เสียงเพลงในคาเฟ่เล็กๆ แห่งนั้นค่อยๆ กังวานขึ้น ความเงียบสงัดถูกแทรกด้วยบทสนทนาเล็กๆ ที่เอื้อนเอ่ยออกมาตรงมุมสงบของร้านกาแฟ ความสัมพันธ์ก่อตัวขึ้นภายใต้กลิ่นหอมของกาแฟคั่ว ดนตรีแจ๊ส และแอลกอฮอล์
รัก,ดราม่า,ชาย-ชาย,ดราม่า,BoyLove,BL,โรแมนติก,นิยายวาย,วาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เวฬาวาคีนเสียงเพลงในคาเฟ่เล็กๆ แห่งนั้นค่อยๆ กังวานขึ้น ความเงียบสงัดถูกแทรกด้วยบทสนทนาเล็กๆ ที่เอื้อนเอ่ยออกมาตรงมุมสงบของร้านกาแฟ ความสัมพันธ์ก่อตัวขึ้นภายใต้กลิ่นหอมของกาแฟคั่ว ดนตรีแจ๊ส และแอลกอฮอล์
เปิดเรื่อง 03/11/2024
TRIGGER WARNING !!!
นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหา 18+ และมีการใช้คำหยาบคาย ลามก โปรดพิจารณาก่อนอ่าน
ไม่แนะนำสำหรับนักอ่านที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
แด่ความรักทุกรูปแบบ
คำชี้แจ้ง
- นิยายเรื่องนี้จะมีการติดเหรียญ สำหรับตอนที่มี NC
- นิยายเรื่องนี้จะเปิดให้อ่านฟรี 10 ตอนแรก
- จะมีการติดเหรียญตอนอ่านล่วงหน้าสำหรับสายอ่านไว ตั้งแต่ตอนที่ 11 เป็นต้นไป แล้วจะปลดเหรียญให้อ่านฟรีหลังจากนั้น 7 วัน
- มีอีบุ๊คจำหน่าย แต่อาจจะช้าหน่อย
หมายเหตุ: เปิดให้อ่านฟรีตลอดช่วงเดือนมกราคม 2568 เป็นของขวัญปีใหม่ค้าบบบบบ
ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศภายในห้างพัดปะทะเข้าที่ใบหน้าของเวฬากับวาคีนทำเอาทั้งคู่รู้สึกสดชื่นขึ้นมาในทันทีหลังจากที่ไปยืนตากแดดอยู่ด้านนอกมาพักใหญ่ เปลือกตาของเวฬาเบิกโตขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นสบายภายในอาคารนั้น แต่ร่างกายที่สูญเสียเหงื่อไปในระหว่างที่ยืนอยู่ด้านนอกก็ทำให้เขารู้สึกกระหายน้ำขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาจึงยื่นมือไปสะกิดเข้าที่แผ่นหลังหนาของวาคีนเบาๆ
“ขอแวะซื้อน้ำก่อนได้ไหม หิวน้ำอะ”
“ได้ครับ” วาคีนหันหน้ามามองแล้วเอ่ยตอบพลางส่งยิ้มให้
ชั่วขณะหนึ่งในห้วงเวลาเพียงแค่หนึ่งวินาทีนั้น รอยยิ้มของวาคีนได้ส่งผลต่อจังหวะการเต้นของหัวใจเวฬาอยู่เหมือนกัน คนตัวเล็กกว่ามีอาการอึ้งเล็กน้อยเมื่อได้เห็นความสดใสจากรอยยิ้มนั้นเพราะเขาเองก็ไม่คิดว่าคนที่มาดเท่ๆ คูลๆ แบบวาคีนจะมีรอยยิ้มที่ทำให้โลกทั้งใบดูสดใสได้ขนาดนี้
“ดื่มอะไรดีครับ” เสียงจากวาคีนเอ่ยทักเมื่อทั้งคู่เดินมาถึงบริเวณหน้าร้านขายเครื่องดื่ม
“...”
“คุณ...” วาคีนเรียกซ้ำ
“...” แต่เวฬาที่กำลังอยู่ในห้วงภวังค์เมื่อครู่ยังคงนิ่งเงียบเพราะไม่ได้ยิน
คนข้างๆ จึงยกมือขึ้นวางลงบนไหล่แล้วเขย่าเรียกอีกคนเบาๆ “คุณเวฬาครับ...”
“อะ...อ้อ ครับ ว่ายังไงนะครับ”
“ผมถามว่าคุณอยากดื่มน้ำอะไรครับ”
“เอ่อ... เอาชาพีชครับ ใส่ไข่มุกด้วยครับ” เวฬาหันไปสั่งเมนูกับแม่ค้า
“ของผมก็เอาชาพีชครับ แต่ไม่ใส่ไข่มุก” วาคีนสั่งตามด้วยเมนูที่เหมือนกันจนเวฬาต้องหันมามอง
“คุณลอกผมอะ”
“ไม่ได้ลอกสักหน่อย ผมก็อยากกินชาพีชเหมือนกันนี่ครับ”
แม่ค้าที่เพิ่งเดินกลับมาจากการไปตักน้ำแข็งจากตู้ด้านหลังวางแก้วที่ใส่น้ำแข็งทั้งสองแก้วลงบนโต๊ะก่อนจะเหล่ตามามองลูกค้าหนุ่มทั้งคู่ที่กำลังทะเลาะกันอยู่ด้วยความเอ็นดู รอยยิ้มของแม่ค้าที่แสดงออกมาทำเอาเวฬาที่หันมาเห็นต้องสะกิดบอกวาคีนว่าให้หยุดเถียงกันได้แล้วเพราะรู้สึกเขินหญิงสาวตรงหน้าขึ้นมาเสียอย่างนั้น แม่ค้าจึงทำเป็นไม่สนใจใช้สองมือหยิบจับอุปกรณ์เพื่อชงเครื่องดื่มต่อไป ไม่นานชาพีชเย็นๆ ทั้งสองแก้วก็ถูกยกขึ้นมายื่นให้ชายหนุ่มทั้งคู่
“ได้แล้วค่ะ”
“เท่าไหร่ครับ” เวฬาเอ่ยถาม
“ทั้งหมด 85 บาทค่ะ”
แต่ยังไม่ทันที่เวฬาจะได้ก้มลงไปหยิบเงินในกระเป๋าออกมาจ่าย วาคีนก็ชิงยื่นมือไปจ่ายแทนเสียแล้ว “ขอบคุณครับ” เขาเอ่ยบอกแม่ค้าพลางคว้าแก้วชาทั้งสองจากอีกฝ่ายมาถือไว้
“เดี๋ยวโอนให้สี่สิบห้านะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเลี้ยง” วาคีนบอกพร้อมรอยยิ้มก่อนจะยื่นชาพีชใส่ไข่มุกให้อีกฝ่าย
“ขอบคุณครับ”
เวฬารับแก้วชาพีชนั้นมาถือไว้แล้วยกขึ้นดื่ม ริมฝีปากงับลงไปที่หลอดดูดที่มีเส้นรอบวงกว้างกว่าปกติเพราะมันเป็นหลอดที่ใช้สำหรับดูดชาไข่มุกโดยเฉพาะ ชาพีชและไข่มุกไหลขึ้นมาตามแรงดูด เขาตาโตขึ้นเมื่อลิ้นได้สัมผัสเข้ากับรสชาติของเครื่องดื่มที่ตัวเองเลือกซื้อ
“เป็นไงมั่งครับ” วาคีนเอ่ยถามเมื่อเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่าย
“อร่อยมากเลยครับ รสชาติพีชแบบตะโกนอะครับ”
“ฮ่าๆๆ” วาคีนถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินแบบนั้น เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นโมเมนต์หลุดๆ ของคนตรงหน้าทำเอาอดที่จะเอ็นดูไม่ได้
“เราไปหาที่นั่งกันสักแป๊บหนึ่งได้ไหมครับ ผมใส่คัทชูมา ตอนนี้เจ็บเท้ามากเลยครับ” เวฬาเอ่ยบอกพลางก้มลงมองที่เท้าของตัวเอง
“ได้สิครับ” วาคีนตอบรับก่อนจะเดินนำขึ้นบันไดเลื่อนไปยังชั้นสองซึ่งมีเวฬาเดินตามหลังไปอย่างเนิบช้าด้วยต้องประคองเท้าของตัวเองที่กำลังรู้สึกปวดตุบให้เดินไปได้ตลอดรอดฝั่ง
เมื่อบันไดเลื่อนเคลื่อนตัวขึ้นมาถึงชั้นสอง ทั้งคู่ก็พากันเดินตรงไปยังม้านั่งใกล้ๆ ที่มีชายแก่คนหนึ่งนั่งอยู่ ตอนแรกวาคีนไม่กล้าเดินเข้าไปนั่งเพราะมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้วแต่เวฬาเห็นว่าชายแปลกหน้าแค่นั่งอยู่ทางริมขวาของม้านั่งเท่านั้นยังมีพื้นที่เหลือทางด้านซ้ายสำหรับนั่งได้อีกสองคน เขาจึงไม่รีรอเดินตรงเข้าไปนั่งทันทีเพราะในเวลานี้เขาจำเป็นต้องหาที่นั่งเพื่อให้ฝ่าเท้าทั้งสองข้างได้ผ่อนคลายบ้าง
“ขอนั่งหน่อยนะครับ” เวฬาที่เดินเข้าไปตรงม้านั่งเอ่ยบอกชายแก่ที่นั่งอยู่ก่อนแล้วพร้อมยิ้มให้ ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากยิ้มตอบแล้วพยักหน้า เขาจึงหย่อนตัวนั่งลงในทันทีพลางถอนหายใจยาวออกมาพร้อมเหยียดขาทั้งสองข้างให้ยืดตรง
“เป็นผมคงไม่กล้าเดินเข้ามานั่งแน่ๆ ถ้ามีคนอื่นนั่งอยู่ก่อนแล้ว” วาคีนเอ่ยบอกก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงข้างเวฬา
“ทำไมล่ะครับ ม้านั่งสาธารณะ ใครๆ ก็นั่งได้ทั้งนั้นแหละ”
“ผมแค่ไม่ชินเฉยๆ น่ะครับ ถ้าต้องใกล้ชิดกับคนแปลกหน้า”
“หื้ม?” เวฬาถึงกับหยุดดื่มชาพีชไข่มุกเมื่อได้ยินคำพูดจากคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วหันไปมองอย่างสงสัย
“อะไรเหรอครับ”
“ก็คุณบอกว่าไม่ชินถ้าต้องใกล้ชิดกับคนแปลกหน้า...”
“ใช่ครับ”
“ผมก็เป็นคนแปลกหน้าเหมือนกันนะ” เวฬาพูดต่อพลางหัวเราะเบาๆ ในระหว่างที่สายตาจ้องมองไปที่หัวไหล่ของวาคีนที่กำลังแนบชิดอยู่กับหัวไหล่ของเขา
“สำหรับผม คุณไม่ใช่คนแปลกหน้าครับ” วาคีนเอ่ยตอบเสียงนุ่ม
“คุณหมายถึงเพราะเราเคยเจอกันที่คาเฟ่มาก่อนแล้วใช่ไหมครับ”
“แหมคุณ... จะลืมให้ได้เลยใช่ไหมครับเรื่องคืนนั้น”
“หยุดเลย เดี๋ยวคนอื่นได้ยินหมด” เวฬาถึงกับต้องสะกิดพลางกระซิบห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูดความจริงออกมา เพราะกลัวว่าจะมีใครแถวนั้นได้ยินเข้าว่าพวกเขารู้จักกันได้อย่างไร
“ขอโทษครับ ก็นึกว่าคุณจะทำเป็นจำไม่ได้ไง” วาคีนแกล้งพูดแหย่ต่อ
“แต่เราก็รู้จักกันครั้งแรกที่คาเฟ่จริงๆ นี่ครับ”
“ประมาณนั้นครับ...” วาคีนตอบแล้วเสตามองไปทางอื่น
เวฬาพยักหน้ารับว่าเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แม้ว่าจะยังมีบางสิ่งที่รู้สึกสงสัยและอยากจะถามต่อติดค้างอยู่ในใจแต่เขาก็เลือกที่จะไม่ถามมันออกมา ในเวลาแบบนี้นิ่งเงียบไว้ก่อนอาจจะดีกว่า หากโพล่งถามอะไรออกไปแบบไร้ชั้นเชิงคงทำให้เขาดูเป็นคนที่อ่านออกง่ายจนเกินไป
“เมื่อกี๊ ตอนอยู่ข้างนอกเห็นบอกว่าจะมาดูงานของซันเต๋อเหรอครับ” วาคีนหันมาเอ่ยถามหลังจากที่ทั้งคู่พากันเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง
“ใช่ครับ”
“บังเอิญจังนะครับ!” วาคีนมีท่าทีตื่นเต้นเมื่อได้ยินคำตอบ
“ครับ”
“ผมก็ชอบซันเต๋อเหมือนกัน”
“มีแต่เรื่องบังเอิญไปหมดเลยนะครับ ฮ่าๆ” เวฬาหัวเราะแห้งก่อนจะนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ ไม่นานเขาก็หันหน้าไปมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านข้างก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก “งั้นเดี๋ยวเราเข้าไปดูด้วยกันไหมครับ”
“ได้สิครับ ผมบอกแล้วไงว่าจะยืนรอเป็นเพื่อนคุณเอง” วาคีนยิ้มกว้าง
เวฬารู้สึกเหมือนถูกหยุดเวลาเอาไว้อีกครั้งหนึ่งเมื่อได้เห็นรอยยิ้มนั้น ไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไรแต่เขารู้สึกว่ารอยยิ้มของวาคีนมีเสน่ห์ชวนให้หลงไหลแปลกๆ ฟันที่เรียงซี่สวยรับกับมุมปากเวลาฉีกยิ้มได้พอดิบพอดี มีลักยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากข้างซ้าย จมูกเป็นสันคมกริบ เวลาหันข้างยิ่งเห็นได้ชัด คิ้วเข้มเป็นทรง ดวงตาสองชั้นกลมโตมีขนตายาวเรียงประดับอยู่ ทุกอย่างบนใบหน้าของวาคีนดูลงตัวไปหมด
‘หรือเพราะว่ามีเชื้อลูกครึ่งหรือเปล่านะ’
‘แต่คงไม่ใช่หรอก เขาก็บอกอยู่ว่าครึ่งกรุงทพครึ่งเชียงใหม่’
‘หล่อจัง’
เวฬาได้แต่นึกอยู่ในใจแต่ก็ไม่ได้ถามออกมาเพราะกลัวว่าจะดูเสียมารยาทไปสักหน่อย ปกติก็เขียนงานอยู่แต่ในบ้านไม่ค่อยได้เจอผู้คนอยู่แล้ว เขาจึงมีความกังวลเป็นพิเศษตอนที่อยู่ข้างนอกเพราะกลัวว่าจะไปทำอะไรที่เสียมารยาทเข้าโดยที่เขาไม่รู้ตัว คนอื่นจึงมักจะชอบตัดสินเขาว่าเป็นคนพูดน้อย ไม่กล้าพูด ซึ่งก็เหมือนจะจริงแต่ก็เป็นเพียงแค่ส่วนเดียว หากใครได้ใกล้ชิดและสนิทด้วยแล้วก็จะรู้ว่าเวฬาไม่ใช่คนที่พูดน้อยเพียงแค่เขาไม่รู้ว่าจะต้องพูดยังไงเมื่อต้องพบเจอคนใหม่ๆ เท่านั้น
“เท้าดีขึ้นไหมครับ” วาคีนถามขึ้นเมื่อปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งพักมาครู่ใหญ่
“ดีขึ้นแล้วครับ”
“งั้นเราไปต่อคิวเข้างานกันไหมครับ”
“ครับ” เวฬาตอบรับก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามวาคีนไป
ห้องที่ใช้สำหรับจัดนิทรรศการแสดงผลงานศิลปะของซันเต๋ออยู่ไม่ห่างจากตรงที่พวกเขานั่งพักมากนัก มีคนจำนวนมากต่อแถวยาวเหยียดอยู่ที่บริเวณด้านหน้านั้น เวฬาจึงรีบเดินเข้าไปโต๊ะลงทะเบียนเพื่อเข้างานเพราะกลัวว่าคิวมันจะยาวไปมากกว่านี้
“เซ็นชื่อแล้วต่อคิวตรงนี้เลยใช่ไหมครับ” เวฬาเอ่ยถาม
“อ๋อ ไม่ใช่ค่ะ เซ็นชื่อแล้วเข้างานได้เลยค่ะ ตรงนั้นคือต่อคิวถ่ายรูปตู้สติกเกอร์ค่ะ” สตาฟยิ้มตอบ
“อ้อครับ!” เวฬาเพิ่งจะเข้าใจว่าไอ้ที่คนยืนต่อแถวกันเยอะๆ ไม่ใช่คิวเข้างานแต่กำลังรอถ่ายรูปกันอยู่ เขาหัวเราะให้กับความคิดของตัวเองเล็กน้อยก่อนจะก้มลงไปเขียนชื่อตัวเองในกระดาษลงทะเบียนแล้วรับใบปลิวแจกฟรีที่วางอยู่บนโต๊ะหันหลังเดินออกมาหาวาคีนที่ยืนรออยู่ข้างหลัง “พี่เขาบอกว่าเข้างานได้เลย ที่ต่อคิวคือรอถ่ายรูปสติกเกอร์กันอยู่”
“อ๋อ...”
“งั้นเราเข้าไปข้างในกันเลยไหมครับ” เวฬาเอ่ยถาม แต่วาคีนยังดูลังเล
“เรา... ถ่ายรูปด้วยกันไหมครับ”
“ที่ตู้สติกเกอร์เหรอครับ?”
“ใช่ครับ แต่ถ้าคุณเวฬาไม่อยากถ่ายก็ไม่เป็นไรครับ” วาคีนรีบปฏิเสธทันควันเพราะกลัวว่าจะเป็นการบังคับอีกฝ่ายเกินไป
“แต่คิวมันยาวมากเลยนะครับ”
“อ่า... โอเคครับ งั้นเราเข้าข้างในดีกว่าครับ คุณจะได้ไม่ต้องยืนรอคิวนานๆ ด้วย ปวดเท้าอยู่นี่ครับ”
“อืม... งั้นเดี๋ยวเราเข้าไปดูงานข้างในก่อน ค่อยออกมาถ่ายกันทีหลังดีไหมครับ” เวฬาเสนอไอเดีย
“ผมได้หมดเลยครับ ตามใจคุณเวฬาเลย”
“โอเคครับ งั้นเข้าไปข้างในกันก่อนเนอะ” เวฬาเอ่ยบอกพร้อมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินนำเข้าไปด้านใน
หลังจากที่เดินผ่านประตูเข้าไปด้านใน ทั้งคู่ก็ได้พบเจอกับผู้คนจำนวนมากที่เดินถ่ายรูปกับขวักไขว่ จุดแรกเป็นอุโมงค์ที่มืดสนิทแต่ก็มีการจัดแสงยิงเป็นภาพต่างๆ ล่องลอยไปมาตามกำแพงอุโมงค์นั้น เวฬากับวาคีนมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมาเพราะต่างรู้ดีว่าไม่ควรที่จะหยุดถ่ายรูปตรงนี้เป็นอันขาด มันไม่มีที่ว่างเลยแม้แต่นิดเดียว
“คนเยอะมาก” เวฬาหันไปบ่นกับวาคีนพลางเดินต่อเข้าไปด้านใน
“วันเสาร์ก็งี้แหละครับ”
ทั้งคู่พากันเดินต่อเข้ามาด้านในซึ่งเป็นส่วนหลักที่ใช้จัดแสดงงานศิลปะของซันเต๋อ พวกเขาเดินเข้าไปดูยังมุมแรกที่มีภาพวาดแปะติดไว้ หลายคนยืนบังเพื่อจะถ่ายรูปลงไอจีกันจนบางทีเวฬาที่ตั้งใจมาดูงานแบบจริงจังก็เกิดอาการหงุดหงิดขึ้นมาบ้างเหมือนกัน เขาหันไปมองหน้ากับชาวต่างชาติที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วส่งยิ้มให้กันราวกับรู้ดีว่าต่างฝ่ายต่างต้องการจะสื่อสารอะไรกัน เขาพยายามจะยื่นหน้าไปอ่านชื่อผลงานและรายละเอียดของงานแต่ก็ถูกบรรดาเด็กๆ ที่ยืนถ่ายรูปเบียดเข้ามาเพื่อที่จะต้องได้มุมที่สวยที่สุดไปโพสต์อวดในโซเชียล เขาจึงต้องเดินถอยออกมาแล้วเดินไปยังมุมอื่นแทน เพราะขี้เกียจจะสู้กับเหล่าเด็กน้อย เดี๋ยวจะโดนด่าว่าเป็นพวกคนแก่เรื่องมากอีก
“เวฬา!” เสียงคุ้นหูตะโกนเรียกมาจากมุมหนึ่งจนเจ้าของชื่อต้องหันไปมอง
“เอ้า! ยุ้ย!!” เวฬาเอ่ยทักทันทีเมื่อหันกลับไปมอง ดวงตาเบิกโพลงเพราะไม่คาดคิดว่าจะได้เจอคนตรงหน้า หลังจากที่เรียนจบก็เป็นเวลานานมากแล้วที่ไม่ได้เจอเพื่อนสนิทคนนี้เลย มีเพียงแค่การพูดคุยกันผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้น เขาจึงค่อนข้างประหลาดใจที่อยู่ๆ มาเจอกันที่นี่
“เป็นไงมั่ง ไม่เจอนานมากกก” ยุ้ยยิ้มกว้างในขณะที่วิ่งเข้ามาทัก
“สบายดีๆ มึงอะ”
“ยุ่งมากมึง งานท่วมหัว แต่กูก็ปล่อยเบลอ ฮ่าๆๆ” ยุ้ยพูดพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อนที่มันจะหันไปมองหน้าวาคีนที่ยืนอยู่ข้างๆ “นี่แฟนเหรอ?”
“เอ้ย! ไม่ใช่ๆ” เวฬารีบปฏิเสธแต่วาคีนกลับยืนนิ่งแล้วยิ้มให้
“ไม่ต้องเขินหรอก แฟนหล่อนะเนี่ย”
“ไม่ใช่จริงๆ เพิ่งเจอกันเอง”
“อ่อ ยังไม่ใช่แฟนนนน” ยุ้ยลากเสียงยาวพลางทำสีหน้าเจ้าเล่ห์จนเวฬายิ้มเขินแล้วยกมือฟาดไปที่หัวไหล่ของเพื่อนสาวหนึ่งที
“อะไรเล่า! เขินละทำร้ายร่างกายเลยนะ”
เวฬาหันไปหาวาคีน “นี่คุณ คุณก็ปฏิเสธหน่อยสิ เพื่อนผมเข้าใจผิดหมดแล้วเนี่ย”
“ก็ถ้ามันไม่ใช่เรื่องจริงคุณจะสนใจทำไมล่ะครับ จริงไหมครับคุณยุ้ย” แทนที่จะปฏิเสธแต่วาคีนกลับพูดแซวร่วมไปกับยุ้ยเรียกเสียงหัวเราะจากหญิงสาวได้เป็นอย่างดี ทำเอาเวฬาหน้ายู่เพราะรู้สึกงอนที่ถูกรวมหัวกันแกล้ง
“โอ๋ๆๆ หยอกเล่นนะครับ” วาคีนยกมือขึ้นมาวางบนไหล่ของคนตัวเล็กกว่าแล้วลูบไปมาเพื่อปลอบ
ยุ้ยก็ได้แต่มองทั้งสองคนแล้วยิ้มตามเพราะเลือดสาววายในตัวมันสูบฉีดแรงเหลือเกินในตอนนี้ สายตาที่จ้องมองเปล่งประกายออกมาจนคนรอบข้างอาจจะมองเห็นได้หากเข้ามาใกล้
“เป็นอะไรมึง ยืนยิ้มอยู่ได้” เวฬาเอ่ยทักพอหันมาเห็น
“เปล๊า!!!” หญิงสาวรีบปฏิเสธก่อนจะยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา “เดี๋ยวกูต้องไปละมึง มีคุยธุระต่อ”
“เคมึง ไว้เจอกัน”
เวฬายกมือขึ้นโบกให้ยุ้ยที่รีบก้าวเดินออกไป เขารู้ดีว่าเดี๋ยวคืนนี้มันจะต้องทักมาหาแน่ๆ เพราะคงอยากจะพูดคุยอะไรมากกว่านี้ แววตาที่ซ่อนความอยากรู้ของมันเปล่งประกายออกมาจนเขาเห็นได้ชัดแบบไม่ต้องเดา ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างๆ นี่ก็คงจะต้องเคลียร์กันสักหน่อยเพราะทำให้เพื่อนของเขาต้องเข้าใจผิด
“คุณนี่มันจริงๆ เลยนะครับ” เวฬาเอ่ยบอกในขณะที่พวกเขากำลังเดินดูรูปวาดกันต่อ
“อะไรครับ”
“คุณแกล้งผมอะ”
“ผมก็พูดไปตามความจริงนะครับ ไม่ได้แกล้งอะไรเลย” ใบหน้าเจ้าเล่ห์ของวาคีนทำเอาเวฬาอดหมั่นไส้ไม่ได้
“ร้ายมากนะคุณ”
“ก็เพื่อนคุณแซวว่าพวกเราเป็นแฟนกัน ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องจริง แล้วผมจะเดือดร้อนทำไมล่ะครับ” วาคีนยกยิ้มมุมปากแล้วรีบเดินหนีออกไป
เวฬาวิ่งไล่เข้าไปหาอีกฝ่ายทันทีจนฝ่ายนั้นสะดุ้งตกใจเล็กน้อยแต่ทั้งคู่ก็ต้องหยุดแกล้งกันอยู่แค่นั้นเพราะตรงหน้ามีกลุ่มเด็กวัยรุ่นกลุ่มใหญ่ที่กำลังยืนถ่ายรูปกันอยู่จึงต้องระวังเป็นพิเศษที่จะไม่ให้เข้าไปชนกับเด็กกลุ่มนั้น เวฬากับวาคีนพากันเดินไปที่อีกมุมหนึ่งที่มีโมเดลเป็นรูปเดียวกันกับภาพวาดที่แขวนติดผนังอยู่ เป็นภาพพระจันทร์ดวงโต มีมนุษย์ตัวเล็กยืนมองอยู่ด้านหน้า ซึ่งพอภาพนั้นเป็นโมเดลในรูปแบบสามมิติแถมมีการจัดแสงไฟช่วย จึงทำให้มันดูมีมิติสวยงามขึ้นมากทีเดียว
“ดูแล้วเหงาเหมือนกันนะครับ” วาคีนเอ่ยขึ้นในตอนที่ก้มหน้าลงไปมองที่ผลงานใกล้ๆ
“จริงครับ”
“แสดงว่าคุณเวฬาก็รู้สึกเหงาอยู่ใช่ไหมครับ”
“ทำไมล่ะครับ”
“ก็ผมเคยอ่านเจอว่าคนเรามักจะตีความงานศิลปะตามประสบการณ์หรือความรู้สึกของตัวเองในช่วงเวลานั้นๆ การที่พวกเราดูงานชิ้นนี้แล้วรู้สึกว่ามันเหงา ก็แปลว่าเราทั้งคู่ต่างก็กำลังเหงาอยู่ไม่ใช่เหรอครับ” วาคีนเอ่ยบอกพลางจ้องหน้าเวฬานิ่ง
“แต่งานของคุณซันเต๋อก็ดูแล้วรู้สึกเหงาทุกรูปนะครับ” เวฬากล่าวอย่างติดตลกแล้วยกมือถือขึ้นมาถ่ายงานที่ตั้งโชว์ตรงหน้าเก็บเอาไว้
“ก็จริงครับ” คนตัวสูงกว่ายิ้มแล้วเดินออกจากตรงนั้นไปดูภาพที่อยู่ถัดไป
“คุณวาคีนไม่ชอบความเหงาเหรอครับ” เวฬาที่เดินตามหลังมาเอ่ยถามขึ้น
“ก็ไม่เชิงครับ คุณเวฬาล่ะครับ”
“ผมชอบความเหงาครับ”
“ทำไมล่ะครับ” วาคีนถามกลับอย่างสงสัย
“ความเหงามันทำให้เราได้เรียนรู้ตัวเองครับ” เวฬายิ้มแล้วยื่นมือถือของตัวเองให้อีกฝ่าย “ถ่ายรูปให้ผมหน่อยสิครับ”
“ได้ครับ”
“เดี๋ยวผมจะยืนหันหลังมองรูป แล้วคุณก็กดถ่ายเรื่อยๆ ได้เลยนะครับ” เวฬาเอ่ยบอกแล้วเดินกึ่งวิ่งไปอยู่ที่กึ่งกลางของรูปภาพขนาดใหญ่บนผนัง
แชะ!
เสียงชัตเตอร์ถ่ายรูปจากมือถือดังขึ้นเวฬาก็เปลี่ยนท่าทางทันที ฝ่ายวาคีนเมื่อเห็นคนตรงหน้าเปลี่ยนท่าก็กดถ่ายอีกรอบ และทำแบบนั้นซ้ำอยู่หลายครั้งจนตัวนายแบบเดินออกมายังหลังกล้องเพื่อขอดูรูปที่ถ่ายไปเมื่อครู่
“ใช้ได้ไหมครับ” วาคีนเอ่ยถามพลางก้มมองผลงานฝีมือตัวเองในมือถือของอีกฝ่าย
“ได้แล้วครับ ผมเห็นรูปที่จะใช้โพสต์ไอจีได้ละ” เวฬาพูดพลางหันมายิ้มให้ “อยากถ่ายไหมครับ”
“ก็ได้ครับ” วาคีนบอกแล้วหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงออกมายื่นให้
แชะๆๆๆ
เสียงรัวชัตเตอร์ดังจนวาคีนเองก็ตกใจ คนรอบข้างก็หันมามองกันเต็มไปหมดจนเวฬาต้องกดปุ่มด้านข้างเพื่อปิดเสียงเพราะแอบเขินเหมือนกันที่ทุกสายตาจับจ้องมาที่เขากันหมด วาคีนหัวเราะออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นแบบนั้นก่อนจะเดินไปยืนโพสต์เพื่อถ่ายรูปในตำแหน่งเดียวกันกับที่เวฬายืนเมื่อครู่
“หันซ้ายอีกนิดครับ นั่นแหละครับ ดีเลย มุมนี้หล่อมากครับ” เสียงของตากล้องที่คอยเชียร์อัพดังอยู่ตลอดเวลาจนคนถูกถ่ายเริ่มเขิน
“ได้ไหมครับ” วาคีนร้องถาม
“หล่อเลยครับ อยู่ทุกรูป” เวฬายิ้มบอกแล้วคืนมือถือให้กับเจ้าของ วาคีนคว้ามาเปิดดูรูปแล้วยิ้มบางด้วยถูกใจในรูปที่อีกฝ่ายถ่ายไว้ให้
ทั้งสองคนพากันเดินดูรูปวาดในงานกันต่อพลางสลับถ่ายรูปกันไปจนถึงมุมสุดท้ายของห้องแสดงผลงานจากนั้นก็พากันเดินย้อนกลับมาที่ประตูด้านหน้าเหมือนเดิม คนเริ่มบางตาลงกว่าตอนแรกมากทีเดียว
“ยังอยากถ่ายสติกเกอร์อยู่ไหมครับ พอดีผมเห็นว่ามันไม่มีคิวแล้ว” เวฬาสะกิดถาม
“ครับ”
“เอาตู้ไหนดีครับ” เวฬาชี้นิ้วไปที่ตู้ทั้งสองแบบเพราะเขาเองก็อยากจะให้คนที่อยากถ่ายเป็นคนเลือกเสียมากกว่า
“อันนี้ก็ได้ครับ” วาคีนเลือกตู้ที่ดูสไตล์เท่ๆ มากกว่าอีกตู้ที่ดูจะหวานเกินไปสำหรับตัวเขา ซึ่งเวฬาเองก็เห็นด้วยที่มันควรจะเป็นแบบนั้น เพราะหากว่าพวกเขาทั้งคู่เลือกอีกตู้ที่อยู่ข้างกัน รูปที่ถ่ายออกมาก็คงจะหนีไม่พ้นคู่รักมาเดทกันอย่างแน่นอน เขาไม่อยากจะให้เป็นแบบนั้นเพราะพวกเขาก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย สำหรับเขาวาคีนยังถูกจัดไว้ในหมวดหมู่ของคนแปลกหน้าอยู่ดี แม้ว่าจะมีความน่าสนใจอยู่บ้างแต่ก็ยังไม่ได้ก้าวข้ามเส้นของความเป็นคนรู้จักมาได้
ทั้งคู่เดินเข้าไปภายในตู้ถ่ายรูปแล้วเริ่มเลือกลายกระดาษที่โชว์อยู่บนหน้าจอ พวกเขาเลือกแบบที่ถ่ายสามท่าแต่มีจำนวนหกรูปเพื่อที่ว่าจะได้แบ่งรูปกันได้อย่างลงตัว จากนั้นวาคีนก็แสกนคิวอาร์โค้ดเพื่อจ่ายเงินแล้วทั้งคู่ก็ตั้งท่าเตรียมที่จะถ่ายรูปแรกกัน
พรึ่บบบ!!!
“เชี่ยยยย!!!!” เสียงร้องตกใจของเวฬาดังลั่นขึ้น เมื่ออยู่ๆ ไฟก็ดับลงจนภายในนั้นมืดสนิท มองไม่เห็นอะไร
“ไม่ต้องกลัวนะครับ” วาคีนเอ่ยปลอบ เพียงครู่เดียวหลังสิ้นเสียงของเขา ไฟก็กลับมาสว่างดังเดิม
“เชี่ยย!” คนตัวเล็กกว่าร้องสบถออกมาอีกครั้งเมื่อพบว่าตัวเองกำลังกอดอีกฝ่ายแน่นด้วยความตกใจจากเหตุการณ์เมื่อครู่ เขารีบกระโดดออกทันทีโดยมีสายตาและรอยยิ้มของวาคีนจ้องมองมาด้วยความเอ็นดู “ขอโทษนะครับ ผมตกใจมากไปหน่อย”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ” ใบหน้าเปื้อนยิ้มของวาคีนยังคงจ้องมองเวฬาอยู่แบบนั้นทำเอาคนตัวเล็กกว่าไม่กล้าหันไปสบตา
จะว่าเขินก็คงจะใช่ แต่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเขินเรื่องที่ไฟดับแล้วกระโดดกอดหรือเขินเพราะรอยยิ้มและแววตาของวาคีนกันแน่
ตึกๆ ตึกๆ
เสียงหัวใจของเวฬาเต้นแรงจนเขาเองเริ่มกังวล แต่อาจจะเป็นผลมาจากอาการตกใจเมื่อครู่ก็เป็นได้ เขาเหลือบตาไปมองวาคีนอีกครั้งจึงได้พบว่าความอ่อนโยนยังคงถูกส่งผ่านรอยยิ้มและแววตาทรงเสน่ห์มาให้ เขาหลุบตาต่ำอีกรอบพลางหายใจแรง เขาสับสนไปหมดว่าไอ้อาการที่เป็นอยู่ตอนนี้มันคืออะไรกันแน่
‘ไอ้คนตรงหน้านี่มันดาเมจแรงชะมัด!’