ชาย-ชาย,รัก,ไทย,ยุคปัจจุบัน,นิยายรัก,boy love ,boylove ,boylove/yaoi,boylove,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ลมยามเช้าที่เชียงใหม่พัดเอื่อย ๆ กลิ่นหอมสดชื่นจากดินชื้นหลังค่ำคืนฝนพรำยังอวลอยู่เหนือสวนผลไม้ กี่ทอผ้าไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางเรือนไม้ยกพื้นต่ำ ดังกึกกักเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ราวกับหัวใจของผู้ทอที่เต้นช้า ๆ แต่นิ่งมั่น
ตติกร หรือ ตติ นั่งหลังตรง มือเรียวยาวจับเส้นไหมอย่างมั่นคง ดวงตาคมเข้มทอดมองไปข้างหน้าโดยไม่วอกแวก ผืนผ้าไหมค่อย ๆ โผล่พ้นกี่ทีละน้อย เป็นสีเหลือบประกายเหมือนแสงอาทิตย์ยามเช้า ความงดงามที่ไม่มีเครื่องจักรใดทดแทนได้
“คุณตติ… แม่ให้เอาข้าวต้มมาส่งค่ะ”
หนูฝ้าย เด็กหญิงวัยสิบสาม คนงานลูกชาวบ้านในหมู่บ้าน ยกถาดข้าวต้มร้อน ๆ มาวางบนโต๊ะเล็ก ๆ ข้างกี่
“ขอบใจมากฝ้าย… ตื่นแต่เช้าเลยนะ”
“ก็ต้องตื่นสิคะ ไม่งั้นคุณตติจะกินข้าวสาวนะคะ” ฝ้ายหัวเราะสดใส
ตติส่ายหน้ายิ้ม ๆ ไม่ได้ต่อปากต่อคำ เพราะเป็นคนไม่ชอบพูดมาก แต่ความอ่อนโยนในสายตาทำให้เด็กหญิงรู้สึกอบอุ่นเสมอ
“วันนี้จะทอผ้าต่ออีกเหรอคะ”
“อืม… อีกไม่กี่วันก็ต้องส่งงานแล้ว”
“ของคุณหญิงทิวดาวใช่ไหมคะ”
“ใช่ครับ”
ชื่อของคุณหญิงทิวดาวทำให้แววตาของตติอ่อนโยนขึ้น ดวงตาคมที่มักมีแต่ความเงียบงัน กลับฉายแสงอุ่นเหมือนคนได้เห็นแสงอรุณหลังคืนมืดมิด
“คุณหญิงใจดีมั้ยคะ?”
“ใจดี… และที่สำคัญ ท่านให้เกียรติผลงานคนทอเสมอ”
หนูฝ้ายตั้งใจฟังเหมือนกำลังฟังเรื่องเล่าจากโลกอีกใบหนึ่ง โลกที่ตติไม่ค่อยเล่าให้ใคร
“หนูอยากเก่งแบบคุณตติบ้าง จะได้ทอผ้าสวย ๆ”
“อีกหน่อยก็เก่งเอง พี่ก็เคยเริ่มจากไม่เป็นเหมือนกัน” ตติหัวเราะเบา ๆ ไม่เคยขัดความฝันของเด็ก
“จริงเหรอคะ! หนูนึกว่าคุณตติทอเก่งตั้งแต่เกิด” เด็กหญิงตาเป็นประกาย
“ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิดหรอก”
บทสนทนาสั้น ๆ แต่ทำให้บ้านไม้กลางสวนดูอบอุ่นกว่าทุกเช้า ตติลุกมากินข้าวต้มอย่างเงียบ ๆ
หนูฝ้ายเฝ้าดูเขาทอผ้าต่อจนลืมเวลา กี่ไม้ดังต่อเนื่องไปเหมือนเสียงหัวใจที่สม่ำเสมอ ไม่นาน แม่อุ้ยผ่อง มาตามหลายสาวตัวจิ๋ว
“ฝ้าย ให้มาส่งข้าว ส่งเสร็จก็รีบกลับสิ มารบกวนคุณตติเขาทำงานทำไม”
"ย่า หนูแค่ดูเฉยๆ นี่ๆ ผ้าคุณหญิงทิวดาว"
หญิงชราเห็นผ้าที่กี่หลังใหญ่
"ใกล้เสร็จแล้วหรือคะ รอบนี้ทอนานเลย"
“ใกล้แล้วครับ แต่อีกไม่กี่วันคงเสร็จ”
“ผืนนี้ก็ของคุณหญิงทิวดาวอีกแล้วใช่ไหม”
“ท่านสั่งทุกปี ปีนี้ผ้าใหญ่หน่อยครับ”
“คนที่เห็นค่าของผืนผ้ากับฝีมือจริง ๆ มันก็ยังมีอยู่บ้าง คุณโชคดีแล้วค่ะ ที่อย่างน้อยยังมีคนแบบนั้นคอยสนับสนุน”
คำพูดของอุ้ยผ่องเหมือนคำปลอบโยน แต่ในใจตติกลับสั่นไหวเล็กน้อย ราวกับความทรงจำบางอย่างที่อยากลืมแต่ไม่เคยหายไป
“คุณตติ… ทำไมถึงมีแค่คุณหญิงทิวดาวที่สั่งผ้าล่ะคะ”
“ไม่ใช่คุณหญิงคนเดียวครับ มีอีกหลายคนที่เป็นลูกค้าประจำ แต่มีคุณหญิงจะสั่งบ่อยที่สุดครับ”
“อย่าถามไปเรื่อย ไปๆกลับบ้าน เดี๋ยวแดดร้อนจะไม่สบายเอา เอ็งขี้โรค โดนแดดหน่อยก็ป่วยแล้ว"
ตติยกยิ้มบาง ๆ แต่ในใจกลับหนักอึ้ง เขารู้ดีว่าความเงียบสงบที่เลือกอยู่นี้ ไม่ใช่เพราะรัก แต่เพราะหลีกหนีความเจ็บปวดจากโลกที่หักหลังเขามาแล้ว
-----
ตกบ่าย แสงแดดลอดผ่านช่องไม้ไผ่ของไม้ เสียงกี่ทอผ้ายังคงดังกึกกักเป็นจังหวะ แต่ใจของตติกลับล่องลอยไปไกล ความทรงจำเก่า ๆ ที่ไม่เคยจางหาย ผุดขึ้นมาราวกับจะตอกย้ำว่า เขาไม่อาจหนีเงาในอดีตได้เลย
“สิบปีกว่าแล้ว…แต่ทำไมมันยังเจ็บเหมือนเดิม…”
ตติหยุดมือชั่วขณะ ดวงตาหม่นแสงทอดมองผืนผ้าที่กำลังทอ มันช่างเหมือนกับเมื่อครั้งที่เขาเคยร่วมสร้างลวดลายกับเพื่อนสนิท "นนทวัฒน์" เพื่อนรักที่เขาเคยเชื่อใจที่สุด
-----
หลายสิบปีก่อน
ห้องทำงานสตูดิโอผ้าไหมที่กรุงเทพฯ เต็มไปด้วยแสงไฟสีส้มอุ่น กี่ทอผ้าวางเรียงเป็นแถว เสียงไม้กระทบดังไม่ขาดสาย ตติในวัยยี่สิบกว่า ทำงานเคียงข้างกับนนทวัฒน์ ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ แต่งกายเนี้ยบ พูดจาฉะฉาน
“ตติ นายคิดดูสิ… ถ้าเราสามารถสร้างลายผ้าที่เป็นเอกลักษณ์จริง ๆ ได้ เราจะดังไปไกลถึงระดับโลกเลยนะ” นนทวัฒน์สมัยหนุ่มยกแก้วกาแฟขึ้น ดวงตาเป็นประกาย
“ก็จริง แต่ฉันอยากให้มันเป็นงานที่ออกมาจากหัวใจ ไม่ใช่แค่ชื่อเสียงหรือเงินทอง” ตติยิ้มบางๆ ดวงตาเปล่งประกายด้วยความฝัน
“นายนี่แหละศิลปินตัวจริง… แต่เชื่อเถอะ งานศิลปะก็ต้องขายได้ด้วย ถึงจะอยู่รอด” แต่แววตาของนนทวัฒน์เจ้าเล่ห์ลับหลังตติกร
ทั้งสองทำงานร่วมกันหลายเดือน จนวันหนึ่ง ลายใหม่ที่ตติคิดค้นขึ้นจากแรงบันดาลใจ แสงอาทิตย์แรกของยามเช้า สะท้อนประกายในสายน้ำสีฟ้า ถือกำเนิดขึ้น
“นี่แหละ… ลาย ‘อรุณสุริยา...’ ฉันอยากให้มันเป็นผลงานของเราสองคน”
“อรุณสุริยาตา”
แต่ไม่กี่เดือนต่อมา ข่าวการจดลิขสิทธิ์ “ลายอรุณสุริยาตา” ภายใต้ชื่อผู้ประดิษฐ์คนเดียวคือ “นนทวัฒน์” กระจายไปทั่ววงการผ้าไหม ตติยืนตัวแข็งเมื่อเห็นเอกสารข่าวที่ลงตีพิมพ์ในนิตยสาร เขารีบไปเผชิญหน้าทันที
“ทำไมชื่อแกคนเดียว! นี่มันงานที่ฉัน…ที่เรา…สร้างมันมาด้วยกัน!” ตติโวยวายเสียงสั่น ผิดหวังกับสิ่งที่เพื่อนรักมาก
“ตติ… แกเก่งก็จริง แต่คนที่จะพามันออกไปสู่โลกได้คือฉัน ถ้าใช้ชื่อฉัน งานจะขายได้ แกก็รู้” นนทวัฒน์สีหน้าราบเรียบ พยายามทำเป็นไม่รู้สึกผิด
“แต่…แกคือเพื่อนฉันนะวัฒน์ แกหักหลังฉันแบบนี้ได้ยังไง”
“อย่าคิดมากน่า แกก็ยังได้ทอผ้าอยู่เหมือนเดิม พี่ลายนี้เป็นจองฉันแล้ว” นนทวัฒน์ถอนหายใจ เหยียดยิ้มจาง ๆ ให้กับความโง่เหขาของตติกร
ประโยคสั้น ๆ เหมือนมีดที่กรีดลงกลางหัวใจ ตติรู้สึกเหมือนโลกถล่ม ความไว้วางใจที่ทุ่มเทให้เพื่อนถูกทำลายจนไม่เหลือเศษเสี้ยว
ตติสะบัดศีรษะเล็กน้อย ไล่ความทรงจำออกไป มือกลับไปจับฟืมไม้ทอผ้าต่อ แต่ในใจยังสั่นไม่หาย เขาหลบมาอยู่ที่เชียงใหม่เพราะไม่อยากพบเจออดีตเหล่านั้นอีก
“ลายผ้าผืนนั้น…มันคือหัวใจของฉัน ไม่ใช่ของใคร”
แต่เขาไม่รู้เลยว่า เงาที่เกี่ยวพันกับอดีตนั้น กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ทีละนิด
จบตอน