" เขา…ผู้มีความรักในใจเพื่อใครคนหนึ่ง และปริศนาในความทรงจำที่หายไป…ของเธอ "

ภารกิจคลั่งรักของดวงดาว - ตอนที่ 4 แอบปลื้ม โดย ทิรพพย์ : T. La Pop @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,แอคชั่น,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส,รัก,ความจำเสื่อม,คลั่งรัก,ตลก,ตกหลุมรัก,ความรัก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ภารกิจคลั่งรักของดวงดาว

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,แอคชั่น,แฟนตาซี

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พล็อตสร้างกระแส,รัก,ความจำเสื่อม,คลั่งรัก,ตลก,ตกหลุมรัก,ความรัก,ดราม่า

รายละเอียด

ภารกิจคลั่งรักของดวงดาว โดย ทิรพพย์ : T. La Pop @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

" เขา…ผู้มีความรักในใจเพื่อใครคนหนึ่ง และปริศนาในความทรงจำที่หายไป…ของเธอ "

ผู้แต่ง

ทิรพพย์ : T. La Pop

เรื่องย่อ

เป็นเพราะความบังเอิญ พรหมลิขิต ปาฏิหาริย์ โชคชะตา หรือไม่ว่าอะไรก็ตามที่ไม่สามารถอธิบายได้ ชักนำให้คน 2 คนที่ต่างกันคนละขั้ว ให้ได้มาพบกัน โดยที่ไม่มีใครรู้ว่า “มีบางสิ่ง” ที่คนทั้งคู่นั้นต่างทำหายไป ณ ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต แต่กลับสามารถเติมเต็มซึ่งกันและกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ ท่ามกลางปริศนาและคนแปลกหน้าที่ค่อยๆ ก่อตัวเกิดเป็นความวุ่นวายเข้ามาในชีวิตโดยที่คนทั้งคู่นั้นเองก็คาดไม่ถึง

สารบัญ

ภารกิจคลั่งรักของดวงดาว-ตอนที่ 1 สัญญานะ,ภารกิจคลั่งรักของดวงดาว-ตอนที่ 2 สัญญาณ,ภารกิจคลั่งรักของดวงดาว-ตอนที่ 3 Grand Opening,ภารกิจคลั่งรักของดวงดาว-ตอนที่ 4 แอบปลื้ม,ภารกิจคลั่งรักของดวงดาว-ตอนที่ 5 คือคนเดียวกัน,ภารกิจคลั่งรักของดวงดาว-ตอนที่ 6 ตัวจริงของปุ่น,ภารกิจคลั่งรักของดวงดาว-ตอนที่ 7 "ภัยเงียบ" เจ้าเสน่ห์

เนื้อหา

ตอนที่ 4 แอบปลื้ม

         ในเวลาเดียวกันนั้นเอง

ณ ลานจอดรถของศูนย์การค้า เดอะ คาสเซิล อนาวิณกำลังยืนรอเพื่อนผู้จัดการส่วนตัวอยู่ข้างแลนด์ โรเวอร์ สีดำเพื่อเตรียมกลับบ้านพร้อมกับกดโทรศัพท์

“ คุณชายทิวครับ ฉันยืนรอแกนานมากแล้วนะ หายหัวไปไหนตั้งนานครับ ” วินแกล้งโมโหใส่คนปลายสายทันทีที่รับโทรศัพท์

“ ถึงลานจอดรถแล้วครับ ไอ้คุณวิน ข้างหลังครับ ” ทิวตอบกลับปลายสายพร้อมมืออีกข้างที่ยกฟาดลงมากลางหลังของคู่สนทนาเป็นเชิงหยอก

“ แหม รีบจริงนะครับ กลัวแม่ฉันนัดจับคู่ดูตัวสาวๆ ให้รึไง ไปฮะ กลับก็กลับ ว่าแต่..." ทิวทิ้งจังหวะลากเสียงยาวตาเจ้าเล่ห์ของเขาเหลือบมองวินที่กำลังรัดเข็มขัดนิรภัยตรงที่นั่งข้างคนขับก่อนที่จะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่แสดงให้อีกฝ่ายรู้ได้ชัดว่าเขากำลังยั่วประสาทอยู่

" ฉันล่ะอยากรู้จริงๆ ถ้ามีบางคนแถวนี้รู้ว่าวันนี้นักเขียนเยือกทิวาจะเปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ แล้วออกมานั่งแจกลายเซ็นต์ด้วยตัวเองเนี่ย มันจะมีใครอยากจะรีบกลับบ้านหรือเปล่านะ ” ทิวพูดลอยหน้าลอยตาช้าๆ แต่เน้นข้อความสำคัญโดยไม่สนใจคนนั่งข้างๆ ที่กำลังฟังด้วยใจเต้นระทึก พลางก้มหน้าก้มตาจัดของในรถและเตรียมตัวสตาร์ทรถทันที

“ ไป กลับเถอะ นายอยากรีบกลับบ้านเนอะ เดี๋ยวฉันจัดตีนหมาให้เลยครับผม " ทิวธงยังคงลอยหน้าลอยตาคุยต่อ โดยไม่สนใจคนฟังที่นั่งอยู่ข้างๆ ต่อไป

“ อะไรนะ เดี๋ยวสิไอ้เพื่อนนรก ที่แกพูดเมื่อกี๊น่ะ จริงหรอวะ " วินรีบถามอย่างร้อนรนปนตื่นเต้น แต่อีกฝ่ายแกล้งทำหูทวนลมพร้อมยิ้มมุมปาก

" เฮ้ย ทิว อย่ามาอำกันแบบนี้นะเว้ย ทำไมฉันไม่รู้ข่าวอะไรเลยวะ งั้น!! ไป!! ไปที่งานกัน แล้วเขาจัดงานกันตรงไหนล่ะ” วินดึงมือโชเฟอร์ส่วนตัวออกจากพวงมาลัยพร้อมยึดกุญแจรถทันที

ทางฝ่ายโชเฟอร์เจ้าเล่ห์ที่ถูกยึดกุญแจรถก็ปล่อยขำก๊ากออกมาชุดใหญ่ หัวเราะร่วนกับอาการตอบสนองของเพื่อนผู้เอาแต่ใจและผู้ซึ่งเป็นศิลปินที่คนทั้งประเทศมองว่าเขาเป็นหนุ่มในฝันแบบที่น่าหลงใหล

แต่ขณะนี้ เขากลับกลายเป็นเพียงแค่แฟนคลับตัวยงของนักเขียนคนหนึ่งที่กำลังจะไปล่าลายเซ็นต์ของนักเขียนที่ตนเองชื่นชอบเท่านั้น และเขาไม่ได้มีมาดอันน่าหลงใหลแบบนั้นเหลืออยู่เลย

ถึงแม้ว่าใครจะมองเขาอย่างไรแต่อาการตื่นเต้นดีใจของเขาที่มีนั้นกลับทำให้โชเฟอร์ส่วนตัวคนนี้คลายความกังวลที่อยู่ลึกภายในใจได้มากนั่นก็คือการได้เห็นแววตาที่เป็นประกายวิบวับและรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขเหมือนเด็กที่กำลังจะได้ไปสวนสนุกของเขานั่นเอง

ทางฝ่ายศิลปินหนุ่มผู้เอาแต่ใจรีบออกจากรถและเดินผ่านหน้ารถมาทางด้านที่นั่งคนขับแล้วเปิดประตูออกพร้อมกับดึงกึ่งลากตัวทิวให้ออกมาจากรถและเดินเข้าไปด้านในศูนย์การค้าด้วยกันอีกครั้ง

“ เฮ้ย เดี๋ยว นายจะไปที่งานทั้งแบบนี้หรอ เดี๋ยวก็โดนนักข่าวรุมทึ้งกันพอดี ใจเย็นสิวะ มานี่ก่อน!! ” ทิวลงจากรถพร้อมเดินนำมาที่ด้านหลังรถ เปิดประตูด้านท้ายรถก้มหยิบกระเป๋าที่มีลักษณะคล้ายกระเป๋าเดินทางทรงเหลี่ยมแต่เล็กกว่ามากใบหนึ่งออกมาแล้วเปิดออกทำให้มีแสงไฟสีขาวสว่างจ้าขึ้นมาทันทีจนมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในนั้นได้ชัดเจน ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้แก่วินได้ไม่น้อยเลยเพราะสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าคืออุปกรณ์ที่ใช้สำหรับปลอมแปลง ตกแต่งใบหน้าและพรางตัวในระดับที่น่าจะเรียกว่ามืออาชีพได้เลย

“ ไอ้ทิว!! นี่นายเตรียมพร้อมขนาดนี้ตลอดเวลาเลยหรอ ” วินอุทานออกมากับสิ่งที่ได้เห็นปนกับอาการหัวเราะขำเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าที่ภาคภูมิใจมากของโชเฟอร์ตัวแสบ

“ ก็พกมาเผื่อฉุกเฉินน่ะ ฮ่าๆ ความเคยชินว่ะ เนี่ย เป็นเซ็ทขนาดกลางของฉันแล้วนะ มาเร็ว เดี๋ยวฉันจัดการลบความหล่อให้ ” ทิวตอบพลางเกาหัวเขินๆพลาง ตามด้วยอาการหัวเราะร่วนข่มอีกฝ่ายให้เลิกแซว แล้วเขาจึงเริ่มลงมือจัดการแปลงโฉมให้กับวินอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นทิวจึงเริ่มจัดการกับเสื้อผ้าหน้าผมของตัวเองต่อทันที ภายในระยะเวลาเพียง 30 นาที อนาวิณกลายเป็นหนุ่มผิวเข้ม ผมหยักศกยาวระคอ ใส่แว่นกรอบดำหนาเตอะ ในชุดเสื้อยืดคอวีสีครีมกับกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้ม รองเท้าผ้าใบหนังสีออฟไวท์ ส่วนทิวธงกลายเป็น อาตี๋สายแฟในชุดกางเกงทรงลุงสีเบจกับรองเท้าหนังกลับสีน้ำตาลเข้มและเสื้อโปโลสีเทาอ่อนเข้ารูปและผมม้าเต่อสีธรรมชาติ แล้วทั้งคู่จึงรีบเดินมุ่งหน้าเข้าไปสู่ลานโดมทะเลดาวซึ่งเป็นสถานที่จัดงานทันที

เมื่อ 2 หนุ่มเดินมาถึงทางเข้าด้านหน้างาน เจ้าหน้าที่รับลงทะเบียนมอบหน้ากากให้ทั้งคู่สวมก่อนที่จะเดินเข้าไปในบริเวณงาน

“ ทิว ฝีมือนายเจ๋งทีเดียว ดูสิไม่มีใครจำฉันได้เลยว่ะ ” อนาวิณแอบกระซิบชมเพื่อนด้วยความตื่นเต้น ก่อนที่ทั้งคู่จะหยิบเครื่องดื่มแล้วแยกกันเดินคนละด้านของงาน
อนาวิณเดินมาหยุดตรงมุมโต๊ะสูงด้านหนึ่งที่พอมองเห็นว่าด้านหน้าเวทีมีใครอยู่บ้าง จึงวางแก้วลงแล้วดูการแสดงบนเวทีอยู่เงียบๆ รอช่วงเวลาที่สำคัญด้วยใจจดจ่อ

ส่วนทิวธงเมื่อแยกจากเพื่อนคนดังมาแล้วก็เริ่มสอดส่ายสายตาหามุมเหมาะๆ เพื่อยืนดูการแสดงและเขายังคงมองเห็นทุกการเคลื่อนไหวของอนาวิณได้ชัดเจนเช่นกัน  เขายืนกวาดสายตาไปรอบบริเวณด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย จนกระทั่งสายตาของเขาก็สะดุดหยุดอยู่ตรงร่างบอบบางร่างหนึ่งตรงหน้าในระยะห่างไม่เกิน 2 เมตร ซึ่งเจ้าของร่างเดินมาจากทิศทางใดนัันไม่มีใครรู้แต่จู่ๆ ก็เดินเข้ามาหยุดในระยะสายตาของเขาพอดี ทำให้เขามองเห็นรายละเอียดอันน่าชวนมองนั้นได้ถนัดยิ่งนัก หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของผิวที่ขาวละเอียดสวมใส่ด้วยชุดเดรสสีดำเปิดไหล่แขนยาวเข้ารูปลงมาจนถึงช่วงสะโพกที่คัทติ้งของชุดถูกต่อด้วยเนื้อผ้าเบาสบายมีความเงาเล็กน้อยพอให้เห็นแสงไฟตกกระทบบนพื้นผิวของผ้าที่พลิ้วไหวเมื่อผู้สวมใส่เคลื่อนไหวร่างบอบบางไปตามจังหวะการเดินของตน และด้วยชุดที่สั้นในระดับเข่า และรองเท้าส้นสูงสีเงินนั้นยิ่งขับให้เจ้าของร่างนั้นยิ่งดูเปล่งประกายและสง่างามในสายตาของเขายิ่งนัก

ในขณะที่ทิวธงกำลังยืนมองเป้าหมายตรงหน้าอย่างเพลิดเพลิน เขากลับหรี่ตาขีดเดียวของเขาที่เพ่งมองด้วยความไม่แน่ใจเพราะเจ้าของร่างนั้นหันหน้ามาคุยกับใครคนหนึ่งจึงทำให้เขาเห็นใบหน้านั้นที่คุ้นตาและมั่นใจด้วยว่าเขาจำคนไม่ผิดแน่นอนถึงแม้ว่าเจ้าของร่างนั้นจะสวมหน้ากากเอาไว้เพียงเสี้ยวหนึ่งของใบหน้าก็ตาม และเธอคนนั้นคือน้องซีสาวสวยที่เขาเพิ่งปะทะคารมด้วยก่อนหน้านี้นั่นเอง เขาจึงค่อยๆ เดินเข้าไปยืนซ้อนด้านหลังอยู่ใกล้ๆ โดยไม่พูดอะไร กลิ่นน้ำหอมประจำตัวของเขาส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยออกมาพอให้คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ได้กลิ่นสัมผัสอันน่าผ่อนคลาย

“ อืม หอมจัง ไม่เคยได้กลิ่นแบบนี้ที่ไหน ใครกันนะที่ใช้กลิ่นนี้ อยากรู้จัง ยี่ห้อไหนนะ” ซีคิดในใจ เมื่อจมูกของเธอได้กลิ่นน้ำหอมจากตัวของทิวธง

“ พี่ซีครับ ใกล้เวลาแล้วพี่ ไปตามคุณปริ๊นส์เถอะ ” รุ่นน้องผิวเข้มที่ชื่อต๊อบเดินมากระซิบบอก

ซีพยักหน้ารับแล้วหันหลังกลับเพื่อที่จะเดินออกไปแจ้งคิวและเตรียมความพร้อมให้กับเจ้านายของตนแต่กลับชนเข้าอย่างจังกับร่างสูงของทิวธงพอดี ทิวธงใช้มือข้างหนึ่งตวัดคว้าเอวบางของหล่อนไว้ไม่ให้ล้ม หล่อนจึงรู้ว่ากลิ่นหอมๆ นั้นลอยมาจากผู้ชายคนนี้นั่นเอง

“ อุ๊ย ขอโทษค่ะ ” ซีอุทาน

“ ไม่เป็นไรครับ ใส่ส้นสูงแบบนี้เดินระวังหน่อยก็ดีครับ ” ทิวก้มตัวลงมากระซิบที่ข้างหูซีแล้วปล่อยมือจากเอวบางนั้นทันทีที่มั่นใจว่าซีทรงตัวได้และไม่ล้มแน่นอน

ฝ่ายซีอึ้งเล็กน้อยแต่เก็บอาการโดยไม่ตอบอะไรและรีบเดินออกมาให้พ้นจากจุดเกิดเหตุด้วยใจที่เต้นปั่นป่วนกับการที่มีชายหนุ่มแปลกหน้ามากระซิบข้างหูของเธอแบบที่ไม่ทันตั้งตัวในระยะประชิดเช่นนั้น แต่ในความคิดแว่บหนึ่งที่ผุดขึ้นมาทำให้เธอรู้สึกว่าเสียงนั้นของชายแปลกหน้าช่างคุ้นหูซะจริง เมื่อนึกได้เท่านั้นความจำเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วเริ่มกลับมาพร้อมกับหน้าอาตี๋ของทิวธง  แล้วหน้าของเธอจึงเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาทันที

“ อี๊...ไม่นะซี คงไม่ใช่เขาหรอก ป่านนี้คงกลับบ้านไปแล้วมั้ง เจอครั้งเดียวก็พอแล้วคนประหลาดแบบนั้น ” หล่อนพึมพำกับตัวเองก่อนเดินไปตามคุณปริ้นส์ผู้เป็นเจ้านายและปุ่นนักเขียนเจ้าของนามปากกาเยือกทิวา ให้เตรียมตัวขึ้นเวที

เสียงปรบมือของผู้ที่มาร่วมงานดังสนั่นไปทั่วบริเวณหลังจากการแสดงชุดสุดท้ายจบลง และพิธีกรเดินขึ้นมาทำหน้าที่อีกครั้ง

“ ครับ สำหรับการแสดงก็ได้ผ่านพ้นไปแล้ว รายการต่อไปเป็นช่วงเวลาที่ทุกท่านรอคอยครับ อย่างที่ผมและทุกท่านทราบตั้งแต่เริ่มรายการว่าวันนี้เรามีการเปิดตัวบุคคลพิเศษถึง 2 ท่านท่านแรกคือผู้ที่จะเข้ามาบริหารงานในตำแหน่งรองประธานกรรมการของ เดอะ คาสเซิล และรับผิดชอบในตำแหน่งบรรณาธิการของสำนักพิมพ์ เดอะ คาสเซิล บุ๊ค ครับ และตอนนี้ท่านได้ปะปนอยู่ในกลุ่มของพวกเรานี่ล่ะครับ คุณ ปริญ ทินนฤบาล เชิญครับ ” เสียงปรบมือให้การต้อนรับดังสนั่น พร้อมกับดวงไฟสปอตไลท์ดวงใหญ่ก็เคลื่อนที่ไปมาจนมาหยุด ณ. จุดหนึ่ง ตรงกลางลานพอดี

ภายใต้แสงไฟสีขาวนั้น คือชายหนุ่มคนหนึ่งรูปร่างสูงโปร่ง เมื่อถอดหน้ากากออกแล้ว เห็นได้ชัดเจนว่าผมสีเข้มที่ถูกจัดทรงให้รับกับใบหน้า ผิวขาว คิ้วเข้ม ตาสองชั้น และหนวดสั้นๆ เป็นแนวยาวเหนือริมฝีปากที่ได้รูป ส่งให้หน้าหวานๆ แลดูเข้มกร้าวใจขึ้นมาทันที เขาอยู่ในชุดสูทสีขาวที่สวมทับเสื้อเชิ้ตสีขาวพอดีตัวที่กลัดกระดุมไว้ที่เม็ดที่ 3 เท่านั้นเพื่อโชว์ผิวขาวสุขภาพดีช่วงหน้าอกของชายหนุ่มให้มองเห็นได้ชัดและกางเกงสีขาวที่ตัดเย็บมาอย่างประณีตเพื่อให้เข้าชุดกันกับรองเท้าหนังสีขาวเงาวับ โดยมีหญิงสาวปริศนาที่ยังคงสวมหน้ากากยืนอยู่ข้างกายของเขาในขณะนี้ เธอผู้นั้นสวมชุดเดรสยาวแขนกุดเรียบๆ สีเงิน คอเต่าและมีสร้อยเส้นยาวสีทองห้อยยาวระย้าไล่ระดับลงมา ซึ่งทำให้หญิงสาวปริศนาผู้นั้นงามสง่าและน่าค้นหายิ่งนัก ชายหนุ่มชุดขาวหันมาโค้งให้หญิงสาวเล็กน้อยก่อนที่จะหงายมือยื่นออกไปให้เธอส่งมือมาจับไว้แล้วจึงเดินขึ้นไปบนเวทีด้วยกัน

“ นายคิดไว้อยู่แล้วใช่ไหมว่านักเขียนยือกทิวา ต้องเป็นผู้หญิงน่ะ ” ทิวธงแอบกระซิบกับอนาวิณจากทางด้านหลังอย่างรู้ทัน

“อืม ฉันแค่รู้สึกน่ะ ไม่คิดว่ามันจะจริง แล้วมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ให้สุ้มให้เสียงเลยนะ ” วินตอบทิวธงโดยที่ตายังจับจ้องที่หญิงสาวปริศนาคนนั้นพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปากด้วยความรู้สึกที่ปลื้มปริ่มเต็มปรี่อยู่ภายในใจ

“ สวัสดีครับแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ความจริงแล้วผมได้เข้ามารับตำแหน่งพิเศษนี้ได้เพียงไม่ถึงปี ตั้งแต่ที่คุณพ่อป่วยเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ผมยังต้องเรียนรู้อีกมากมาย เพื่อก้าวขึ้นไปให้ถึงจุดที่คุณพ่อยืนอยู่ และขอบพระคุณมากครับที่ให้เกียรติมาในงานวันนี้ ผมปริญ ทินนฤบาล ทายาทรุ่นที่ 3 ของผู้ก่อตั้ง เดอะ คาสเซิล และบรรณาธิการแห่งสำนักพิมพ์ เดอะ คาสเซิล บุ๊ค ภูมิใจนำเสนอผลงานชิ้นแรกในความดูแลของผมครับ นั่นคือ พ็อกเก็ตบุ๊คเล่มใหม่ล่าสุด จากจินตนาการแสนวิเศษของนักเขียนปริศนาในสายตาท่านผู้อ่านทุกคน ซึ่งมีผลงานโดดเด่นมากในช่วงปีที่ผ่านมา และนี่เป็นนวนิยายแฟนตาซีเรื่องแรกของเยือกทิวาครับ ” ปริญ ปรายตายิ้มไปมองที่หญิงสาวปริศนาที่ยืนอยู่ข้างกาย ก่อนที่จะกล่าวต่อไป 

“ และสุภาพสตรีที่กำลังยืนอยู่เคียงข้างผมในเวลานี้...เชิญทุกท่านพบกับเยือกทิวาครับ ” พูดจบปริญผายมือมาทางหญิงสาวปริศนาแล้วปรบมือตามด้วยเสียงปรบมือดังสนั่นจากแขกในงาน แล้วหลีกทางให้หญิงสาวปริศนานั้นเดินเข้ามายืนแทนที่ เมื่อเสียงปรบมือสงบลงหญิงสาวปริศนาคนนั้นจึงเริ่มอ่านข้อความตอนหนึ่งจากหนังสือของเธอด้วยเสียงที่นิ่งเรียบ

“ ความรู้สึกของฉัน..รู้สึกมาตลอดว่า..ฉันคือเด็กหญิงตัวเล็ก ขาสั้น ที่พยายามหาทางกลับบ้าน บ้านที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ความรัก ความหวัง ความผูกพัน และคำสัญญา..และฉันมั่นใจว่า...นี่คือเส้นทางที่สามารถพาฉัน..กลับไปในที่ๆ ฉันสัญญา..ไว้กับใครคนหนึ่งได้ แต่ทำไม ทำไมยิ่งฉันเดินไกลออกไปเท่าไร ฉันกลับมองไม่เห็นอะไรเลย เบื้องหน้าของฉันเป็นเพียงม่านหมอกสีเทาที่ไร้กาลเวลา แต่ฉันยังคงก้าวเดินฝ่าม่านหมอกสีเทานั้นต่อไป เพราะก้นบึ้งแห่งหัวใจและความคิดของฉันเชื่อว่า...ปลายทางนี้....กำลังมีใครอีกคนที่เฝ้ารอ และกำลังออกตามหาฉันอยู่เช่นกัน ตลอดระยะทางอันยาวนานฉันเริ่มชินกับมัน ฉันเริ่มผ่อนคลายและเริ่มมองเห็นหลายสิ่งที่อยู่รอบตัวของฉัน หรือกระแสจางๆ ที่สวนทางมา หรือแม้กระทั่งมวลหนาแน่นบางเบาที่พยายามแซงผ่านหน้าของฉันไป ฉันเริ่มมองเห็นความสวยงามที่ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ถึงแม้ว่า ระหว่างตัวของฉันกับสิ่งเหล่านั้น...จะถูกคั่นกลางด้วยม่านหมอกสีเทาก็ตาม แต่ฉันกลับมองเห็นความงามของสิ่งเหล่านั้นที่แอบซ่อนตัวอยู่ เป็นเหมือนเพื่อนร่วมทางที่กำลังหาทางกลับ...บ้าน...เช่นกัน ” สิ้นเสียงการอ่าน เสียงปรบมือก็ดังขึ้นอยู่นาน หญิงสาวปริศนาโค้งตัวเล็กน้อยเป็นการขอบคุณก่อนที่จะกล่าวทักทาย

ในขณะนี้กลับมีใครบางคนที่ยังคงตกอยู่ในห้วงภวังค์ เหมือนนักมวยโดนน็อคเอาท์คาเวที เพราะเนื้อความที่ได้ยินนั้นช่างเป็นเรื่องราวที่คุ้นเคยในความฝันหลายๆคืนที่เคยผ่านมา ได้แต่ยืนนิ่งมองจ้อง แววตาเต็มไปด้วยความสงสัยถูกส่งออกไปยังหญิงสาวปริศนาเจ้าของนามปากกา เยือกทิวา คนนั้น

“ อาการมันเป็นยังไง ถึงกับยืนอึ้งไปเลยหรอวะ เฮ้ วิน ใจลอยไปไหนน่ะ ” ทิวธงแซว ตามด้วยการสะกิดที่ศรีษะด้วยฝ่ามือ จนทำให้อนาวิณถึงกับสะดุ้งสุดตัว

“เจ็บนะ ไอ้เพื่อนบ้า” อนาวิณหันมาดุเพื่อนตัวแสบ

“ ค่ะ เป็นธรรมเนียมนะคะ ในเมื่อดิฉัน เยือกทิวา ตัดสินใจออกมาปรากฏตัวต่อหน้าทุกท่านแล้ว ค่ำคืนนี้ดิฉันจะอยู่แจกลายเซ็นต์ให้ทุกท่านจนกว่าจะถึงคนสุดท้ายค่ะ แต่มีข้อแม้ว่า จะไม่มีใครได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของดิฉันนะคะ แต่จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นค่ะ ที่จะเป็นผู้โชคดี ได้ดินเนอร์และพูดคุยเกี่ยวกับหนังสือของดิฉัน ณ. โลกส่วนตัวแสนพิเศษของดิฉันค่ะ ลุ้นง่ายๆ คือในบรรดาหนังสือที่จัดเตรียมไว้สำหรับวันนี้ จะมีเพียงเล่มเดียวที่มีอีก 1 ลายเซ็นต์ของดิฉันในหน้าที่ดิฉันเพิ่งอ่านให้ทุกท่านได้ฟังไปค่ะ ดังนั้นรวมกับลายเซ็นต์ที่ได้จากค่ำคืนนี้ ท่านจะมี 2 ลายเซ็นต์จากดิฉันค่ะ ถ้าท่านใดได้รับเล่มที่ถูกต้อง สามารถติดต่อแจ้งผ่านมาทางสำนักพิมพ์ เดอะ คาสเซิล บุ๊ค ได้เลยนะคะ ขอบพระคุณทุกท่านที่มาในวันนี้ค่ะ ” หญิงสาวปริศนาผู้ใช้นาม เยือกทิวา โบกมือเดินจากไป แล้วไปประจำตำแหน่งที่เตรียมไว้สำหรับการนั่งเซ็นต์หนังสือ แล้วพิธีกรคนเดิมจึงเดินขึ้นมากล่าวจบรายการบรรดาแขกต่างๆ ที่เป็นแฟนคลับวหนังสือต่างพากันเดินไปต่อคิวรับลายเซ็นต์บนหนังสือความงามสีเทาของเยือกทิวาที่ตนเองซื้อเอาไว้แล้ว

“ เฮ้ นายไม่อยากรีบไปต่อคิวซื้อหนังสือพร้อมรับลายเซ็นต์หรอเพื่อน อุตส่าห์ลงทุนมาขนาดนี้แล้วนา ” ทิวธงเชียร์

“ ฉันไปแน่ แต่ขอยืนดูอะไรก่อน คนเยอะฉันกลัวหลุดน่ะ ” อนาวิณมองตรงไปยังกลุ่มคนที่ต่อแถวยาวเบื้องหน้า หลังจากที่เขาเห็นว่าหนังสือที่วางไว้สำหรับจำหน่ายและรับลายเซ็นต์เหลืออีกเพียง 2 ตั้งใหญ่ๆ และขณะนี้จำนวนคนเริ่มลดน้อยลงไปมากแล้ว เขาจึงเดินเข้าไปซื้อหนังสือและต่อแถวทันทีด้วยใจจดจ่ออย่างตื่นเต้น

ในที่สุดเวลาที่อนาวิณรอคอยก็มาถึง เมื่อคนข้างหน้าเขาได้พูดคุยและรับลายเซ็นต์เดินออกไปแล้ว เขาก้าวเท้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า เยือกทิวา เขายิ้มให้อย่างสุภาพแต่ในรอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความปิติอย่างเห็นได้ชัด

“ สวัสดีครับ ผมติดตามผลงานทุกชิ้นของคุณมาโดยตลอด ” อนาวิณเริ่มบทสนทนา

“ ดีใจจัง ขอบคุณค่ะ แล้วชอบเล่มไหนที่สุดคะ ขอเดานะคะ ต้องเป็นเล่มที่ขายดีที่สุดแน่เลย เพราะใครๆก็บอกว่าชอบเล่มนั้นทุกคน ” เยือกทิวายิ้มทักทายอย่างเป็นกันเองภายใต้หน้ากาก

“ ไม่ใช่ครับ ผมชอบเล่มแรกของคุณที่สุด เป็นเรื่องสั้นที่คุณเขียนถึงความสุขในความทรงจำ น่ะครับ แล้วคุณล่ะ ” เขาส่ายหน้าแล้วอมยิ้มน้อยๆ นัยตาเป็นประกายพร้อมถามกลับไปในคำถามเดียวกัน

“ ฉันชอบเล่มนี้ที่สุดค่ะ คุณชื่ออะไรคะ ” เยือกทิวาชูหนังสือความงามสีเทาขึ้นมาพร้อมตอบคำถามเสียงใส แล้วถามชื่อเขากลับเพื่อเซ็นต์หนังสือให้

“ ผมชื่อวินครับ ถ้าไม่รบกวนจนเกินไป ช่วยเซ็นต์ว่า มอบแด่ อนาวิณ ลอฟ ได้ไหมครับ ” เขาถามหยั่งเชิงแต่ความตื่นเต้นดีใจที่อยู่ในใจนั้นแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว ขณะนี้เขาแทบจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังยิ้มแก้มปริตลอดเวลาที่สนทนากับนักเขียนคนโปรดโดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้สึกตัวสักนิดว่าเจ้าของชื่อนั้นคือใคร

“ ได้สิคะ ชื่อเพราะจังนะคะ ฟังคุ้นๆ นะ แต่นึกไม่ออก ” เยือกทิวารับคำแล้วก้มหน้าก้มตาเซ็นต์ ก่อนส่งหนังสือให้เขาด้วยสองมือของเธอ

“ ถามได้ไหมครับว่าทำไมคุณชอบเล่มนี้ ” เขาถามก่อนที่จะยื่นมือไปรับหนังสือ

“ คำถามนี้ ดิฉันจะตอบเฉพาะผู้ที่เป็น..เล่มที่ถูกต้อง.. เท่านั้นค่ะ ลองไปลุ้นดูนะคะ” เยือกทิวาตอบโดยทิ้งน้ำเสียงไว้ที่คำว่า เล่มที่ถูกต้องเป็นเชิงเย้าหยอกก่อนยิ้มมุมปากส่งให้เขาเป็นการปิดบทสนทนา

“ ครับผม ถ้าผมเป็น..เล่มที่ถูกต้อง..ผมจะกลับมาถามคุณด้วยตัวผมเองอีกครั้ง ” เขาหัวเราะร่วนตอบกลับนักเขียนคนโปรดอย่างอารมณ์ดีที่สุด ก่อนที่จะเดินถือหนังสือกลับไปยังจุดที่ทิวธงนั่งมองและนั่งรออยู่พร้อมกับชูหนังสือที่อยู่ในมือแทนสัญญาณว่าให้ทิวเตรียมตัวกลับกันได้แล้วเพราะเป้าหมายของเขาสำเร็จลุล่วงอย่างดีที่สุดนั่นเอง