ห้วงนรกรังสรรค์ ระบบลงทัณฑ์ที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อพิพากษาเหล่าคนใจบาปหยาบช้า ให้พวกมันมีโอกาสได้สำนึกตนคืนกลับมาด้วยใจที่บริสุทธิ์ คือการหยุดยั้งมิใช่ทำลาย ด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่..แห่งยักษา
แอคชั่น,แฟนตาซี,ลึกลับ,เกิดใหม่,สะท้อนปัญหาสังคม,นรก,วิญญาณ,ผี,แอคชั่น,อสูร,ยักษ์,พล็อตสร้างกระแส,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ยักษาตุลาการห้วงนรกรังสรรค์ ระบบลงทัณฑ์ที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อพิพากษาเหล่าคนใจบาปหยาบช้า ให้พวกมันมีโอกาสได้สำนึกตนคืนกลับมาด้วยใจที่บริสุทธิ์ คือการหยุดยั้งมิใช่ทำลาย ด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่..แห่งยักษา
คำเตือน : เนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่
นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหาที่ละเอียดอ่อนและอาจกระทบกระเทือนจิตใจผู้อ่านบางท่าน ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรได้รับคำแนะนำและอยู่ในการควบคุมดูแลจากผู้ปกครองอย่างใกล้ชิด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน และแยกแยะว่านี่คือเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
ภายในห้องทำงานอันโอ่อ่าของท่านนายกเทศมนตรีวังลับแล ซึ่งได้มาด้วยทรัพย์สินที่มิอาจเปิดเผยได้ ชายร่างท้วมในชุดคลุมนอนผ้าไหมสีม่วงต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงสัญญาณการเชื่อมต่อจากนายทุนใหญ่แห่งต้าเซี่ยดังขึ้น เขารีบออกปากไล่หญิงสาวรุ่นลูกสองคนที่คอยปรนนิบัติอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเปิดหน้าจอโฮโลแกรมด้วยสีหน้าเปี่ยมด้วยความนอบน้อมที่แฝงไว้ด้วยความยำเกรง
"สวัสดีครับคุณเดวิด มีอะไรให้ผมรับใช้หรือเปล่าครับ" แสนสินธุ์ยืนกุมมือแน่นต่อหน้าหนุ่มใหญ่ผู้มีใบหน้าอ่อนกว่าวัย เดวิด ชาน ในชุดคลุมนอนขนสัตว์สีขาว นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาหนังสีเข้ม โดยมีหญิงสาวในชุดกี่เพ้าที่งดงามราวกับดารายืนนวดไหล่อยู่ด้านหลัง
"เรื่องโรงงาน ไปถึงไหนแล้ว" เสียงทุ้มลึกที่ทรงอำนาจดังขึ้นจนทำให้แสนสินธุ์รู้สึกใจสั่น
"ปัญหาทุกอย่างเคลียร์เรียบร้อยแล้วครับ ทนายตุลย์ขวางเราไม่ได้อีกแล้ว การก่อสร้างจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่วันครับ" ชายร่างท้วมรายงานด้วยน้ำเสียงมั่นใจ พร้อมรอยยิ้มที่ดูเกร็งๆ บนใบหน้า
"ทำงานได้ดี" เดวิด เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง "ผมหวังว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด" เขาพูดพลางยกแก้วไวน์ขึ้นจิบอย่างเชื่องช้า
"แน่นอนครับคุณเดวิด" แสนสินธุ์ตอบรับ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้มและสีหน้ากังวลเล็กน้อย "ว่าแต่...เรื่องค่าใช้จ่าย..."
"ไม่ใช่ปัญหา" มหาเศรษฐีหนุ่มตอบหน้านิ่ง "เดี๋ยวคนของผมจะติดต่อคุณอีกทีวันพรุ่งนี้"
สัญญาณถูกตัดไปในทันที ทิ้งให้แสนสินธุ์ยืนนิ่งอยู่กับความรู้สึกโล่งอกอย่างที่สุด จากนั้นเสียงเคาะประตูเป็นรหัสลับก็ดังขึ้น พร้อมกับเงาร่างของมือขวาคนสนิทที่เดินเข้ามาหลังจากได้รับอนุญาตแล้ว
"นายครับ เมื่อครู่คนของเราบอกมาว่า..เจ๊เจียงไปที่สลัมเพื่อตรวจเช็คสินค้าล็อตใหม่ครับ" โชคเอ่ยรายงานด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
"หืม! แปลกว่ะ ทำไมวันนี้เจียงถึงได้ไปด้วยตัวเอง" แสนสินธุ์ยกมือขึ้นลูบคางด้วยความแปลกใจ " เห็นปกติแค่ตรวจสอบทางวีดีโอคอลก็พอแล้ว หรือมีอะไรพิเศษ?"
แสงสีส้มหมองหม่นจากโคมไฟริมคลองกระทบผิวน้ำอันมืดมิดจนเกิดเป็นเงาสะท้อนทอดยาว เสียงเพลงแจ๊สดังแผ่วมาจากบาร์เถื่อนใต้สะพานที่ถูกอำพรางไว้ด้วยตู้คอนเทนเนอร์นับสิบตู้ ซึ่งถูกดัดแปลงไว้สำหรับพักหลับนอน คละเคล้ากับเสียงหัวเราะแหลมสูงของสาวน้อยสาวใหญ่ ที่แต่งตัววาบหวิวรอลูกค้า ทั้งหมดนี้คือภาพคุ้นตาของสลัมริมคลองแห่งนี้ในยามค่ำคืน
เสียงเครื่องยนต์เบาๆ จากรถหรูแล่นมาจอดที่ริมถนนดินขรุขระจนเกิดฝุ่นฟุ้งกระจายขึ้นเล็กน้อย ทันทีที่ล้อหยุดนิ่งสนิท คนขับรถร่างกำยำก็รีบลงมาเปิดประตูด้านหลัง เผยให้เห็นเงาร่างของหญิงวัยกลางคนร่างท้วมในชุดไหมจีนสีแดงฉูดฉาด
เครื่องประดับทองอร่ามตามตัวราวกับจะประกาศถึงฐานะอันสูงส่งเหนือผู้ใด หล่อนก้าวลงมาพร้อมลูกน้องร่างกำยำอีกสองคนที่สวมเสื้อสูทสีดำสนิทบ่งบอกถึงความเป็นมืออาชีพ
"เจ๊เจียงมาเอง?" เสียงกระซิบดังระงมไปทั่วบริเวณ เด็กสาวนับสิบชีวิตพากันรีบวิ่งมาเข้าแถวทันที แม้จะมีบางคนที่สีหน้าดูไม่ค่อยเต็มใจนักแต่ก็ต้องรีบเก็บอาการเพื่อไม่ให้ถูกทำทารุณกรรม
ห่างออกไปไม่ไกล บนดาดฟ้าตึกร้างที่สภาพดูทรุดโทรมจากพิษเศรษฐกิจ เงาร่างดำทะมึนทั้งสี่ยืนมองลงมาด้วยสายตาเย็นเยียบ
"นั่นใช่เป้าหมายของพวกเราคืนนี้มั้ยดาร์ลิ่งก์" เสียงหวานแหลมของตานีดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก ใบหน้างดงามเหนือธรรมชาติของเธอส่องประกายจากแสงจันทร์เสี้ยว ชุดไทยประยุกต์เขียวตองสะท้อนแสงวิบวับตัดกับท่าทางขี้เล่นเกินกุลสตรี
ใช่แล้วๆ นั่นแหละเจ๊เจียง" กุมารน้อยในชุดโจงกระเบนสีม่วงหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมาแนบชิดดวงตาคู่กลม ก่อนจะหันมาพยักหน้าหงึกๆ
"งั้นก็..เตรียมพรอมรับความบันเทิงได้เลยเด็กๆ" ตานียกมือขึ้นกรีดกรายไปทางโกดังร้างฝั่งตรงข้าม พร้อมกับดีดนิ้วเสียงดังเป๊าะ! พลันมิติรอบบริเวณอาคารเก่าก็เกิดบิดเบี้ยวเหมือนภาพสะท้อนในน้ำที่ถูกรบกวน ราวกับกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
" เดี๋ยวหนูอยู่ตรงนี้คอยดูลาดเลาให้แล้วกันนะจ๊ะพี่ชาย" ดอนยกมือขึ้นพร้อมมอบหมายหน้าที่สำคัญที่สุดให้ตัวเอง
"Great, baby, It's show time โทนี่พูดพลางปรับสายกีต้าร์ไฟฟ้าสีแดงฉาน หน้ากากสีฉูดฉาดและชุดสูทสีเหลืองฟ้าที่เปลี่ยนสีได้รายชั่วโมงทำให้เขาดูโดดเด่นแม้จะอยู่ในความมืด
"Are you ready?"
"ไปกันได้แล้ว" เสื้อโค้ทยาวสีดำสะบัดพริ้วสัมผัสได้ถึงพลังงานอำมหิตจางๆ ที่แผ่ออกมา สายตาเฉียมคมจับจ้องเป้าหมายด้วยสีหน้าเรียบนิ่งภายใต้คมเขี้ยวอสุราอันน่าสะพรึง
"เจ๊เจียง แกคือใบเบิกทางแรก"
ม่านหมอกบางๆ เริ่มก่อตัวเหนือผิวน้ำในคลอง จนเริ่มบดบังทัศนวิสัยฝั่งตรงข้าม หญิงกลางคนผู้สูงส่งค่อยๆ เยื้องย่าง เข้าหากลุ่มเด็กสาวที่ยืนเรียงแถวหน้ากระดานรออยู่
"เด็กใหม่ล็อตนี้ถึงจะมีน้อย แต่หน้าตาใช้ได้" เจ๊เจียงพูดพลางสำรวจเด็กสาวหลายคนที่ยืนตัวสั่น "แกอายุเท่าไร?"
"สิบ...สิบห้าค่ะ" เด็กสาวร่างบางตอบเสียงสั่น
เจ๊เจียงยิ้มอย่างพึงพอใจ "ดี ลูกค้าญี่ปุ่นชอบแบบนี้" เธอหันไปสั่งลูกน้องที่ยืนอยู่ด้านหลัง "เอาทั้งสามคนนี่ไปที่บ้านเช่า เตรียมถ่ายคลิป"
ทันใดนั้น หมอกเริ่มไหลเข้ามาหนาขึ้นอย่างผิดธรรมชาติ พร้อมเสียงเพลงแปลกหูดังมาจากโกดังร้างฝั่งตรงข้าม แสงไฟหลากสีกะพริบวูบวาบราวกับมีงานรื่นเริง
"นั่นมันอะไร?" ชายชุดดำหนึ่งในลูกน้องของเจ๊เจียง อุทานด้วยความแปลกใจ
"ไม่เคยเห็นที่นี่มีงานเลยนี่ มีคนมาตั้งกิจการแข่งกับฉันงั้นเรอะ? " เจ๊เจียงขมวดคิ้วด้วยความไม่สบอารมณ์ พร้อมกับพยักเพยิดสั่งลูกน้อง "พวกแกสองคนไปดูซิ"
ชายฉกรรจ์ทั้งสองเดินข้ามสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างคลอง มุ่งตรงไปยังโกดังร้าง ที่อยู่ห่างออกไปประมาณห้าสิบเมตร ทันทีที่เดินมาถึงภาพที่ได้เห็นนั้น ทำให้พวกเขาถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตื่นตาตื่นใจ
หญิงสาวกว่าสิบชีวิตที่สวยงามราวกับนางฟ้ากำลังเต้นรำอยู่ในแสงไฟสลัวในชุดวาบหวิว ด้วยท่วงท่าอันยั่วยวน จนทำให้พวกเขายืนมองนิ่งราวกับต้องมนต์สะกด
"เจ๊ๆ! ต้องรีบมาดู!" หนึ่งในลูกน้องที่ตั้งสติได้ก่อนรีบตะโกนข้ามฝั่งมา ทำให้เจ๊เจียงต้องประคองร่างอวบใหญ่เดินตามเสียงอึกทึกด้วยความสงสัยใคร่รู้ พร้อมกับชายฉกรรจ์ที่เหลืออยู่อีกหนึ่งคน
"มันอะไรกันนักกันหนา!"
ทันทีที่เจ๊เจียงเดินมาถึง สีหน้าของเธอก็ตกตะลึงพรึงเพริดไม่แพ้กันกับลูกน้อง เพียงแต่ว่าภาพที่เธอมองเห็นนั้นกลับไม่ใช่กลุ่มหญิงสาวพราวสเน่ห์ แต่เป็นเหล่าชายหนุ่มรูปงามกล้ามใหญ่ที่ส่งสายตาเชิญชวนเพื่อต้องการปรนนิบัติพัดวี
ทั้งสี่เหมือนถูกภาพมายาที่ใจตนปรารถนาดึงดูดให้ค่อยๆ ย่างก้าวเข้าไปในโกดังร้าง จากนั้นประตูเหล็กเก่าที่เต็มไปด้วยคราบสนิมก็ค่อยๆ ปิดลงอย่างช้าๆ แสงไฟวิจิตรตระการตาเมื่อครู่ดับวูบลงในทันใด เหลือเพียงแสงสีนวลอ่อนๆ จากจันทร์เสี้ยวที่ส่องทะลุมาจากด้านบนเพดานที่แตกเป็นรูพรุน
ภาพและเสียงอันยั่วยวนกิเลสตัณหาก่อนหน้าก็พลันหายวับไป ราวกับไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้น เหลือไว้แค่เพียงความว่างเปล่ากับความมืดมิดที่ปกคลุมทั่วบริเวณ
"อะไรวะเนี่ย!?" ลูกน้องคนหนึ่งตะโกนเสียงสั่นพลางก้าวถอยหลังอย่างตื่นตระหนก
"นี่มันต้องเป็นกับดักแน่ๆ!" เจ๊เจียงตวาดลั่น พยายามผลักประตูเหล็กที่ปิดสนิท แต่ไม่ว่าออกแรงเท่าไหร่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปิดออกเหมือนกับมันถูกล็อคจากด้านนอก
"ฝีมือใครยะ! เปิดประตูเดี๋ยวนี้!" หญิงกลางคนร่างอวบพยายาม กระแทกกระทั้นเพื่อเปิดประตูเหล็กอย่างบ้าคลั่ง ส่วนลูกน้องทั้งสามที่เห็นว่าทำอย่างไรก็ไม่สามารถเปิดประตูได้ พวกเขาจึงหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาเพื่อจะขอกำลังเสริม
ทันใดนั้น เสียงกีตาร์ไฟฟ้าก็แผดก้องสนั่นราวกับจะฉีกแก้วหูทะลุทะลวงเข้าใส่ชายฉกรรจ์ทั้งสาม จนทรุดฮวบลง สองมือกุมศีรษะ พร้อมกับกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมาน
แต่ที่น่าประหลาดคือเสียงนั้นกลับไม่มีผลกระทบกับเจ๊เจียงที่กำลังตื่นตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้น ราวกับว่า..เสียงดนตรีพิฆาตสามารถกำหนดเป้าหมายได้
"Hey เป็นไงกันบ้าง everyone นี่คือเพลงใหม่ของไอ!" เสียงที่ไม่มีใครได้ยินของโทนี่ดังมาจากเงามืด พร้อมกับเสียงลีดกีตาร์ที่กระหน่ำหนักหน่วงขึ้นทุกขณะ "นี่เพิ่งแค่ท่อนเวิร์สนะ! Yeah!"
เจ๊เจียงรีบร้อนคว้าโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋าเพื่อขอความช่วยเหลือ ทว่ากลับถูกมือเรียวงามที่มองไม่เห็นฉกฉวยไปต่อหน้าต่อตา
"ขอโทษนะจ๊ะคุณนาย ที่นี่ห้ามใช้โทรศัพท์ค่ะ" ตานีปรากฏกายพร้อมรอยยิ้มหวานละไม ก่อนจะบดขยี้โทรศัพท์ในมือจนแหลกละเอียดด้วยพลังเหนือธรรมชาติ
"ว๊าย! เกิดอะไรขึ้น!? ทำไมโทรศัพท์ของฉันถึงอยู่ในสภาพนี้!?" เจ๊เจียงอุทานอย่างตื่นตระหนก แม้ว่าวิญญาณสาวจะยืนอยู่ตรงหน้าแต่เธอกลับมองไม่เห็น
"อ๊ะ ๆ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิจ๊ะ เดี๋ยวเครื่องสำอางค์หนาเตอะจะแตกเป็นลายงานะ!" ตานียิ้มเยาะอย่างเสียดสี
เจ๊เจียงถอยหลังกรูดด้วยความสั่นสะท้าน เพราะสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างอันน่าสะพรึงกลัว เธอหันมามองเหล่าชายฉกรรจ์ทั้งสามที่นอนหมดสติในสภาพน้ำลายฟูมปากอย่างน่าสมเพช อย่างไม่ทราบสาเหตุ
"มึงเป็นใคร!? ต้องการอะไร!?" เจ๊เจียงตวาดลั่น หันมองไปรอบๆ อย่างคนเสียสติ "มึงรู้มั๊ยว่ากูเป็นใคร!"
"รู้สิ รู้ดีเสียด้วย ว่าแกทำอะไรมาบ้าง เจ๊เจียง" เสียงทุ้มต่ำดังก้องทุกทิศทาง พลันร่างสูงสง่าในชุดโค้ทยาวสีดำก็ก้าวออกมาจากเงามืด ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องลอดรูผุพังเข้ามา พอให้มองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ลางๆ
ผิวครึ่งหนึ่งที่ขาวซีดราวกับศพ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งออกเขียวครึ้มเหมือนดั่งผิวของปีศาจ สองเขี้ยวสีขาววาววับสะท้อนกับแสงจันทร์ ผมสีแดงเข้มพลิ้วไหวราวกับเปลวเพลิง ดวงตาสีแดงก่ำเรืองรองจับจ้องไปที่ร่างหญิงกลางคน ที่ตอนนี้สีหน้าซีดเผือดลงเพราะความหวาดกลัว
"มึง! เป็นตัวบ้าอะไร!? ทำเรื่องแบบนี้แล้วคิดว่าจะรอดไปได้หรือไง!? อย่าเข้ามานะ!!" เจ๊เจียงหวีดร้องเสียงหลง
"ข้าคือผู้ที่จะมาพิพากษาคนบาปอย่างแกไงล่ะ" ตุลย์เอ่ยเสียงเย็นเยียบ แขนขวาสีเขียวหม่นปรากฏวงแสงสีแดงบนฝ่ามือราวกับดวงไฟที่ลุกไหม้แต่ไร้ไออุ่น ซึ่งกำลังขยายตัวอย่างช้าๆ
"แกทำให้เด็กสาวหลายชีวิตต้องสูญสิ้นอนาคต บ้างถูกทำร้ายร่างกายสาหัส บางคนถึงกับจบชีวิตตนเอง เพียงเพื่อเงินที่แกนำไปปรนเปรอความสุขส่วนตัว!" ตุลย์ตวาดเสียงก้อง
"ฉัน... ฉันแค่ทำธุรกิจ!" เจ๊เจียงพยายามแก้ต่างอย่างร้อนรน "พวกมันเต็มใจ! เต็มใจทั้งนั้น!"
ตุลย์หรี่ดวงตาลง จ้องมองหญิงวัยกลางคนอย่างเย็นชา "เต็มใจ? เด็กอายุสิบสี่สิบห้า ที่แกบังคับขู่เข็ญ แล้วบีบบังคับให้ขายต้วขายศักดิ์ศรี ถ่ายคลิปลามกอนาจารเพื่อปรนเปรอเศรษฐีต่างชาติ?"
ตุลย์ก้าวเข้าไปใกล้ร่างที่สั่นเทาขึ้นทีละก้าว แสงสีแดงในดวงตาวาวโรจน์ดูน่าสะพรึง
"แล้วคนที่พยายามหลบหนีล่ะ? ที่แกสั่งให้ลงโทษจนเสียโฉม เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง มันคือการกระทำกับมนุษย์ด้วยกันอย่างนั้นหรือ?"
"แกรู้จักคำว่านรกบนดินไหม? เด็กเหล่านั้น... เด็กที่แกทำลายชีวิต... พวกเขาไม่มีวันหวนกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว" น้ำเสียงของตุลย์เริ่มแปร่งพร่า ราวกับมีเสียงกระซิบอื่นแทรกซ้อนเข้ามา
"ได้... ได้โปรด! ฉันจะให้เงิน! แกต้องการเท่าไหร่?!" เจ๊เจียงทรุดกายลงคุกเข่า อ้อนวอนอย่างน่าเวทนา "ฉันจะเลิกทำ! เลิกทำทุกอย่าง!"
"มันสายเกินไปแล้ว" ตุลย์กล่าวเสียงเหี้ยม มือขวาของเขาที่บัดนี้ห่อหุ้มด้วยลำแสงสีแดงเพลิงดั่งกรงเล็บอสูร พุ่งเข้าคว้าใบหน้าของเจ๊เจียงอย่างรวดเร็ว
"เวลาแห่งการพิพากษามาถึงแล้ว"
"กรี๊ดดดดด!" เจ๊เจียงหวีดร้องสุดเสียง ทว่ากลับไม่มีใครได้ยินราวกับอยู่ในมิติที่ซ่อนเร้น แสงสีแดงฉานจากมือของตุลย์ส่องสว่างวาบ ฉุดรั้งดวงจิตอันบาปหนาเข้าสู่แดนลงทันที่ถูกสรรสร้างขึ้นจากอำนาจของใครบางคน
" จงไปรับผลกรรมที่ก่อเอาไว้เถิด"
ร่างของเจ๊เจียงกระตุกเฮือก ก่อนจะทรุดฮวบลงแน่นิ่ง แม้ว่าจะยังไม่ถึงแก่ความตาย แต่ก็เหลือเพียงลมหายใจที่รวยริน
ตานีเดินเข้ามาดูใกล้ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นการใช้พลังพิพากษา วิญญาณสาวเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ"เรียบร้อยแล้วใช่ไหมคะ ดาร์ลิ้ง... แล้วพวกที่เหลือล่ะ?"
ตุลย์มิได้ตอบคำถาม แต่ก้าวไปยังร่างของชายฉกรรจ์ทั้งสามที่นอนสลบไสลอยู่ เขายืนนิ่งกวาดมองไล่ไปทีละคนอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเหยียดมืออสูรออกดึงดวงจิตของพวกมันลงสู่ห้วงนรก เช่นเดียวกับเจ๊เจียง
"พวกมันก็ก่อกรรมทำเข็ญกับเด็กสาวมาไม่น้อย... สมควรต้องชดใช้ แต่อาจจะสำนึกตัวได้เร็วกว่าเจ้านายของมัน" ตุลย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
โทนี่เดินเข้ามาเคียงข้าง พลางดีดกีตาร์ในมือเบา ๆ "Yeah! เหล่าคนชั่วถูกจัดการแล้ว Mission Complete!"
ตุลย์กวาดสายตามองทรชนทั้งสี่อีกครั้ง ก่อนที่จะก้มลงมาจับจ้องมือขวาอันน่าสะพรึงด้วยดวงตาที่เปล่งประกายเย็นยะเยือก
"นี่คือของขวัญชิ้นแรกของแก แสนสินธุ์"
ณ สถานที่แห่งหนึ่งที่ความมืดมิดปกคลุมไปทั่ว เจ๊เจียงลืมตาขึ้นและพบว่าตนเองอยู่ในสถานที่แปลกประหลาดในสภาพเปลือยเปล่า แผ่นพื้นที่ร้อนผิดปกติจนแทบลวกผิวหนัง อากาศโดยรอบหนาแน่นไปด้วยกลิ่นเหม็นสาบและกลิ่นเนื้อไหม้
"ที่... ที่นี่ที่ไหน? ทำไมฉันถึงอยู่ในสภาพนี้" เธอพูดเสียงสั่น
"ยินดีต้อนรับสู่ห้วงนรกรังสรรค์" เสียงหยาบกระด้างดังก้องกังวาลมาจากด้านหลัง
เจ๊เจียงหันขวับไปมองด้วยความตื่นตกใจ ภาพที่เห็นคือชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ในชุดโจงกระเบนสีแดงสด ที่ยืนตระหง่านราวกับเสาหินยักษ์ ใบหน้าเข้มขลังดุดันประดับด้วยหนวดเคราครึ้มและดวงตาสีแดงดังถ่านเพลิง
"ข้าคือนายนิรยบาลแห่งขุมนี้" เขาพูดพร้อมกับยิ้มอย่างเย็นชา "เจ้าจะได้รับประสบการณ์ทุกอย่างที่เจ้าเคยมอบให้ผู้อื่น"
จู่ๆ เจ๊เจียงก็รู้สึกถึงพันธนาการหนักอึ้งที่ข้อมือและข้อเท้าจากโซ่เหล็กขนาดใหญ่ที่ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า
"ไม่! ไม่นะ!" เธอพยายามดิ้นรน แต่ยิ่งดิ้นโซ่ก็ยิ่งรัดแน่นขึ้น
"ยินดีด้วย" นายนิรยบาลประกาศก้อง "เจ้าคือคนแรกในรอบหลายพันปี ที่จะได้อยู่เสวยผลกรรมที่ก่อไว้ แม้อยากตายก็ตายไม่ได้ จนกว่าดวงจิตของเจ้าจะสำนึกผิดอย่างแท้จริง"
ทันทีที่นายนิรยบาลกล่าวจบลง พื้นใต้ฝ่าเท้าของเจ๊เจียงก็พลันร้อนระอุราวกับถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิงขนาดมหึมา ก่อนจะปรากฏภาพบ่อลาวาอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เดือดพล่านไปด้วยแม๊กมาสีแดงฉานที่กำลังหลอมละลาย ฟองอากาศขนาดใหญ่ปะทุขึ้นเป็นระยะ ๆ พร้อมกับเปลวไฟสีส้มจัดที่ลุกโชนส่องสว่างทำลายความมืดมิด
และในชั่วพริบตา ราวกับมีมือยักษ์ที่มองไม่เห็นคว้าจับร่างของเจ๊เจียงเหวี่ยงกระแทกลงสู่บ่อลาวาอย่างรุนแรง ทันใดนั้นผิวหนังของเธอก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด
"กรี๊ดดดดดดดดด!" เสียงกรีดร้องโหยหวนของเจ๊เจียงดังสะท้านก้องไปทั่วทั้งแดนลงทัณฑ์ ราวกับเสียงของวิญญาณที่กำลังแตกสลาย เพียงไม่กี่อึดใจร่างนั้นก็จมดิงลงไปในทะเลลาวา และก็กลับฟื้นคืนมาบนแท่นหินร้อนระอุที่เคยยืนอยู่ในตอนแรก ก่อนจะถูกจับเหวี่ยงลงไปในบ่อลาวาอีกครั้งอย่างทารุณ
"นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น" นายนิรยบาลเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ดวงตาคมกริบจับจ้องไปยังร่างที่กำลังจมลงในบ่อลาวาอีกครั้ง ก่อนจะละสายตาหันไปยังชายฉกรรจ์สามคนที่เพิ่งถูกนำตัวมาใหม่ ด้วยสีหน้าที่ไร้ซึ่งความรู้สึกใด
□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□