต่อคิวเพื่อจะเข้าชมงานศิลปะของซันเต๋อ จึงทำให้เขาต้องใช้เวลาอยู่กับตัวเองอีกพักใหญ่เพื่อที่จะควบคุมสติและอารมณ์ของตัวเองให้คงที่เพราะไม่อยากที่จะไปเหวี่ยงใส่ใครเหมือนกัน ลำพังหน้านิ่งๆ ของเขาก็ดูดุมากอยู่แล้วด้วย ถ้าแสดงอาการอะไรออกไปคนอื่นก็จะมองเขาไม่ดีไปอีก เขาจึงเลือกที่จะเดินออกมาจากบริเวณด้านในของริเวอร์ซิตี้เพื่อมายืนชมวิว รับลมและไอแดดที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาด้านหน้าของอาคารเพราะอยากให้ตัวเองใจเย็นขึ้นกว่านี้อีกสักหน่อย

แชะ!

เวฬาหยิบมือถือขึ้นมากดถ่ายรูปบรรยากาศเอาไว้ เพราะในช่วงเวลานี้ดวงอาทิตย์ที่กำลังคล้อยลงในยามเย็น มันส่องแสงลงมากระทบบนผิวน้ำสะท้อนประกายสีทองไปจนทั่วแม่น้ำตลอดสายนั้น ดูน่าประทับใจแบบที่อยากจะเก็บเอาไว้ดูนานๆ เขาหันไปมาเพื่อหามุมถ่ายรูปเพิ่มอีกเล็กน้อยเพราะบรรยากาศดีๆ แบบนี้ นานๆ ทีที่เขาจะได้ออกมาเห็น เพราะแต่ละวันของเขาก็เห็นจะมีแค่เพียงการขลุกอยู่กับหน้าจอเพื่อปั่นนิยาย  จนบางครั้งแทบจะไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน การได้เจออะไรใหม่ๆ สำหรับชีวิตบ้างก็ดูจะเป็นเรื่องที่มีมูลค่ากับชีวิตเขาอยู่เหมือนกัน

‘กรี๊ดดด!’

เสียงร้องของกลุ่มวัยรุ่นสาวที่ใส่กระโปรงสั้นร้องดังขึ้นมาแวบหนึ่งเพราะลมหมุนที่พัดผ่านกลุ่มของพวกเธอจนต้องรีบเอามือปิดกระโปรงของตัวเองเอาไว้ เวฬาหันไปมองตามเสียงแต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เห็นอะไรมากนัก ลมหมุนลูกนั้นก็พัดเข้าตัวของเวฬา เขายกมือขึ้นมาป้องใบหน้าเอาไว้เพราะกลัวว่าฝุ่นจะเข้าตาแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เขาหลับตาปี๋พลางหันหลังให้ทิศทางที่ลมพัดมาเพื่อหลีกเลี่ยงก่อนจะยกมือขึ้นมาจับที่ดวงตาข้างขวาเอาไว้ ความรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ เกิดขึ้นที่ดวงตานั้น เวฬาพยายามที่จะบรรจงเขี่ยออกอย่างเบามือแต่ดูเหมือนจะไม่เกิดผลสักเท่าไหร่

“ทิชชู่ไหมครับ” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นซึ่งมันคุ้นหูเวฬาอยู่เหมือนกันแต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจนัก

“ขอบคุณครับ” เวฬายื่นมือไปรับทิชชูนั้นมาเพื่อเช็ดที่บริเวณหางตาแต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ดีขึ้นสักเท่าไหร่

“เป็นไงบ้างครับ” อีกฝ่ายถาม

“มันไม่ยอมออกอะครับ” เวฬาตอบพลางเช็ดแรงขึ้นกว่าเดิม

“มาครับเดี๋ยวผมช่วยดูให้” เจ้าของทิชชูจับไหล่ทั้งสองข้างของเวฬาแล้วจับให้หมุนกลับมาเพื่อที่เขาจะได้ช่วยเหลือได้สะดวกขึ้น มือหนาหยิบทิชชูจากมือของเวฬาแล้วบรรจงเขี่ยให้อย่างเบามือ เขาแตะส่วนมุมทิชชูลงไปที่หางตาบริเวณที่เขาเห็นแล้วว่ามีผงฝุ่นเล็กๆ สีดำติดอยู่ จากนั้นก็เขี่ยออกอย่างแผ่วเบาที่สุด 

“ออกแล้วครับ”

“ขอบคุณครับ” เวฬาเอ่ยขอบคุณก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นให้สายตาปรับโฟกัสจึงได้พบว่าคนตรงหน้าดูคุ้นตาอย่างน่าประหลาด “นี่คุณ...”

“สวัสดีครับคุณเวฬา”

“คุณ...วาคีน?” 

วาคีนพยักหน้าแล้วยิ้มตอบ “ใช่ครับ เราเคยเจอกันที่ร้านกาแฟ ตอนที่คุณกำลังนั่งเขียนนิยายแล้วกินกาแฟกับเค้กมะพร้าวไปด้วย หลังจากนั้นเราก็เจอกันอีกครั้งในคืนนั้น...”

“พอเลยคุณ ผมไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์นะ” 

“ตาดีขึ้นแล้วไหมครับ” วาคีนหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามย้ำอีกครั้งเพราะอยากที่จะแน่ใจ

“ดีขึ้นแล้วครับ ยังรู้สึกเคืองนิดๆ แต่เดี๋ยวคงหายครับ”

“ผมมีน้ำตาเทียม หยอดสักหน่อยไหมครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่คุณมาทำอะไรที่นี่” เวฬาเอ่ยถามพลางหย่อนตัวลงพิงที่รั้วเหล็กริมน้ำ

“มาเดินเล่นพักผ่อนน่ะครับ แล้วคุณล่ะ”

“ผมเขียนงานไม่ออกก็เลยว่าจะมาเดินหาแรงบันดาลใจหน่อยครับ”

“แล้วเจอไหมครับ...” วาคีนถามพลางยิ้มบาง แววตาเหมือนกับว่าต้องการจะสื่ออะไรบางอย่าง แต่หารู้ไม่ว่าเวฬาไม่ได้สังเกตเห็นเลยสักนิด

“หึ! ไม่เจออะครับ ยังไม่ได้ทันได้เดินเลย คนเยอะเกินเลยหลบออกมาข้างนอก” เวฬาบ่นอุบพลางแสดงสีหน้าไม่พอใจสักเท่าไหร่ แต่นั่นก็เรียกรอยยิ้มของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี เพราะการที่เขาแสดงสีหน้าแบบนี้ออกมามันยิ่งทำให้วาคีนอดที่จะรู้สึกเอ็นดูเวฬาไม่ได้ สีหน้าของเด็กที่กำลังงอแงใครบ้างที่จะรำคาญลง

“วันเสาร์ไงครับ คนเยอะก็ไม่แปลกหรอก” วาคีนบอก

“ก็จริงแฮะ..”

“เข้าไปข้างในกันไหมครับ ผมว่าจะไปเดินดูงานของซันเต๋อสักหน่อย”

“เอ้ย! ผมก็ตั้งใจจะมาดูงานของซันเต๋อเหมือนกันเลยครับ” เวฬาเปลี่ยนสีหน้าเป็นดีใจทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น ใครจะไปคิดล่ะว่าจะบังเอิญได้เจอเพื่อนเดินดูงานศิลปะด้วยกันแบบนี้

“บังเอิญจังนะครับ”

“จริงคุณ แต่คนเยอะเกินอะ เมื่อกี๊ผมก็เข้าไปรอบหนึ่งแล้วแหละ แต่เห็นจำนวนคนก็ท้อเลย ไม่อยากยืนรอนานๆ แถมยืนคนเดียวอีก มันน่าเบื่อจะตาย”

“ก็มีผมยืนเป็นเพื่อนแล้วไงครับ” วาคีนเอ่ยตอบ

“แหมคุณ...”

“ไม่ดีเหรอครับ” 

“จะดีกว่าถ้าไม่ต้องต่อคิวน่ะครับ ผมไม่ชอบรออะไรนานๆ” เวฬาเอ่ยตอบติดตลกพลางหยิบมือถือขึ้นมากดเปิดหน้าจอดูเพื่อเช็กเวลา

“เข้าข้างในกันเถอะครับ ตรงนี้ยืนนานๆ มันจะร้อนเอานะครับ”

“ก็ดีครับ”

“...”

“อะไรเหรอครับ?” เวฬาเอ่ยทักเมื่อเห็นว่าวาคีนยืนจ้องหน้าเขาแล้วยิ้มโดยไม่พูดอะไร

“ปะ...เปล่าครับ”

“อ่อครับ” 

“รีบเข้าไปต่อคิวกันเถอะครับ จะได้ไม่ต้องรอนาน เพราะคนแถวนี้ไม่ชอบรอ” วาคีนเอ่ยพูดล้อเลียนเวฬาก่อนจะยกยิ้มเล็กน้อยแล้วหันหลังเดินกึ่งวิ่งนำเข้าไปด้านใน เวฬาเห็นแบบนั้นก็เลยรีบจ้ำอ้าวตามไปทันที ด้วยขนาดตัวของเขาที่เล็กกว่าอีกฝ่ายที่เดินนำหน้าไป การมองเห็นคนตัวสูงจากด้านหลังที่กำลังวิ่งต๊อกแต๊กนำหน้าก็อดที่จะรู้สึกเอ็นดูไม่ได้อยู่เหมือนกัน