ชาย-ชาย,รัก,ไทย,ยุคปัจจุบัน,นิยายรัก,boy love ,boylove ,boylove/yaoi,boylove,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เสียงโทรศัพท์เครื่องเก่าดังขึ้น แสงหน้าจอสะท้อนชื่อที่เขาเคารพนับถือ
“สวัสดีครับ คุณหญิงทิวดาว”
“ตติ…เป็นอย่างไรบ้างลูก ยังทอผ้าอยู่ใช่ไหม” คุณหญิงทิวดาวน้ำเสียงอบอุ่น สุขุมนุ่มนวล
“ครับ ผมยังทออยู่ครับ”
เสียงหัวเราะแผ่วเบาของคุณหญิงดังลอดสายมา เต็มไปด้วยความเอ็นดูราวกับแม่ที่เฝ้าดูลูกเติบโต
“ตติ…ครั้งนี้ฉันอยากให้เจ้าทอผ้าไหมให้ฉันสักผืน ถ้าผืนนั้งเสร็จ”
“ผ้าไหม…สำหรับงานพิเศษหรือครับ”
“ใช่ ปลายปีนี้จะมีงานเลี้ยงครบรอบมูลนิธิของฉัน ฉันอยากให้ทุกคนเห็นผ้าไหมทอมือแท้ ๆ ว่ามันงดงามขนาดไหน เครื่องจักรไม่สามารถทำเหมือนได้ มีหนึ่งเดียวในโลก”
หัวใจของตติสั่นวูบ ทำให้หวนนึกถึงอดีต
“ผม…ไม่มั่นใจว่าจะทำได้ดีเหมือนเดิมหรือไม่”
“ตติ…ผ้าที่ออกมาจากกี่ของเธอ มันดีและปราณีตที่สุด ช่างทอมืออาชีพก็พูดว่าเธอทอสวย และเลียบแบบยาก ลวดลายแปลกตาแต่ก็ซ่อนความเป็นไทยเอาไว้ได้เนียนมาก” คุณหญิงทิวดาวน้ำเสียงหนักแน่น
ตติเม้มริมฝีปากแน่น ความอบอุ่นและความกดดันประดังเข้ามาในใจพร้อมกัน แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้า แม้คุณหญิงจะมองไม่เห็นทางปลายสายฃ
“…ได้ครับ”
เมื่อวางสายลง ความเงียบก็หวนคืนมาอีกครั้ง ตติก้าวออกไปยืนที่ระเบียง มองท้องฟ้าโพล้เพล้ที่เริ่มเปลี่ยนสี เขาสูดลมหายใจลึก แต่กลับรู้สึกเหมือนบางอย่างกำลังคืบคลานเข้ามา
-----
เสียงเครื่องยนต์รถยนต์ดังขึ้นจากทางเข้าบ้านสวน ไฟหน้ารถสาดวาบลอดแนวไม้ไผ่ ตติขมวดคิ้ว หัวใจเต้นแรงอย่างไร้สาเหตุ
รถคันนั้นแล่นเข้ามาช้า ๆ และหยุดลงตรงหน้าบ้าน ร่างสูงใหญ่ก้าวลงมา เสียงรองเท้าหนังเหยียบลงบนพื้นดินแห้งกรัง
“ใครกัน?”
-----
สายลมยามค่ำยังพัดเย็น แต่ในอกของตติกลับร้อนรุ่มเมื่อเห็นรถคันนั้นเลี้ยวเข้ามาในบ้านสวน เสียงเครื่องยนต์ที่ดับลงเหมือนการบอกเริ่มต้นสิ่งที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้น ร่างสูงที่ก้าวลงจากรถ คือคนที่เขาไม่คิดว่าจะได้เห็นอีก…ใบหน้าที่ละม้ายคนที่ทำร้ายตติจนต้องหลบมาอยู่ที่นี่ คงจะเป็นลูกชายสินะ
“คุณ…คือคุณตติกรใช่มั้ยครับ” เดินลงจากรถ เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง เสื้อเชิ้ตมีรอยยับเล็กน้อย แต่สายตาคมยังเปี่ยมด้วยความตั้งใจ
ยืนนิ่งริมระเบียง แววตาแข็งเย็น
เสียงไม้กระทบจากกี่ทอผ้าในเรือนเล็กด้านหลังยังดังต่อเนื่องราวกับจังหวะหัวใจของบ้านหลังนี้ แต่เสียงสนทนาที่กำลังเกิดขึ้นกลับเต็มไปด้วยความตึงเครียด
“ผมชื่อจอมครับ…ลูกชายพ่อนนทวัฒน์” ชายหนุ่มโค้งศีรษะเล็กน้อยอย่างให้เกียรติ
ชื่อที่ถูกเอ่ยทำให้สายลมเหมือนหยุดพัด ตติชะงักไปเพียงเสี้ยววินาที ก่อนริมฝีปากเม้มแน่น ดวงตากลายเป็นน้ำแข็งในบัดดล
“งั้นก็ไม่ต้องพูดอะไรต่อแล้ว…กลับไป”
“ได้โปรดฟังก่อนเถอะครับคุณตติ ผมไม่ได้มาตามคำสั่งของพ่อ แต่ผม…มาที่นี่ด้วยตัวเอง”
“มันใช่เรื่องของฉันมั้ย ?”
แววตาของตติฉายชัดถึงความรังเกียจ ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าจอมกลับยืนนิ่ง รับแรงกดดันโดยไม่ถอย แม้จะเห็นว่าคนตรงหน้าพร้อมจะผลักไสเขาออกไปทุกเมื่อ
“ผมรู้…พ่อผมเคยทำผิดมากมาย ผมไม่ขอให้คุณยกโทษให้เขา แต่วันนี้…ผมมีเรื่องจะขอร้องคุณ”
“ขอร้อง? ยังมีหน้ามาขออะไรจากฉันอีกเหรอ ?”
“ไม่ใช่ในนามของพ่อครับ เป็นในนามของผมเอง”
จอมค่อย ๆ ยกกล่องไม้เล็ก ๆ ที่ห่อผ้าขาวออกมาจากกระเป๋าอย่างระมัดระวัง ราวกับกลัวจะทำให้สิ่งข้างในแตกหัก เขาก้าวเข้าไปอีกก้าว ยื่นกล่องนั้นไปข้างหน้าตติ
“นี่คือเส้นไหมที่ที่ดีที่สุด สวยที่สุด…ผมอยากให้คุณช่วยทอ ‘อรุณสุริยาตา’ ขึ้นมาอีกครั้ง”
เพียงได้ยินชื่อนั้น หัวใจของตติเต้นแรง ราวกับถูกแทงด้วยเข็มเล่มคม ภาพความหลังพรั่งพรูเข้ามา ลายผ้าอันเป็นดวงใจของเขา ถูกขโมย ถูกแย่งชิงไปจนหมดสิ้น จนเขาต้องหนีมาอยู่ที่นี่
“เธอพูดว่าอะไรนะ”
“ช่วยทอ ‘อรุณสุริยาตา’ ให้ผมเถอะครับ” จอมกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนพูดชัดถ้อยคำ
ความเงียบที่ตามมาหนักอึ้ง ราวกับแม้แต่จิ้งหรีดในพงหญ้าก็หยุดส่งเสียง ตติจ้องคนตรงหน้าด้วยสายตาที่คุกรุ่นด้วยไฟเก่าแก่ ไฟที่ไม่เคยมอดดับไปจากใจ
“ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ ฉันไม่ต้อนรับ”
“คุณตติ…ฟังผมสักนิดก็ได้ ผมไม่ได้มีเวลา...” จอมหน้าเสีย แต่ยังไม่ก้าวถอย เสียงอ้อนวอน
“ฉันไม่ต้องการฟัง! อรุณสุริยาตาคือลมหายใจของฉัน และมันถูกพ่อเธอแย่งไปเป็นของตัวเอง ใครเป็นเจ้าของก็ให้คนนั้นทอ เข้าใจนะ!”
น้ำเสียงดังก้องไปทั่วลานบ้าน เสียงกี่ทอผ้าที่เคยดังสม่ำเสมอหยุดลงโดยไม่รู้ตัว ตติหอบหายใจแรง คล้ายคนกำลังสู้กับความเจ็บปวดที่คั่งค้างมาเนิ่นนาน
“ผมเข้าใจ…แต่ผมไม่ใช่พ่อ ผมจะทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ให้คุณเห็นว่าผมต่างออกไป ขอแค่ให้คุณช่วยทอมัน”
“มันไม่เคยมาผ้าลายนั้น ไปให้พ้น!!”
ร่างสูงโปร่งของตติเดินตรงไปยังเรือนเล็กโดยไม่หันกลับมามอง แม้เพียงแวบเดียว ทิ้งให้จอมยืนอยู่ท่ามกลางความเงียบและความหนาวเย็น
“คุณตติ! ได้โปรดเถอะครับ ผมไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการให้โอกาส!”
ตติหยุดก้าวชั่วขณะ ริมฝีปากเม้มแน่นจนแทบเป็นเส้นตรง แววตาที่ทอดยาวไปข้างหน้าสั่นเล็กน้อย เหมือนกำลังสู้กับความทรงจำที่ไม่อยากนึกถึง เขาสูดหายใจลึก ก่อนหันกลับมาเผชิญหน้า
“โอกาส? พ่อนายเคยให้โอกาสฉันไหม วันนั้น…ที่เขาขโมยลายไปต่อหน้าต่อตา แล้วหันหลังใส่ฉันราวกับฉันไม่มีตัวตน”
“ผมรู้ ผมได้ยินเรื่องนั้นจากหลายคน…ผมไม่เถียงว่าพ่อผิด แต่คุณ...”
“กลับไป!”
เสียงนั้นดังก้อง ราวกับฟ้าผ่าลงกลางลาน เสี้ยววินาทีที่เงียบงัน แววตาของตติฉายความปวดร้าวที่ซ่อนอยู่ใต้เกราะแข็ง เขาไม่ได้เพียงเกลียด…แต่ยังเจ็บปวดอย่างที่สุด
“คุณตติครับ ผมก็เจ็บปวดกับสิ่งที่เขาทำเหมือนกัน…แต่วันนี้ผมมายืนตรงนี้ ไม่ใช่เพราะเขา แต่เพราะผมต้องการพิสูจน์ตัวเอง”
“พิสูจน์ตัวเองกับฉันทำไม นายไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับฉันด้วยซ้ำ” ตติหัวเราะสั้น ๆ เย็นชา
“ผมมีเพียงคุณเท่านั้น…ที่สามารถช่วยผมได้”
“ฉันไม่ใช่ที่พึ่งของใคร โดยเฉพาะลูกชายของคนทรยศ”
“ออกไป! และอย่ามาเหยียบที่นี่อีก!” ตติตวาดไล่เสียงดัง
“คุณตติ…คุณจะเกลียดผมเท่าไหร่ก็ได้ แต่ขอให้ผมได้อธิบายสักครั้งเถอะ ได้โปรด...”
“ไม่! ฉันไม่ฟัง”
“คุณตติ…ถ้าผมบอกว่าชีวิตครอบครัวผมแขวนอยู่กับผืนผ้านี้ล่ะครับ คุณก็ยังจะปฏิเสธงั้นหรือ” จอมไม่ละความพยายาม
ตติเม้มปากแน่น เขาหลบตาไปทางอื่นชั่วครู่ ก่อนหัวเราะเยาะออกมาอย่างเย็นชา
“ครอบครัวของเธอ? แล้วครอบครัวฉันล่ะ วันที่ครอบครัวของฉันแขวนอยู่มีใครช่วยฉันบ้าง ไม่มี แล้วจะให้ฉันช่วยเหรอ ฉันคนไม่ใช่พ่อพระนะ”
“ไม่ใช่นะครับ! ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น…ผมแค่อยากบอกว่า...” จอมรู้ตัวว่าพูดผิดไป
“พอ! ไม่ต้องพูดอีกแล้ว ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้!” ตติตัดบทอีกครั้ง ปิดประตูใส่หน้าจอมอย่างไม่ใยดี
“คุณตติ…ผมจะไม่ยอมแพ้”
แต่คำพูดนั้นไม่อาจทำให้ร่างที่เดินจากไปชะงักได้เลย ประตูเรือนเล็กปิดลงด้วยเสียงดังปัง เหลือไว้เพียงความเงียบงัน และร่างของชายหนุ่มผู้ถูกผลักไสยืนอยู่กลางลานบ้านที่กว้างใหญ่ ท่ามกลางความมืดที่ค่อย ๆ โรยตัวลงมา
-----
ลานบ้านกลับมาเงียบงันอีกครั้ง มีเพียงเสียงแมลงกลางคืนเริ่มแว่วก้องออกมาจากพงหญ้ารอบสวน ฟ้าเหนือเชียงใหม่เปลี่ยนเป็นสีครามเข้ม ดวงดาวเพิ่งแต่งแต้มขึ้นทีละดวง ทว่าในใจของชายหนุ่มผู้ยืนอยู่กลางลานกลับมืดทึบไร้แสงสว่าง
“ผม…ล้มเหลวอีกแล้วสินะ” จอมพึมพำกับตัวเอง
เขายกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ผสมกับหยดน้ำตาโดยไม่ทันรู้ตัว แววตาที่พยายามเข้มแข็งตลอดการเผชิญหน้า ตอนนี้สั่นไหวราวกระจกแตก จอมทิ้งตัวนั่งลงบนขอนไม้เก่า ๆ ข้างลาน ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางอันยาวไกลไม่ได้เท่ากับความหนักอึ้งในใจที่แบกอยู่
หนูฝ้ายเด็กน้อยบ้านใกล้ๆ ที่รับหน้าที่เดินส่งกับข้าวให้กับตติมาหลายเดือน เพราะย่าของหนูฝ้ายชรามากแล้ว
"พี่ชายคนนั้นนี่"
"หนูคนนั้นนนี่" จอมทักกลับยิ้มให้เด็กน้อย
"มาหาคุณตติเหรอคะ"
"ใช่ค่ะ พี่มาหาคุณตติ แต่ดูเหมือนว่าคุณตติไม่ชอบเลยไม่ให้เข้าบ้าน"
"ต้องไม่ชอบอยู่แล้วค่ะ คุณย่าบอกว่าคุณตติชอบอยู่คนเดียวจะได้ทอผ้าให้คุณหญิงทิวดาวทิวดาวได้ไวๆค่ะ" คำพูดของเด็กน้อยทำให้จอมชะงัก
"คุณหญิงทิวดาว?"
"พี่รู้จักหรือคะ?"
"เค้าเป็นใครหรือคะ บอกพี่ชายได้มั้ย?" จอมถามต่อเพราะอยากให้แน่ใจว่าเป็น ทิวดาว คนเดียวกับที่รู้จักหรือเปล่า ?
"คุณหญิงค่ะ คุณย่าว่าเป็นเมียทูตอะไรก็ไม่รู้ค่ะ คุณตติรักและเคารพมากทอผ้าให้ทุกๆปีค่ะ" เด็กน้อยเล่าตามประสาซื่อแต่ทำให้ชายหนุ่มคิดวิธีที่จะเข้าหาตติกรได้แล้ว
"อุ๊ย! หนูต้องไปแล้วค่ะ คุณตติหิวแย่แล้ว ไปก่อนนะคะพี่ชาย"
"จ้า"
จอมยิ้มเต็มหน้าคิดหาทางให้ตติสอนเขาทอผ้าได้แล้ว เมื่อคิดได้ดังนั้นก็กลับไปที่รถและขับออกไป
ทางตติที่ยืนดูอยู่หลังหน้าต่างบนชั้นสอง ถอนหายใจโล่งอกที่ลูกชายของอดีตเพื่อนรักไปจากบ้านเสียที หวังว่าจะไม่กลับมาอีก
จบตอน