ห้วงนรกรังสรรค์ ระบบลงทัณฑ์ที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อพิพากษาเหล่าคนใจบาปหยาบช้า ให้พวกมันมีโอกาสได้สำนึกตนคืนกลับมาด้วยใจที่บริสุทธิ์ คือการหยุดยั้งมิใช่ทำลาย ด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่..แห่งยักษา
แอคชั่น,แฟนตาซี,ลึกลับ,เกิดใหม่,สะท้อนปัญหาสังคม,นรก,วิญญาณ,ผี,แอคชั่น,อสูร,ยักษ์,พล็อตสร้างกระแส,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ยักษาตุลาการห้วงนรกรังสรรค์ ระบบลงทัณฑ์ที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อพิพากษาเหล่าคนใจบาปหยาบช้า ให้พวกมันมีโอกาสได้สำนึกตนคืนกลับมาด้วยใจที่บริสุทธิ์ คือการหยุดยั้งมิใช่ทำลาย ด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่..แห่งยักษา
คำเตือน : เนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่
นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหาที่ละเอียดอ่อนและอาจกระทบกระเทือนจิตใจผู้อ่านบางท่าน ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรได้รับคำแนะนำและอยู่ในการควบคุมดูแลจากผู้ปกครองอย่างใกล้ชิด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน และแยกแยะว่านี่คือเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
"โอ้ย! ตกใจอะไรขนาดนั้น ดาร์ลิ้งก์"
ร่างของหญิงสาวในชุดไทยโบราณประดับเพชรระยิบระยับสีเขียวตองค่อยๆ ปรากฏกายขึ้นจากความว่างเปล่า ผมยาวสลวยสีดำขลับรวบเป็นมวยสูงประดับด้วยปิ่นทอง ใบหน้าสวยคมเข้มราวกับนางในวรรณคดี แต่แววตากลับซุกซนและท่าทางยียวนผิดกับการแต่งกายโดยสิ้นเชิง
"ฉันชื่อตานีจ้ะ นังตานี สาวงามประจำป่ากล้วยท้ายวัด" เธอโฉบเข้ามาใกล้ พร้อมกับส่งยิ้มหวานให้ตุลย์ที่กำลังตกตะลึงตาค้างอยู่
"อย่าไปสนใจอาเจ๊แกเลยพี่ชาย นางชอบทำแบบนี้กับทุกคนแหละ"
เสียงใสๆ ของเด็กน้อยดังมาจากมุมห้อง เป็นร่างของเด็กชายผมจุก อายุราวห้าขวบ สวมโจงกระเบนผ้าแพรสีม่วงไม่สวมเสื้อแต่มีผ้าพันคอสีแดงพันอยู่หลวมๆ คล้ายๆ กะลาสี เขาสะพายกระเป๋ารูปหมีแพนด้าที่ดูใหญ่เกินตัว
"หนูชื่อดอน อยู่ศาลเพียงตาหน้าวัด ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะพี่ชาย!" เด็กชายเดินเข้ามาหาตุลย์พร้อมกับรอยยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร
ตุลย์ยังคงตกตะลึง ยืนนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ดวงจิตของกุมภกรรณที่อยู่ในหัวของเขาหัวเราะร่า "พวกเขาคือผู้พิทักษ์วัดร้างแห่งนี้ เจ้าสามารถมองเห็นพวกเขาได้เพราะพลังของข้าที่อยู่ในตัวเจ้า"
"ฉัน...เห็นผี?" ตุลย์พึมพำกับตัวเอง สีหน้ายังคงซีดเผือด เพราะยังไม่คุ้นชินกับสิ่งที่เหนือธรรมชาติในระยะเผาขน
"ว้าย! ไม่สุภาพเลยนะดาร์ลิ้งก์" ตานีทำหน้ามุ่ยเหมือนแกล้งโกรธ "เราเป็นวิญญาณผู้พิทักษ์ต่างหาก ไม่ใช่ผีธรรมดาๆ นะคะ"
"Oh my friend! มาถึงแล้วเหรอ boy?" เสียงที่สามที่ดูมีอายุดังขึ้นพร้อมกับแสงวูบวาบหลากสีสัน ร่างผอมสูงในชุดสูทสีฟ้าสดพร้อมผ้าพันคอสีชมพูสะท้อนแสงระยิบระยับ หน้ากากผีตาโขนสีสันฉูดฉาดที่มีรอยยิ้มกว้างและฟันแหลมคม ท่าทางเหมือนนักร้องยุค 50s เอลวิส เพรสลีย์
"คนนี้ลุงโทนจ้ะพี่ชาย แกเป็นผู้ดูแลทุ่งนาเก่ารอบๆ วัดนี้" กุมารน้อยผายมือแนะนำแขกผู้มาใหม่
"No No! ไม่ใช่ลุงโทนสิ Baby." "My name is Tony. You know?"
วิญญาณผู้สวมหน้ากากผีตาโขนยกมือไขว้เป็นกากบาทพร้อมพูดโต้แย้งเรื่องชื่อตัวเองราวกับเป็นเรื่องใหญ่โต
ตุลย์กะพริบตาถี่ๆ มองวิญญาณประหลาดทั้งสามที่ยืนล้อมรอบเขาอยู่ ราวกับสนิทติดเชื้อกันมานาน
"พวก...พวกคุณรู้จักผมเหรอ?"
"รู้จักมาตั้งนานแล้วค่ะ ดาร์ลิ้งก์" ตานีพูดพร้อมกับเอียงคอท่าทางเขินอาย "ฉันชอบแอบมองเธอแก้ผ้าเล่นน้ำในสระตั้งแต่ตอนเธอยังเป็นเด็กน้อยอยู่เลยอ่ะ"
"อาเจ๊! อย่าพูดแบบนั้นดิ มันน่าอายนะ" ดอนร้องท้วง ยกสองมือขึ้นจับแก้มที่แดงก่ำ
"Don't worry, boy! She แค่ล้อเล่น" โทนี่ตบไหล่ตุลย์เบาๆ แต่มือกลับทะลุผ่านร่างของเขาไป "Oops! ลืมไปว่าเราเป็น ghost"
ตุลย์ยังคงยืนงงๆ ตลอดเวลาที่วิญญาณทั้งสามแนะนำตัว จนกระทั่งตานีลอยมาอยู่ตรงหน้า ใบหน้าห่างจากเขาเพียงไม่กี่นิ้ว
"แต่ดูดาร์ลิ้งก์ตอนนี้สิจ้ะ หล่อล่ำขึ้นตั้งเยอะ ไม่เหมือนเด็กผอมๆ ที่เคยวิ่งเล่นอยู่แถวนี้เลย" ตานียื่นหน้าเข้ามาใกล้ พยายามจะจูบแก้มตุลย์
ชายหนุ่มถอยหลังกรูดทันที พลางยกมือขึ้นปัดป้อง "เฮ้ย! อย่า!"
"อาเจ๊คร้าบ อย่าทำแบบนั้นกับพี่ชายเหอะ" ดอนวิ่งเข้ามาพร้อมกับกระโดดตีลังกาพรวดเดียวขึ้นไปนั่งบนบ่าของตุลย์ได้อย่างน่าประหลาด แต่เขากลับไม่รับรู้ถึงน้ำหนักใดๆ
"พี่ชายเพิ่งกลับมาเองนะ ยังไม่ชินกับพวกเรา"
"Calm down, Everyone! ให้เวลาเขาปรับตัวบ้าง" โทนี่พูดพร้อมกับดีดนิ้วเป็นจังหวะ พลันกีตาร์ไฟฟ้าสีแดงสดก็ปรากฏขึ้นในมือ
"แล้ว..แล้วทำไมพวกคุณ..ถึงอยู่ที่นี่กันล่ะ..." ตุลย์เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง สีหน้าของเขายังคงรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย
"พวกเราเป็นผู้พิทักษ์วัดนี้มานานแล้วล่ะดาร์ลิ้งก์" ตานีตอบ พร้อมกับดัดนิ้วไปมา "แต่ตอนที่เธอเป็นเด็ก เธอมองไม่เห็นพวกเราเอง"
"ใช่ๆ แต่ตอนนี้พี่ชายมีพลังของลุงยักษ์ เลยเห็นพวกหนูได้" ดอนพูดต่อพลางโยกตัวไปมาบนบ่าของตุลย์
"And now..." โทนี่ดีดกีตาร์เสียงดังจนตุลย์สะดุ้งเฮือก
"พวกเราพร้อมจะ support You ในภารกิจนี้"
"หมายความว่ายังไง?" ตุลย์มองวิญญาณทั้งสามด้วยความงุนงง
"ข้าเป็นคนบอกพวกมันเองแหละ" เสียงทุ้มต่ำของกุมกรรณดังขึ้นในหัวชายหนุ่ม "คิดจะทำการใหญ่คนเดียวมันเหนื่อยนะ หากมีทีมงานที่ไว้ใจได้คอยช่วยเหลืออะไรๆ ก็ง่ายขึ้น"
ดอนกระโดดลงจากบ่าของตุลย์ พร้อมกระโดดโลดเต้นไปรอบๆ ห้อง "พี่ชายจะได้เป็นฮีโร่แล้ว! สู้ๆ นะพี่ชาย!"
"พวกเราจะ fight for justice together!" โทนี่ตะโกนพร้อมสไลด์กีตาร์เสียงดังก้องกุฏิ
ตุลย์ยกมือขึ้นกุมขมับ นี่เป็นเรื่องที่เกินกว่าจินตนาการของเขา วิญญาณสามตนที่ท่าทางประหลาด พูดจาแปลกๆ แต่ดูเหมือนจะมาเป็นพันธมิตรที่จะช่วยเขาจัดการพวกคนชั่ว
"เห็นแบบนี้อย่าคิดว่าเรากระจอกนะดาร์ลิ้ง พวกเราน่ะเป็นถึงเทพชั้นจาตุมเลยนะคะ" ตานีกระซิบใกล้หูของตุลย์ ทำให้เขารู้สึกเหมือนมีลมเย็นๆ พัดผ่าน
"แล้วพวกคุณจะช่วยผมได้ยังไง?" ตุลย์เอ่ยถาม พยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ เขาเพิ่งผ่านเหตุการณ์ตายแล้วฟื้นมาเมื่อคืนนี้เอง แล้วยังต้องมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับวิญญาณแปลกๆ ถึงสามตน
"No Problem Boy" โทนี่พูดพลางหมุนตัวเป็นวงกลม "We are teamwork! ไอถนัดเรื่องการสืบข่าว อยากรู้เรื่องอะไรเดี๋ยวจัดให้ "
"ส่วนฉันสร้างภาพลวงตาและมนต์สะกดได้จ้า" ตานีพูดพลางขยิบตา "อยากให้สร้างภาพหลอนใครก็บอกได้นะ ดาร์ลิ้งก์"
ดอนกระโดดขึ้นลงด้วยความตื่นเต้น "ส่วนหนูมีของเล่นเยอะแยะเลยในกระเป๋านี้!" ดอนปลดกระเป๋าหมีแพนด้าที่ดูใหญ่เกินตัวออกมากอดไว้
"ของเล่น?" ตุลย์ทำหน้าฉงน สายตาจ้องมองไปที่กระเป๋าหมีแพนด้า ที่ดวงตาเป็นสีแดงหม่น
"ดอนหมายถึงพวกอาวุธที่มนุษย์เขาใช้กันน่ะดาร์ลิ้ง จะเรียกคลังสรรพวุธก็ไม่ผิดนะ" ตานีส่งยิ้มหวานก่อนตอบ พร้อมกับเปิดกระเป๋าหมีแพนด้าด้วยท่าทีกรีดกรายก่อนจะก้มลงไปส่องดู
"แต่ของพวกเนี้ย จะใช้ได้เฉพาะกับภูตผีปีศาจนะคะ"
"ระวังหน่อยอาเจ๊ คราวก่อนก็ทำเอ็มเจ็ดสิบเก้าของหนูแตกไปลูกหนึ่งแล้ว เล่นซะวิญญาณแถวนี้กระเจิงหมด"
ตุลย์มองพวกเขาด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป แม้จะดูแปลกๆ ไปบ้างแต่กลับรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอย่างประหลาดจนเขาเผลอหลุดยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
"งั้นพวกเราก็เป็นทีมกันแล้วสินะ"
"Absolutely!" โทนี่ตะโกนพร้อมดีดกีตาร์เสียงดังกว่าเดิม จนดอน ต้องยกมือขึ้นมาอุดหู
"แน่นอนจ้ะ ดาร์ลิ้งก์" ตานีโผเข้ามาหมายจะกอดตุลย์ แต่ชายหนุ่มกลับเบี่ยงตัวหลบแบบเฉียดฉิว ทำให้ตานีขมวดคิ้วทำแก้มป่องอย่างเซ็งๆ
"เย้! พวกเราจะเป็นทีมที่เจ๋งที่สุดเลย!" ดอนตะโกนด้วยความดีใจพร้อมกระโดดโลดเต้นไปมาอย่างเริงร่า
ตุลย์ส่ายหน้าพลางยิ้มบางๆ เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพังอีกต่อไป แม้พันธมิตรของเขาจะเป็นกลุ่มวิญญาณสุดประหลาดก็ตาม
ในขณะเดียวกันที่ภายนอกกุฏิ ก็ปรากฏเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ เป็นดวงวิญญาณของหลวงตาแสงที่ฉายรอยยิ้มอย่างเปี่ยมสุข
"ดีแล้ว...มีคนช่วยดูแลเด็กคนนี้ จะได้ไม่หลงไปกับความมืดมิด" ท่านพึมพำแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ จางหายไปกับสายลมที่พัดโชยมา
ขณะเดียวกันภายในตัวเมืองวังลับแล รินรวีกำลังสัมภาษณ์นักกิจกรรมสิ่งแวดล้อมถึงเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อวาน ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือในมือก็สั่นครืดๆ แจ้งเตือนข้อความใหม่จากเพื่อนร่วมวงการสื่อ
"ริน เธอเห็นข่าวทนายตุลย์หรือยัง?"
หัวใจของรินรวีกระตุกวูบ เธอรีบเปิดอ่านข้อความนั้นทันที พาดหัวข่าวที่ปรากฏบนหน้าจอทำเอาลมหายใจของเธอแทบจะหยุดชะงัก
"ช็อกวงการ! ทนายตุลย์ พิทักษ์ธรรม เสียชีวิตกะทันหันด้วยภาวะหัวใจล้มเหลว"
"ไม่จริง..." รินรวีพึมพำแผ่วเบา มือที่ถือโทรศัพท์สั่นระริก เธอไล่อ่านรายละเอียดข่าวอย่างรวดเร็ว เนื้อหาระบุว่าทนายตุลย์มีโรคประจำตัวเป็นความดันโลหิตสูง และเสียชีวิตอย่างกะทันหันที่สำนักงาน แพทย์ลงความเห็นถึงสาเหตุการเสียชีวิตว่าเป็นภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
นิ้วของเธอลากหน้าจอลงเรื่อยๆ จนพบภาพของนายแพทย์คนหนึ่งที่ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้
"ผมได้รับอนุญาตจากญาติผู้เสียชีวิต ให้นำร่างของทนายตุลย์ไปใช้เป็นอาจารย์ใหญ่ในคณะแพทยศาสตร์ เพื่อให้สอดคล้องกับ เจตจำนงของเขาที่ต้องการอุทิศตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวมแม้จะจากไปแล้ว"
"นี่มันเกิดอะไรขึ้น..." รินรวีพึมพำน้ำตาคลอโดยไม่รู้ตัว เธอเก็บกล้องและสมุดบันทึกและกล่าวลาแหล่งข่าวอย่างลวกๆ แล้วรีบกลับคอนโดทันที แต่ระหว่างทางเธอเริ่มรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนมีใครบางคนคอยจับตามองอยู่มาสักพักหนึ่งแล้ว
ทันทีที่กลับมาถึงคอนโด รินรวีมองซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวงก่อนจะรีบเข้าห้องแล้วล็อคประตูสองชั้นอย่างแน่นหนา สโนว์ แมวเมนคูนสีขาวของเธอยังคงวิ่งมาต้อนรับเหมือนเช่นเคย แต่วันนี้มันกลับดูตื่นตระหนกผิดปกติ มีอาการขนฟูตังชันและหลังโก่งเหมือนกับพบสัญญาณอันตราย
"เป็นอะไรไปสโนว์?" รินรวีอุ้มเจ้าเหมียวตัวเขื่องขึ้นมา มันขู่ฟ่อๆ จ้องไปที่มุมห้อง ทั้งที่ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น และจู่ๆ โทรศัพท์ของเธอสั่นขึ้น เป็นข้อความจากเบอร์ที่ไม่รู้จัก
"พวกสอดรู้สอดเห็นมักจะอายุสั้น อย่าขุดคุ้ยเรื่องโรงงานเคมีอีก ถ้าไม่อยากจบเหมือนทนายตุลย์"
รินรวีมองข้อความในโทรศัพท์ด้วยความรู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่าง ความรู้สึกไม่ปลอดภัยกำลังเข้าครอบงำจิตใจอย่างรวดเร็ว เธอตระหนักได้ในทันทีว่าคงไม่สามารถอยู่เฉยๆ ได้อีกต่อไปแล้ว
รินรวีจึงรีบโทรหาผู้กองเดชา นายตำรวจที่เธอคุ้นเคยที่สุดทันทีเพื่อขอความช่วยเหลือ
"ผู้กองคะ ดิฉันรินรวีนะคะ มีเรื่องด่วนต้องขอคำปรึกษาค่ะ"
"ว่าไงครับคุณริน" เสียงของผู้กองเดชาทุ้มนิ่ง ท่ามกลางเสียงจอแจ ของผู้คนในสถานี
"มีคนส่งข้อความข่มขู่ดิฉันค่ะ ต้องเกี่ยวกับงานที่กำลังทำอยู่แน่ๆ และดิฉันรู้สึกว่ามีคนตามดิฉันด้วย...แล้วเรื่องทนายตุลย์..."
"เดี๋ยวๆ" ผู้กองเดชาพูดแทรก "เรื่องนี้ไม่ควรคุยทางโทรศัพท์นะครับ เรามาคุยกันเป็นการส่วนตัวดีกว่า...ผมรู้ว่าควรไปที่ไหน"
ครึ่งชั่วโมงต่อมา รินรวีนั่งรออยู่ในร้านดูดวงเล็กๆ ที่แอบซ่อนอยู่ในซอยแคบของย่านเมืองเก่าของวังลับแลซึ่งอยู่ไม่ไกลจากคอนโดของเธอมากนัก ป้ายไม้เก่าคร่ำคร่าสลักชื่อ "กฤตยา พยากรณ์" แกว่งไหวเอื่อยๆ ตามแรงลมที่พัดมาเบาๆ
หญิงสาวมองสำรวจไปรอบๆ ห้องรับแขก ที่ถูกตกแต่งในสไตล์ยิปซี ให้ความรู้สึกลึกลับน่าค้นหา รินรวีอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมผู้กองเดชาต้องนัดเธอให้มาเจอที่นี่ด้วย
ไม่นานข้อความจากนายตำรวจหนุ่มก็ปรากฏขึ้นที่หน้าจอมือถือบอกว่าเขาพึ่งจะมาถึง แต่ขอสำรวจดูรอบๆ บริเวณก่อนเพื่อความปลอดภัย
และในเวลาไม่นานนัก บานประตูร้านก็ถูกเปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของนายตำรวจหนุ่ม ที่มาพร้อมกับสตรีร่างผอมเพรียวในชุดเดรสยาวสีม่วงเข้มที่มีใบหน้าสวยคมดูมีเสน่ห์ลึกลับ
"นี่คือภรรยาผม กฤตยา" ผู้กองเดชาแนะนำ "และนี่คือคุณรินรวี นักข่าวที่ผมเคยเล่าให้ฟัง"
กฤตยายิ้มอย่างอบอุ่น "ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันรอคอยการพบกันครั้งนี้มานานแล้ว"
"รอคอย...เหรอคะ?" รินรวีขมวดคิ้วเล็กน้อย
"ฉันมีจิตสัมผัสกับองค์เทพจันทราค่ะ" กฤตยาตอบพร้อมรอยยิ้มที่ดูมีมนต์สเน่ห์ "บางครั้ง..ฉันรู้สึกถึงคนที่จะเข้ามาในชีวิตก่อนจะได้พบกัน และคุณเป็นหนึ่งในนั้น"
ผู้กองเดชากระแอมเบาๆ "เรามาคุยเรื่องสำคัญกันดีกว่าไหมที่รัก"
กฤตยาพยักหน้า นำพวกเขาไปยังห้องด้านหลังร้าน ซึ่งมีโต๊ะกลมตั้งอยู่ตรงกลาง บนโต๊ะมีผ้าคลุมสีม่วงเข้มปักดวงดาวและพระจันทร์เสี้ยว เสริมบรรยากาศด้วยเทียนหอมส่งกลิ่นลาเวนเดอร์อ่อนๆ
"เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉันฟังได้ไหมคะ" กฤตยาเอ่ยถามหลังจากทุกคนนั่งลงเรียบร้อยแล้ว
รินรวีพยักหน้าพร้อมกับเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมด ทั้งการเสียชีวิตกะทันหันของทนายตุลย์ การชุมนุมต่อต้านโรงงานเคมี ความรู้สึกว่ามีคนตามเธอ และข้อความข่มขู่ล่าสุด
กฤตยาฟังอย่างตั้งใจ ดวงตาของเธอดูลึกลับขึ้นทุกขณะ เมื่อรินรวีเล่าจบ เธอจึงหยิบสำรับไพ่ทาโรต์ที่ดูเก่า แต่กลับมีความรู้สึกขรึมขลังแผ่ออกมา
"ฉันขอดูไพ่ให้คุณนะคะ" แม่หมอสาวยิ้มบางๆ ดวงตาคู่สวยจับจ้องเข้าไปในดวงตาของรินรวีราวกับจะอ่านใจ
กฤตยาเริ่มสับไพ่ช้าๆ ขณะที่ผู้กองเดชานั่งเงียบ สายตาจับจ้องที่ภรรยาของเขา นิ้วเรียวงามของแม่หมอสาวบรรจงหยิบไพ่แบบสุ่มออกมาสามใบมาวางตรงหน้า ก่อนจะพลิกขึ้นมาทีละใบเพื่อสื่อความหมาย
"ไพ่ใบแรก... ไพ่เดวิล" กฤตยาพูดเสียงเครียด "มีการหลอกลวงครั้งใหญ่เกิดขึ้น สิ่งที่คุณเห็นไม่ใช่ความจริงทั้งหมดค่ะ รวมถึงอิทธิพลมืดซ่อนเร้นที่แทรกซึมไปทั่วทั้งเมือง"
เธอพลิกไพ่ใบที่สอง "ไพ่เอ็มเพอเร่อในตำแหน่งกลับหัว... อันตรายจากผู้มีอำนาจที่พยายามคุกคามคุณ"
"คุณรินรวีคะ ช่วงนี้ต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษนะคะ เพราะงานที่คุณทำอาจไปขัดผลประโยชน์ของผู้มีอิทธิพลบางกลุ่มเข้าค่ะ"
รินรวีถอนหายใจยาว "เรื่องนี้ฉันพอคาดเดาได้ค่ะแล้ว...ข่าวการเสียชีวิตของทนายตุลย์ล่ะคะ?"
ไพ่ใบที่สาม กฤตยาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อพลิกมันขึ้น "ไพ่จัสเม้นต์... คนๆ นั้นเคยตายไปแล้ว แต่กลับฟื้นขึ้นมาใหม่ด้วยเหตุผลบางอย่างค่ะ"
รินรวีตัวแข็ง "คุณหมายความว่า...ทนายตุลย์?"
กฤตยาหลับตาลง มือของเธอเริ่มสั่นเล็กน้อย "เขายังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่ใช่คนเดิม"
ผู้กองเดชาขมวดคิ้ว สายตาหรี่ลงเล็กน้อย "กฤตยา คุณหมายถึงอะไร?"
กฤตยาลืมตาขึ้น แววตาของเธอดูตกใจ "ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน... มันเหมือนมีจิตวิญญาณอีกดวงอยู่ในร่างของเขา"
"คล้ายกับพวกร่างทรงหรือเปล่าที่รัก" ผู้กองหนุ่มเอ่ยถามภรรยา
"ไม่ค่ะเดชา แต่ฉันอธิบายไม่ถูกมันดูอันตรายกว่านั้น"
รินรวีรู้สึกเหมือนโลกของเธอกำลังพลิกคว่ำ เธอหันไปมองกฤตยาอีกครั้งด้วยสีหน้าคาใจอย่างบอกไม่ถูก
"คุณ...เห็นอะไรอีกไหมคะ? เกี่ยวกับทนายตุลย์"
กฤตยาส่ายหน้าช้าๆ "ฉันพยายามแล้ว แต่มีม่านพลังบางอย่างปิดกั้นไว้ เหมือนมีใครบางคน... หรือบางสิ่ง... ไม่ต้องการให้ฉันรู้มากไปกว่านี้"
"สรุปว่า..ข่าวการตายนั่น.." ผู้กองหนุ่มทำสีหน้าเหมือนคาดเดาอะไรบางอย่างได้
"เป็นข่าวปลอม" กฤตยาตอบเสียงมั่นใจ "จัดฉากโดยใครสักคนที่ต้องการปกป้องเขา... หรืออาจจะเป็นตัวเขาเองก็ได้"
ผู้กองเดชาถอนหายใจ "สอดคล้องกับสิ่งที่ผมสงสัย... ไม่มีการชันสูตรศพอย่างเป็นทางการ ไม่มีใบมรณบัตรในระบบ และแพทย์คนนั้นก็เป็นเพื่อนสนิทของทนายตุลย์ด้วย ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจกำลังปิดบังช่วยเขาอยู่"
"มีอะไรจะถามอีกไหมคะ" กฤตยาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเนือยๆ จนผู้กองเดชายื่นมือมาวางบนไหล่ของภรรยาที่ดูเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด
"ไม่มีแล้วค่ะ" รินรวีตอบกลับ เพราะเธอได้คำตอบที่ต้องการแล้ว
"เดี๋ยวผมจะให้คนไปติดตั้งกล้องวงจรปิดที่คอนโดคุณ และจะประสานให้สายตรวจแวะเวียนมาดูแลบ่อยขึ้นนะครับ แต่คุณเองก็ต้องระวังตัวด้วย ช่วงนี้อย่าเพิ่งไปไหนมาไหนคนเดียว โดยเฉพาะตอนกลางคืน" ผู้กองเดชาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"ค่ะ ฉันจะระวังตัวให้มากที่สุดค่ะ" รินรวีพยักหน้ารับคำ
"และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น" กฤตยาย้ำเสียงหนักแน่นพร้อมกับกระชับมือนักข่าวสาวด้วยความเป็นห่วง
"หากคุณบังเอิญได้พบทนายตุลย์ อย่าเพิ่งปักใจเชื่อเขาทันทีนะคะ... เขาเปลี่ยนไปมาก อาจจะไม่ใช่คนที่คุณเคยรู้จักอีกแล้วก็ได้ เขาอาจจะหวังดี หรืออาจจะประสงค์ร้ายก็ได้ทั้งนั้น"
รินรวียิ้มบางๆ แต่แววตายังคงแน่วแน่ "ขอบคุณผู้กองเดชากับคุณกฤตยามากนะคะสำหรับความหวังดี แต่ฉันเชื่อมั่นในความรู้สึกของตัวเองค่ะ ว่าทนายตุลย์จะไม่มีวันคิดทำร้ายฉัน ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไรก็ตาม"
□□□□□□□□□□□□□□□□□□