ชาย-ชาย,รัก,ไทย,ยุคปัจจุบัน,นิยายรัก,boy love ,boylove ,boylove/yaoi,boylove,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ตอนที่ 7
เข้าสู่เดือนที่ 3 ณ เวลานั้นไม่ได้เพียงทำให้ไร่สวนและผืนดินเขียวชุ่ม แต่ยังทำให้หัวใจสองดวงเติบโตเคียงกันอย่างช้า ๆ และแน่นแฟ้น
เช้าวันใหม่ในบ้านไม้ เสียงนกกางเขนร้องรับกับเสียงน้ำไหลจากเหมือง ตติยังคงนั่งอยู่หน้ากี่ทอผ้า จังหวะ “กึก…กัก…กึก…กัก” ของฟืมไม้กลายเป็นเสียงคุ้นหู แต่ทุกวันนี้เสียงนั้นไม่ดังเพียงลำพังอีกต่อไป เพราะมีเสียงหัวเราะเบา ๆ ของจอมคอยแทรกเข้ามาเสมอ
จอมนั่งพิงเสาไม้ ข้าง ๆ วางตะกร้าไหมที่เพิ่งขึ้นไปเอามาจากบ้านแม่เฒ่าจุนสดๆร้อนๆเลย
“ทำไมด้ายเส้นเล็ก ๆ ถึงพันกันยุ่งขนาดนี้ก็ไม่รู้ ดูเหมือนเส้นชีวิตผมเลยครับ”
“เส้นไหมพันกันก็คลายได้ แต่เส้นชีวิต…จะยอมให้ยุ่งเหยิงหรือจะทำให้ตรง ขึ้นอยู่กับตัวเอง” ตติเหลือบตามองเล็กน้อย ยกยิ้มบาง ๆ
“พูดเหมือนเป็นปรัชญาเลยนะครับ” จอมหัวเราะ
“มันก็ความจริงนี่”
ตติไม่ชอบพูดมาก แต่ทุกคำที่เปล่งออกมากลับเป็นเหมือนคำสอนที่ฝังลงในใจจอมเสมอ
“ผมอยู่ตรงนี้มาหลายเดือนแล้วนะครับ” จอมลุกขึ้น เดินไปนั่งใกล้ ๆ กี่ทอผ้า กี่หลังนี้เป็นงานของคุณหญิงทิวดาวที่จะใช้ตัดเป็นชุดออกงานปลายปี
“พี่เบื่อผมบ้างมั้ย ?”
“เบื่อสิ”
"พี่ก็พูดตรงเกินไป" จอมหน้างอ แต่ไม่ถือเป็นอารมณ์เพราะตอนนี้เขาชอบที่จะอยู่ใกล้ๆตติ อยากเห็นหน้าทุกวัน ยังขอบคุณลูกค้าที่ทำให้เขาต้องทอผ้าอรุณสุริยาตายาวขึ้น ทำให้เขาได้อยู่กับคนที่ชอบแบบนี้
----
“โอ๊ย…สองหนุ่มนี่ ใครเป็นคนทอผ้ากันแน่ล่ะ? ดู ๆ ไปแล้วมีคนหนึ่งทอผ้า อีกคนก็คอยกวนให้คนทอเขินไปเสียอย่างนั้น” แม่อุ้ยผ่องเดินเข้ามา เสียงหัวเราะแฝงแกล้ง วันนี้แม่อุ้ยมาส่งปิ่นโตด้วยตัวเอง เพราะต้องทำอาหารเพิ่มขึ้น แม่หนูฝ้ายหิ้วมาส่งไม่ไหว ตัวกระเปี๊ยดเดียว
“โถยายครับ ผมก็แค่ช่วยสร้างบรรยากาศดี ๆ ไงครับ” จอมหัวเราะร่า รีบยกมือไหว้ ก่อนไปรับปิ่นโตสองเถามาถือ
“บรรยากาศอะไรกัน ไม่ต้องมาพูดมาก ไปเอาปิ่นโตที่ล้างไว้มาเปลี่ยนให้แม่อุ้ยไป” ตติรีบไล่แก้เขิน ใกล้ชิดกันให้คนเฒ่าคนแก่เห็นแบบนี้
จอมพยักหน้าหงึกหงัก
ส่วนแม่อุ้ยออกไปนั่งรอที่ไม้นั่งด้านนอก ไม่รบกวนเวลาทำงานของตติ จอมไปเอาปิ่นโตสองเถอที่ว่างเปล่ามาให้แม่อุ้ย มิวายนั่งข้าง ๆ เพื่อถามเรื่องตติ แม้จะอยู่ด้วยกันมา 3 เดือนแล้วต้องยอมรับว่าจอมรู้จักตติน้อยมาก
“แม่อุ้ยครับ…พี่ตติเป็นคนเข้มแข็ง แต่บางทีผมก็รู้สึกว่าเขาซ่อนความอ่อนแอไว้เยอะมากเลยนะครับ แม่อุ้ยว่ามั้ยครับ” จอมกระซิบกับแม่เฒ่าเบา ๆ
“ก็จริง…คุณตติก็ใช่ว่าใครจะเข้าถึงได้ง่าย ๆ นะคุณจอม ถ้าคุณจะอยู่ตรงนี้จริง ๆ ก็ต้องพยายามมาก ๆ นะ อุ้ยเองก็ใช้เวลานานเหมือนกันกว่าที่คุณตติเปิดใจให้เข้ามาในบ้าน เป็นคนส่งปิ่นโตแบบนี้”
“ผมจะพยายามครับ”
----
เวลาล่วงเลยเข้าสู่เดือนที่ 4 ฤดูเริ่มเปลี่ยนเป็นปลายฝนต้นหนาวแล้ว บ้านสวนเล็ก ๆ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือความสัมพันธ์ของคนสองคนที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันทุกวัน จอมไม่ได้เป็นเพียงผู้มาเยือนอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่ตติไม่อาจปฏิเสธได้
ค่ำวันหนึ่ง หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากงานกี่ จอมกับตตินั่งใต้ถุนบ้าน ลมหนาวพัดกลิ่นดินและหญ้าแห้งอบอวล แสงตะเกียงวางอยู่ใกล้ ๆ ส่องให้เห็นเงาของทั้งคู่ทาบทับกันบนพื้นไม้
“พี่…รู้ไหมครับ ทุกคืนผมมักจะคิดอยู่เสมอว่า ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้” จอมเอนตัวลงนอนหนุนแขน มองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาว
“หยุดเวลา…ทำไม”
“เพราะตรงนี้สงบที่สุด อบอุ่นที่สุด และก็…มีพี่อยู่ด้วย”
“พูดอะไรก็ไม่รู้”
“ผมพูดความจริงนะครับ”
ตติไม่ตอบ แต่ใบหูแดงจัดจนแม้แสงตะเกียงสลัวก็ยังมองเห็น จอมยื่นมือออกไปคว้ามืออีกฝ่ายมากุมไว้ ความเงียบที่เกิดขึ้นกลับอบอุ่นและชัดเจนกว่าถ้อยคำใด ๆ
“อย่ามาทำเล่น ๆ …” ตติพยายามดึงมือกลับ แต่แรงไม่จริงนัก
“ผมไม่เคยเล่นเลยครับ”
เสียงหัวใจของทั้งคู่ดังแข่งกับเสียงจิ้งหรีดในทุ่ง ชั่วขณะนั้นโลกเหมือนจะเหลือเพียงคนสองคน
จอมดึงตัวตติให้โน้มลงมากอดแนบอก
“คุณรู้ตัวไหม ว่าตอนนี้คุณคือบ้านของผมไปแล้ว”
“…บ้าน?”
“ใช่ครับ ที่ที่ผมอยากกลับมาเสมอ ต่อให้เหนื่อยแค่ไหน แค่ได้เห็นหน้าคุณ ผมก็หายแล้ว”
“พูดอะไรไม่รู้…จะเชื่อดีไหมก็ไม่รู้” ตติปล่อยให้ตัวเองถูกกอด พลางพึมพำเบา ๆ
“ถ้าไม่เชื่อ…ผมก็จะพูดซ้ำทุกวัน จนกว่าคุณจะเชื่อ”
แววตาที่มุ่งมั่นของจอมทำให้ตติไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไป ความรู้สึกที่พยายามกดไว้ทุกวันกำลังไหลบ่าออกมาเหมือนสายน้ำในลำธาร
จอมโน้มหน้าลง ประทับริมฝีปากเบา ๆ ที่หน้าผากของตติ ก่อนเลื่อนลงมาที่ริมฝีปากอุ่นซึมซับความอ่อนหวาน ตติเบิกตาเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลง ยอมรับสัมผัสนั้นอย่างช้า
จูบครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่กลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและความโหยหา ราวกับเป็นสัญญาเงียบ ๆ ว่าจะอยู่เคียงข้างกันเสมอ
“ผมอยากอยู่ตรงนี้ตลอดไป”
ตตินิ่งไปหัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกมา แต่ก็ต้องพูดออกมา
"หวังว่าเมื่อผ้าเสร็จ จะยังคงจำได้ว่าพูดอะไรออกมาบ้าง"
จอมไม่เข้าใจสิ่งที่ตติพูด ทำได้เพียงกระชับอ้อมกอดนั้นแน่นขึ้นอีกไม่นานเขาก็จะทอผ้าเสร็จแล้ว
----
เข้าสู่เดือนที่ 5 ซึ่งผ้าอรุณสุริยาตาใกล้จะสำเร็จ เส้นไหมที่ถูกย้อมด้วยมือจอมและตติ กลายเป็นลายผ้าที่งดงามที่สุดในกี่ ทุกเส้นด้ายสะท้อนถึงหยาดเหงื่อ ความตั้งใจ และช่วงเวลาที่สองคนได้ใช้ร่วมกัน
กี่ทอผ้าดัง “กึก กัก” เป็นจังหวะสม่ำเสมอ ตติใช้มือคอยช่วยหยิบเส้นไหมตามที่จอมสั่ง ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความตั้งใจจริง ซึ่งคนถ่ายทอดลวดลายให้ก็มีความภูมิใจ จอมจากคนที่คอยส่งไหมให้กลายเป็นคนทอเอง และตติก็เห็นสีหน้าและแววตาของจอมเปลี่ยนไป แต่ก็ซ้อนเอาไว้กลายเป็นสดใสเพื่อหันกลับมาหาตติ
ตติรู้ดีว่าเพราะอะไร? แต่ก็เงียบเพราะไม่ใช่คนพูดมากอะไร
---
จนเมื่อถึงวันที่ถอดผ้าออกจากกี่ อรุณสุริยาตาที่ยาวกว่า 4 หลา มันทั้งมากพอและเพียงพอต่อการตัดชุดเจ้าสาวให้กับลูกค้ารายสำคัญที่มีรูปร่างค่อนข้างจะเจ้าเนื้อ และเพียงพอที่จะซ่อมแซมชุดที่ชำรุดได้
จอมยืนผ้าผืนนี้ ทั้งดีใจและใจหาย รวมถึงความตึงเครียดในใจ กับความหมายของการมีอยู่ของผ้าอรุณสุริยาตา ตติเคยยอกไว้ว่าถ้าทอผ้าเสร็จก็จะรู้เอง ซึ่งเขาก็รับรูปอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน
ชายหนุ่มเดินเข้ามากอดหนุ่มใหญ่ ผู้ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของหัวใจเขา
“พี่ครับ…ผมไม่อยากกลับไปแล้ว ไม่อยากกลับไปในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน แบ่งแยก หรือการที่ต้องพิสูจน์ตัวเองให้ใครเห็น ผมอยากอยู่ตรงนี้ อยู่กับพี่”
"ความจริงคือความจริง หากนายไม่เผชิญวันนี้ วันหน้ามันก็เผชิญ”
เหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน หัวใจของจอมร่วงหล่นลงเหวลึก เขามองตติด้วยสายตาไม่เชื่อหูตัวเอง
"ต่อไปอย่ามาที่นี่อีก"
“อะไรนะครับ…คุณหมายความว่าไง”
“สิ่งที่เธอต้องการก็ได้ไปแล้ว ฉะนั้นอย่ามาที่นี่อีก”
จอมกัดริมฝีปากแน่น หัวใจเจ็บจนแทบหายใจไม่ออก
“แล้วเวลาที่ผ่านมา”
“จอม...มันคือช่วงเวลาของการทอผ้าผืนที่นายตั้งใจมาที่นี้ตั้งแต่แรกไม่ใช่เหรอ เมื่อทอผ้าเสร็จทุกอย่างต้องจบ”
จอมชะงักไป เหมือนถูกตบกลางใจ สายตาของตติที่หลบเลี่ยงราวกับมีเหตุผลบางอย่างซ่อนอยู่ แต่ในห้วงขณะนั้น จอมกลับสัมผัสได้เพียงความเจ็บปวดและความเย็นชาที่ไม่เคยคาดคิด
“ที่ผ่านมามันคืออะไรครับ…อ้อมกอด คำพูด จูบพวกนั้น…มันไม่มีความหมายสำหรับพี่เลยใช่ไหม”
ตตินิ่ง ไม่ตอบ ปล่อยให้ความเงียบเป็นคำตอบแทน
ความเงียบของตติกลายเป็นมีดที่กรีดลึกลงในหัวใจของจอม เขายืนอยู่กลางเรือนเล็กที่เคยอบอุ่นที่สุดในชีวิต แต่กลับหนาวเย็นยิ่งกว่าพายุหิมะ คำพูด “ไม่ต้องกลับมาอีก” ก้องสะท้อนในหัว…เหมือนตัดทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยร่วมสร้างมาด้วยกันจนขาดสะบั้น
ดวงตาของจอมแดงก่ำเหมือนจะร้องไห้ แต่เขากัดฟันแน่น ยื้อไม่ให้น้ำตาไหลออกมา เขาไม่เคยอ้อนวอนใครมาก่อนในชีวิต แต่กับตติ เขายอมหมดทุกอย่างแล้ว…แต่กลับถูกผลักออกไปเหมือนคนไร้ค่า
“ใช่ จบแค่นี้นะจอม”
คำว่า “จบแค่นี้นะ” หล่นลงกลางห้อง เสียงมันดังในหัวจอมราวกับฟ้าผ่า เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวเหมือนถูกแรงมหาศาลผลัก
“ก็ได้ครับ…ถ้านี่คือสิ่งที่พี่ต้องการ”
เสียงฝีเท้าจอมเดินออกไปจากเรือนเล็กทีละก้าว แต่ละก้าวหนักเหมือนลากทั้งโลกไปด้วย ข้างนอกฝนโปรยลงมาอีกครั้ง ราวกับท้องฟ้าเองก็ร้องไห้แทนหัวใจของเขา
จอมไปแล้วนะตติ...มันดีแล้วจริงๆหรอ?
---
ค่ำคืนนั้น…ตติยืนอยู่ลำพังในบ้านไม้เล็ก ๆ ที่กลับกลายเป็นคุกขังความรู้สึก เขาเลือกจะตัดสัมพันธ์ด้วยปาก แต่หัวใจกลับร้องไห้ไม่ต่างกัน
เข้าสู่เดือนที่ 3 ณ เวลานั้นไม่ได้เพียงทำให้ไร่สวนและผืนดินเขียวชุ่ม แต่ยังทำให้หัวใจสองดวงเติบโตเคียงกันอย่างช้า ๆ และแน่นแฟ้น
เช้าวันใหม่ในบ้านไม้ เสียงนกกางเขนร้องรับกับเสียงน้ำไหลจากเหมือง ตติยังคงนั่งอยู่หน้ากี่ทอผ้า จังหวะ “กึก…กัก…กึก…กัก” ของฟืมไม้กลายเป็นเสียงคุ้นหู แต่ทุกวันนี้เสียงนั้นไม่ดังเพียงลำพังอีกต่อไป เพราะมีเสียงหัวเราะเบา ๆ ของจอมคอยแทรกเข้ามาเสมอ
จอมนั่งพิงเสาไม้ ข้าง ๆ วางตะกร้าไหมที่เพิ่งขึ้นไปเอามาจากบ้านแม่เฒ่าจุนสดๆร้อนๆเลย
“ทำไมด้ายเส้นเล็ก ๆ ถึงพันกันยุ่งขนาดนี้ก็ไม่รู้ ดูเหมือนเส้นชีวิตผมเลยครับ”
“เส้นไหมพันกันก็คลายได้ แต่เส้นชีวิต…จะยอมให้ยุ่งเหยิงหรือจะทำให้ตรง ขึ้นอยู่กับตัวเอง” ตติเหลือบตามองเล็กน้อย ยกยิ้มบาง ๆ
“พูดเหมือนเป็นปรัชญาเลยนะครับ” จอมหัวเราะ
“มันก็ความจริงนี่”
ตติไม่ชอบพูดมาก แต่ทุกคำที่เปล่งออกมากลับเป็นเหมือนคำสอนที่ฝังลงในใจจอมเสมอ
“ผมอยู่ตรงนี้มาหลายเดือนแล้วนะครับ” จอมลุกขึ้น เดินไปนั่งใกล้ ๆ กี่ทอผ้า กี่หลังนี้เป็นงานของคุณหญิงทิวดาวที่จะใช้ตัดเป็นชุดออกงานปลายปี
“พี่เบื่อผมบ้างมั้ย ?”
“เบื่อสิ”
"พี่ก็พูดตรงเกินไป" จอมหน้างอ แต่ไม่ถือเป็นอารมณ์เพราะตอนนี้เขาชอบที่จะอยู่ใกล้ๆตติ อยากเห็นหน้าทุกวัน ยังขอบคุณลูกค้าที่ทำให้เขาต้องทอผ้าอรุณสุริยาตายาวขึ้น ทำให้เขาได้อยู่กับคนที่ชอบแบบนี้
----
“โอ๊ย…สองหนุ่มนี่ ใครเป็นคนทอผ้ากันแน่ล่ะ? ดู ๆ ไปแล้วมีคนหนึ่งทอผ้า อีกคนก็คอยกวนให้คนทอเขินไปเสียอย่างนั้น” แม่อุ้ยผ่องเดินเข้ามา เสียงหัวเราะแฝงแกล้ง วันนี้แม่อุ้ยมาส่งปิ่นโตด้วยตัวเอง เพราะต้องทำอาหารเพิ่มขึ้น แม่หนูฝ้ายหิ้วมาส่งไม่ไหว ตัวกระเปี๊ยดเดียว
“โถยายครับ ผมก็แค่ช่วยสร้างบรรยากาศดี ๆ ไงครับ” จอมหัวเราะร่า รีบยกมือไหว้ ก่อนไปรับปิ่นโตสองเถามาถือ
“บรรยากาศอะไรกัน ไม่ต้องมาพูดมาก ไปเอาปิ่นโตที่ล้างไว้มาเปลี่ยนให้แม่อุ้ยไป” ตติรีบไล่แก้เขิน ใกล้ชิดกันให้คนเฒ่าคนแก่เห็นแบบนี้
จอมพยักหน้าหงึกหงัก
ส่วนแม่อุ้ยออกไปนั่งรอที่ไม้นั่งด้านนอก ไม่รบกวนเวลาทำงานของตติ จอมไปเอาปิ่นโตสองเถอที่ว่างเปล่ามาให้แม่อุ้ย มิวายนั่งข้าง ๆ เพื่อถามเรื่องตติ แม้จะอยู่ด้วยกันมา 3 เดือนแล้วต้องยอมรับว่าจอมรู้จักตติน้อยมาก
“แม่อุ้ยครับ…พี่ตติเป็นคนเข้มแข็ง แต่บางทีผมก็รู้สึกว่าเขาซ่อนความอ่อนแอไว้เยอะมากเลยนะครับ แม่อุ้ยว่ามั้ยครับ” จอมกระซิบกับแม่เฒ่าเบา ๆ
“ก็จริง…คุณตติก็ใช่ว่าใครจะเข้าถึงได้ง่าย ๆ นะคุณจอม ถ้าคุณจะอยู่ตรงนี้จริง ๆ ก็ต้องพยายามมาก ๆ นะ อุ้ยเองก็ใช้เวลานานเหมือนกันกว่าที่คุณตติเปิดใจให้เข้ามาในบ้าน เป็นคนส่งปิ่นโตแบบนี้”
“ผมจะพยายามครับ”
----
เวลาล่วงเลยเข้าสู่เดือนที่ 4 ฤดูเริ่มเปลี่ยนเป็นปลายฝนต้นหนาวแล้ว บ้านสวนเล็ก ๆ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือความสัมพันธ์ของคนสองคนที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันทุกวัน จอมไม่ได้เป็นเพียงผู้มาเยือนอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่ตติไม่อาจปฏิเสธได้
ค่ำวันหนึ่ง หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากงานกี่ จอมกับตตินั่งใต้ถุนบ้าน ลมหนาวพัดกลิ่นดินและหญ้าแห้งอบอวล แสงตะเกียงวางอยู่ใกล้ ๆ ส่องให้เห็นเงาของทั้งคู่ทาบทับกันบนพื้นไม้
“พี่…รู้ไหมครับ ทุกคืนผมมักจะคิดอยู่เสมอว่า ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้” จอมเอนตัวลงนอนหนุนแขน มองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาว
“หยุดเวลา…ทำไม”
“เพราะตรงนี้สงบที่สุด อบอุ่นที่สุด และก็…มีพี่อยู่ด้วย”
“พูดอะไรก็ไม่รู้”
“ผมพูดความจริงนะครับ”
ตติไม่ตอบ แต่ใบหูแดงจัดจนแม้แสงตะเกียงสลัวก็ยังมองเห็น จอมยื่นมือออกไปคว้ามืออีกฝ่ายมากุมไว้ ความเงียบที่เกิดขึ้นกลับอบอุ่นและชัดเจนกว่าถ้อยคำใด ๆ
“อย่ามาทำเล่น ๆ …” ตติพยายามดึงมือกลับ แต่แรงไม่จริงนัก
“ผมไม่เคยเล่นเลยครับ”
เสียงหัวใจของทั้งคู่ดังแข่งกับเสียงจิ้งหรีดในทุ่ง ชั่วขณะนั้นโลกเหมือนจะเหลือเพียงคนสองคน
จอมดึงตัวตติให้โน้มลงมากอดแนบอก
“คุณรู้ตัวไหม ว่าตอนนี้คุณคือบ้านของผมไปแล้ว”
“…บ้าน?”
“ใช่ครับ ที่ที่ผมอยากกลับมาเสมอ ต่อให้เหนื่อยแค่ไหน แค่ได้เห็นหน้าคุณ ผมก็หายแล้ว”
“พูดอะไรไม่รู้…จะเชื่อดีไหมก็ไม่รู้” ตติปล่อยให้ตัวเองถูกกอด พลางพึมพำเบา ๆ
“ถ้าไม่เชื่อ…ผมก็จะพูดซ้ำทุกวัน จนกว่าคุณจะเชื่อ”
แววตาที่มุ่งมั่นของจอมทำให้ตติไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไป ความรู้สึกที่พยายามกดไว้ทุกวันกำลังไหลบ่าออกมาเหมือนสายน้ำในลำธาร
จอมโน้มหน้าลง ประทับริมฝีปากเบา ๆ ที่หน้าผากของตติ ก่อนเลื่อนลงมาที่ริมฝีปากอุ่นซึมซับความอ่อนหวาน ตติเบิกตาเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลง ยอมรับสัมผัสนั้นอย่างช้า
จูบครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่กลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและความโหยหา ราวกับเป็นสัญญาเงียบ ๆ ว่าจะอยู่เคียงข้างกันเสมอ
“ผมอยากอยู่ตรงนี้ตลอดไป”
ตตินิ่งไปหัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกมา แต่ก็ต้องพูดออกมา
"หวังว่าเมื่อผ้าเสร็จ จะยังคงจำได้ว่าพูดอะไรออกมาบ้าง"
จอมไม่เข้าใจสิ่งที่ตติพูด ทำได้เพียงกระชับอ้อมกอดนั้นแน่นขึ้นอีกไม่นานเขาก็จะทอผ้าเสร็จแล้ว
----
เข้าสู่เดือนที่ 5 ซึ่งผ้าอรุณสุริยาตาใกล้จะสำเร็จ เส้นไหมที่ถูกย้อมด้วยมือจอมและตติ กลายเป็นลายผ้าที่งดงามที่สุดในกี่ ทุกเส้นด้ายสะท้อนถึงหยาดเหงื่อ ความตั้งใจ และช่วงเวลาที่สองคนได้ใช้ร่วมกัน
กี่ทอผ้าดัง “กึก กัก” เป็นจังหวะสม่ำเสมอ ตติใช้มือคอยช่วยหยิบเส้นไหมตามที่จอมสั่ง ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความตั้งใจจริง ซึ่งคนถ่ายทอดลวดลายให้ก็มีความภูมิใจ จอมจากคนที่คอยส่งไหมให้กลายเป็นคนทอเอง และตติก็เห็นสีหน้าและแววตาของจอมเปลี่ยนไป แต่ก็ซ้อนเอาไว้กลายเป็นสดใสเพื่อหันกลับมาหาตติ
ตติรู้ดีว่าเพราะอะไร? แต่ก็เงียบเพราะไม่ใช่คนพูดมากอะไร
---
จนเมื่อถึงวันที่ถอดผ้าออกจากกี่ อรุณสุริยาตาที่ยาวกว่า 4 หลา มันทั้งมากพอและเพียงพอต่อการตัดชุดเจ้าสาวให้กับลูกค้ารายสำคัญที่มีรูปร่างค่อนข้างจะเจ้าเนื้อ และเพียงพอที่จะซ่อมแซมชุดที่ชำรุดได้
จอมยืนผ้าผืนนี้ ทั้งดีใจและใจหาย รวมถึงความตึงเครียดในใจ กับความหมายของการมีอยู่ของผ้าอรุณสุริยาตา ตติเคยยอกไว้ว่าถ้าทอผ้าเสร็จก็จะรู้เอง ซึ่งเขาก็รับรูปอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน
ชายหนุ่มเดินเข้ามากอดหนุ่มใหญ่ ผู้ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของหัวใจเขา
“พี่ครับ…ผมไม่อยากกลับไปแล้ว ไม่อยากกลับไปในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน แบ่งแยก หรือการที่ต้องพิสูจน์ตัวเองให้ใครเห็น ผมอยากอยู่ตรงนี้ อยู่กับพี่”
"ความจริงคือความจริง หากนายไม่เผชิญวันนี้ วันหน้ามันก็เผชิญ”
เหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน หัวใจของจอมร่วงหล่นลงเหวลึก เขามองตติด้วยสายตาไม่เชื่อหูตัวเอง
"ต่อไปอย่ามาที่นี่อีก"
“อะไรนะครับ…คุณหมายความว่าไง”
“สิ่งที่เธอต้องการก็ได้ไปแล้ว ฉะนั้นอย่ามาที่นี่อีก”
จอมกัดริมฝีปากแน่น หัวใจเจ็บจนแทบหายใจไม่ออก
“แล้วเวลาที่ผ่านมา”
“จอม...มันคือช่วงเวลาของการทอผ้าผืนที่นายตั้งใจมาที่นี้ตั้งแต่แรกไม่ใช่เหรอ เมื่อทอผ้าเสร็จทุกอย่างต้องจบ”
จอมชะงักไป เหมือนถูกตบกลางใจ สายตาของตติที่หลบเลี่ยงราวกับมีเหตุผลบางอย่างซ่อนอยู่ แต่ในห้วงขณะนั้น จอมกลับสัมผัสได้เพียงความเจ็บปวดและความเย็นชาที่ไม่เคยคาดคิด
“ที่ผ่านมามันคืออะไรครับ…อ้อมกอด คำพูด จูบพวกนั้น…มันไม่มีความหมายสำหรับพี่เลยใช่ไหม”
ตตินิ่ง ไม่ตอบ ปล่อยให้ความเงียบเป็นคำตอบแทน
ความเงียบของตติกลายเป็นมีดที่กรีดลึกลงในหัวใจของจอม เขายืนอยู่กลางเรือนเล็กที่เคยอบอุ่นที่สุดในชีวิต แต่กลับหนาวเย็นยิ่งกว่าพายุหิมะ คำพูด “ไม่ต้องกลับมาอีก” ก้องสะท้อนในหัว…เหมือนตัดทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยร่วมสร้างมาด้วยกันจนขาดสะบั้น
ดวงตาของจอมแดงก่ำเหมือนจะร้องไห้ แต่เขากัดฟันแน่น ยื้อไม่ให้น้ำตาไหลออกมา เขาไม่เคยอ้อนวอนใครมาก่อนในชีวิต แต่กับตติ เขายอมหมดทุกอย่างแล้ว…แต่กลับถูกผลักออกไปเหมือนคนไร้ค่า
“ใช่ จบแค่นี้นะจอม”
คำว่า “จบแค่นี้นะ” หล่นลงกลางห้อง เสียงมันดังในหัวจอมราวกับฟ้าผ่า เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวเหมือนถูกแรงมหาศาลผลัก
“ก็ได้ครับ…ถ้านี่คือสิ่งที่พี่ต้องการ”
เสียงฝีเท้าจอมเดินออกไปจากเรือนเล็กทีละก้าว แต่ละก้าวหนักเหมือนลากทั้งโลกไปด้วย ข้างนอกฝนโปรยลงมาอีกครั้ง ราวกับท้องฟ้าเองก็ร้องไห้แทนหัวใจของเขา
จอมไปแล้วนะตติ...มันดีแล้วจริงๆหรอ?
---
ค่ำคืนนั้น…ตติยืนอยู่ลำพังในบ้านไม้เล็ก ๆ ที่กลับกลายเป็นคุกขังความรู้สึก เขาเลือกจะตัดสัมพันธ์ด้วยปาก แต่หัวใจกลับร้องไห้ไม่ต่างกัน
จบตอน