ความเป็นกับความตายห่างกันแค่คืบ เช่นเดียวกับหัวใจทั้งสองที่ไม่อาจคู่ควร

After Dark Flirtation รัตติกาลผัดรัก - บทนำ บทนำ โดย GreySweater @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

หญิง-หญิง,แฟนตาซี,ดราม่า,ดราม่า,แฟนตาซี,GL,ผัดซีอิ๊วหน้าง่วง,รัตติกาลผัดรัก,AfterDarkFlirtation,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

After Dark Flirtation รัตติกาลผัดรัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

หญิง-หญิง,แฟนตาซี,ดราม่า

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,แฟนตาซี,GL,ผัดซีอิ๊วหน้าง่วง,รัตติกาลผัดรัก,AfterDarkFlirtation

รายละเอียด

After Dark Flirtation รัตติกาลผัดรัก โดย GreySweater @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ความเป็นกับความตายห่างกันแค่คืบ เช่นเดียวกับหัวใจทั้งสองที่ไม่อาจคู่ควร

ผู้แต่ง

GreySweater

เรื่องย่อ

AFTER DARK FLIRTATION รัตติกาลผัดรัก


Girl Love | Fantasy By GreySweater


หนึ่งมนุษย์ หนึ่งอมนุษย์พานพบเจอกันโดยไม่ใช่เรื่องบังเอิญนัก "ซิบิล" ปีศาจแห่งการหลับใหล ผีอำและฝันร้าย ผู้ดูแลปากท้องแห่งนรกมีเวลา 3 สัปดาห์เพื่อหานักโภชนาการคนใหม่ และไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าสาวน้อยผู้มีเสน่ห์ปลายจวัก เจ้าของร้านผัดซีอิ๊วเงาเมืองรุ่นที่ 5 อย่าง "วี" อีกแล้ว


ติดแค่... เธอไม่ยอมทำสัญญาดี ๆ เนี่ยสิ!



ภาพหน้าปกและภาพประกอบโดย Kira



#AfterDarkFlirtation #รัตติกาลผัดรัก #ผัดซีอิ๊วหน้าง่วง #เกรย์สเวตเตอร์เขียน #จักรวาลนิยายทริลเลอร์แฟนตาซี #นิยายยูริ #GirlLove

สารบัญ

After Dark Flirtation รัตติกาลผัดรัก-บทนำ บทนำ

เนื้อหา

บทนำ บทนำ

ในยามเช้าตรู่ท่ามกลางอากาศเย็นสบายของฤดูฝนปีพ.ศ. 2558 เวลาประมาณตีห้า เสียงนกร้องขับขานทำนองขณะโผบินจากกิ่งไม้และเสียงความเคลื่อนไหวของสายลมนำพาปุยเมฆสีครึ้มล่องลอย เช้านี้ค่อนข้างอบอ้าวและไม่อาจคาดเดาได้ว่าห่าฝนจะเทหรือไม่


มนรดา หญิงวัยกลางคนอายุย่างเข้าเลขหกที่กำลังหุงข้าวทำมื้อเช้าซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้เป็นแม่และภรรยา เธอทำเช่นนี้อยู่ประจำทุกวัน ไม่เคยขาดตกบกพร่อง นับตั้งแต่จดทะเบียนสมรสเข้ามาในครอบครัวตระกูลฐิติอิทธินันท์ อาหารเช้าของครอบครัวมักเป็นเมนูเรียบง่ายเพื่อให้มีพลังงานและย่อยทันเวลาเริ่มงาน เมื่อเรียบร้อยแล้วเธอก็ไปปลุกสามีให้ตื่นมาเพื่อเตรียมตัวที่จะเปิดร้านขายผัดซีอิ้วซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวและเธอเองไม่ได้เพียงแต่เป็นแม่บ้านทำอาหารตอนเช้าไว้สำหรับสามีและลูก ๆ เท่านั้นแต่เธอยังคงจัดเตรียมวัตถุในการขายผัดซีอิ้วในแต่ละวันอีกด้วย แต่หน้าที่หลักหน้าเตาในร้านเป็นของสามีเธออย่างเกริกวิทย์ ชายวัยไล่เลี่ยผมยาวระต้นคอสีดอกเลา ใบหน้าเกลี้ยงเกลาไร้หนวดเคราเฟิ้มกำลังหลับตาพริ้มอย่างสงบบนเตียง


มนเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศและให้แสงยามเช้าเข้ามาสร้างความสดชื่น แต่เธอแปลกใจที่วันนี้สามีของเธอดันตื่นยาก เกริกวิทย์เป็นคนตื่นง่ายแค่เรียกครั้งสองครั้งหรือสะกิดเรียกก็เด้งตัวตื่นแล้ว ทว่าวันนี้แม้แต่แสงพระอาทิตย์ส่องกระทบร่างแล้วเขาก็ยังคงไม่ไหวติงราวกับรูปปั้น เป็นความนิ่งสงบอันน่าประหลาดเพราะไม่มีกระทั่งเสียงกรน "เกริก... เช้าแล้วนะ ตื่นมากินข้าวเช้า จะได้กินยา" มนรดาเดินไปเขย่าตัวร่างใหญ่ของสามีซึ่งนอนเผยอปากอ้าอยู่บนเตียงแต่กลับไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ตอบสนองมาจากเขา เธอรู้สึกไม่ค่อยดีนัก ความหวาดกลัวคืบคลานเกาะกินหัวใจจนหนาววาบไปทั้งแผ่นหลัง เมื่อมนยื่นนิ้วชี้แนบไปที่ปลายจมูกของสามี "เกริก!" เสียงไห้คร่ำครวญดังทั่วบ้านคล้ายจะขาดใจ น้ำตาของผู้เป็นภรรยาไหลร่วงลงมาอาบแก้มเมื่อรู้ว่าต่อไปนี้เธอต้องเสียสามีไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ “วี! วิช!”


วรกมลหรือวี เด็กหญิงวัย 17 ปีหลับใหลอยู่ในห้วงนิทราต้องสะดุ้งตื่นตกใจเพราะเสียงตะโกนเรียกของผู้เป็นแม่ดังมาจากอีกห้อง เธอรีบลุกจากเตียงแล้ววิ่งออกไปตามที่มาของเสียงโดยที่น้องชายอย่างวรภพหรือวิช น้องชายคนเล็กวัย 15 ปีที่สะลึมสะลืองัวเงีย เขาจึงเดินตามออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อมาถึงห้องของพ่อแม่เธอและน้องชายก็ได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญจากผู้เป็นแม่ เมื่อเดินมาในห้องก็พบกับพ่อนอนแน่นิ่งโดยมีแม่ซบกอดร้องไห้อยู่อย่างสะอึกสะอื้น


"แม่! เป็นอะไร!" เด็ก ๆ ทั้งสองเรียกแม่พร้อมกับวิ่งไปปลอบ พวกเขาไม่เคยเห็นแม่ร้องไห้หนักขนาดนี้มาก่อน เธอกุมมือของสามีแน่น


"วี วิช พ่อเขาไม่อยู่กับเราแล้วลูก ฮือ ๆ ๆ"


ทั้งสองเมื่อได้ยินเช่นนั้น วิชวิ่งเข้าไปและรีบปีนขึ้นเตียงไปกอดร่างของพ่อทันทีพร้อมร้องไห้งอแง วีเองยืนนิ่งน้ำตาอาบแก้มก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปที่เตียงตรงแม่เธออยู่อย่างช้า ๆ มองใบหน้าซีดเซียวของผู้เป็นพ่อที่หลับใหลไปแบบไม่มีวันตื่น ร่างกายของเขาเย็นเฉียบราวถูกแช่ใต้ธารน้ำแข็งอุณหภูมิติดลบ เธอก้มลงกอดผู้เป็นแม่และร่างไร้วิญญาณของพ่อ ไม่ว่าเธอจะเสียใจมากขนาดไหนแต่เธอต้องเข้มแข็งเพราะต่อไปนี้เธอต้องเป็นเสาหลักแทนผู้เป็นพ่อ


"พี่วี... ฮือ พาพ่อไปโรงบาลทีสิ... พี่วี" วรภพบอกพี่สาวด้วยเสียงที่แหบพร่าและเบาแทบจะไม่ได้ยินเพราะเอาแต่ร้องไห้


"ไม่ทันแล้ว... สายไปแล้ว" เธอยกมือลูบหัวน้องชายตัวเล็กอย่างปลอบโยนเพื่อให้น้องชายรับความจริงและเข้มแข็งให้ได้


"ฮืออ… ทำไมคุณถึงรีบจากฉันและลูกไปแบบนี้นะ ฮึก ๆ ลูกเรายังเรียนไม่จบเลย... ไหนว่าอยากรอดูวีแต่งงานไง" มนรดายังคงคร่ำครวญร้องเรียกสามีในอ้อมกอด ที่ผ่านมาเขาดูแข็งแรงสุขภาพดีมาตลอด แม้ทำงานหนักพักผ่อนน้อยก็ตาม ทึ่ผ่านมามีบ้างที่สามีภรรยาจะทะเลาะกัน แต่ก็ยังประคับประคองกันมาได้ถึงยี่สิบปีพร้อมกับเลี้ยงดูลูก ๆ ทั้งสอง


"แต่พ่อไม่ต้องเหนื่อยแล้วนะ พ่อได้พักแล้ว" วีกุมมือซ้ายของพ่อแน่นโดยที่ยังคงประคองมือของแม่กับน้องชายไว้ด้วย เธอสะอึกสะอื้น ใช้เวลาสักพักเพื่อเรียบเรียงคำพูดสุดท้ายต่อบิดา "พ่อไม่ต้องห่วงนะ... วีจะดูแลแม่กับน้องให้ได้ ความรัก... ความรู้... ทุกอย่างที่พ่อมีให้พวกเรา วีจะไม่มีวันลืมเลย... ชาติหน้าพ่อมาเป็นพ่อของวีกับวิชอีกนะ"


สิ้นคำพูดสามแม่ลูกพากันกอดร่างของผู้เป็นเสาหลัก ต่อไปนี้พวกเขาจะต้องสานต่อในเรื่องต่างและช่วยกันดูแลซึ่งกันและกันให้ได้แม้ไม่มีผู้นำที่แข็งแกร่งแล้วก็ตาม การจากไปแบบไม่มีวันหวนกลับของเกริกวิทย์ ฐิติอิทธินันท์ พ่อครัวมือฉมังแห่งร้านผัดซีอิ๊วเงาเมืองรุ่นที่ 4 ประจำเจริญกรุงทำเอาชาวบ้านในชุมชนต่างพากันใจหายกับการจากไปแบบกระทันหัน ผู้คนต่างช่วยพากันเคลื่อนย้ายร่างไร้วิญญาณไปสู่ที่วัดในชุมชน งานศพของเกริกวิทย์จัดแบบเรียบง่ายตามความเชื่อทางศาสนาพุทธ บรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้าโศกของคนในครอบครัวและญาติพี่น้อง ชาวบ้านในละแวกเดียวกันต่างพากันช่วยงานด้วยความเต็มใจเพราะเขาเป็นที่รักของคนในชุมชนและคนที่เป็นลูกค้าเจ้าประจำของร้านผัดซีอิ้วที่เป็นธุรกิจของครอบครัวฐิติอิทธินันท์มานาน


วีในชุดกระโปรงยาวคลุมเข่าสีดำไร้ลวดลายยืนรับแขกอยู่ที่ทางเดินเข้าศาลา ญาติสนิทมิตรสหายและชาวบ้านผู้รู้จักกับผู้วายชนม์ต่างหลั่งไหลมาที่งานเพื่อแสดงความเสียใจและเป็นกำลังใจให้กับครอบครัวที่เหลืออยู่


"มน ฉันเสียใจด้วยนะที่จู่ ๆ เกริกมันจากไปแบบนี้ ไม่เป็นไรนะไม่เป็นไร" นิ่ม พี่สาวของมนรดาที่มีศักดิ์เป็นป้าของเด็ก ๆ ลงจากรถเก๋งเดินตรงมาโอบกอดให้กำลังใจแล้วเดินถัดมาหาหลานสาวคนโต


"ป้าเป็นกำลังใจให้หนูนะลูก... วีน่ะเก่งและเข้มแข็งเหมือนพ่อ สิ่งที่เกริกถ่ายทอดให้วีมาตั้งแต่เด็ก นั่นคือสมบัติที่พ่อเขาทิ้งไว้ให้วีนะ ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป ถ้าอยากให้ป้าช่วยอะไรบอกได้เสมอนะ" นิ่มกุมมือเด็กสาววัยรุ่นใบหน้าซีดเซียว ไม่เติมแต่งแม้แต่เครื่องสำอางเพื่อให้ใบหน้ามีสีเลือดฝาด


"ขอบคุณนะคะป้านิ่ม" วีสวมกอดขอบคุณ เมื่อรู้สึกว่านานพอสมควรแล้วจึงผละตัวออกแล้วเชิญให้เข้าไปด้านในงาน


เมื่อใกล้เวลาสวดอภิธรรม เธอก็จะเตรียมตัวเข้าไปด้านในบ้าง แต่กลับต้องชะงัก เมื่อหางตาของเธอเห็นร่างจาง ๆ อยู่ที่ข้างโลงเย็นของพ่อเธอ


"มีอะไรหรอ วี" มนรดาเอ่ยถามพร้อมกับแตะไหล่ของลูกสาวเบา ๆ โดยที่ชะเง้อมองไปตามสายตาที่วีจับจ้องใกล้โลงสี่เหลี่ยม “มองอะไรขนาดนั้นน่ะ”


"เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร" เธอส่งยิ้มให้แม่เพราะคิดว่าตัวเองคงตาฝาดไปเอง “แม่ไปพักก่อนก็ได้ เดี๋ยวสักพักหนูก็ตามไปแล้ว ว่าแต่อยากให้เรียกวิชเข้าไปด้วยมั้ยคะ”


“ยังไม่ต้องหรอก ปล่อยให้เล่นแถว ๆ นี้ก็พอ มืดแล้วอันตราย”


“โอเคค่ะ”


สองแม่ลูกพากันเดินเข้าไปนั่งด้านหน้าในที่ของเจ้าภาพงานศพ เวลาทำพิธีสวดอภิธรรมก็ดำเนินการไปเรื่อย ผู้คนอยู่ในโหมดเงียบชั่วคราวด้วยความเศร้าหมองไม่ต่างจากการนำผ้าคลุมแห่งอารมณ์โศกเศร้ามาห่อไว้ เมื่อพระสวดอภิธรรมเสร็จสิ้นก็ถึงเวลาแขกได้รับประทานอาหารซึ่งเมนูเป็นข้าวต้มปลา เหล่าลูกเด็กเล็กแดงก็พากันวิ่งเล่นอยู่นอกศาลาตามประสาเด็กน้อย เจ้าวิชก็เป็นหนึ่งในเด็ก ๆ กลุ่มนั้น


"อ้าว ๆ ดูสิน่ะ พ่อมันเพิ่งตายแท้ ๆ ยังมีอารมณ์ไปวิ่งเล่นสนุก ไอ้วิชเอ๊ย" ป้าคนหนึ่งจากในตลาดที่ชอบเอ่ยพูดเสียงดังกึ่งตำหนิขณะที่ยังพนมมือระดับหน้าอกเพราะเห็นวิชกำลังวิ่งเล่นกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันจนเสียงหัวเราะดังไปถึงบริเวณงาน “ฉันว่าพ่อแม่มันก็เลี้ยงมาดีนะ ทำไมเป็นงี้นะ”


"แกนี่จะไปอะไรกับเด็ก มันยังเป็นเด็กไม่รู้ประสาอะไรมากมายเหมือนผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ ปล่อยมันไปบ้างเถอะ"


วีที่กำลังถือถาดกลมอลูมิเนียมเดินเสิร์ฟน้ำเสิร์ฟอาหารตามโต๊ะได้ยินแบบนั้นก็เงียบไม่พูดอะไร จนกระทั่งเจ้าของเสียงพูดนั้นกวักมือเรียกเธอเอง


"เออนี่ วีมาก็ดี เราก็เตือน ๆ น้องบ้างนะว่าอยู่ในงานศพควรสำรวมมากกว่านี้ โดยเฉพาะงานศพคนในครอบครัว ไม่ใช่วิ่งเล่นมีความสุขแบบนั้น" ป้าปากตลาดคนเดิมยังคงมาพูดกับเธอต่อ วีโน้มตัวฟังสิ่งที่หญิงวัยกลางคนดูอายุแก่กว่าแม่ตัวเองไม่มากนัก เธอพอจะจำหน้าได้ว่าป้าคนนี้เป็นเจ้าของร้านขายของชำ


"เดี๋ยวหนูเตือนให้ค่ะ ตอนนี้ปล่อยวิชเล่นไปเถอะ มันก็ซนตามวัยนั่นแหละ" วีกระแอมแล้วโน้มตัวคุยกับคู่สนทนาด้วยเสียงแผ่วเบาเยือกเย็นเพื่อไม่ให้เสียบรรยากาศการไว้อาลัย “ในวงนั้นก็มีหลานของป้าด้วยนี่คะ... ว่าแค่น้องหนูมันไม่แฟร์รึเปล่า... แต่มันจะดีกว่านี้มาก ถ้าป้าไม่พูดว่าร้ายน้องหนูเสียงดังแบบที่กำลังอยู่ ไม่งั้นหนูจะทำบ้าง”


"..." ป้าปากตลาดเงียบลงก่อนจะหลบตาของลูกสาวเจ้าภาพงาน


ภายในงานเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยที่ชาวบ้านพูดคุยกันตามประสาเมื่อพบเจอหน้า ทำให้บรรยากาศดีขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าแสงจากหลอดไฟในงานกระพริบถี่ราวกับจะดับ แขกผู้ร่วมงานแสดงท่าทีตกใจ บ้างส่งเรียงร้อง บ้างแค่สะดุ้งโดยที่ยกมือขึ้นพนม บางคนถึงกับพูดถึงเรื่องการจากไปอย่างกะทันหันของเกริกวิทย์ ส่วนวีคิดในใจแค่ว่าพ่อไม่พอใจที่มีคนมาพูดจาเสีย ๆ หาย ๆ ของลูกแน่เพราะเหตุการณ์ไฟกระตุกเกิดหลังจากที่เธอเผชิญหน้ากับป้าปากตลาดไม่นาน


"คุณไม่ต้องห่วงอะไรแล้วนะ..." มนรดาเอ่ยขึ้นมากลางศาลาและมองไปยังโลงที่ตั้งอยู่


วีเดินไปยืนข้างแม่โดยที่ยังมองหลอดไฟที่กระพริบไม่หยุด สายตาย้ายไปมองโลงศพทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าของผู้เป็นพ่อ แล้วเธอได้เห็นเงาโปร่งแสงเหมือนตอนที่งานสวดศพจะเริ่ม แต่ครั้งนี้มันดูชัดกว่าเดิมจนวีมั่นใจเธอไม่ได้ตาฝาด ร่างผู้ชายตัวหนาความสูงเกือบร้อยแปดสิบเซนติเมตร เสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นเชิ้ตแขนสั้นสีขาวกับกางเกงขายาวโปร่งและไม่สวมรองเท้า วีมองทุกรายละเอียดตั้งแต่หัวจรดเท้าจนเธอมั่นใจว่านั่นคือพ่อ เมื่อคิดได้แล้วเธอก็สะดุ้งตกใจจนแม่เธอหันมามอง


"เป็นอะไรลูก"


"ป... เปล่าค่ะ ม... ไม่มีอะไร" เธอพูดตะกุกตะกักแต่สายตายังคงจับจ้องไปที่วิญญาณของพ่อที่ยืนร้องไห้อยู่


"งั้นเดี๋ยวแม่ไปดูในครัวก่อนนะ เผื่อเขาจะรีบทำไฟกัน"


"ค่ะ"


มนรดาเดินแยกออกไปยังครัวข้างหลังศาลาซึ่งห่างออกไปไม่มาก วีจึงยืนอยู่คนเดียวกลางศาลาแล้วมองไปยังวิญญาณพ่อที่ยังคงไม่จางหายไปไหน พ่อขยับปากเหมือนต้องการพูดอะไรสักอย่างแต่เธอไม่ได้ยินอะไรเลย ข้างร่างของพ่อมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูอายุน้อยกว่าพ่อสวมชุดสีดำล้วน ดูมีภูมิฐานเต็มประดา ไม่ใช่ชุดเสื้อยืดธรรมดาโดยตรงที่เอวมีฝักดาบยาวคาดอยู่ วีพยายามเพ่งมองผู้หญิงคนนั้นสลับกับพ่อของเธอยืนน้ำตาหลั่งริน


ในที่สุดหลอดไฟภายในศาลากลับมาสว่างใช้งานได้ตามปกติ ผู้คนบางกลุ่มทยอยกันกลับเข้ามา บ้างก็กลับบ้านไปแล้วเพราะกลัว ขณะที่ลูกสาวเจ้าภาพงานศพอย่างวีมานั่งที่เก้าอี้ด้านนอกคนเดียวเงียบ ๆ เพื่อประมวลความคิดกับสิ่งที่เห็นเมื่อครู่ เธอไม่เข้าใจอย่างมากว่าพ่อของเธอจะสื่ออะไร ผู้หญิงชุดดำคาดฝักดาบนั้นเป็นใคร ญาติพี่น้องที่เคยเสียไปก็คงไม่ใช่ วีนั่งคิดไม่ตกกับเรื่องนี้เพียงลำพัง เจ้าวิชยังวิ่งเล่นกับเด็ก ๆ กลุ่มเดิม เสียงหัวเราะเจี๊ยวจ๊าวทำให้เธอแอบอมยิ้มจากความสดใสของน้อง


มือบางหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าสพายข้างของตัวเองเพื่อเสิร์ชหาคำอธิบายซึ่งก็เห็นเพียงโพสต์เรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ


"อ้าว วีมานั่งทำอะไรตรงนี้คนเดียวลูก" ป้านิ่มเดินเข้ามาทักแล้วนั่งลงข้างๆ เธอ


"..."


"ไม่เป็นไรนะลูก ตอนนี้มันอาจจะยัง..."


"ป้านิ่มคะ" ป้าของเธอยังพูดปลอบใจไม่ได้จบ เธอก็พูดขัดขึ้นมาเสียก่อน


"ว่าไง"


"วีรู้ว่าป้าเชื่อในสิ่งลี้ลับ สิ่งที่มองไม่เห็น แต่เราจะมั่นใจได้ไงว่าสิ่งที่เราเห็นเป็นผีปีศาจรึเปล่า"


"ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ วี" นิ่มย่นคิ้วกังวลกับคำถามประหลาดของหลานสาวคนโตพลางยื่นมือแตะไหล่


"เปล่าค่ะ วีแค่อยากรู้"


"อืม... พวกผีปีศาจ มันก็แล้วแต่เวรกรรมของแต่ละคนนะ”


“ตามความเชื่อของป้านิ่ม... ป้าคิดว่าไงคะ”


“อย่างเจ้าเกริก พ่อของวีน่ะ... ป้าเชื่อว่ายังไงก็มีความสุข เพราะพ่อวีเป็นคนดี เป็นที่รักของทุกคนด้วย ยังไงพ่อวีก็ต้องสบายดี ไม่ทุกข์ทรมานหรอก"


"ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วพ่อจะร้องไห้ทำไม" วีบ่นพึมพำอย่างลืมตัวเพราะความสงสัย แม้พ่อจะเป็นวิญญาณแต่เธอเห็นว่าพ่อมีน้ำตาไหลอาบแก้ม


"อะไรนะ" ป้านิ่มถามขึ้นเพราะเธอได้ยินหลานสาวพูดไม่ค่อยชัด


"เอ่อ... เปล่าค่ะ แล้วถ้าวิญญาณที่ร้องไห้หนักๆ มีคนมาคอยคุ้มละป้านิ่ม หมายความว่าไงคะ"


"วิญญาณมีคนมาคุ้ม? วีหมายถึงเทวดานางฟ้าเหรอ"


"ไม่รู้ค่ะ วีก็สงสัยไปเรื่อยนั่นแหละค่ะ”


"ป้าก็ไม่แน่ใจ แต่สำหรับป้าคิดว่าคนดีอย่างเกริกน่ะ เทวดานางฟ้าคุ้มครองอยู่แล้ว... ไม่งั้นก็อาจจะเป็นยมทูตที่มาส่งวิญญาณของพ่อไปยังภพภูมิที่ดี"


วีคิดตามคำพูดของป้านิ่ม สิ่งที่ป้านิ่มพูดมาก็คล้ายกับเรื่องลี้ลับตามอินเตอร์เน็ต และเมื่อไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนของคำถาม วียังคงใคร่ครวญต่อไปถึงการปรากฎตัวของหญิงชุดดำพร้อมฝักดาบ วิญญาณของพ่อที่ร้องไห้เสียใจจนไม่อาจคิดได้ว่าพ่อจากไปอย่างสงบจริง ๆ เธอคิ้วขมวดแน่นโดยไม่รู้ตัวแล้วเอนซบไหล่ป้า


“วีน่าจะคิดถึงพ่อมากเกินไปค่ะ...”


"พี่วี!!" น้องชายตัวแสบวิ่งมาหาเธอที่นั่งอยู่กับป้านิ่มหลังจากที่วิ่งเล่นจนเหนื่อย เด็ก ๆ ทยอยกลับบ้านกันหมดแล้ว เรือนผมดำและเสื้อยืดสีดำของวิชเปียกชุ่มด้วยเหงื่อ


"ว่าไงไอ้แสบ"


"ผมหิวอะ อยากกินผัดซีอิ๊ว"


คำพูดของวิชทำเอาวีและป้านิ่มมองหน้ากัน ผัดซีอิ้วสูตรของพ่อที่ใครก็สู้ไม่ได้ แม้แต่วีที่ได้วิชามาก็ยังทำไม่อร่อยเท่า เด็กชายวรภพหันไปมองรูปภาพหน้าโลงของพ่อด้วยความคิดถึง วิชชอบกินอาหารฝีมือพ่อที่สุดโดยเฉพาะเมนูผัดซีอิ๊ว ก่อนจะหันมาหาพี่สาวแล้วเบะร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่ได้ วีสวมกอดน้องชายแน่นพร้อมลูบหัว เธอพูดปลอบว่าเธอจะทำให้กินเมื่อกลับไปบ้านแล้ว อ้อมกอดของสองพี่น้องอบอุ่นมากขึ้นด้วยอ้อมแขนของป้านิ่ม แม่มนและวิญญาณของบิดาผู้ล่วงลับท่ามกลางศาลาเงียบเหงา




#AfterDarkFlirtation #รัตติกาลผัดรัก #ผัดซีอิ๊วหน้าง่วง