ชาย-ชาย,รัก,ไทย,ยุคปัจจุบัน,นิยายรัก,boy love ,boylove ,boylove/yaoi,boylove,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
จอมลากกระเป๋าผ้าใบใหญ่กับเป้สะพายพะรุงพะรังขึ้นมาตามทางดิน หอบหายใจจนเหงื่อชุ่ม ทั้งที่เพิ่งเช้าไม่นาน พอถึงหน้ารั้วบ้าน เขาก็หยุดยืน สูดหายใจยาวเพื่อเรียกความกล้า
ตติเดินลงจากเรือนพอดี เขาสวมเสื้อสีหม่น กางเกงขายาวง่าย ๆ สายตาคมกริบที่ทอดมา ทำเอาจอมชะงักค้างเหมือนถูกตรึง
“นี่อะไร จอม” ตติถามเสียงเข้มเมื่อเห็นกระเป๋าใหญ่
“เอ่อ…คือผมตั้งใจจะย้ายมาอยู่ที่นี่ครับ จะได้เรียนกับพี่ตติทุกวัน ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง”
ตติคิ้วกระตุกเล็กน้อย
“ที่นี่ไม่ใช่หอพัก”
“ผมไม่เกี่ยงงานนะครับพี่! ผมทำทุกอย่างได้ กวาดบ้าน ซักผ้า หาบน้ำ ล้างถ้วย ล้างครก ตักบาตรตอนเช้า ผมถนัดทุกอย่าง ขอแค่ให้ผมได้อยู่ใกล้ ๆ การจะเทียวไปเทียวมามันก็ยากลำบาก ถ้าวันไหนทอผ้าดึกผมจะกลับยังไง ทางก็เปลียวด้วยอันตรายมาก”
เสียงจริงจังของจอมทำให้บ้านสวนเงียบกริบ เหลือเพียงเสียงไก่ขันกับหมอกคลออยู่รอบตัว ตติยืนนิ่ง สายตาคมกริบกวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้าคนตรงหน้า แล้วเสสายตาไปทางกระเป๋าใบโตที่พะรุงพะรัง
“แล้วคิดว่าคนอย่างฉันจะยอมง่าย ๆ งั้นเหรอ”
“ผมไม่ได้คิดว่าพี่จะยอมง่าย ๆ หรอกครับ…แต่ผมคิดว่าพี่น่าจะใจดีพอจะให้โอกาส”
“โอกาส…มันไม่ใช่ของที่ใครอยากได้ก็ได้”
ความเงียบหนักอึ้งคลืบคลาน จอมก้มศีรษะน้อมต่ำ ยกมือไหว้จนแทบจะติดพื้น รอยยิ้มยังฝืนบนใบหน้า แต่แววตากลับสั่นไหวด้วยความจริงใจ
“ขอเถอะครับ…ให้ผมอยู่เถอะนะ นะ นะครับ น้าาาา”
ตติเงียบไปนานพอให้เสียงจักจั่นร้องยาวแทนคำตอบ สุดท้ายเขาเมินสายตาแล้วเอ่ยเพียงสั้น ๆ
“ถ้าอยู่แล้วเกะกะ…ฉันจะไล่ทันที”
“ขอบคุณครับพี่ตติ! ผมจะไม่ให้พี่ผิดหวังเลย”
แม้คำพูดเย็นชา แต่เงามุมปากของตติสั่นเล็กน้อยราวกับรอยยิ้มที่ถูกกดไว้ เขาหันหลังกลับขึ้นเรือน ทิ้งให้จอมยืนยิ้มโง่งมกลางหมอกเช้า หัวใจเต้นแรงจนเหมือนจะทะลุอก
---
แดดยามสายส่องลอดหมอกขาวที่ยังคลออยู่เหนือยอดไม้ ทางดินแดงคดเคี้ยวขึ้นดอยทอดยาวเหมือนไม่มีสิ้นสุด เสียงจักจั่นเรไรประสานกับเสียงนกป่าที่แว่วมาเป็นระยะ กลิ่นดินหญ้าชื้นปนกลิ่นใบไม้แห้งเผาไฟตามบ้านชาวดอยคลุ้งอยู่ในอากาศ
จอมแบกเป้พะรุงพะรัง เหงื่อผุดเต็มหน้าผากแต่ยังฝืนยิ้มตลอดเวลา ตติเดินนำอยู่ข้างหน้า ฝีเท้าหนักแน่นเป็นจังหวะ เงียบ ไม่พูดแม้แต่คำเดียว
“พี่ตติ…ขึ้นทุกวันแบบนี้เลยเหรอครับ?” จอมหอบแฮ่ก ๆ
"เปล่า ก็จะให้สอนทอผ้าไง ผ้านั่นไหมของนายมันไม่ใช่ทั้งหมดไง ก็เลยต้องไปเอาไหม เข้าใจหรือยัง ?"
“ผมนึกว่าการทอผ้า แค่มีด้ายก็พอแล้วซะอีก ไม่คิดว่ามันจะเป็นไหมเฉพาะ”
ตติหยุด เดินย้อนกลับมามองตรง จ้องลึกในตา
“ผ้าที่มีค่า…มันต้องมาจากความเหนื่อยยากทั้งนั้นแหละ”
คำพูดสั้น ๆ แต่เหมือนมีน้ำหนักกว่าหินก้อนใหญ่ จอมเม้มปากแน่น สบตาไม่กล้าโต้ตอบ ได้แต่ยกมือปาดเหงื่อแล้วก้มหน้าก้าวต่อไป
---
บ้านไม้ยกสูงกลางสวนหม่อน เสียงกี่ทอผ้าดังเป็นจังหวะ “ตึ้ก…ตัก…ตึ้ก…ตัก…” เส้นไหมพาดเรียงราวกับสายรุ้งนวลอ่อน แม่เฒ่าจุน หญิงชราผิวกร้านจากแดด ผมหงอกขาวทั้งศีรษะ นั่งยิ้มต้อนรับด้วยดวงตาอบอุ่น
“โอย…คุณตินี่เอง กำลังคิดถึงเชียว"
แม่เฒ่าจุนยิ้มบาง เห็นตติเดินนำมา
“แม่เฒ่า วันนี้ผมพาน้องมันมาดูไหม แล้วก็จะแนะนำให้รู้จัดไว้ เพราะอีกหน่อยน้องมันต้องมาเอาไหมเอง”
ตติยกมือไหว้ เคารพอย่างอ่อนน้อม
"สวัสดีครับ ชื่อจอมครับ"
"สวัสดี สวัสดีพ่อหนุ่่มนี้หน้าตาคุ้นๆนะ"
"คือว่า....ผมหน้าโหลน่ะครับ" จอมคิดว่าแม่เฒ่าน่าจะหมายถึงพ่อของเขาจึงรับเปลี่ยนเรื่องให้ตลกไป
เสียงหัวเราะของแม่เฒ่าจุนอบอุ่นจนบรรยากาศรอบ ๆ ดูนุ่มนวลขึ้นทันตา จอมยิ้มกว้าง เผลอก้มหัวแรงไปจนหน้าชนหัวเข่าตัวเอง ตติที่ยืนข้าง ๆ ส่ายหน้าช้า ๆ
แม่เฒ่าจุนนำทั้งคู่ไปยังลานตากหม่อน ใต้แสงแดดอุ่น ใบหม่อนเรียงรายเป็นตับสำหรับเลี้ยงไหม ตะกร้าไม้ไผ่ใหญ่ ๆ วางเรียงอยู่ข้าง ๆ
“จะได้เส้นไหม ต้องเริ่มจากการดูแลตัวไหม เหมือนเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน มันกินไม่เป็นเวลา ต้องหมั่นสังเกต ดูอากาศ ดูแดดดูฝน ไม่งั้นมันก็ตายเสียก่อนจะให้เส้น” แม่เฒ่าจุนหยิบใบหม่อนขึ้นมา หญิงชราตั้งใจสอนคนหนุ่มแบบไม่หวงวิชา
“ครับ! ผมจะจำไว้ทุกคำเลยครับ”
เขารีบเข้าไปช่วยแม่เฒ่าจุนหยิบใบหม่อน วางลงตะกร้า ระวังจนมือสั่นเหมือนกำลังอุ้มของมีค่า
---
เสียงหัวเราะใส ๆ ดังมาจากอีกด้าน เด็กหนุ่มร่างสูงโปร่ง ผิวคล้ำแดด ก้าวเข้ามาในลานหม่อน ใบหน้าคม ยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มชัด เขาคือ “เอี๊ยง” หลานชายแม่เฒ่าจุน
“สวัสดีครับพี่ตติ”
“เอี๊ยง มาช่วยยกตะกร้าหน่อย” ตติสีหน้าอ่อนโยนขึ้นนิดหน่อย ตอบรับเสียงนุ่มกว่าที่คุยกับจอม
เอี๊ยงรีบเดินเข้ามา เข้ามาประคองตะกร้าพร้อมหัวเราะสดใส จอมที่ยืนดูอยู่ข้าง ๆ รู้สึกเหมือนอกถูกบีบรัดโดยไม่รู้เหตุผล แววตาเขาเริ่มสั่น แต่ก็รีบฝืนยิ้มกลบ
"ใกล้อะไรขนาดนั้น ?" จอมพึมพำกับตัวเองเบา ๆ
ตติไม่หันมามองจอมแม้แต่น้อย แต่เอี๊ยงกลับพูดคุยกับตติอย่างสนิทสนม เสียงหัวเราะสลับกับน้ำเสียงเรียบของตติ กลายเป็นบทสนทนาที่ทำให้หัวใจจอมเจ็บแปลบอย่างไม่เข้าใจ
บนลานหม่อน จอมยืนเงียบ มองภาพตติที่กำลังสาธิตการให้อาหารไหมกับเอี๊ยง สายตาจริงจังของตติเปล่งประกายท่ามกลางเส้นไหมขาวนวล จอมเผลอเม้มปากแน่น
“พี่ตติ เหงื่อออกเต็มเลย เช็ดก่อน เดี๋ยวไม่สบาย” เอี๊ยงยื่นผ้าเช็ดหน้าที่พกติดตัวมา
“ขอบใจ” ตติรับผ้าโดยไม่คิดอะไร สีหน้าเรียบ
จอมที่ยืนห่างเพียงไม่กี่ก้าว กำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว ร่างกายแข็งทื่อ เหงื่อผุดเต็มแผ่นหลัง ไม่ใช่เพราะแดดแรง แต่เพราะความรู้สึกบางอย่างที่กำลังพลุ่งพล่าน
...ผมเองก็อยากเป็นคนที่พี่หันมามองแบบนั้น…แต่กลับต้องมายืนมองอยู่ห่าง ๆ...
แม่เฒ่าจุนเดินมามองทั้งสามคน พลางหัวเราะเบา ๆ
“เด็กหนุ่มสมัยนี้แรงดี ขยันก็จริง แต่ใจต้องนิ่งด้วยนะ เอ็งสองคนช่วยกันก็ดีแล้ว”
คำว่า “เอ็งสองคน” ทำให้หูของจอมร้อนผ่าว เขาพยายามยิ้ม แต่ริมฝีปากสั่นเล็กน้อย
“ผมก็มาช่วยได้นะครับแม่เฒ่า ไม่ได้ยืนดูเฉย ๆ” จอมเอ่ยแทรก เสียงแข็งกว่าปกติ
“งั้นก็ลงมือสิ จะพูดทำไม” ตติตาขวางใส่จอม มองแรง
จอมขัดใจ เขารีบก้าวไปข้างหน้า คว้าตะกร้าใบใหญ่จากมือเอี๊ยงโดยไม่ทันขออนุญาต
“พี่ใจร้อนจัง ระวังหลังนะครับ ของหนัก” เอี๊ยงหัวเราะนิด ๆ ไม่ถือสา คงหิวข้าวแน่ๆ
จอมแบกตะกร้าจนตัวเอียง เหงื่อไหลท่วมแต่ฝืนยกขึ้นเต็มแรง ความดื้อดึงฉายชัดในทุกท่วงท่า ตติมองนิ่ง ไม่พูดสักคำ แต่ในแววตาลึก ๆ คล้ายแอบสังเกตทุกอาการของชายหนุ่มตรงหน้า
---
เมื่อทั้งหมดช่วยกันจัดการโรงเลี้ยงไหมเสร็จ แสงเย็นย้อมขอบฟ้าเป็นสีทอง จอมยืนห่างออกมาเล็กน้อย มองภาพตติยืนเคียงข้างเอี๊ยง พูดคุยเรื่องการเก็บใบหม่อน เสียงหัวเราะบางเบาของเอี๊ยงสะท้อนชัด
หัวใจของจอมสั่นไหวไม่หยุด เขาเม้มริมฝีปากจนเจ็บ หูอื้อราวกับเสียงรอบข้างหายไปหมด เหลือเพียงภาพเดียว เงาหลังของตติที่อยู่ข้างใครอีกคน
“ผมไม่ได้มาเพราะอยากเรียนรู้ผ้าอย่างเดียวแล้ว…ผมอยากรู้จักหัวใจของพี่ อยากเป็นคนที่พี่หันมามอง ไม่ใช่ใครอื่น” มันเป็นเพียงแค่เสียงในใจของจอมที่ไม่ได้พูดมันออกไป
ตติหันกลับมาเพียงครู่ ดวงตาคมสบกับสายตาจอมที่ไม่ยอมหลบหนี จอมจ้องกลับไปอย่างแน่วแน่ ครั้งแรกที่เขาไม่คิดปกปิดความรู้สึกอะไรอีก
แม้คำพูดยังไม่เอื้อนเอ่ย แต่ในแววตาของจอมกลับมีทุกอย่างที่ชัดเจน ทั้งความดื้อรั้น ความตั้งใจ และความรู้สึกที่กำลังเกินกว่าคำว่า “เรียนรู้”
---
ตกค่ำพระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นเหนือทิวเขา แสงเงินส่องลงมาตรงบ้านเล็กท้ายหมู่บ้านที่ทั้งตติและจอมมาเอาไหมไปทอผ้า บ้านหลังนี้จะเป็นที่พักประจำของตติ เพราะเขารู้จัดทุกซอกทุกมุม ราวกับเป็นบ้านของตัวเอง บ้านบนเขาท้ายหมู่บ้านมีเสียงจิ้งหรีดร้องคลอเป็นจังหวะเดียวกับสายลมเย็นที่พัดผ่านหน้าต่างไม้
จอมนั่งพิงฝาอยู่บนเสื่อผืนบาง เหงื่อที่ชุ่มตัวตั้งแต่กลางวันทำให้เขายังรู้สึกเหนียวเหนอะ แต่สิ่งที่ทำให้ร่างกายร้อนรุ่มกลับไม่ใช่อากาศ หากเป็นภาพรอยยิ้มของตติที่เกิดขึ้นตอนคุยกับเอี๊ยง
“ไปอาบซะ เดี๋ยวจะไม่สบาย พรุ่งนี้ยังมีงานอีก” ตติยกขันน้ำมาวางตรงหน้า สีหน้าราบเรียบ
“พี่เป็นห่วงผมเหรอ?”
ตติชะงักไปวินาทีหนึ่ง ก่อนเบือนสายตาหนี วางขันน้ำแรงกว่าปกติเล็กน้อย
“เปล่า...แค่ไม่อยากให้ใครมาเป็นภาระเท่านั้น”
“ถึงปากจะบอกแบบนั้น แต่สายตาพี่…ไม่เหมือนเลย”
คำพูดที่แทงใจทำให้บรรยากาศเงียบลงทันควัน มีเพียงเสียงลมหอบอุ่นที่ลอดเข้ามา ตติเม้มปากแน่น ไม่ตอบโต้ และเดินหันหลังออกไป แต่ไม่รู้เลยว่าสายตาที่เขาหลีกเลี่ยงนั้น ยิ่งตอกลึกลงไปในใจจอม
---
หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ ที่นอนถูกจัดให้พร้อมกับมุ้งสี่ขา จอมเงยหน้ามองเพดานไม้เก่า ความเหนื่อยล้าไหลท่วมจนแทบลืมตาไม่ขึ้น
ความรู้สึกที่เริ่มแรกเป็นเพียงความอยากเข้ามาเพื่อให้ตติช่วยสอนทอผ้าจะได้เอาไปช่วยเรื่องที่บ้าน กลับแปรเปลี่ยนเป็นความปรารถนาเงียบงัน อยากอยู่ข้าง อยากได้รับการยอมรับ ไม่ใช่แค่ในฐานะศิษย์…แต่ในฐานะคนสำคัญ
หัวใจจอมเต้นแรงทุกครั้งที่นึกถึงชื่อของตติ และคืนนี้ก็ไม่ต่างกัน เขาหลับตาพร้อมคำสัญญาเงียบในใจ
จบตอน