ห้วงนรกรังสรรค์ ระบบลงทัณฑ์ที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อพิพากษาเหล่าคนใจบาปหยาบช้า ให้พวกมันมีโอกาสได้สำนึกตนคืนกลับมาด้วยใจที่บริสุทธิ์ คือการหยุดยั้งมิใช่ทำลาย ด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่..แห่งยักษา

ยักษาตุลาการ - ตอนที่ 1 ทนายหนุ่มผู้ยืนหยัด โดย ปราณยักษา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แอคชั่น,แฟนตาซี,ลึกลับ,เกิดใหม่,สะท้อนปัญหาสังคม,นรก,วิญญาณ,ผี,แอคชั่น,อสูร,ยักษ์,พล็อตสร้างกระแส,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ยักษาตุลาการ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แอคชั่น,แฟนตาซี,ลึกลับ,เกิดใหม่,สะท้อนปัญหาสังคม

แท็คที่เกี่ยวข้อง

นรก,วิญญาณ,ผี,แอคชั่น,อสูร,ยักษ์,พล็อตสร้างกระแส,แฟนตาซี

รายละเอียด

ยักษาตุลาการ โดย ปราณยักษา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ห้วงนรกรังสรรค์ ระบบลงทัณฑ์ที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อพิพากษาเหล่าคนใจบาปหยาบช้า ให้พวกมันมีโอกาสได้สำนึกตนคืนกลับมาด้วยใจที่บริสุทธิ์ คือการหยุดยั้งมิใช่ทำลาย ด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่..แห่งยักษา

ผู้แต่ง

ปราณยักษา

เรื่องย่อ

 คำเตือน : เนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่ 

นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหาที่ละเอียดอ่อนและอาจกระทบกระเทือนจิตใจผู้อ่านบางท่าน ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรได้รับคำแนะนำและอยู่ในการควบคุมดูแลจากผู้ปกครองอย่างใกล้ชิด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน และแยกแยะว่านี่คือเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น









สารบัญ

ยักษาตุลาการ-ตอนที่ 1 ทนายหนุ่มผู้ยืนหยัด,ยักษาตุลาการ-ตอนที่ 2 ขุมพลังแห่งยักษา,ยักษาตุลาการ-ตอนที่ 3 ฐานทัพใหม่ที่คุ้นเคย,ยักษาตุลาการ-ตอนที่ 4 พันธมิตรที่ไร้ตัวตน,ยักษาตุลาการ-ตอนที่ 5 รายชื่อและจุดเริ่มต้น,ยักษาตุลาการ-ตอนที่ 6 การพิพากษาที่น่าสะพรึง,ยักษาตุลาการ-ตอนที่ 7 แม่พิมพ์อาบยาพิษ,ยักษาตุลาการ-ตอนที่ 8 ความโกรธเกรี้ยวของดอน

เนื้อหา

ตอนที่ 1 ทนายหนุ่มผู้ยืนหยัด

ม่านหมอกบางๆ ปกคลุมเหนือท้องทุ่งที่กำลังจะกลายเป็นพื้นที่ก่อสร้างโรงงานผลิตยากำจัดวัชพืชและยาฆ่าแมลง แสงแดดยามเช้าส่องกระทบป้ายผ้าขนาดใหญ่ที่เขียนด้วยตัวอักษรสีแดงสด "หยุดโรงงานเคมี ปกป้องวังลับแล" ซึ่งถูกแขวนไว้เหนือเวทีชั่วคราว

ทนายตุลย์ พิทักษ์ธรรม ยืนอยู่บนเวทีไม้ที่สร้างขึ้นอย่างเร่งรีบ เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่พับแขนขึ้นอย่างทะมัดทะแมง แม้จะมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นที่ขมับ ทว่าแววตากลับเด็ดเดี่ยวและน้ำเสียงที่หนักแน่นไม่มีวี่แววของความอ่อนล้า

"พี่น้องชาววังลับแลที่เคารพ" ทนายหนุ่มเอ่ยผ่านไมโครโฟน เสียงก้องกังวานไปทั่วบริเวณ "วันนี้ผมไม่ได้มาในฐานะทนายความ แต่มาในฐานะลูกหลานแผ่นดินนี้ ผืนดินที่บรรพบุรุษของเราได้ทำมาหากินมาหลายชั่วอายุคน"

เขาชูเอกสารขึ้นเหนือศีรษะ "นี่คือรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ถูกบิดเบือน โดยถูกซื้อด้วยเงินของนายแสนสินธุ์ นายกเทศมนตรีของเรา!" เสียงโห่ร้องดังขึ้น ผู้คนนับร้อยที่มาชุมนุมพากันตะโกนประท้วงเสียงกึกก้อง

หาใช่ครั้งแรกไม่ ที่ตุลย์ยื่นมือเข้ามาปกป้องชาวบ้านตาดำๆ เหล่านี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาคือผู้พิทักษ์ที่ยืนหยัดเคียงข้างประชาชน ต่อกรกับการเอารัดเอาเปรียบทุกรูปแบบของเหล่าผู้มีอิทธิพลในเมืองวังลับแล

และเรื่องราวความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ณ เมืองเล็กๆ แห่งนี้เอง ที่ดึงดูดความสนใจของ รินรวี ไวยาวัฒนากร นักข่าวสาวไฟแรงจากสถานีโทรทัศน์ใหญ่ในเมืองหลวง ผู้ซึ่งมีความผูกพันธ์กับวังลับแลในวัยเด็ก และไม่อาจนิ่งเฉยต่อเสียงร้องขอความเป็นธรรมที่ดังแว่วมาจากบ้านเกิด

"เจน...ฉันว่าเรื่องนี้มันมีอะไรลึกกว่าที่เราเห็นเยอะเลยนะ ข้อมูลที่ฉันได้มามันน่าสนใจมาก" รินรวีกระซิบกับสาวทอมมือกล้องคนสนิทที่กำลังเช็คความเรียบร้อยของอุปกรณ์

รินรวี เธอเป็นนักข่าวที่ขึ้นชื่อเรื่องความกล้าท้าทายผู้มีอำนาจ จนเป็นที่เลื่องลือในวงการ แม้แต่ผู้ชายอกสามศอกบางคนยังต้องยอมรับในความเด็ดเดี่ยวของเธอ

เหตุผลหนึ่งที่ทำให้รินรวีตัดสินใจย้ายมาประจำที่สาขาวังลับแลแห่งนี้ ก็เพราะเธอได้ยินเรื่องราวความไม่ชอบมาพากลต่างๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนแทบจะกลายเป็นเมืองที่ไร้ซึ่งกฎหมายในยุคดิจิทัลนี้ไปแล้ว

"สวัสดีค่ะ คุณผู้ชมทุกท่าน ดิฉันรินรวี ไวยาวัฒนากร จากสำนักข่าว Won TV รายงานสดจากพื้นที่ชุมนุมคัดค้านโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยากำจัดวัชพืชและยาฆ่าแมลง" นักข่าวสาวผายมือไปทางเวทีชุมนุมที่กำลังดูร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ

 "ที่เมืองวังลับแล ซึ่งตอนนี้มีผู้ชุมนุมมากกว่าสามร้อยคน นำโดยทนายตุลย์ พิทักษ์ธรรม นักกฎหมายสิทธิมนุษยชนที่มีชื่อเสียง ซึ่งเป็นลูกหลานดั้งเดิมของเมืองนี้"

ณ เวทีชุมนุม ตุลย์กำลังพูดถึงอนาคตของเมืองวังลับแลที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น มือข้างหนึ่งกระชับไมโครโฟนไว้แน่น อีกมือหนึ่งชี้ไปยังพื้นที่ก่อสร้างในอนาคตด้วยสีหน้าจริงจัง

"พวกเขาจะทำทุกอย่างเพื่อหยุดเรา!" ทนายหนุ่มประกาศก้อง "แต่เราจะไม่ยอมแพ้! เราจะปกป้องผืนแผ่นดินนี้จนเลือดหยดสุดท้าย!"

รินรวี ยืนถ่ายภาพอยู่ด้านล่างเวที เธอสัมผัสได้ถึงพลังและความเด็ดเดี่ยวของชายคนนี้ จึงได้บันทึกภาพและเสียงทุกช่วงไว้อย่างละเอียด

หลังจากจบการปราศรัย รินรวีเห็นทนายหนุ่มเดินลงจากเวทีด้วยท่าทางเหนื่อยล้าแต่ยังคงมีแววตาที่มุ่งมั่น เธอจึงรีบเดินเข้าไปหาทันที

"ทนายตุลย์คะ ดิฉันรินรวี ไวยาวัฒนากร จาก Won TV ค่ะ ขอสัมภาษณ์สั้นๆ สักครู่ได้ไหมคะ" รินรวีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ แต่แววตาเต็มไปด้วยความตั้งใจ

ตุลย์หันมามองนักข่าวสาว ดวงตาของเขายังคงเปี่ยมด้วยพลัง แม้ร่างกายจะดูอ่อนล้าไปบ้าง

"ครับ คุณรินรวี มีอะไรเหรอครับ?"

"ดิฉันติดตามข่าวเรื่องเมืองวังลับแลมาตลอดค่ะ และรู้สึกชื่นชมในการต่อสู้ของคุณมาก"  นักข่าวสาวเริ่มบทสนทนา

"อยากทราบว่าอะไรคือแรงผลักดันที่ทำให้คุณทนายยังคงยืนหยัดต่อสู้กับอำนาจมืดในเมืองนี้ แม้จะเผชิญกับอุปสรรคมากมายก็ตาม?"

ทนายหนุ่มถอนหายใจช้าๆ ก่อนจะมองไปยังผู้คนที่มารวมตัวกัน

"แรงผลักดันของผมก็คือพี่น้องชาววังลับแลทุกคนนี่แหละครับ ผืนดินนี้คือชีวิต คือลมหายใจของพวกเขา ถ้าเราไม่ลุกขึ้นมาปกป้อง แล้วใครจะปกป้องครับ? " ทนายหนุ่มหันมาสบตารินรวีอีกครั้ง"

ผมไม่อยากเห็นลูกหลานของเราต้องอยู่กับมลพิษ และความอยุติธรรมอีกต่อไป"

"คุณคิดว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะจบลงอย่างไรคะ?"  รินรวีถามต่อพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของทนายหนุ่ม

"ผมเชื่อในความจริงและความยุติธรรมครับ" ตุลย์ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "แม้หนทางจะยากลำบาก แต่ผมเชื่อว่าสักวันความจริงจะปรากฏ และพวกเราจะได้รับชัยชนะ"

รินรวีพยักหน้าอย่างเข้าใจ เธอรู้สึกได้ถึงความจริงใจและอุดมการณ์อันแรงกล้าของชายที่อยู่ตรงหน้า "ขอบคุณมากนะคะที่สละเวลาให้สัมภาษณ์ในวันนี้"

"ด้วยความยินดีครับ" ตุลย์ยิ้มบางๆ "ผมหวังว่าคุณจะช่วยเผยแพร่เรื่องราวของวังลับแลให้สาธารณะได้รับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นนะครับ"

"แน่นอนค่ะดิฉันจะทำอย่างเต็มที่" รินรวีกล่าวด้วยความมุ่งมั่น สายตาของทั้งสองประสานกันอย่างมีความหมาย นับเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ดีในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมในครั้งนี้





ในขณะเดียวกัน ภายในห้องทำงานส่วนตัวบนชั้นสูงสุดของคฤหาสน์หลังใหญ่ ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนภูเขาห่างจากตัวเมืองร่วมสิบกิโลเมตร เสียงโหวกเหวกของการชุมนุมประท้วงดังลอดออกมาจากลำโพงโน้ตบุ๊กที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานไม้สักราคาแพง

แสนสินธุ์ ทรงอิทธิศักดิ์ นายกเทศมนตรีเมืองวังลับแล ยืนฟังเสียงทนายหนุ่มที่กำลังปราศรัยอย่างดุเดือดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เหงื่อผุดซึมเต็มแผ่นหลังจนเสื้อเชิ้ตตัวในภายใต้สูทหรูเปียกชื้นไปหมด เขาเดินไปล็อคประตูห้องอย่างระมัดระวัง พลางกวาดสายตาสำรวจไปทั่ว ราวกับเกรงว่าใครจะแอบฟัง

"บ้าเอ๊ย!" แสนสินธุ์สบถเสียงเข้มกำมือแน่นจนข้อขาว "นี่มันไม่ใช่แค่เรื่องชื่อเสียงแล้วโว้ย! ไอ้ทนายตุลย์มันกำลังสาวลึกเกินไปแล้ว ทั้งเรื่องสินบนข้าราชการใหญ่ และเครือข่ายธุรกิจใต้ดินของฉัน! ได้ยินว่ามันได้หลักฐานมาแล้วด้วย!" ชายร่างท้วมถอนหายใจยาวอย่างหมดสิ้นความอดทน

ทันใดนั้น เสียงสัญญาณการเชื่อมก็ต่อดังขึ้นบนหน้าจอโฮโลแกรมกลางห้อง ภาพของหนุ่มใหญ่ร่างสูงโปร่ง มหาเศรษฐีแห่งต้าเซี่ย นามเดวิด ชาน ในชุดสูทเวอร์ซาเช่สีขาวปรากฏขึ้น

เขานั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้มังกรขนาดใหญ่ในห้องสวีทหรูด้วยแววตาที่ลึกล้ำ โดยมีฉากหลังเป็นมหานครที่ทอดยาวสุดสายตา ฉายชัดอยู่ด้านหลังกระจกหน้าต่างชั้นสูงสุด

แสนสินธุ์รีบปรับสีหน้าเป็นนอบน้อมทันที ความวิตกกังวลเริ่มฉายชัดในแววตาของเขา ชายร่างท้วมรีบนำเฮดโฟนขึ้นมาสวมก่อนจะโค้งคำนับเล็กน้อยให้กับบุคคลสำคัญที่อยู่ตรงหน้า

"เรียนคุณเดวิดครับ... สถานการณ์ตอนนี้กำลังตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย" ชายร่างท้วมเอ่ยชี้แจงอย่างระมัดระวัง

"แล้ว..คุณคิดว่าจะแก้ปัญหานี้ยังไง?" น้ำเสียงของเขาเรียบเฉย ไร้อารมณ์ ทว่ากลับแฝงด้วยพลังที่ทำให้นายกเล็กรู้สึกกดดันอย่างหนัก

แสนสินธุ์มองซ้ายมองขวาแม้จะรู้ว่าไม่มีใครนอกจากเขาในห้องนี้ ก่อนจะลดเสียงลงจนแทบเป็นกระซิบ

"ผมว่าถึงเวลาที่เราต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดแล้วครับ คุณเดวิด"

"คุณหมายถึง...?" เดวิด ชานถามสั้นๆ

"ที่ผ่านมาเราไม่สามารถลงมือกับมันได้ตรงๆ เพราะชื่อเสียงและผู้สนับสนุนมันมีมาก แต่ตอนนี้..." ชายร่างท้วมเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาอย่างชัดเจน

"หมอที่สนิทกับผมเขาแนะนำมาครับ" แสนสินธุ์ตอบเสียงแผ่วเบา "เขาสามารถทำให้ดูเหมือนเป็นอุบัติเหตุโดยไม่ทิ้งหลักฐานใดๆ ไว้ได้"

มหาเศรษฐีหนุ่มไม่ได้แสดงอาการตกใจ เขายกแก้วไวน์ขึ้นมาจิบอย่างช้าๆ ท่าทางสุขุมจนน่าขนลุก "อธิบายมาซิว่าคุณจะทำยังไง"

แสนสินธุ์ยกยิ้มอย่างมั่นใจ "เรารู้ว่าทนายตุลย์มีปัญหาความดันโลหิตสูง และกำลังกินยาอยู่" เขาพูดพลางหยิบกล่องเล็กจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาเปิดออก เผยให้เห็นหลอดยาขนาดจิ๋วบรรจุของเหลวใสไร้สี

"ผมได้ตัวยาพิเศษมาแล้ว ยาชนิดนี้ไร้สี ไร้กลิ่น ไร้รส จะทำให้คนที่กินเกิดอาการคล้ายกับโรคหัวใจล้มเหลว และจะไม่สามารถตรวจพบในร่างกายได้ด้วย"

"แล้วคุณจะให้เขากินมันได้ยังไง?" หนุ่มใหญ่ผู้ทรงอำนาจถามด้วยสีหน้าเย็นชา

"ผมมีคนรู้จักในสำนักงานของมันครับ" แสนสินธุ์ตอบพลางแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย "ไม่ใช่แค่คนรู้จักธรรมดา แต่เป็นคนที่ทำงานใกล้ชิดกับไอ้ทนายมานาน... เห็นทุกอย่าง รู้ความเคลื่อนไหวทุกอย่างในสำนักงานนั้น"

"แล้วเขาจะยอมทำตามที่คุณต้องการเหรอ?" เดวิด ชาน ถามด้วยความสงสัย สายตาคมกริบเหลือบมองภาพของแสนสินธุ์บนจอด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

"ความสิ้นหวังไงล่ะครับคุณเดวิด... " แสนสินธุ์หัวเราะเบาๆ อย่างมั่นใจ

"ผมสืบมาว่าช่วงหลังเธอมีปัญหาเรื่องเงินอย่างหนัก สามีไปก่อหนี้ก้อนโต แถมยังโดนเจ้าหนี้ตามทวงทุกวัน ผมแค่ยื่นมือเข้าไปช่วย... แลกกับการ...ช่วยเหลือ เล็กๆ น้อยๆ จากเธอ" เขาฉีกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ "คนเราเมื่อถึงที่สุด ก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอดนั่นแหละครับ"

เดวิด ชานพยักหน้าช้าๆ "จะจัดการเมื่อไร?"

"หลังการชุมนุมนี้ครับ" แสนสินธุ์ตอบ "เมื่อไหร่ที่เขาตื่นเต้นที่สุด หัวใจเต้นแรงที่สุด... และจะไม่มีใครสงสัยเลยว่าทำไมหัวใจของเขาถึงหยุดเต้น"

มหาเศรษฐีหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยย้ำด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าน้ำเสียงกลับดูเย็นเยียบจนน่าหวาดหวั่น

"ทำให้มันสะอาดที่สุด ไม่มีหลักฐาน ไม่มีเงื่อนงำ ไม่มีพยาน"

"ไว้ใจผมได้ครับ" แสนสินธุ์พูดพลางเก็บกล่องยาเข้ากระเป๋า รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ยังคงไม่จางหายไปจากใบหน้า "ภายในสามวัน ทุกอย่างจะจบ และโครงการของเราจะเดินหน้าต่อไปอย่างราบรื่น ไม่มีการชุมนุม ไม่มีการคัดค้าน"

เดวิด ชานพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนที่ภาพบนหน้าจอของเขาจะดับวูบลงไป ปล่อยให้แสนสินธุ์ยืนอยู่ลำพังในห้องทำงานที่เงียบสงัด 





คืนนั้น หลังจบการชุมนุมครั้งใหญ่ ทนายตุลย์ พิทักษ์ธรรม กลับถึงบ้านด้วยร่างกายที่อ่อนล้า แต่จิตใจยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง เขาหย่อนตัวลงบนโซฟาหนังสีน้ำตาลตัวโปรดในห้องพักสำนักงาน มือหยิบแฟ้มเอกสารลับที่เพิ่งได้มาเมื่อชั่วโมงก่อนหน้า

เอกสารชุดนี้คือกุญแจสำคัญที่จะพลิกเกมทั้งหมด สัญญาที่ดินปลอม หลักฐานการจ่ายสินบน และข้อมูลการฟอกเงินในธุรกิจของแสนสินธุ์ รวมถึงคลิปเสียงและวีดีโอต่างที่เกี่ยวข้องที่จะเป็นหลักฐานชิ้นสุดท้ายในการโค่นล้มอำนาจมืด

"พรุ่งนี้..." เขาพึมพำ ขณะที่นิ้วมือลูบไปตามเอกสาร "วันพรุ่งนี้จะเป็นวันที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง"

เสียงเคาะประตูห้องทำงานเบาๆ ดังขึ้น ร่างผอมบางของแม่บ้านคนสนิทที่อยู่ดูแลสำนักงานมานานหลายปีก้าวเข้ามาพร้อมถาดน้ำชาที่มีควันลอยจางๆ พร้อมกับรอยยิ้มของเธอที่ดูแตกต่างจากทุกครั้ง

"คุณทนายคะ ดิฉันชงชามะลิมาให้ค่ะ จะได้รู้สึกผ่อนคลาย"

ทนายหนุ่มยิ้มตอบอย่างอ่อนโยน "ขอบใจมากนะแม่พร วางไว้ที่โต๊ะก่อนก็ได้ครับ"

แม่บ้านคนสนิทบรรจงวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ กลิ่นหอมของใบชาชั้นดีลอยอวลในอากาศ ผสานกับกลิ่นหอมละมุนของดอกมะลิ  ทำให้บรรยากาศในห้องดูอบอุ่นและเป็นกันเอง แต่ทนายตุลย์ไม่ทันสังเกตสีหน้าของแม่พร ที่พยายามเก็บความตื่นเต้นไว้อย่างมิดชิด จิตใจของเขากำลังจดจ่ออยู่กับแฟ้มเอกสารตรงหน้า

"มีอะไรให้ช่วยอีกไหมคะ?" แม่พรถามด้วยน้ำเสียงปกติ แต่สายตากลับจับจ้องที่ถ้วยชาอย่างผิดวิสัย

"ไม่มีแล้วล่ะครับ ไปพักผ่อนเถอะ" ทนายหนุ่มคลี่ยิ้มบางๆ ตอบกลับอย่างนุ่มนวล

แม่พรค้อมศีรษะเล็กน้อยแล้วเดินออกไปก่อนจะปิดประตูห้องทำงานเบาๆ จากนั้นตุลย์จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเพื่อนนักกฎหมายร่วมอุดมการณ์ที่ร่วมต่อสู้มาด้วยกัน

"พรุ่งนี้เราจะยื่นฟ้องนายแสนสินธุ์กับพรรคพวก" เขาพูดเสียงเข้ม หัวใจยังเต้นรัว "นี่จะเป็นคดีประวัติศาสตร์ ฉันได้หลักฐานทั้งหมดแล้ว สิ่งที่พวกมันทำเลวร้ายกว่าที่เราคิด..."

ขณะที่พูด มือขวาของเขาคว้าถ้วยชา จรดริมฝีปากและจิบเข้าไปอย่างรวดเร็ว กลิ่นหอมละมุนของดอกมะลิช่วยลดความตึงเครียดได้เป็นอย่างดี

"ความจริงทั้งหมดจะถูกเปิดเผย" ทนายหนุ่มพูดต่อ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาจิบชาอีกครั้ง

"พวกมันขู่ฉันไม่ได้ ขู่ประชาชนไม่ได้อีกต่อไป เราจะชนะ!" เสียงของเขาดังก้องไปทั่วห้อง

ตุลย์ลุกพรวดขึ้นหลังจากวางสายโทรศัพท์ ความตื่นเต้นทำให้เขาเดินวนไปมาในห้อง ถ้วยชาในมือถูกจิบอย่างต่อเนื่อง

"นี่จะเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่!" เขาประกาศ "ชัยชนะกำลังจะเป็นของเรา!" เสียงของเขาสั่นด้วยความปิติยินดี หัวใจเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ ความตื่นเต้นผสมปนเปกับความเหนื่อยล้าทำให้เขาไม่ทันสังเกตว่าร่างกายเริ่มส่งสัญญาณเตือนบางอย่าง

แต่แล้ว ความรู้สึกแปลกประหลาดก็เริ่มก่อตัวขึ้น ชายหนุ่มแกะกระดุมออกเพราะรู้สึกว่าอากาศรอบตัวร้อนขึ้นผิดปกติ

"อึด... อึดอัด..." เขาครางออกมาด้วยเสียงที่แหบแห้ง มือพยายามคลำหากระปุกยาที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กข้างตู้เย็น แต่ทว่ากล้ามเนื้อแขนเริ่มไม่ตอบสนองจนทำให้ถ้วยชาหลุดจากมือกระแทกพื้นแตกกระจาย

"ไม่... ไม่ใช่ตอนนี้..." ตุลย์พึมพำอย่างร้อนรน รู้สึกถึงความชาที่เริ่มลามจากปลายนิ้วเข้าสู่แขนและขา หน้าอกของเขาแน่น เหมือนมีก้อนหินก้อนใหญ่วางทับอยู่

จังหวะหัวใจที่เคยเต้นรัวเพราะอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน ก็เริ่มเต้นผิดจังหวะ สายตาเริ่มพร่ามัว เขาพยายามจะเดินไปที่ประตู แต่ขาทั้งสองข้างกลับทรยศ และแล้วร่างของตุลย์ก็ทรุดลงบนพื้น

ในวินาทีที่ความมืดค่อยๆ คืบคลานเข้ามา เขามองเห็นเงาของแม่พรยืนอยู่ที่ประตู ใบหน้าที่เคยอบอุ่นเปลี่ยนเป็นเย็นชา อย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

"ยัง...ไม่...จบ..." ตุลย์พยายามเปล่งเสียง นิ้วมือเกร็งขณะพยายามเอื้อมไปที่แฟ้มเอกสารลับบนโต๊ะ "ยังมี...เรื่องที่...ต้องทำ..."

ในความมืดที่มาเยือน ภาพสุดท้ายที่ปรากฏในห้วงความคิดของทนายหนุ่มคือใบหน้าของชาวเมืองวังลับแลที่คาดหวังในตัวเขาซึ่งตอนนี้กำลังเลือนหายไปพร้อมกับลมหายใจสุดท้าย




เพล้ง!

ในเวลาเดียวกัน ณ คอนโดมิเนียมหรูกลางเมืองวังลับแล  รินรวียืนนิ่ง มองเศษเซรามิกสีขาวที่กระจายอยู่บนพื้นด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจอย่างกะทันหัน ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญได้ขาดสะบั้นลง

"สโนว์" แมวเมนคูนสีขาวเพศเมียตกใจร้อง "แง้ว" เบาๆ ก่อนจะเดินมาดมอย่างระมัดระวัง หญิงสาวก้มลงเก็บเศษจานด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย อยู่ๆ ภาพใบหน้าของทนายตุลย์ พิทักษ์ธรรม ในตอนที่เธอกำลังสัมภาษณ์เขาผุดขึ้นมาในความทรงจำอย่างชัดเจน

ความรู้สึกเจ็บแปลบเมื่อครู่เชื่อมโยงอย่างประหลาดกับแววตาที่มุ่งมั่นแต่แฝงด้วยความอ่อนล้าของทนายหนุ่ม น้ำเสียงที่หนักแน่นแต่เปี่ยมด้วยความเมตตาที่เขามีต่อชาวบ้านยังคงดังก้องอยู่ในหู ราวกับเสียงจานแตกเมื่อครู่เป็นสัญญาณของการสิ้นสุดบางอย่าง

และนี่อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความมืดมิดอันแท้จริงที่กำลังจะปกคลุมวังลับแล หลังจากที่ความยุติธรรมสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ได้แตกสลายลงแล้ว



□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□