ห้วงนรกรังสรรค์ ระบบลงทัณฑ์ที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อพิพากษาเหล่าคนใจบาปหยาบช้า ให้พวกมันมีโอกาสได้สำนึกตนคืนกลับมาด้วยใจที่บริสุทธิ์ คือการหยุดยั้งมิใช่ทำลาย ด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่..แห่งยักษา
แอคชั่น,แฟนตาซี,ลึกลับ,เกิดใหม่,สะท้อนปัญหาสังคม,นรก,วิญญาณ,ผี,แอคชั่น,อสูร,ยักษ์,พล็อตสร้างกระแส,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ยักษาตุลาการห้วงนรกรังสรรค์ ระบบลงทัณฑ์ที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อพิพากษาเหล่าคนใจบาปหยาบช้า ให้พวกมันมีโอกาสได้สำนึกตนคืนกลับมาด้วยใจที่บริสุทธิ์ คือการหยุดยั้งมิใช่ทำลาย ด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่..แห่งยักษา
คำเตือน : เนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่
นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหาที่ละเอียดอ่อนและอาจกระทบกระเทือนจิตใจผู้อ่านบางท่าน ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรได้รับคำแนะนำและอยู่ในการควบคุมดูแลจากผู้ปกครองอย่างใกล้ชิด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน และแยกแยะว่านี่คือเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
ตุลย์รู้สึกตัวอีกครั้งใน ที่ที่ไม่เหมือนที่ไหน มันไม่ใช่ความมืดสนิท ไม่ใช่ความสว่างจ้า แต่เป็นห้วงอวกาศสีครามเข้มที่มีแสงระยิบระยับคล้ายดวงดาวล้อมรอบ เขายืนอยู่บนพื้นผิวที่เรียบลื่นราวกับผืนน้ำอันนิ่งสนิท เมื่อก้มมอง ก็พบว่าเงาสะท้อนของตนเองนั้นพร่าเลือนไร้สีสัน ราวกับไม่ใช่ร่างจริง
ความตื่นตระหนกแล่นเข้าสู่ทุกอณูประสาท ความคิดสุดท้ายคือความเจ็บปวดจากการถูกวางยาพิษ และภาพใบหน้าที่เต็มไปด้วยการทรยศหักหลังของแม่บ้านคนสนิท
"ตุลย์ พิทักษ์ธรรม ข้ารอเจ้าอยู่" เสียงทุ้มลึกดังกึกก้องมาจากทุกทิศทาง มันไม่ใช่แค่เสียง แต่เป็นคลื่นพลังที่สั่นสะเทือนในหัวของเขา
"ใคร? ที่นี่ที่ไหน? ฉัน... ฉันตายแล้วหรือ?" ชายหนุ่มหันรีหันขวางด้วยความตื่นตระหนก ดวงตาพยายามกวาดหามองหาแหล่งที่มาของเสียงในความว่างเปล่าที่ไร้ขอบเขต
"เป็นการดับสูญที่แตกต่างออกไป" เสียงทุ้มลึกกังวานดังก้อง ก่อนที่เงาร่างสูงตระหง่านราวสองเมตรของบุรุษปริศนาจะปรากฏตรงหน้าแขกผู้มาเยือน การปรากฏตัวนั้นไม่ใช่การก้าวเดิน แต่เป็นการก่อรูปของมวลพลังงาน
ผิวกายของเขาสีเขียวดั่งหยกเนื้อดี ใบหน้าหล่อเข้มราวเทพบุตร บริเวณคิ้วและริมฝีปากปรากฏลวดลายโบราณสีทองอร่าม ผมหยิกสั้นเกรียน สวมใส่เครื่องทรงโบราณอันวิจิตรบรรจง ท่วงท่าสง่างามน่าเกรงขาม
"ข้าคือกุมภกรรณ" บุรุษร่างใหญ่แนะนำตัว "อดีตอุปราชแห่งกรุงลงกา อนุชาแห่งของทศกัณฐ์ ในยุคที่มนุษย์เรียกวรรณคดีว่ารามเกียรติ์"
"ไม่... เป็นไปไม่ได้... นั่นมันเป็นแค่เรื่องที่แต่งขึ้นเท่านั้น" ตุลย์ยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง ความคิดของทนายความผู้ยึดมั่นในเหตุผลกำลังถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงด้วยการปรากฏตัวของอสูรในตำนานตรงหน้า
กุมภกรรณยิ้มเยือกเย็น "สำหรับยุคของเจ้ามันคือเรื่องเล่าที่แต่งขึ้น แต่สำหรับข้า มันคือชีวิตที่เคยมี" เขาก้าวเข้าใกล้ชายหนุ่มช้าๆ พื้นผิวครามใต้ฝ่าเท้าของเขาเกิดระลอกคลื่นพลังงานสีทองแผ่ออกมาอย่างน่าเกรงขาม
"เจ้าถูกสังหารโดยผู้ที่เจ้ากำลังต่อสู้ด้วย! ถูกลอบทำร้ายอย่างอำมหิตและถูกหักหลังโดยคนที่ไว้ใจ"
คำกล่าวของกุมภกรรณราวกับเพลิงที่โหมกระหน่ำในอกของทนายหนุ่ม ภาพใบหน้าของแสนสินธุ์ และความเจ็บปวดจากการถูกวางยาแล่นกลับมาในความทรงจำ ทำให้เขาหลุดจากความตื่นตระหนกแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นที่ควบคุมแทบไม่ได้
"ไอ้แสนสินธุ์... มันเป็นคนบงการ!"
"ใช่" กุมภกรรณพยักหน้า สีหน้าของพญายักษ์ฉายแววเข้าใจอย่างลึกซึ้ง "แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ข้าเรียกวิญญาณเจ้ามา ข้าได้จับตาดูเจ้ามานานแล้ว เจ้าต่อสู้เพื่อความยุติธรรม เพื่อผู้คนที่อ่อนแอกว่า เพื่อแผ่นดินที่เจ้ารัก... เหมือนกับข้าในอดีตกาลที่ต้องเลือกระหว่างความถูกต้องกับความจงรักภักดี"
บุรุษร่างใหญ่เดินวนรอบชายหนุ่มพร้อมกับรำลึกความหลังที่ผ่านมาเนิ่นนาน
"ข้าเคยเป็นยักษ์ที่รักความยุติธรรม แม้จะต้องขัดคำสั่งพี่ชายผู้เป็นราชา ข้าเคยเตือนทศกัณฐ์ให้คืนนางสีดาแก่พระราม เพราะการลักพาตัวนางมานั้นมันผิดศีลธรรมอย่างมหันต์...
แต่ท้ายที่สุด ความจงรักภักดีต่อแผ่นดินและพี่ชาย ทำให้ข้าต้องออกรบเพื่อปกป้องกรุงลงกา แม้จะรู้ว่านั่นเป็นฝ่ายผิด... นั่นคือภาระและพันธะสัญญาที่ข้าต้องแบกรับจนตัวตาย"
"พวกมันวางแผนฆ่าผม..." ทนายหนุ่มพูดเสียงเครือ "และตอนนี้หลักฐานทั้งหมดก็ถูกทำลาย ไม่มีใครหยุดพวกมันได้แล้ว... ความยุติธรรมที่ผมเคยเชื่อกำลังจะตายไปพร้อมกับตัวผม"
พญายักษ์ยิ้มอย่างมีเลศนัย "ยังไม่สายหรอกเจ้าหนุ่ม ข้าสามารถช่วยให้เจ้าฟื้นกลับคืนได้ นี่คือโอกาสที่เจ้าจะสามารถทำในสิ่งที่ข้าไม่สามารถทำได้ในชีวิต... คือการนำความถูกต้องกลับคืนมาอย่างแท้จริง"
"จริงเหรอครับท่าน!" ตุลย์ถามกลับด้วยความตื่นเต้นดีใจ ความหวังจุดประกายขึ้นอีกครั้งในห้วงลึกของจิตวิญญาณ
"ยักษ์เทพเช่นข้าพูดได้ย่อมทำได้ และข้ายังมีของที่จะมอบให้เจ้าด้วย... บางสิ่งที่สืบทอดมาจากอดีตกาลเพื่อรอคอยผู้ที่คู่ควร"
"อะไรเหรอครับ"
"พลังแห่งการพิพากษา" กุมภกรรณตอบ "มันคือพลังที่ทำให้เจ้าเห็น บาป และ กรรม ของผู้อื่นที่สะสมไว้ในดวงจิต และพลังที่จะทำให้เจ้าสามารถลงทัณฑ์พวกคนชั่วได้อย่างสาสม โดยไม่ต้องให้กฎหมายที่มีช่องโหว่มาขวางกั้น"
แววตาของตุลย์เป็นประกายวูบหนึ่ง พร้อมกับความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย คล้ายกับว่าเป็นความตื่นเต้นระคนกับความหวาดหวั่นในคราวเดียวกัน ความมืด ในใจของทนายผู้ท้อแท้เริ่มถูกปลุกขึ้น
กุมภกรรณเหมือนจะล่วงรู้ถึงความรู้สึกภายในใจของชายหนุ่ม "เมื่อหลายพันปีก่อน ข้าได้ให้คำสัตย์สาบานกับท่านผู้นั้นว่าจะคอยปกป้องดินแดนแห่งนี้ แม้ร่างกายจะดับสูญไปแล้ว แต่จิตวิญญาณก็ยังคงอยู่เพื่อรักษา สมดุลแห่งธรรมะ ในผืนแผ่นดินนี้"
"และคราใดที่ข้าพบผู้ที่มีหัวใจกล้าหาญ ซื่อสัตย์ และพร้อมเสียสละเพื่อส่วนรวม ข้าจะมอบพลังให้เขา เพื่อเป็นตัวแทนของข้าในการรักษาสมดุลนั้น"
"ข้อแลกเปลี่ยนคืออะไรหรือครับ?" ตุลย์ถามด้วยสีหน้าจริงจัง เพราะเขารู้สึกได้ว่านี่คือสิ่งที่เขาต้องการมาตลอดเพื่อเยียวยาสังคมอยุติธรรมนี้
"เจ้าต้องให้คำมั่นว่าจะใช้พลังนี้เพื่อปกป้องช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์และพิพากษาผู้กระทำกรรมชั่วอย่างสาสม ตามครรลองแห่งความยุติธรรมที่เจ้าเชื่อ" กุมภกรรณตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "มันคือภาระที่ยิ่งใหญ่ เจ้าพร้อมหรือไม่?"
"ผมสัญญา" ตุลย์ตอบรับทันทีโดยไม่ลังเล เขารู้สึกแล้วว่านี่อาจเป็นชะตากรรมครั้งใหม่ของเขา
กุมภกรรณคลี่ยิ้มพรอมกับใช้นิ้วชี้แตะลงบนหน้าผากของชายหนุ่มอย่างแผ่วเบา พลังงานเย็นเยียบราวกับน้ำแข็งจากขั้วโลกพุ่งเข้าสู่ร่าง ในขณะเดียวกัน ก็ตามมาด้วยความร้อนรุ่มที่โหมกระหน่ำจากภายใน
"ขอพลังแห่งยักษา จงสถิตในจิตวิญญาณของชายผู้นี้ 'ตุลย์ พิทักษ์ธรรม' ให้เจ้าได้ลุกขึ้นจากห้วงเหวลึกแห่งความตาย เพื่อนำความยุติธรรมกลับคืนสู่ผืนแผ่นดินนี้!"
ทันใดนั้น ตุลย์สัมผัสได้ถึงกระแสพลังอันมหาศาลที่ไหลทะลักเข้าสู่ร่าง ราวกับสายน้ำเชี่ยวที่โถมซัด ความร้อนแผ่ซ่านจากจุดที่ถูกสัมผัส ลามไปทั่วทุกอณูของร่างกาย เขารู้สึกเหมือนถูกหลอมรวมกับเปลวไฟแห่งการพิพากษา โลกรอบข้างเริ่มสั่นสะเทือน ราวกับแผ่นดินกำลังจะแยกออกจากกัน
"จงกลับไปเถิด เจ้าหนุ่ม" เสียงก้องกังวานของกุมภกรรณดังก้องอยู่ในห้วงความคิด "จงใช้พลังที่ข้ามอบให้เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้... เพื่อคืนความยุติธรรมและความดีงามให้กลับมา สมดั่งเจตนาของท่านผู้นั้นเถิด"
พลันภาพรอบๆ ตัวชายหนุ่มก็เริ่มบิดเบี้ยว หมุนวนเป็นเกลียวคลื่น ตุลย์รู้สึกถึงแรงดึงดูดมหาศาล ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นฉุดกระชากเขากลับไปยังร่างที่ไร้ชีวิต ซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นสำนักงานอันคุ้นเคย
"และจำไว้" เสียงสุดท้ายของกุมภกรรณดังแว่วมาในโสตประสาท "พลังแห่งการพิพากษาย่อมมาพร้อมกับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่... จงอย่าหลงทางไปกับความมืดในใจของตนเอง"
ห้องทำงานของทนายหนุ่มถูกปกคลุมในความมืดมิด เหลือเพียงแสงจากดวงจันทร์ที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาเป็นลำแสงสีเงิน ทุกอย่างเงียบสนิท ความเงียบที่น่าขนลุกเหมือนความเงียบหลังความตาย ร่างกายของตุลย์นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นไม้ปาเก้มานานกว่าหกชั่วโมง
ทันใดนั้น ร่างที่นอนนิ่งบนพื้นก็ กระตุกอย่างรุนแรง! ตุลย์สะดุ้งตื่นพร้อมเสียงคำรามต่ำในลำคอ เสียงที่ไม่ได้มาจากมนุษย์ แต่เป็นเสียงที่ดังจากก้นบึ้งของพละกำลังที่ตื่นขึ้น ความรู้สึกแปลกประหลาดแล่นปราดไปทั่วร่าง ราวกับมีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ช็อตอยู่ใต้ผิวหนัง เขาลุกพรวดขึ้นนั่ง หายใจหอบเหมือนคนที่เพิ่งวิ่งหนีความตายมาอย่างสุดชีวิต
"อึก!" เขาร้องด้วยเสียงที่แหบห้าวผิดปกติ ความเจ็บปวดแล่นริ้วไปทั่วร่าง โดยเฉพาะที่แขนขวาและใบหน้าท่อนล่าง มันไม่ใช่ความเจ็บปวดจากการบาดเจ็บ แต่เป็นความเจ็บปวดจากการเปลี่ยนแปลง แขนขวาของเขาร้อนวูบวาบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับมีลาวาเดือดไหลอยู่ใต้ผิวหนัง
"อะไร... เกิดอะไรขึ้น!?" ชายหนุ่มอุทานออกมา เขารู้สึกถึงความผิดปกติที่กำลังเกิดขึ้นกับร่างกาย เมื่อก้มลงมองแขนขวา เขาก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัย สีผิวที่เคยดูปกติเริ่มคล้ำลงทีละน้อย กล้ามเนื้อแขนขวาเริ่มขยายขึ้นอย่างช้าๆ อย่างน่าประหลาดใจ จนแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวที่สวมใส่ ปริออกเป็นทางยาว และรู้สึกได้ถึงความหยาบกร้านที่เพิ่มขึ้น
ไม่กี่อึดใจแขนขวาทั้งหมดก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้มอย่างน่าหวาดหวั่น เฉกเช่นสีหยกที่เขาเคยเห็นจากกุมภกรรณ รอบบริเวณแขนท่อนล่างเริ่มมีอักขระแปลกๆ สีทองเรืองรองออกมาจางๆ ราวกับรอยสักเข้มขลังที่ถูกปลุกให้ตื่น เขาสัมผัสใบหน้าตัวเองด้วยมือซ้ายที่ยังเป็นมนุษย์ ปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงความหยาบกร้านที่ไม่คุ้นเคย บริเวณสันจมูกดูเหมือนจะใหญ่ขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากที่เคยบางเริ่มหนาขึ้นอย่างประหลาด
"ไม่! นี่มัน... อั้ก!" ตุลย์ผงะถอยหลัง ล้มลงบนโต๊ะทำงานจนโคมไฟหล่นกระแทกพื้นแตกกระจาย แต่เศษแก้วที่กระเด็นมาโดนผิวหนังกลับไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย ที่น่าอัศจรรย์คือเขากลับมองเห็นในความมืดได้อย่างชัดเจน.... ชัดเจนเกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาจะมองเห็น
ตุลย์ใช้มือซ้ายที่ดูขาวซีดเหมือนศพค้ำโต๊ะ ลุกขึ้นยืนอย่างโงนเงน และพยายามเดินไปที่กระจกบานใหญ่ในห้องน้ำอย่างทุลักทุเล
"ว๊าก!" ชายหนุ่มอุทานด้วยความตกใจสุดขีด เมื่อเห็นภาพสะท้อนของตัวเอง... ผมสีดำสนิทของเขาบัดนี้กลับกลายเป็นสีแดงเพลิงชี้ชันขึ้นราวกับเปลวไฟที่ลุกโชนหนังศีรษะ ดวงตาสีแดงก่ำที่จ้องกลับมานั้นเรืองแสงในความมืดอย่างน่าประหลาด และเมื่อมองต่ำลงมา ริมฝีปากที่เคยเป็นมนุษย์บัดนี้กลับหนาและยื่นยาวออกมา พร้อมกับเขี้ยวสีขาวแหลมคมที่โง้งขึ้นราวกับงาช้างอย่างน่าสะพรึงกลัว รอบๆ ริมฝีปากและแก้มปรากฏลวดลายสีทองสลับซับซ้อน เหมือนภาพวาดโบราณที่เคยเห็นในวรรณคดี
"นี่... นี่คือฉันงั้นเหรอ?" เขาพูดเสียงสั่นเครือ แล้วมองไปที่แขนขวาของตน ที่บัดนี้ไม่ใช่แขนของมนุษย์อีกต่อไปแล้ว บนหน้าผากรู้สึกถึงความร้อนผ่าว เมื่อยกมือซ้ายขึ้นสัมผัส ชายหนุ่มก็พบว่ามีรอยนูนเล็กๆ ปรากฏขึ้น และเมื่อเพ่งมองในกระจก เขาก็เห็นตราสัญลักษณ์รูปเปลวเพลิงสีทองอ่อนๆ เรืองแสงอยู่บนหน้าผาก ตราแห่งการพิพากษา
"ไม่... มันไม่ใช่แค่พลังที่เพิ่มขึ้น... แต่ฉันได้กลายเป็น..." ชายหนุ่มบอกตัวเองในกระจกด้วยสีหน้าตกตะลึง
"ยักษ์!"
ตุลย์หลุบตาลง ความสับสนและความตกใจแล่นปราดไปทั่วร่าง เขาส่งมือไปแตะกระจกด้วยความรู้สึกที่สับสน แต่ด้วยพละกำลังที่ไม่คุ้นเคย มันแตกกระจายด้วยเพียงแรงสัมผัสเบาๆ เสียงเศษแก้วร่วงกราวไปทั่วห้อง
"พลังนี่...!" เขากำมือขวาแน่น รู้สึกถึงพลังมหาศาลที่แล่นอยู่ในร่าง พลังที่มาพร้อมกับความดิบและ ความกระหายที่จะทำลายล้างความชั่วร้าย
"ท่านกุมภกรรณไม่ได้บอกว่าฉันจะกลายเป็นแบบนี้!!" ความไม่พอใจผสมกับความหวาดกลัวต่อสภาพใหม่ แต่แล้วเสียงจากความทรงจำหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด
"พลังแห่งการพิพากษา... ทำให้เจ้าลุกขึ้นจากความตาย เพื่อนำความยุติธรรมสู่แผ่นดิน..."
นั่นคือสิ่งที่พญายักษ์ในตำนานได้พูดไว้ก่อนที่เขาจะฟื้นจากความตาย ตุลย์หายใจลึก พยายามควบคุมสติ ค่อยๆ สำรวจร่างกายใหม่ของตน การเปลี่ยนแปลงนี้แม้จะน่าตกใจ แต่เขารู้สึกถึงพลังที่ไหลเวียนอยู่ในร่าง พลังที่เขาสามารถใช้เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ถูกรังแก และ เพื่อล้างแค้น
"ถ้าฉันต้องกลายเป็นสิ่งนี้เพื่อนำความยุติธรรมกลับคืนมา..." ตุลย์พูดด้วยน้ำเสียงกดต่ำแฝงด้วยความเด็ดเดี่ยว "ฉันก็จะยอมรับมันอย่างเต็มใจ"
ภาพของแสนสินธุ์นักการเมืองท้องถิ่นผู้อยู่เบื้องหลังการสังหารเขาผุดขึ้นมา ทำให้ตุลย์รู้สึกถึงพลังงานความโกรธที่พลุ่งพล่าน พลังงานที่เปลี่ยนสภาพทางกายภาพของเขาให้เป็นอสูร
"แกคงไม่คาดคิดสินะ แสนสินธุ์ ว่าฉันจะยังมีชีวิตอยู่" ใบหน้าครึ่งยักษ์บิดเบี้ยวเป็นรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม
ทว่าพลังที่แผ่ออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ราวกับจะสูบเรี่ยวแรงของตุลย์ให้หมดสิ้น บวกกับความเจ็บปวดอันเนื่องมาจากการปรับสภาพร่างกายใหม่ ทำให้ตอนนี้สติของชายหนุ่มเริ่มเลือนราง ราวกับเปลวเทียนที่ใกล้ดับมอด และแล้วความรู้สึกของเขาก็ค่อยๆ ดับวูบลงในที่สุด
ย้อนหลังไปหกชั่วโมงก่อนหน้า ณ จุดนัดหมายที่อยู่ห่างจากสำนักงานเกือบหนึ่งกิโลเมตร...
แม่พรยืนตัวสั่นเทาอยู่ข้างรถมอเตอร์ไซค์เก่า ๆ ของสามี เธอจ้องมองโทรศัพท์ในมืออย่างหวาดหวั่น ความรู้สึกผิดยังคงกัดกินจิตใจเธอ แต่ความกลัวที่เจ้าหนี้จะตามมาทำร้ายครอบครัวนั้นมีมากกว่า หนี้สินที่ท่วมหัวที่เธอต้องชดใช้และลูกชายที่กำลังจะเรียนจบแต่ไม่มีเงินส่งเสีย นั่นคือเหตุผลที่เธอทรยศ
เธอเพิ่งได้รับโทรศัพท์ยืนยันว่า การเก็บกวาดหลักฐานในห้องทำงานของทนายตุลย์เสร็จสิ้นแล้ว โดยคนของแสนสินธุ์ ทันใดนั้นรถตู้สีดำที่ติดฟิล์มทึบ ก็เคลื่อนเข้ามาจอดอย่างเงียบเชียบ ชายร่างใหญ่ในชุดดำก้าวลงมาพร้อมกับกล่องกระดาษสีน้ำตาลห่อด้วยพลาสติกกันน้ำอย่างแน่นหนา
"ค่าแรง ห้ามเปิดจนกว่าจะถึงบ้าน" น้ำเสียงของเขาเรียบเฉย ไร้อารมณ์ ไร้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีใดๆ ก่อนจะขึ้นรถและขับจากไปอย่างรวดเร็ว
แม่พรกอดกล่องนั้นไว้แน่นราวกับเป็นเครื่องรางช่วยชีวิต เครื่องรางที่แลกมาด้วยศีลธรรมในจิตใจ เธอรู้ว่าตอนนี้เธอมีเงินมากพอที่จะก้าวข้ามความสิ้นหวังทั้งหมดได้แล้ว
เธอรีบสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์เก่าๆ และขับมุ่งหน้ากลับบ้านอย่างบ้าคลั่ง โดยไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเธอเพิ่งได้รับของขวัญราคาแพงที่แลกมาด้วยชีวิตของผู้ที่มีบุญคุณ
แม่พรย่องเข้าบ้านอย่างเงียบเชียบ เธอตรงไปที่ห้องครัวที่แสงไฟสลัวๆ เปิดทิ้งไว้ และเปิดกล่องกระดาษออกบนโต๊ะอาหารเก่าๆ กลิ่นสาบของกระดาษและหมึกพิมพ์ธนบัตรคละคลุ้ง ปึกธนบัตรใบละพันจำนวนมหาศาล ส่องประกายในความมืด เธอสำเร็จแล้ว หนี้สินของสามีและอนาคตของลูกชายได้รับการประกันแล้ว
เธอทรุดตัวลงบนเก้าอี้ ท่ามกลางกองเงินนั้น ความรู้สึกโล่งใจเพียงเล็กน้อยถูกกลืนหายไปโดยความร้อนรุ่มที่ผุดขึ้นมาในจิตสำนึก เธอไม่ได้รู้สึกถึงความสุขหรือความมั่งคั่งเลย ราวกับว่าเงินในมือนี้ร้อนดั่งไฟนรก
แม่พรหลับตาลงด้วยความหวาดกลัวต่อบาปที่ตนเองก่อ เธอซื้อความสงบสุขของครอบครัวได้ แต่กลับขายมโนธรรมในจิตใจของตัวเอง และไม่มีจำนวนเงินใดๆ ในโลกที่จะซื้อความรู้สึกผิดกลับคืนมาได้ เธอนอนนิ่งอยู่ข้างลูกชายโดยหารู้ไม่ว่า โศกนาฏกรรมที่เธอคิดว่าจบลงแล้ว... กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในร่างของอสูรผู้พิทักษ์ความยุติธรรม
รุ่งอรุณค่อยๆ สาดส่องลำแสงเจิดจ้าผ่านผ้าม่านบางๆ จนเผยให้เห็นรายละเอียดภายในห้องขึ้นเล็กน้อย ทั้งภาพเศษกระจกแตกละเอียดกระจัดกระจายบนพื้น และเฟอร์นิเจอร์หลายชิ้นที่ล้มระเนนระนาดจากเหตุการณ์เมื่อคืน
ตุลย์นอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นไม้ปาเก้ภายในห้องทำงาน ร่างกายเปียกโชกไปด้วยเหงื่อที่มีกลิ่นไอที่ไม่คุ้นเคย เขาหลับลึกราวกับได้ใช้พลังงานไปอย่างมากในคืนที่ผ่านมา เสียงนาฬิกาปลุกทำให้เขาขมวดคิ้วและค่อยๆ ลืมตาขึ้น ท่ามกลางความมืดสลัวของห้อง
"อือ..." ชายหนุ่มครางเบาๆ ความรู้สึกแรกคือปวดหัวตุบๆ ตามด้วยความรู้สึกอ่อนล้าทั่วร่าง เหมือนร่างกายถูกสูบพลังงานออกไปจนหมด ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ รู้สึกมึนงงกับความเสียหายที่เกิดขึ้นภายในห้อง เขายกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าตัวเอง นี่คือใบหน้ามนุษย์ธรรมดา ไม่มีริมฝีปากหนาหรือเขี้ยวยาวแหลมคมของยักษ์อีกต่อไป
"ไม่ได้ฝันไป..." เขาพึมพำ มองไปที่แขนขวาของตนที่บัดนี้กลับมาเป็นแขนมนุษย์ปกติ ไร้ร่องรอยของสีเขียวหยกและอักขระทอง
ตุลย์ลุกขึ้นเปิดไฟเดินไปที่กระจกบานใหญ่ที่ยังไม่แตก สำรวจใบหน้าของตัวเอง ผมสีดำปกติ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มตามธรรมชาติ ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของตราสัญลักษณ์เปลวเพลิงบนหน้าผาก ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพเดิม ราวกับเป็นเพียงฝันร้ายที่น่าสะพรึง
"ช่างเป็นคืนที่เหลือเชื่อจริงๆ" ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง แต่แล้วความทรงจำที่น่าอัศจรรย์ก็หวนคืนกลับ ทั้งการเผชิญหน้ากับกุมภกรรณพญายักษ์ในตำนาน การได้รับพลังพิเศษ และการเปลี่ยนร่างเป็นยักษ์ นั่นคือความจริง
ตุลย์ก้าวเท้า เข้าไปในห้องเก็บเอกสารที่อยู่ติดกัน หัวใจเริ่มเต้นระรัวด้วยความกังวลที่เพิ่งผุดขึ้น ทันใดนั้นเองภาพที่ปรากฏตรงหน้าราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมากระชากหัวใจเขาให้ร่วงหล่นสู่เบื้องลึก
ตู้เอกสารสูงใหญ่ที่เคยตั้งตระหง่านอย่างเป็นระเบียบ บัดนี้กลับถูกรื้อค้นจนข้าวของกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น ลิ้นชักทุกบานเปิดอ้าค้าง ราวกับตั้งใจทิ้งผลงานไว้ให้จดจำ
แต่สิ่งที่ทำให้ทนายหนุ่มรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ คือ การหายไปอย่างไร้ร่องรอยของแฟ้มเอกสารสำคัญ แหล่งรวมหลักฐานที่เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจรวบรวมมานานแรมปี เพื่อหวังจะนำตัวแสนสินธุ์มาลงทัณฑ์ตามกฎหมาย ความพยายามทั้งหมดของเขากลายเป็นเถ้าธุลี
"ไม่จริง...ไม่จริง" เสียงพึมพำแผ่วเบา หลุดออกจากริมฝีปากสั่นระริกของเขา มือหยาบกร้านรีบร้อนเปิดกล่องเอกสารอีกใบ ค้นหาอย่างบ้าคลั่ง
"ไม่มีทาง! มันต้องอยู่ที่นี่! มันต้องมีหลงเหลืออยู่บ้างสิ!"
ตุลย์รีบวิ่งไปยังโต๊ะทำงาน คว้าโน้ตบุ๊กคู่ใจที่เก็บงำข้อมูลสำรองเอาไว้อย่างดี มือที่สั่นเทากดปุ่มเปิดเครื่องอย่างรวดเร็ว ดวงตาจดจ่ออยู่กับหน้าจอ รอคอยด้วยหัวใจที่เต้นระรัว ทว่าสิ่งที่ปรากฏตรงหน้ากลับมีแต่ความว่างเปล่า ราวกับมีใครจงใจลบล้างทุกสิ่งทุกอย่างออกไปจนหมดสิ้น รวมถึงระบบสำรองข้อมูลที่เขาคิดว่าปลอดภัยที่สุดแล้ว
"แม่พร...!" ภาพใบหน้าของแม่บ้านหญิงวัยกลางคนที่อยู่เคียงข้างเขามานานหลายปี ผุดขึ้นในห้วงความคิด พร้อมกับความทรงจำอันแสนเจ็บปวดที่เขาถูกวางยาพิษเมื่อคืน
"ฉัน... ถูกคนที่ไว้ใจหักหลังอย่างนั้นเหรอ...?!!" ความรู้สึกราวกับถูกคมมีดกรีดลึกลงไปในหัวใจ แล่นไปทั่วร่าง ความเจ็บปวดและความโกรธแค้นประดังเข้ามาจนแทบประคองสติไม่อยู่
เขามั่นใจว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของใครไปไม่ได้นอกจาก แสนสินธุ์ ชายผู้มีอำนาจล้นฟ้าในแวดวงธุรกิจมืดและการเมืองท้องถิ่น ผู้ที่ราวกับมีมนต์วิเศษคุ้มครองให้รอดพ้นจากเงื้อมมือกฎหมายมาโดยตลอด นั่นอาจเป็นเพราะไม่เคยมีหลักฐานใดมัดตัวเขาได้อย่างหนาแน่นพอ จนกระทั่งบัดนี้
"ในเมื่อกฎหมายไม่อาจลงโทษแกได้อีกแล้ว ไอ้แสนสินธุ์..."
ทนายหนุ่มกัดกรามแน่นพึมพำกับตัวเอง เสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยความดุดัน พร้อมกับหันออกไปมองนอกหน้าต่างเผชิญหน้ากับแสงตะวันยามเช้าด้วยแววตาที่แข็งกร้าวเด็ดเดี่ยว
"งั้นฉันจะลงมือด้วยตัวเอง...ให้แกได้จดจำไปชั่วชีวิต "
□□□□□□□□□□□□□□□□