"ความวุ่นวาย" และ "การแก้แค้น" ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาอยู่เสมอ เฉกเช่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ของชายหนุ่มผู้มาพร้อมกับ 'หายนะ' จากสิ่งที่เขาได้ก่อเอาไว้

Codename 5567 - - Phase 1 - [Project Nightingale] Best Foe Forever (Ch.8) โดย Chaotic Voice @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

อาชญากรรม,ผู้ใหญ่,ไซไฟ,แอคชั่น,ดาร์ค,ไซไฟ + ระทึกขวัญ (Science Fiction+Thriller),สงคราม,สืบสวนสอบสวน,อนาคต,อาชญากรรม,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Codename 5567

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

อาชญากรรม,ผู้ใหญ่,ไซไฟ,แอคชั่น,ดาร์ค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ไซไฟ + ระทึกขวัญ (Science Fiction+Thriller),สงคราม,สืบสวนสอบสวน,อนาคต,อาชญากรรม

รายละเอียด

Codename 5567 โดย Chaotic Voice @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"ความวุ่นวาย" และ "การแก้แค้น" ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาอยู่เสมอ เฉกเช่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ของชายหนุ่มผู้มาพร้อมกับ 'หายนะ' จากสิ่งที่เขาได้ก่อเอาไว้

ผู้แต่ง

Chaotic Voice

เรื่องย่อ

[ Introduction ]

"ในทุกความเป็นไปได้ล้วนก่อเกิดขึ้นจากความทะเยอทะยานที่ไม่มีวันหยุดนิ่งของมนุษย์"

หากแต่ในความทะเยอทะยานนั้น กลับถูกแบ่งแยกออกไปเป็นทั้งหมดสามฝั่ง สามเส้นทาง และสามเป้าหมายของผู้ที่ถูกจองจำภายใต้อุดมการณ์ที่พวกเขาคิดว่ามันคือสิ่งที่ 'มนุษยชาติ' ควรมุ่งตรงไป

แม้ว่าหากมองภาพรวมใหญ่ ๆ ขึ้นมา สิ่งเหล่านี้มันกลับลงเอยด้วยผลกระทบอย่างรุนแรงแสนสาหัส จนเป็นการยากที่จะซ่อมแซมมันให้กลับมาเหมือนเดิมได้ก็ตาม

'อาชญากรรม' และ 'ความรุนแรง' แพร่กระจายออกไป ณ ทั่วทุกแห่งหน ความป่าเถื่อนของสัญชาตญาณดิบในตัวของมนุษย์หล่อหลอมจนเป็นสาเหตุหลักทำให้มันจำเป็นต้องมี 'ตัวแทน' สำหรับการไกล่เกลี่ยและคอยควบคุมความสมดุลเหล่านั้น แม้จะต้องใช้วิธีการที่มันขัดต่อหลักศีลธรรมและจริยธรรมไปก็ตาม

ดำดิ่งลงสู่ห้วงอเวจีของความวิปลาส ตามหาซึ่งวิวัฒนาการที่สูญหาย ก่อกำเนิด 'โครงการ (Project)' ที่มันกำลังจะนำไปสู่ความวินาศสันตะโรในทุก ๆ ก้าวเดิน...

กระบวนการของอำนาจทางกฎหมายที่ถูกลดทอนลง เป็นผลทำให้ไม่เพียงแต่มันแสดงถึงการแทรกแซงเข้ามาของผู้มีอำนาจและอิทธิพล หากแต่กระนั้นยังส่งผลทำให้มันคุกรุ่นไปด้วย 'ความขัดแย้ง' ที่ไม่อาจลงรอยได้ อุดมการณ์ของสองฝักฝ่ายที่เป้าหมายเหมือนกัน คงเป็นการยากยิ่งที่กระบวนการของพวกเขาทั้งคู่จะสามารถไปด้วยกันได้โดยลื่นไหล

อย่างไรเองก็ดี เมื่อมันขึ้นชื่อว่า 'ภารกิจ (Mission)' นั่นย่อมหมายความว่ามันจึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ในการหันมาเป็น 'พันธมิตร' ด้วยกันในเวลาชั่วคราว...

เฉกเช่นเดียวเองที่เมื่อ "สมรภูมิรบ" มันกลับไม่ได้ถูกจำกัดแต่เพียงในพื้นที่สงคราม หากแต่มันยังลุกลามและแฝงตัวอยู่ภายใต้เหตุการณ์อันสงบเงียบ หลบซ่อนอยู่ภายใต้สังคมที่ถูกฉาบด้วย 'เปลือกนอก' ที่ถูกเคลือบให้หนามากกว่าเดิมด้วยสิ่งที่เรียกว่า 'ผลประโยชน์ของประเทศ' จนเป็นสาเหตุสำคัญทำให้ตัวแทนของมหาอำนาจจำเป็นต้องจัดตั้งกลุ่มผู้คอยกำจัดเสี้ยนหนามที่เรียกว่า 'การก่อการร้าย' ให้หมดไป โดยไม่อาจล่วงรู้ได้ถึงสิ่งที่ต้องสูญเสียไปจากการเลือกเดินในเส้นทางที่มันถูกปูเอาไว้โดยเหล่าผู้มองไม่เห็นถึง 'คุณค่าของชีวิต' ที่มันกลับสั้นเสียเกินกว่าจะยุติทั้งหมดไปได้

'ปฏิบัติการ (Operation)' ที่พวกเขากำลังมุ่งไปพร้อมคำถามจำนวนนับอนันต์ พ่วงมาด้วยศัตรูผู้รายล้อมในทุกทิศทาง แบกรับซึ่งภาระอันหนักอึ้งที่เรียกว่า 'มวลมนุษยชาติ'

แด่ความวิปริตทั่วทั้งมวล
แด่ความยุติธรรมที่ยากจะเท่าเทียมได้โดยแท้จริง
แด่ทุกการสูญเสียที่ดำเนินมาสู่จุดที่ไม่อาจหันหลังกลับได้

ยิ น ดี ต้ อ น รั บ

เ ห ล่ า ผู้ ร อ ด ชี วิ ต

::: Talking with the Void (ครั้งที่ 1) :::

สวัสดีเหล่านักอ่านทุกท่าน รวมไปถึงใครก็ตามที่ผ่านเข้ามาในหน้าเว็บตรงนี้ด้วยนะครับ (และใช่... ในแอพลิเคชั่นด้วยเช่นเดียวกัน xD)

ก่อนอื่นขอแนะนำตัวสักเล็กน้อย นามของตัวผู้เขียนนั้นคือ 'Chaotic Voice'

ไม่ใช่ทั้ง 'นักเขียนหน้าใหม่' และ 'นักเขียนหน้าเก่า' แต่น่าจะเรียกว่าเป็นนักเขียนผู้หลบซ่อนอยู่ในซอกลืบแห่งหนึ่งของมิติพิศวงที่ไหนสักแห่ง (ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นที่แห่งหนใดบ้าง ไปสืบหากันเอาเองล่ะ ;p)

สำหรับสถานที่แห่งนี้ เรียกได้ว่ามันค่อนข้างเป็น 'เรื่องใหม่' มากทีเดียวในระดับหนึ่ง ส่วนตัวยอมรับตามตรงว่าอาจจะรู้สึกเกร็ง ๆ ไปบ้างเพราะด้วยความที่พอต้องขยายฐานไป ก็ล้วนหนีไม่พ้นต้องมาสร้างจุดแวะเวียนพูดคุยกับนักอ่านใหม่อยู่ดี XD

หากแต่ก่อนอื่น เพื่อที่พวกเราจะได้ทำความเข้าใจตรงกัน สำหรับใครก็ตามที่มาจากทางหน้าเว็บ Dek-D หรือ Readwrite อันนี้ไม่ต้องห่วง ส่วนของการพูดคุยนั้นจะยังเหมือน ๆ กัน เว้นแต่ส่วนของสถานที่แห่งหนใหม่ตรงนี้ ผมอยากจะขอใช้พื้นที่สำหรับการเน้น 'ประชาสัมพันธ์' ในส่วนสำคัญแบบสั้น ๆ เพื่อไม่เป็นการทำให้ผู้อ่านเสียเวลาไปมากนัก

ข้อแรก - นิยายที่มีการนำมาลงทั้งหมด ล้วนเป็นเนื้อหาแบบเดียวกับทั้งสองเว็บไซต์ที่ทางผู้เขียนได้ทยอยอัปเดตลงไปแล้ว
ข้อสอง - จำนวนตอนที่มีการอัปเดตลงไปในเว็บนี้ จะมีระยะเวลาล่าช้ากว่าในช่วงแรก ๆ แต่จะเริ่มขยับขึ้นมาเร็วเท่ากันภายหลังจากจบเรื่องราวในส่วนของ Phase 1 (ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ส่วนของ Project เป็นต้นไป)
ข้อสาม - กระบวนการเขียนแต่ละตอนของผู้เขียนนั้นจะใช้ระยะเวลานานพอสมควร หากแต่ทั้งนี้จะมีการอัปเดตออกมาเรื่อย ๆ ผ่านตัวของทั้งช่องทาง Bluesky และหน้านิยายของทางสองเว็บไซต์ที่ได้บอกไปข้างต้น

และข้อสุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด...

- เนื้อหาทั้งหมดเป็นแค่จินตนาการของผู้แต่งเท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเป็นจริงแต่อย่างใด ทั้งชื่อ ตัวละคร และเหตุการณ์ต่าง ๆ ล้วนเป็นเหตุการณ์ที่ถูกสมมุติขึ้นมาโดยนำเค้าโครงความเป็นจริงบางส่วนมาปรุงเสริม เติมแต่ง และปราศจากเจตนาอันไม่บริสุทธิ์ ดังนั้นโปรดจงเสพผลงานอย่างมีวิจารณญาณและแยกแยะ ‘โลกความเป็นจริง’ และ ‘โลกในจินตนาการ’ ออกจากกันด้วย -

สุดท้ายนี้ก็อยากจะขอฝากเรื่อง Codename 5567 ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะครับ ส่วนของการขายนั้นจะยังไม่ขอพูดถึงก่อนเพราะ ณ ตอนนี้ต้องบอกว่าทางผู้เขียนกำลังอยู่ในช่วง 'นีทเกม' และ 'เผชิญโชค' อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง (หมายรวมไปยันเรื่องของการต่อสู้ทางความคิดในหัวของตัวเองที่มันยุ่งเหยิงกัน สมกับเป็นชื่อนามปากกาตัวเอง 5555)

เอาเป็นว่าเพื่อไม่ให้เสียเวลา ขอยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งอาชญากรรม ณ บัดนี้ได้เลยครัช :DDD

สารบัญ

Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Prologue (Ch.0),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Nightingale (Ch.1),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Newcomer (Ch.2),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] A Golden Light (Ch.3),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Projectile (Ch.4),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Unstable Peace (Ch.5),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Radiance (Ch.6),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Decadence (Ch.7),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Best Foe Forever (Ch.8)

เนื้อหา

- Phase 1 - [Project Nightingale] Best Foe Forever (Ch.8)

Best Foes Forever (Ch.8)

ความตายของทหารกล้าเพียงหนึ่งคน เทียบเท่าได้กับการเสียขวัญกำลังใจที่ยากเกินแก่จะทำใจยอมรับในสายตาของสหายผู้ร่วมในสมรภูมิด้วยกัน

หากแต่นั่นกลับเป็น 'จุดเริ่มต้น' ที่ทำให้กลุ่มเมอร์เซอร์นาริกต่างล้วนตระหนักได้ถึงการที่พวกเขามีตัวตนอยู่เพื่ออะไร รับใช้ใคร และสู้เพื่อเป้าหมายหรืออุดมการณ์ใด

สิ่งเหล่านั้นมันถูกฝังอยู่ในสายเลือดของทุกคน เสมือนมันคือ ‘ตราพันธะ’ ที่จะผูกติดพวกเขาตราบไปเป็นเวลานาน

อย่างไรเองก็ดี กว่าจะถึงคราวที่ได้ออกปฏิบัติการอีกครั้ง พวกเขาก็ไม่ลืมที่จะแวะเวียนมาหาสมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มผู้จากลาโลกนี้ไปก่อนวัยอันควร

แด่วิญญาณทหารกล้า

มาร์ติน เฟอร์กูสัน

การเสียชีวิตของมาร์ตินในระหว่างที่หลบหนีจากการระเบิดครั้งใหญ่ ศพของเขาถูกพบเห็นโดยแกรนท์ โจนาห์ และมาร์ก แน่นอนว่าทั้งสามคนต่างตกใจหลังจากที่ได้เห็นถึงสภาพของเขาที่ดูแทบไม่เหลือเค้าโครงมนุษย์เลยแม้แต่นิดเดียว หากแต่อย่างไรก็ดี ร่างของเขาก็ได้ถูกเก็บกู้ก่อนจะถูกนำไปเผาและเก็บอยู่ในรูปแบบ 'กองอัฐิ' มากกว่าที่จะนำไปฝังตามประเพณีความเชื่อแบบชนชาวคริสต์ ซึ่งนั่นดูเหมือนว่ามันจะสร้างความไม่พอใจให้กับฝั่งของบรรดาคนในครอบครัวของเฟอร์กูสันมากในระดับหนึ่ง

ทว่าอย่างไรเอง ความจริงเกี่ยวกับสาเหตุการตายของเขา ที่ได้เล่าออกมาจากปากของแกรนท์ นั่นก็มีเหตุผลมากเพียงพอที่พวกเขายินยอมให้อีกฝ่ายได้ทำตามวิถีในแบบของอดีตทหารกล้าแห่งกองทัพสหรัฐอเมริกา แม้เรื่องราวในอดีตนั้นของเขามันจะไม่สมควรถูกเรียกเช่นนั้นไปก็ตาม

“เขาอาจไม่ใช่คนที่ดีตามแบบที่เราต้องการ แต่ยังไง การที่เขาได้อยู่กับพวกคุณ นั่นก็ถือเป็นของขวัญล้ำค่าที่สุดเท่าที่เขาเคยได้มาแล้ว”

“คุณยอมรับได้ใช่ไหม?”

แกรนท์ เอ่ยถามออกไป พยายามใช้น้ำเสียงที่เบาและนุ่มนวลพอที่จะไม่แสดงอารมณ์โกรธหรือไม่เห็นด้วยออกมา

“จัดการตามที่เห็นสมควรเถอะ ถึงยังไงเขาเองก็ต้องมีวันดับสลายหายไปสักวันหนึ่งอยู่ดี”

ทั้งสามเงียบกริบไปสักพักใหญ่

“ถึงตอนนั้นเราจะได้ใช้ชีวิตที่ปราศจากเลือดแห่งอิสรภาพได้สักที”

สามวันหลังจากงานศพของมาร์ติน ญาติของเขาแทบจะไม่มีการติดต่อเข้ามาอีกเลย เสมือนว่าพวกเขาตัดสายสัมพันธ์ที่มีต่อตัวเขาไปแบบดื้อ ๆ โดยเหลือไว้เพียงแต่กองเถ้าถ่านในอัฐิที่มันถูกเก็บไว้เป็นของต่างหน้าเพื่อระลึกถึงมิตรสหายที่เสียชีวิตจนไม่เหลือความเป็นมนุษย์ไป

อย่างไรก็ตาม การสูญเสียของเขา มันจะเป็นสิ่งที่ติดตราตรึงใจแกรนท์ไปตลอดกาล

ขณะที่อีกด้านหนึ่งของเหตุการณ์ฝั่งสมาชิกผู้ที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ กับงานศพที่ถูกจัดขึ้น แน่นอนว่าสมาชิกส่วนหนึ่งภายในกลุ่มเลือกที่จะเมินเฉยต่อการตายนั้น ทว่าบางส่วนกลับให้ความสำคัญมากเสียจนถึงขั้นจัดงานสังสรรค์เพื่อเป็นการรำลึกถึงมิตรสหายที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับมา

ปฏิกิริยาต่อการเสียชีวิตของมาร์ติน ถือเป็นเพียงแค่ ‘ส่วนเล็ก’ สำหรับกลุ่มเมอร์เซอร์นาริก บทเรียนอันราคาแพงที่ไม่สามารถหาเรียนที่ไหนได้นอกจากการทำงานภาคสนาม มันเปลี่ยนแปลงความคิด วิถีชีวิต และคนทุกคน เฉกเช่นเดียวกันกับที่มันได้สร้างชื่อเสียงจนเป็นที่กล่าวถึงในหมู่กลุ่มคนเล็ก ๆ โดยข่าวคราวเกี่ยวกับการถือกำเนิดของ ‘เมอร์เซอร์นาริก’ ถือเป็นสิ่งที่ขัดต่ออุดมการณ์ของกลุ่ม ซึ่งมันได้เข้าถึงหูของผู้ก่อตั้งอย่าง เคออส เวนเจกซ์ เป็นส่วนสำคัญ

“ไม่ใช่เรื่องดี” ชายหนุ่ม แสดงความเห็น

“ภารกิจที่พวกคุณทำนั้นสำเร็จก็จริง ถึงแบบนั้นนี่มันก็เป็นสิ่งที่เกินคาดไปสำหรับผม แต่อย่าได้ห่วงไปว่าตัวตนของพวกคุณจะถูกเปิดโปง ตราบใดที่คุณยังรักใคร่กลมเกลียวกันอยู่ และไม่มีใครแพร่งพรายความลับออกไป ข่าวลือทั้งหมดที่มาจากพวกคนนอกนั่นก็ไม่มีผลอะไรที่ผมจำเป็นต้องยุบกลุ่มนี้ทิ้ง”

ถึงตัวเขาจะไม่สามารถมาร่วมในงานศพได้ แต่ก็ยังมีความเป็นมนุษย์มากพอที่จะติดต่อผ่านเข้ามาผ่านช่องทางสื่อสารส่วนตัวเพื่อพูดคุยกับคนในกลุ่ม แม้ว่า ณ เวลาที่เขากำลังทำเรื่องแบบนั้นอยู่ มันกลับตรงกับช่วงตอนที่ฝั่งของเคออสกำลังถูกบุกรุกจาก แขกผู้ไม่ได้รับเชิญ ที่เขาจำใจเปิดบ้านให้พวกเขาเข้ามาหาตัวเองถึงที่กบดาน

“เคออส น้ำเสียงคุณดูลุกลี้ลุกลนนะ มีอะไรหรือเปล่า?” โจนาห์ โพล่งถาม

“ไม่ ผมยังสบายดี เพียงแต่ผมอาจพูดไม่ได้มากว่าตอนนี้ตัวเองกำลังเจออะไร เรื่องหนึ่งที่ผมบอกได้คืออยากให้พวกคุณดูแลตัวเองให้ดี โดยเฉพาะแกรนท์ ผมเข้าใจว่าคุณอาจยังรู้สึกสะเทือนใจอยู่ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ผมไม่อยากให้คุณกับโจนาห์ต้องโทษตัวเองกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะงั้นนี่ก็–”

ระหว่างบทสนทนานั้นดำเนินผ่านทางหน้าจอโฮโลแกรมที่แสดงออกเป็นภาพสัญญาณเสียง เริ่มมีข้อความสีแดงจากบริเวณมุมขวาล่าง ระบุไว้ว่า สัญญาณขัดข้อง กำลังเชื่อมต่ออีกครั้ง แน่นอนว่ามันดูเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักที่มันแสดงออกมาโดยเฉพาะในยามที่กลุ่มเมอร์เซอร์นาริกบางส่วนกำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์ที่เสียใจและว่างเปล่า

“เคออส? เคออส ตอบพวกเราด้วย เกิดอะไรขึ้นกับทางของคุณ?”

“ไม่ต้อง– ผมจัดการปัญหาตัวเองได้– พวกคุณต้อง–”

สัญญาณถูกตัดขาดไปทันทีโดยไม่แสดงถึงสาเหตุอันแน่ชัด อย่างไรก็ตาม แทนที่กลุ่มเมอร์เซอร์นาริกจะรู้สึกเป็นกังวลพอได้เห็นทางปลายสายนั้นหายไปแบบดื้อ ๆ พวกเขากลับเพียงแต่ตั้งข้อสงสัยถึงสิ่งที่เกิดขึ้น จากเดิมที่พวกเขาควรให้ความสำคัญกับการสูญเสียเพื่อนร่วมงานไปก่อน กลับกลายเป็นว่าตอนนี้พวกเขาอดไม่ได้ที่อยากรับรู้ในชะตากรรมของผู้เป็นนายของพวกเขา

“ฉันหวังว่าเขาปลอดภัยดี” โจนาห์ โพล่งออกมา

“เราต้องไปช่วยเขาหรือเปล่า? หรือควรปล่อยให้เขาได้จัดการกับปัญหาของตัวเองไปดี?”

“ไม่” มาร์ก กล่าวโต้แย้งออกไปหาแกรนท์กับโจนาห์

เขา ไม่ใช่คนที่จะเพลี่ยงพล้ำได้ง่าย ตอนนี้อย่าลืมว่าสิ่งที่เราต้องทำคืออยู่เงียบ ๆ รอให้เหตุการณ์มันซาลงไป ขืนเราเดินออกจากประเทศ ณ ตอนนี้คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่”

ความเห็นของมาร์กที่แสดงออกมาขัดแย้งกับในความรู้สึกของคนในกลุ่มเมอร์เซอร์นาริกไปบางส่วน อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้โต้แย้งในสิ่งที่เขาพูด หากแต่ใช้ความคิดของตัวเองในการพิจารณาถึงระดับความรุนแรงของเหตุการณ์ที่ฝั่งของผู้เป็นนายกำลังเผชิญหน้า

“สรุปก็คือเราจะปล่อยไปแบบนี้ใช่ไหม?”

“ใช่ ถ้าไม่ถึงขั้นวิกฤตจริง ๆ เขาคงขอให้เราช่วยแทน”

ความเศร้าโศกหลังสูญเสียเพื่อนในทีมยังคงเป็นหนึ่งในเรื่องหลักที่ฝั่งของโจนาห์กับแกรนท์ยังไม่สามารถปล่อยวางลงไป จะมีอยู่ก็เพียงฝั่งของมาร์กที่เขากลับทำใจได้ถึงเรื่องราวตรงนั้น โดยไม่ลืมว่าสิ่งที่เขาต้องทำต่อไปคือการเฝ้ารอเวลาที่ตัวเขาจะได้ออกทำหน้าที่อีกครั้งหนึ่ง

ในอนาคตข้างหน้าเพียงไม่อีกกี่เดือนภายหลังจากที่บรรดาสมาชิกคนอื่น ๆ เริ่มปรากฎตัวให้เห็นกันแล้ว

- 1 -

นับว่าเป็นเรื่องผิดคาดไปตั้งแต่ช่วงคราวทีแรกสำหรับการมาเยือนของกลุ่มอริเก่าที่แม้เวลาจะผ่านไปนับสิบปีเต็ม แต่กระนั้นมันยังเป็นสิ่งที่นำพาความกังวลใจมาให้กับเคออสมากพอสมควร

กลุ่มคนในชุดเครื่องแต่งกายชุดหนังสีดำทึบทั้งตัว ปรากฎตัวเดินเข้ามาภายในจุดที่อยู่ใกล้เคียงกับตำแหน่งที่เคออสเก็บตัวหลบซ่อนอยู่อย่างเงียบเชียบ ท่ามกลางบรรยากาศชวนวังเวงและเต็มไปด้วยสิ่งอันตรายมากมายที่สามารถคร่าชีวิตพวกเขาได้ทุกเมื่อ หากแต่ดูเหมือนมันกลับพลิกตาลปัตรไปเพราะฝ่ายผู้ไล่ล่านั้นกลับกลายเป็นอดีตนักลอบสังหารที่เขาเคยรู้จักไปเสียเอง

พวกเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่ นั่นไม่ใช่สิ่งที่เคออสสืบทราบได้แน่ชัด ทว่าเรื่องหนึ่งที่มันชัดเจนได้ว่าความกังวลก่อเกิดขึ้นในใจของเขานั่นคือคนพวกนี้ไม่ใช่กลุ่มติดอาวุธธรรมดาทั่วไป เคออสรู้ว่าพวกเขาเปรียบได้กับเป็น ‘ยอดหัวกะทิ’ ชั้นดีจากองค์กรอสรพิษ นามว่า ‘ราตรีทมิฬ (Black Operation)’ ที่รับคำสั่งโดยตรงจากตัวของคู่ปรับตลอดกาลอย่าง ริฟินาเล่ แมนทัส ซึ่งเพียงแค่การได้เห็นเพียงเครื่องแต่งกายอันดูโดดเด่นสะดุดตานั่นก็พอทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสั่นเทาด้วยความกลัวขึ้นมาแล้ว

“หาเขาให้เจอ”

แต่ในความกังวลนั้นยังมีข้อดีสำหรับเคออส นั่นคือพื้นที่ทั้งหมดทั่วเขตเมืองร้างไม่ต่างอะไรไปจาก ‘หมู่บ้านขนาดใหญ่’ ที่เขาเป็นเจ้าของเพียงคนเดียว ซึ่งมันทำให้เขารู้ทางหนีทีไล่และเส้นทางต่าง ๆ ได้ราวกับเป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งของตัวเขาเอง

กลุ่มราตรีทมิฬแยกตัวออกไปกันฉายเดี่ยวหรือเป็นคู่ไป ท่าทางของพวกเขาออกไปในเชิงฟังเสียงและสังเกตทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวอย่างละเอียดยิบ และแน่นอนว่าที่สำคัญพวกเขายังมี ‘สัญชาตญาณดิบ’ ที่ดีเยี่ยมไม่ต่างอะไรจากเขา เผลอ ๆ พวกเขาอาจล่วงรู้แล้วตั้งแต่เหยียบย่ำเข้ามาในที่แห่งนี้โดยตัวเคออสแทบไม่ต้องเปิดพื้นที่รอต้อนรับด้วยซ้ำ

“?”

หนึ่งในกลุ่มหันมองไปที่ทางพงหญ้าแวบหนึ่ง ขณะที่ตัวของเคออสกลับเลือกจะปีนป่ายขึ้นไปนั่งยองอยู่ใต้ต้นไม้ขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็เพียงพอปิดบังร่างของตัวเองได้พอสมควร แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ภายหลังจากที่เขาขึ้นมาบนพื้นดิน สิ่งแรกที่เขาทำคือการมองหาที่หลบซ่อน มากกว่าจะเล่นเป็นฝ่ายเปิดเข้าประจันหน้ากับพวกเขาโดยตรงเหมือนอย่างที่ผ่าน ๆ มา

บรรยากาศรอบตัวเงียบเชียบไปเป็นระยะเวลานานเกือบหนึ่งชั่วโมง ไม่มีสัตว์กลายพันธ์ตัวไหนกล้าย่างกรายเข้าในพื้นที่ ๆ เคออสเหยียบอยู่ หรือแม้แต่แสดงท่าทีปกป้องถิ่นที่อยู่ของมันเอง หากมีมากสุดคือแสดงท่าทีข่มขู่กับผู้บุกรุกที่ไม่ได้รับเชิญมา ก่อนจะจบลงด้วยการถูกหนึ่งในกลุ่มราตรีทมิฬเข้าสังหารอย่างฉับไวจนลงไปนอนจมกองเลือดกับพื้นแทน

ซึ่งมันค่อนข้างชวนดูให้ความรู้สึกจิตตกสำหรับคนรักสัตว์อยู่ไม่น้อย เผลอ ๆ เองมันยิ่งดูแสดงให้เห็นถึงความโหดเหี้ยมกว่าเดิมเพราะพวกเขาแทบไม่สนใจกับบรรดาสัตว์พวกนี้เลยแม้แต่ตัวเดียว

เคออส ประเมินจากสายตาและประสบการณ์ที่เขามี อาวุธที่พวกราตรีทมิฬใช้มีความเป็นเอกลักษณ์ไม่ต่างจากเครื่องแบบที่พวกเขาใส่ ใครคนหนึ่งใช้อาวุธเป็น ‘ขวานมือเดียว’ ที่ปรับแต่งให้มีความล้ำสมัยด้วยการที่มันสามารถวนกลับเข้ามือเจ้าของได้ราวกับเป็นบูมเมอแรง ขณะที่ส่วนหนึ่งเป็นธนูล่าสัตว์ หอกปา ปืนยิงลูกดอก หรือแม้แต่หนึ่งในอาวุธอันโปรดปรานสมัยช่วงที่เขายังเป็นนักลอบสังหาร

‘มีดต่อสู้’

เครื่องมือทำมาหากินที่อยู่คู่กับเคออสมานานนมหลายปี ฝากฝังบาดแผลและประสบการณ์จำนวนมากเอาไว้มากมายที่เขาไม่เคยลืมเลือน เป็นที่น่าเสียดายอยู่นิดหน่อยที่ผู้ใช้งานอาวุธชิ้นนั้นกลับไม่ใช่ ‘เป้าหมาย’ คนที่เคยสร้างบาดแผลให้กับเขา แต่กลับเป็นเพียงนักลอบสังหารหน้าใหม่ไฟแรงผู้ที่เข้ามาทำงานหลังจากเขาได้หลบหนีออกจากองค์กรไปได้เพียงสามเดือนถัดมา

ชื่อเสียงเรียงนามของคนจากกลุ่มราตรีทมิฬส่วนมากจะมีเฉพาะแค่แมนทัสเท่านั้นที่รู้ หากแต่มีเพียงสองคนที่พวกเขาถือเป็น ‘หัวหน้าใหญ่’ ที่เคออสต้องระวังเป็นพิเศษคือ ฮาร์เวิร์ท กับ เวรูกา พวกเขาสองคนลงมือทำงานได้กันเข้าขาเป็นอย่างดี แม้ฝั่งหนึ่งอาจเป็นพวกหยิ่งผยองจนไม่ฟังคำเตือนใด ๆ ถึงกระนั้นมันก็เป็นเรื่องเสี่ยงอันตรายอยู่ดีหากว่าเขาจะต้องสู้กับคน ๆ นั้นในระยะประชิด

“เหมือนว่านั่นจะเป็น ‘ตัวล่อ’ อย่างที่เราคาดไว้จริง ๆ ไม่มีทางที่ไอ้เวรนั่นจะเปิดเผยตัวเองได้โดยง่ายอย่างที่ฉันคิดไว้”

ใครคนหนึ่งโพล่งออกมา แน่นอนว่ามันเป็นใครไม่ได้นอกจากตัวของศัตรูอันตรายที่เคออสกำลังเฝ้ามองเขาอยู่ในบริเวณมุมมืดจากด้านหลัง

“เอาไงดี จะให้เรียกปาร์ตี้เข้ามากันเลยไหม?”

“ตามใจเจ้า ข้าเป็นเพียงผู้เฝ้ารอ หาใช่เป็นผู้เดินเข้าหาเหยื่อเช่นเจ้า”

“เฮอะ! ใครมันอยากจะอยู่ข้ามชาติในที่แบบนี้กัน”

ประโยคสนทนาจากปากของเฮทเลอร์ ชวนให้เคออสรู้สึกแปลกประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง ตราบจนกระทั่งเมื่อความเงียบงันทั้งหมดได้ถูกรบกวนด้วยเสียงกระหึ่มที่ดังมาแต่ไกล พร้อมกันนั้นบนหน้าจออินเตอร์เฟสในหน้ากากกันแก๊สได้ระบุข้อความแจ้งเตือนเป็น ฉุกเฉิน! มีผู้บุกรุก ซึ่งนาน ๆ ครั้งมันจะปรากฎเป็นข้อความนี้ขึ้นมาให้กับเขา

“โอกาสนี้มาถึงแล้วสินะ…”

การหลบซ่อนตัวไม่มีความจำเป็นต่อไปสำหรับตอนนี้ เป็นเวลาเดียวกันเองที่บรรดาสมาชิกทั้งหมดของกลุ่มราตรีทมิฬพวกเขาเริ่มทยอยออกไปจากตำแหน่งที่กำลังมองหาตัวของเคออสอยู่ พลางเปลี่ยนมาเป็นการทำหน้าที่เสมือนว่าทิ้งความสงสัยเพื่อล่อให้เขาเข้ามาติดกับดักเอาเสียเอง

ซึ่งเคออสกลับยินยอมที่จะทำแบบนั้นแต่โดยดี และนั่นเองก็ทำให้เขารู้ว่าการกระทำที่ผ่านมานั้นเป็นเพียง ‘แผนการขั้นแรก’ ที่มาจากฝีมือของแมนทัส

บรรดากลุ่มคนติดอาวุธจากองค์กรอสรพิษ พวกเขาทยอยโดยสารเดินทางเข้ามาด้วยรถหุ้มเกราะจำนวนราวสี่ถึงห้าคัน พร้อมกันนั้นยังมีเฮลิคอปเตอร์อีกสองลำที่บินอยู่เหนือน่านฟ้าที่พวกมันทั้งคู่ก็ติดอาวุธหนักเตรียมเอาไว้เสมือนพร้อมจะถล่มทุกอย่างให้ราบคาบ ขอเพียงแค่ได้รับคำสั่งจากตัวผู้เป็นหัวหน้าเพียงประโยคเดียว

เคออส ไม่ได้ใช้เวลานี้ในการหลบหนีหรือเตรียมการใด ๆ นอกจากเพียงแค่เขาตั้งใจเปิดการใช้งานระบบรักษาความปลอดภัยผ่านปัญญาประดิษฐ์ของตัวเอง หลังจากปิดสัญญาณไปก่อนขึ้นมาบนพื้นผิวห้องแล็ปใต้ดินตัวเอง ทั้งนี้มันเป็นการป้องกันการถูกตรวจจับจากฝั่งของผู้บุกรุกที่อาจหาทางรับมือกับตนได้ในทุกวิถีทาง

มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะรู้เรื่องกับดักพวกนี้ มากพอกับโอกาสเรื่องที่แผงวงจรนั่นมันอยู่กับตัวชายหนุ่ม

ทุกคนจับจ้องมองมาที่เขา หนึ่งในกลุ่มติดอาวุธก้าวขาเข้ามาด้านหน้าตัวเคออส จากนั้นหยิบเป็นตัวแท็บเล็ตขึ้นมาเปิดหน้าจอแสดงให้เห็นภาพของชายวัยกลางคนผู้ที่เขารู้จักกับอีกฝ่ายเป็นอย่างดีในฐานะของ ‘คู่ปรับ’ และ ‘ศัตรู’ ที่ยังคงมีชีวิตอยู่ยาวนานมาจนถึงตอนนี้

“ฉันควรจะฆ่าแกไปซะตั้งแต่ตอนนั้น”

เสียงจากแท็บเล็ตดังออกมา ไม่มีคำกล่าวทักทายหรือแม้แต่การแนะนำตัว ราวกับประหนึ่งว่าทั้งคู่ต่างล่วงรู้ชื่อและตัวตนกันดีอยู่แล้ว

“แมนทัส…ไม่ยินดีที่ได้เจอ”

แม้อายุจะขึ้นเลขหลักสาม แต่นั่นไม่ได้แปลว่ามันจะส่งผลทำให้แมนทัสดูหมดความน่าเชื่อถือเหมือนครั้งตอนยังเป็นหนุ่มนักธุรกิจไฟแรงผู้มาพร้อมกับควาทะเยอทะยานของตัวเอง จนกลายเป็นสาเหตุทำให้โครงสร้างภายในองค์กรเปลี่ยนไป และมันขัดแย้งกับแนวทางดั่งเดิมที่เคออสเคยยึดมั่นและเคยเชื่อ จนถึงขั้นมันได้กลายเป็น ‘ความแตกหักครั้งใหญ่’ ที่พ่วงมาพร้อมกับปัญหามากมายอันไม่มีวันจบสิ้น

“แกบอกว่าแกอยากพบเจอฉันตัวเป็น ๆ ไหงถึงได้ส่งพวกลูกกระจ๊อกมาเพื่อแอบส่องฉันกัน?”

“ถามได้ดี แต่ว่าแกคงรู้คำตอบอยู่แล้วว่าเพราะอะไร”

เหมือนเป็นการเปิดช่องว่างเล็ก ๆ เพื่อให้ชายหนุ่มได้ค้นหาคำตอบนั้น มันคงดีกว่าสำหรับการป่าวประกาศออกมาอย่างโต้ง ๆ ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่แมนทัสทำ เขาฉลาด เขาเก่ง เขารอบรู้ และที่สำคัญก็มีกึ๋นพอตัวจะเทียบเคียงได้กับเคออสในทุกด้าน เว้นแต่ขาดซึ่งการมองทุกอย่างโดยภาพรวม และมุ่งเน้นเพียงแต่สรรหาผลประโยชน์เข้าตัวเองเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นลักษณะนิสัยของคนที่ทำอาชีพงานเอกชนเป็นเรื่องปกติทั่วไป

“ในการประกอบธุรกิจอะไรสักอย่าง สิ่งสำคัญมากที่สุดคือความลับและข้อมูล เมื่อยิ่งมีข้อมูลมากเท่าไหร่ ยิ่งหมายถึงว่าเรามีแต้มต่อที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงความผันผวนทางการตลาดได้เท่านั้น ซึ่งฉันถนัดกับการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่โลกไม่พร้อมจะรับรู้ถึงมัน แต่ในไม่ช้า…พวกเขาจะได้เห็นถึง ‘ความวินาศสันตะโร’ ที่มันทำให้พวกเขาต้องยกย่องสรรเสริญฉัน…”

ตระกูล ‘ริฟินาเล่’ ขึ้นชื่อในเรื่องของการแผ่ขยายอำนาจในตระกูลของพวกเขา ผิวเผินของสิ่งที่เรียกว่า ‘เซอร์เพนท์’ คือการช่วยเหลือและให้การสนับสนุนโลกทั้งใบ แต่ในอีกด้านหนึ่งของสิ่งที่พวกเขาทำ กลับกลายเป็นบ่อบึงพิษที่ค่อย ๆ กัดกินเนื้อหนังมังสาของผู้คนไปอย่างช้า ๆ จนท้ายที่สุด พวกเขาก็ต้องพบกับการที่ตัวเองติดแหง็กอยู่ในวงความทรมานโดยไม่มีสิ้นสุด

เคออส เคยเจอกับเขาเมื่อนานมาแล้ว และในหลายครั้งของการพบหน้ากัน มันไม่เคยที่ทั้งสองจะสามารถ ‘จูนความคิด’ เข้าติดกันได้ และความขัดแย้งทางความคิดก็ชักนำให้เคออสตัดสินใจเลือกจะทำตามสิ่งที่มันตรงกับความหมายของนามสกุลของตัวเอง

“ช่างหัวเรื่องพล่าม ๆ นั่นไปเถอะ แต่ถ้าแกคิดจะฆ่าฉันตอนนี้ เกรงว่าแกอาจต้องพยายามมากกว่าเดิมสักหน่อย”

ปลายสายเงียบนิ่ง รอฟังคำพูดจากตัวของผู้เป็น ‘คู่แข่ง’ เช่นอีกคน

“ฉันปรับเปลี่ยน ‘บางอย่าง’ ลงไปในงานที่แกสร้าง ภายหลังจากที่แกควบคุมข้อมูลเก่านั่นใน มาเธอร์คลาวด์ ได้ แต่อย่าลืมสิว่าถึงตัวไฟล์จะถูกลบออกไปจากสารบบ แต่แกคงไม่ลืมหรอกนะว่าคนที่อยู่เหนือกว่าแกและฉัน พวกเขาเก็บข้อมูลส่วนนั้นเอาไว้ด้วย”

“เครือข่ายอาชญากรรม’ เหรอ?”

“ไม่…พวก ซินดิเคด

ไม่มีใครต่างพูดอะไรออกมา ชื่อเสียงเรียงนามของผู้ให้บริการดูแลเครือข่ายข้อมูลทางดิจิทัลขนาดใหญ่มหึมา องค์กรอันมีชื่อเสียงมากที่สุดระดับหนึ่ง ชื่อของมันทิ้งให้แมนทัสเกิดความสงสัยอยู่สักพักใหญ่ ๆ หากแต่ดูเหมือนว่าเขากลับไม่ได้ใส่ใจมากนักกับสิ่งที่ผู้เป็นศัตรูกล่าว

“แกกับฉันคงรู้กันอยู่แล้วว่าองค์กรนั่นพยายามแอบอ้างตัวว่าเป็น ‘องค์กรผู้ไม่แสวงหาผลกำไร’ พวกเขาเล่นบทเป็น ‘นักบุญแห่งโลกอินเตอร์เน็ต’ ที่เนื้อในของพวกเขาคือ ‘ปีศาจร้าย’ ที่ยั่วยวนให้เราติดกับดัก เวลากว่าหลายปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีพัฒนาไปไกลมากพอ ๆ กับปรากฎการณ์ที่อัตราการก่ออาชญากรรมเพิ่มสูงขึ้น ทุกคนล้วนอยากที่จะครอบครองบัลลังก์ แต่ไม่มีใครอยากจะทำความสะอาดหรือแม้แต่ ‘ปรับปรุง’ เพื่อให้มันกลับไปสู่จุดต้นกำเนิดที่มันควรเป็น”

“แกตามตัวฉันได้เสมอ แต่แกจะไม่มีวันประสบความสำเร็จในอุดมการณ์ของแก ตราบเท่าที่แกกำลังถูกชักจมูกไม่ต่างจากองค์กรอื่น ๆ ยกเว้นฉัน”

เป้าหมายของเคออสกับแมนทัสล้วนเหมือนกัน หากต่างกันตรงวิธีการกับสิ่งที่พวกเขาทำ

“ไอ้แผงวงจรนี่…”

ชายหนุ่ม เอื้อมมือสอดเข้าไปในเสื้อทำท่าจะหยิบบางอย่างออกมา หากแต่กลุ่มติดอาวุธที่อยู่โดยรอบกลับเหมือนแสดงท่าทีไม่ไว้ใจ กระทั่งพวกเขาทั้งหมดกลับถูกกระตุ้นด้วยแรงดันไฟฟ้าขนาดเล็กที่มาจากอุปกรณ์บางอย่างแฝงเอาไว้ในผิวหนังตัวเอง ชะลอเวลาให้เคออสได้ตัดสินใจหยิบสิ่งที่เขานำติดตัวมาจากห้องแล็ปใต้ดิน

“มันจะเปลี่ยนทุกอย่าง และถ้าแกอยากได้…แกต้องมารับด้วยตัวเอง”

บรรดากลุ่มติดอาวุธเริ่มกลับมาตั้งท่าเล็งอาวุธไปที่ตัวเคออสอีกครั้ง ประกอบกับที่ฝั่งของราตรีทมิฬกลับเฝ้ามองดูบริเวณรอบเมืองร้างอย่างระแวดระวัง 

“กล้าท้าทายกับอสรพิษร้ายแบบนี้ นับว่าใจกล้าไม่เบา”

ภาพจากบนแท็ปเล็ตนั่นดับวูบลง ก่อนที่กลุ่มติดอาวุธทั้งหมดจะตัดสินใจถอยออกจากตัวเคออส คล้ายกับว่าพวกเขาเปิดทางให้ ‘บางอย่าง’ ลงมายังบนพื้นที่ที่ชายหนุ่มอยู่ หากแต่การเฝ้าจับตามองดูยังเป็นสิ่งสำคัญ

เหล่าราตรีทมิฬต่างรู้ว่าเหตุการณ์นี้มันค่อนข้างแตกต่างไปจากที่ตัวพวกเขาเองต้องการ เรียกได้ว่ามัน ‘ขัด’ กับคำสั่งที่พวกเขาได้รับมอบหมาย ทว่าเฉกเช่นไม่ต่างจากกลุ่มติดอาวุธขององค์กร พวกเขารู้ว่าตัวเองเป็นเพียง ‘เครื่องมือ’ มากกว่า ‘เบี้ยหมาก’ ที่ใช้แล้วทิ้ง นั่นหมายความว่าการที่ฝั่งของผู้นำองค์กรเลือกจะลงมาเพื่อเผชิญหน้ากับตัวอดีตหัวหน้านักลอบสังหารด้วยตัวเอง มันแสดงให้เห็นถึงความให้เกียรติและแสดงความสามารถที่ไม่ได้ถูกจำกัดเพียงการนั่งอยู่เฉย ๆ บนโต๊ะทำงาน

ประตูอากาศยานด้านข้างถูกเปิดออก ปรากฎตัวออกมาเป็นชายในชุดนักธุรกิจสีน้ำเงินเข้มตั้งแต่หัวจรดเท้า ต่างกันตรงที่ไม่ได้สวมเนคไทสีแดงเหมือนกับครั้งปกติทั่วไป เป็นไปได้ว่าก่อนหน้านี้เขาคงเตรียมการอะไรบางอย่างที่นั่นอาจหมายถึงการงัดเอา ‘ด้านมืด’ ของตัวเองออกมาใช้ ความอำมหิตและโหดเหี้ยม พ่วงมากับการสลัดภาพลักษณ์แบบเดิม โดยที่ยังคงไม่ทิ้งลายความเป็นตัวเขาเองอยู่

แมนทัสเป็นคนแบบนั้น ทุกคนรู้ รวมถึงเคออสเช่นเดียวกัน

“ถอยออกไปให้หมด”

เจ้าขององค์กรอสรพิษกล่าวออกไปหาทุกคน เหลือไว้เพียงแต่ตัวของเคออสที่เขาเลือกจะเก็บแผงวงจรเอาไว้เข้ากับตัวเอง

“จะดีเหรอครับ? ถ้าหากว่าเขาจะ–”

ปืนกระบอกโตถูกชักขึ้นมาบนมือของเขา แมนทัส ไม่ลังเลที่เขาจะลั่นมันใส่หนึ่งในกลุ่มติดอาวุธของตัวเอง ทว่าตำแหน่งที่เขาเล็งใส่นั้นกลับไม่ใช่ที่จุดตาย หากแต่เป็นเพียงที่หัวเข่าของหนึ่งในนั้นจนลงไปผลัดล้มลงไปกับพื้น

“อย่า-ได้-ริ-ขัดคำสั่ง-ฉัน!”

เห็นได้ชัดถึงสีหน้าและน้ำเสียงที่เขาค่อนข้างดูหงุดหงิดและโกรธพอสมควร นับเป็นครั้งแรกสำหรับเคออสที่เขาได้เห็นการเปลี่ยนแปลงไปของหนึ่งใน ‘ศัตรูที่ดีที่สุดตลอดกาล’ ของตัวเอง ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนที่จะได้รับคำนิยามแบบนั้น

อาวุธบนมือที่ร่างกำยำในชุดสูทสีน้ำเงินใช้ ดูแล้วไม่ใช่อาวุธแบบปกติทั่วไป เป็นไปได้ว่ามันอาจถูกสั่งทำขึ้นเป็นพิเศษ รวมไปถึงเจ้ากระสุนและขนาดกระบอกปืนที่มันดูใหญ่ผิดกว่าปืนลูกโม่แบบทั่วไป เคออสพยายามที่จะไม่วิเคราะห์เกี่ยวกับอาวุธชิ้นนั้น หากแต่เขากลับเลือกจะระมัดระวังเอาไว้ เพื่อไม่ให้ตัวเองพลั้งเผลอถูกมันเข้าเล่นงานเข้าโดยตรง

“กลายเป็นพวกแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ชายหนุ่ม ยิงคำถามออกไป

“ไม่ใช่เรื่องที่แกควรแส่ยุ่ง จะส่งมันให้ฉันดี ๆ หรือจะต้องให้เป็นรายต่อไปที่ไปนอนคุยที่ยมโลก”

คำพูดของแมนทัสฟังดูชวนไม่เข้าหูเคออสเท่าไหร่ ผิดคาดไปราวกับว่าอีกฝ่ายกลับไม่รู้สึกถึงความเจ้าเล่ห์ที่เขาแสดงออกมา ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มยังคงยืนกรานที่จะเก็บมันไว้กับตัว พยายามไม่ส่งมันให้กับเขาโดยง่าย หากแต่เลือกจะเบี่ยงเบนความสนใจไปยังที่ส่วนอื่นแทน

และในที่นี้ มันหมายถึงการที่เขาเลือกเปิดใช้งานระบบรักษาความปลอดภัยรอบเมืองร้างตัวหนึ่งขึ้นมา…

“อย่าได้คิดเด็ดขาดเชียวว่าแกจะทำอะไรได้ตอนนี้ เคออส”

ภายใต้หน้ากากกันแก๊สที่ปกปิดอารมณ์และความรู้สึก น้อยคนมากที่จะหยั่งรู้ถึงความคิดของชายหนุ่มผู้กลายเป็น ‘ปรปักษ์’ กับโลกทั้งใบ เฉกเช่นเดียวในเวลาเดียวกันนั้นก็กลับล่วงรู้ถึงเรื่องราวอันมากมายที่ไม่อาจเป็นสิ่งที่เปิดเผยต่อสาธารณชนได้ กลายเป็นว่าท้ายสุด เขาเลือกที่จะศึกษาธรรมชาติและสังคมทุกอย่างนั้นอย่างเงียบ ๆ เฝ้ารอคอยวันที่ตัวเองจะได้รับมือกับสิ่งที่คาดไม่ถึง

กรณีนี้เช่นเดียวกัน พลันเมื่อทุกอย่างมันกลับไม่เป็นไปตามแผนการในหัว สิ่งสุดท้ายที่เขาทำนั่นคือการเลือกงัดเอา ‘ตัวช่วย’ ออกมาใช้งาน

สิ่งประดิษฐ์รูปร่างคล้ายแมลง หากแต่ตัวมันกลับถูกสร้างขึ้นมาให้ดูเหมือนเป็นฝูงจักรกลขนาดเล็กเท่าฝ่ามือบินกรูออกมาจากจุดไหนสักแห่งที่อยู่ใกล้ ๆ รอบบริเวณที่เคออสตกอยู่ภายใต้วงล้อมของกลุ่มติดอาวุธ พฤติกรรมพวกมันบ่งบอกถึงความก้าวร้าวและคลุ้มคลั่งเป็นอย่างมากประหนึ่งกับมีความคิดเป็นของตัวเอง ซึ่งมันโถมเข้าจู่โจมบรรดากลุ่มราตรีทมิฬ กลุ่มติดอาวุธ หรืออาจเรียกได้ว่าแทบทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกมันถูกตั้งค่าโปรแกรมเพื่อกำจัดโดยเฉพาะ

“ท่านครับ–”

แมลงจักรกลบินเข้ามาด้วยความรวดเร็วที่มากพอทำให้เคออสใช้โอกาสนี้ในการไหวตัวออกจากวงดังกล่าว ก่อนที่ภายหลังจากนั้นจำนวนของมันจะเพิ่มมากขึ้นจากเพียงหลักสิบไปยันหลักร้อย กระทั่งหยุดตรงที่หลักครึ่งพัน พวกมันจู่โจมด้วยวิธีการรูปแบบเดียวกับตัวต่อหรือผึ้ง หากแต่มันไม่มีพิษและทำเพียงให้เกิดอาการเจ็บปวดที่รุนแรงและสร้างบาดแผลจนทำให้เลือดไหลออกมา แน่นอนว่านั่นมันรุนแรงมากพอสำหรับการตอบโต้ที่อีกฝ่ายเลือกจะใช้อำนาจกดดันตัวเขา

“บ้าชิบ!!”

ทุกคนหันไปรับมือกับแมลงจักรกล แม้แต่กับแมนทัสเองก็เช่นเดียวกัน ยังดีอยู่ที่เหมือนว่าพวกมันค่อนข้างรับมือได้ง่ายเพียงแค่การปล่อยคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้ารบกวนการทำงานของมันจนทยอยร่วงลงไปเป็นแถบ ๆ อย่างไรเองนั่นไม่ใช่สิ่งที่หัวหน้าองค์กรต้องการ

“ฆ่าเขาซะ!! ฉันไม่สนว่าพวกแกจะเป็นตายร้ายดียังไง ขอแค่ให้แผงวงจรนั่นปลอดภัยก็พอ!”

กลุ่มติดอาวุธขององค์กรขานรับ ส่วนของทีมราตรีทมิฬก็ไม่ต่างกัน พวกเขาอาจเก่งกาจในหลายด้าน หากแต่นั่นไม่ได้แปลว่าจะมีใครต่างคาดคิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น มันเป็นเหตุผลทำให้จากเดิมที่เฝ้าจับตามอง กลับกลายเป็นการที่พวกเขาเลือกจะชักอาวุธออกมาถือบนมืออีกครั้ง และแน่นอนว่าครั้งนี้พวกเขาทุกคนล้วนตั้งเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการ ‘เด็ดหัว’ ของอดีตหัวหน้านักลอบสังหารนั้นด้วยตัวเอง ไม่ว่าต่อให้ตัวพวกเขาทุกคนจะต้องแลกชีวิตไปก็ตาม

เคออส กะจังหวะนี้สำหรับการวิ่งผาดโผนเพื่อหลบเลี่ยงจากบริเวณเขตที่เขาอาจถูกพบเห็นตัวจากสิ่งประดิษฐ์ที่เขาเรียกว่า ‘สติงไวสป์ (Stingwasps)’ ซึ่งมันจะเกาะกลุ่มอยู่ตามในรูปแบบเลียนแบบสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติ ทว่าจุดมุ่งหมายของมันแท้จริงกลับมีไว้เพียงเพื่อควบคุมประชากรบรรดาสัตว์กลายพันธุ์ไม่ให้มีตัวไหนเข้าไปรุกรานในจุดต่าง ๆ เรียกได้ว่ามันคือ ‘ผู้รักษาความสงบ’ ของเมืองร้างแห่งนี้ที่เขาเปลี่ยนให้มันเป็นสถานที่ ๆ สำหรับการทำการทดลองหลายสิ่งมากมาย และนั่นหมายรวมไปถึงสร้างเป็นชุมชนสำหรับการอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตที่โลกยังไม่พร้อมรับมือ

ชายหนุ่มหลบซ่อนตัวเอง รวมถึงพยายามรอให้ร่างกายของตัวเองฟื้นฟูจากบาดแผลที่เขายินยอมแลกให้กับสิ่งประดิษฐ์ของตัวเองเข้าทำร้าย ก่อนที่ภายหลังเขาจะเลือกหันไปชักมีดต่อสู้ที่เก็บไว้หลังเสื้อโค้ทของตัวเองออกมาควงไปมาก่อนจะเริ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ เสมือนเตรียมพร้อมก่อนที่หลังจากนี้เขาจะต้องรับมือกับฝูงศัตรคู่อริที่พร้อมจะสังหารเขาทันทีที่พบเห็น

ด้านฝั่งของแมนทัส เลือกจะถอยกลับเข้าไปในอากาศยานของตัวเอง บาดแผลจากการถูกสิ่งประดิษฐ์ของเคออสเล่นงานนั้นไม่เจ็บปวดเท่ากับการที่เขาไม่สามารถอ่านใจของเคออสออกได้ อย่างไรเอง เขาเลือกจะไม่ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่กับโทสะและความไม่พอใจ หากแต่เลือกจะหันไปสนใจในการส่งกองกำลังคนออกไปตามหาตัวอีกฝ่าย โดยที่เขาและบรรดากลุ่มผู้ช่วยอีกสองคนทำหน้าที่ให้การสนับสนุนในการแกะรอยตามตำแหน่งของเคออส ผ่านการเจาะเข้าระบบปัญญาประดิษฐ์ ‘อลิซ’ ซึ่งแม้ว่าเค้าโครงของมันจะถูกเขียนขึ้นใหม่ หากแต่เขาที่เป็นผู้สร้างตัวต้นฉบับกลับรู้ถึง ‘จุดบอด’ ของโปรแกรมตัวเองมากกว่าหลายเท่าตัว

“บังคับปิดระบบติดต่อสื่อสารจากโลกภายนอกทั้งหมด ระหว่างนี้ฉันจะเขียนรายงานส่งไปให้ทางเครือข่ายอาชญากรรมรับทราบถึงพฤติกรรมของหมอนั่น พนันได้เลยว่าตำแหน่ง ‘ผู้ไกล่เกลี่ย’ นั่นจะถูกถอดถอนและโดนตั้งค่าหัวล่าแน่นอน”

“ทำแบบนั้นจะดีแล้วเหรอครับ? ถึงเขาจะเป็นปรปักษ์กับเราก็จริง แต่ดึงเอากลุ่มคนตัวใหญ่ ๆ นั่นมามันจะไม่ส่งผลปัญหามาถึงองค์กรเราเหรอ?”

หนึ่งในผู้ช่วยขององค์กรอสรพิษโต้แย้ง ระหว่างที่บนมือนั้นเหมือนจะถือแท็บเล็ตที่ฉายเป็นหน้าจอสำหรับการตั้งค่าโปรแกรมคำสั่งเพื่อปลดปล่อยสิ่งประดิษฐ์จากองค์กรเพื่อออกตามล่าตัวเคออส ไล่ตามตัวของกลุ่มราตรีทมิฬไป

“แกต้องการจะสื่ออะไร? จะบอกว่ามันมีวิธีดีกว่าการใช้ความรุนแรงเข้าจัดการปัญหานั่นเหรอ?”

แมนทัส โพล่งถามออกไปด้วยสีหน้าไม่พึงพอใจ ก่อนหน้านี้เขาถูกเคออสตามรังควานมาหลายครั้ง และก็มักเป็นเขาเองที่ส่งคนออกไปเพื่อเด็ดหัวอีกฝ่าย แต่ผลลัพท์กลับออกมาในรูปแบบเดิม ๆ ไม่เคยเลยที่จะมีครั้งไหนที่เขารู้สึกว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่าอีกฝ่ายที่เคยร่วมงานกับตนเองสมัยอดีต

“ไม่ใช่หรอกครับ ผมแค่กำลังคิดว่าเป้าหมายของเขาคล้ายคลึงกับเรา ต่างกันแค่วิธีการ อุดมการณ์ รวมถึงแรงจูงใจที่เขาอาจต้องการทำในสิ่งที่ ‘เรา’ คาดไม่ถึง”

มันเป็นคำพูดที่ฟังดูไม่เข้าหูสำหรับชายวัยกลางคน กระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปที่เขาเริ่มคิดและตระหนักได้ นั่นเลยทำให้เขามองเห็นถึงมุมหนึ่งที่เขากลับมองคลาดเคลื่อน

แมนทัส นึกย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาหลายปีก่อนหน้านี้เกี่ยวกับโครงการ ‘ไนติงเกล’ ช่วงเวลาระหว่างการที่เขาออกแบบและดีไซน์ฐานยิงขีปนาวุธ และตัวขีปนาวุธที่มันเองถูกซื้อไปโดยกองทัพนานาประเทศ เงินที่เขาได้รับจากการขายอาวุธนั้นมากเพียงพอต่อการที่ตัวเขาใช้มันเพื่อต่อรองในการครอบครองสิ่งที่เขาขาดหายไปในชีวิตตัวเอง

การหลบหนีของสมาชิกคนสำคัญขององค์กร สร้างความกระวนกระวายใจให้กับแมนทัส หากแต่กลับกันมันช่วยให้เขาตระหนักรู้ได้ถึงความสำคัญเกี่ยวกับการที่ตัวเขาจำเป็นต้องถีบตัวเองและนำพาองค์กรอสรพิษไปสู่ในจุดที่ดีและไกลไปกว่าเดิม เขาไม่ต้องการยึดติดกับอุดมการณ์ของผู้บริหารคนเก่าแก่อย่าง ‘เทมเพส’ ที่ตัวตนปัจจุบันของอีกฝ่ายสูญหายและไม่มีแม้แต่ร่องรอยที่ตามหาได้จนเจอ ซึ่งมันคล้ายคลึงกับเคออสในช่วงแรกที่เขาเลือกจะทรยศต่อความเชื่อใจที่เขาไม่คิดจะมอบให้ตั้งแต่แรก

อย่างไรก็ดี อดีตล้วนนำพามาซึ่งความทุกข์ใจ และตราบใดที่เขายังมีลมหายใจและพละกำลังที่สามารถขจัดปัญหาคาราคาซังไปได้ มีหรือที่เขาจะปล่อยให้อีกฝ่ายเล็ดลอดออกไปเพื่อปล่อยข่าวลือเสีย ๆ หาย ๆ ให้กับองค์กรตัวเอง

“เพราะแบบนั้นถึงเลยต้องกำจัดมันให้ไวที่สุดยังไงล่ะ”

‘การปล่อยวาง’ ไม่ใช่สิ่งที่เขาโปรดปราน เหมือนอย่างเช่นนามสกุลที่เคออสแต่งตั้งขึ้นมา ความแค้นเคืองที่เขากับอีกฝ่ายมีให้แก่กันนับว่าค่อนข้างรุนแรงไม่ต่างจากขั้วบวกและขั้วลบ ความยึดถือในตัวตนที่พ่วงมาด้วยความภาคภูมิใจของวงศ์ตระกูล รวมไปถึงแรงกดดันจากผู้เป็นบิดา หล่อหลอมให้แมนทัสเกิดความรู้สึกที่อยากเอาชนะเพียงเพื่อแสดงถึง ‘จุดยืน’ ในการที่เขาไม่เชื่อถือในอุดมการณ์ของเคออส แม้ว่าเขาจะมีตำแหน่งเป็นคนสำคัญของเครือข่ายอาชญากรรม นั่นไม่ได้แปลว่าเขาจะยินยอมให้มีบทบาทมากกว่าอาชญากรคนอื่น ๆ

“ฉันไม่สนว่าแรงจูงใจ อุดมการณ์ปาหี่ หรือแม้แต่เป้าหมายที่เขามีจะเป็นอะไร และเพื่ออะไร เรื่องหนึ่งที่ฉันรู้เกี่ยวกับเคออส เขาเป็นพวกใจโลเล ไม่เด็ดขาด และเพ้อฝันถึงในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เขาอาจมีทรัพยากรมากกว่าเราหลายเท่า แต่สิ่งที่เขาไม่มีกลับเป็นสิ่งที่คน ๆ หนึ่งไม่สามารถมีได้”

“สิ่งที่เขาไม่สามารถมีได้? คุณหมายความว่าไง?”

“แกรู้ความแตกต่างระหว่าง ‘วิศวกร’ กับ ‘ศิลปิน’ หรือเปล่า?”

ฝั่งของกลุ่มติดอาวุธเริ่มออกตามล่าร่องรอยที่เคออสทิ้งไว้ ก่อนที่จากนั้นพวกเขาแต่ละคนจะทยอยถูกลอบสังหารอย่างง่ายดาย ประกอบกับที่เหล่าราตรีทมิฬ พยายามเลือกจะหาช่องทางเพื่อโจมตีเคออสด้วยอาวุธบนมือโดยหวังให้เขาหมดสภาพการต่อสู้ แม้ว่าในความเป็นจริงที่เกิดขึ้น สิ่งที่เขาแสดงออกมาแทบจะทั้งหมดมันจะทำให้เขาดูเหมือนกับ ‘อสูรร้ายในเงามืด’ ที่คอยจ้องเล่นงานคนยามทีเผลอไปก็ตาม

“แมนทัส…ผมว่าเราควร–”

“พวกหมารับใช้เครือข่ายอาชญากรรม ไม่ว่าผ่านไปกี่ปีก็เป็นแค่หมาวันยันค่ำ ถ้าฆ่าพวกมันทิ้งได้แค่สักตัวเดียว ตัวที่เหลือก็ทยอยขวัญหนีดีฝ่อวิ่งหางจุกก้นไปแล้ว”

ประโยคคำพูดนั่นแฝงนัยยะบางอย่างเอาไว้ หากแต่เมื่อพิจารณาความหมายกลับไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำความเข้าใจ

ตัดกลับไปส่วนของราตรีทมิฬ การปรากฎตัวรอบที่สองของเคออสนั้นดูเรียบง่ายหากแต่แฝงไว้ซึ่งความเด็ดเดี่ยวที่พ่วงมาด้วยทักษะการต่อสู้ที่มีความดิบเถื่อนมากกว่าเก่า ศิลปะการต่อสู้ขั้นสูงที่อีกฝ่ายได้เรียนรู้มาเพื่อมันถูกผสมผสานเข้ากับการใช้อาวุธที่มีความหลากหลาย นั่นย่อมกลายเป็นสิ่งที่สร้างความแปลกประหลาดใจให้กับกลุ่มติดอาวุธขององค์กร รวมถึงสมาชิกคนสำคัญอย่าง ‘ฮาร์เวิร์ท’ ที่เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมทิ้งศักดิ์ศรีการเป็นนักลอบสังหาร และหันเหไปต่อสู้ในรูปแบบของกองโจร แน่นอนว่าช่วงแรกนั้นเขาอาจยังพอรับมือได้บ้าง หากแต่สำหรับเขาที่ใช้เพียงอาวุธปาอย่างเดียวเพียว ๆ เมื่อได้เจอกับฤทธิ์ของกระสุนขนาด จุดสี่สิบห้า ทำให้เขามีความจำเป็นต้องรีบมองหาที่กำบังโดยทันที

และสั่งให้บรรดาสมาชิกทั้งหมดในกลุ่มถอยครูดออกมาเพื่อตั้งหลักใหม่อีกรอบ

“ให้ตาย!! ไอ้หมอนั่นมันหัดใช้ปืนเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่กันวะ?!”

อดีตพลซุ่มยิงแห่งนาวิกโยธินสหรัฐ อุทานออกมาด้วยความแปลกใจและคาดไม่ถึงกับสิ่งที่ได้พบเจอ แตกต่างจากผู้นำกลุ่มที่กลับเลือกเป็นฝ่ายเฝ้ามองและพยายามดักทางเพื่อล่อให้เข้ามาติดกับ ซึ่งผลที่ได้กลับดูเหมือนว่ามันทำให้เขาต้องวางเส้นใยเครือแมงมุมใหม่ ก่อนหันเหไปโดยการแยกตัวออกจากกลุ่มเพียงลำพัง เสมือนว่าแผนที่วางเอาไว้มันเริ่มใช้ไม่ได้ผลแล้ว

“สัตว์บางจำพวกก็มีความอาฆาตแค้นไม่ต่างจากมนุษย์ เมื่อใดที่พวกมันเห็นสิ่งที่มันรักถูกฆ่าตาย เมื่อนั้นพวกมันจักจดจำบาดแผลทั้งหมดเอาไว้ และเฝ้ารอวันที่จะได้ชำระล้างแค้น

เสียงวิทยุสื่อสารดังข้างตัวของฮาร์เวิร์ท ขณะที่เขามองหาโอกาสที่ฝั่งเคออสนั้นเหมือนว่าจะรับมือกับสมาชิกกลุ่มราตรีทมิฬไปอย่างทุลักทุเล และแน่นอนว่าคนบางส่วนได้รับบาดเจ็บสาหัส ตราบไปจนถึงขั้นปางตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว อย่างไรก็ดี พวกเขากลับไม่แสดงอาการหวาดกลัวในความตายออกมาให้เห็น นอกจากว่าจะกัดฟันสู้กับเคออสจนหมดแรงเฮือกสุดท้าย จนเป็นเหตุทำให้สมาชิกที่เหลืออยู่จำเป็นต้องรีบพาตัวคนในทีมตัวเองออกมาเพื่อไม่ให้เขาสามารถปลิดชีพสมาชิกที่ถูกแต่งตั้งขึ้นมาโดยฝีมือของเขากับเวรูกา

“แกมันไอ้ทรยศ!!”

“เออ แต่ยังไงก็ดีกว่าไอ้ลิงชั้นสูงอย่างพวกแกแหละนะ”

กลุ่มติดอาวุธขององค์กรอสรพิษเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมากแล้ว และแน่นอนว่ารายต่อไปที่เคออสหมายปองคือพวกราตรีทมิฬ อดีตกลุ่มผู้อยู่ใต้เงามืดของแมนทัส ผู้ที่จุดประกายเพลิงความโทสะให้กับตัวเขา

สมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มราตรีทมิฬ ตัดสินใจคว้าขวานมือเดียวขึ้นมาถือไว้บนมือ ก่อนจะลากสังขารพยายามพุ่งเข้าหวังจะเฉาะมันเข้าด้านหลังของชายหนุ่ม หากแต่ดูเหมือนว่ามันกลับไม่เป็นไปตามคาด เมื่อเคออสไหวตัวทันและได้คว้าร่างหนึ่งในสมาชิกมากันเอาไว้ ทำให้ด้านแหลมของมันเจาะเข้าที่ร่างนั้นแบบเน้น ๆ แน่นอนว่าภาพที่ปรากฎออกมามันทำให้สมาชิกราตรีทมิฬส่วนหนึ่งถึงกับหน้าถอดสีในทันที

“ม-แม่ง…ไอ้เว–”

มีดต่อสู้ข้างหนึ่งบนมือเคออสปักเข้ากลางศีรษะนั่น ตามมาด้วยการที่มือข้างหนึ่งของเขาหันไปลั่นปืนลูกซองแฝด ลำกล้องสั้น ในระยะเผาขนใส่ตัวของสมาชิกอีกคนจนกระเด็นไถลไปพร้อมกับคราบเลือดบนพื้น แน่นอนว่าหากสังเกตดี ๆ จะเห็นได้ว่าร่างนั้นกลับเป็นผู้หญิง ซึ่งมันค่อนข้างขัดแย้งกับธรรมเนียมและหลักความคิดจากการที่เคออสนั้นไม่เลือกจะฆ่าหรือสังหารคนที่เป็นเพศตรงข้าม ถ้าไม่ใช่เพียงเพราะเขาตกอยู่ในสถานการณ์ไม่คาดฝันหรือตั้งตัวไม่ทัน

บรรดาศพกลุ่มติดอาวุธที่ถูกฆ่าตามรายทาง พ่วงมากับความเสียหายในจุดต่าง ๆ โดยเฉพาะส่วนที่มันเป็นกลไกสำหรับตรวจจับผู้บุกรุกหรือระบบรักษาความปลอดภัยที่ถูกทำลายจนอาจต้องใช้ระยะเวลาซ่อมแซมนานกว่าปกติเป็นหลายเท่า ถึงกระนั้นมันไม่ใช่อุปสรรคอันน่ากังวลเท่ากับการที่เคออสจำเป็นต้องฝืนสังขารตัวเองเพื่อทำการไล่กลุ่มคนพวกนี้ออกไปจากบ้านของเขา บ้านที่เปล่าเปลี่ยวและรายล้อมด้วยอันตรายมากมายที่คุ้มกันความโหดร้ายจากโลกภายนอกที่เขาต้องเผชิญ

“!!”

บางอย่างพุ่งปักเข้าที่กลางหลังจนชายหนุ่มล้มลงไปนอนวูบกับพื้น หากแต่เขายังไม่ตายสนิทลงไป หากแต่เพียงรู้สึกช็อคกับการได้รับความเจ็บปวดที่มันกะทันหันและฉุกละหุกจนตั้งตัวไม่ทัน ฝีมือของผู้ที่ทำแบบนั้นเดาได้ไม่ยากว่ามันไม่ใช่ใครที่ไหน ถ้าไม่ใช่กับฮาร์เวิร์ทที่เขาแอบซุ่มดูการกระทำของเคออสตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนที่เขาปลิดชีพสมาชิกกลุ่มราตรีทมิฬทั้งสองไป

“จับตัวได้สักที”

เคออสคุ้นชินกับการถูกทำร้ายและการได้รับบาดแผลมานับไม่ถ้วน หนึ่งในสิ่งที่เขารู้สึกทรมานมากที่สุดคือช่วงบริเวณแผ่นหลังของเขาเองที่มันเป็นจุดศูนย์รวมระบบประสาทเอาไว้ อะไรก็ตามที่มันกระทบเข้ากับส่วนนี้อย่างรุนแรง ล้วนมีโอกาสเสียชีวิตได้ทันที เว้นเสียแต่เพราะด้วยเซลล์ตัดแต่งพันธุกรรมในร่างกายในตัว มันยังพอช่วยดูดซับความเจ็บปวดนั้นไม่ให้เขารู้สึกเจ็บจนถึงขั้นนอนดิ้นทุรนทุราย

ฮาร์เวิร์ท เดินเข้าใกล้มาจนถึงจุดที่ร่างในชุดเสื้อโค้ทสีน้ำตาลนอนคว่ำอยู่แบบนั้น น่าแปลกที่เขาเหมือนแทบไม่ออกแรงลุกหรือทำอะไรที่แสดงให้เห็นถึงการขัดขืน เปรียบกับว่าตัวเขาเองยินยอมให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ซึ่งมันไมใช่ครั้งแรกที่เคออสถูกบางอย่างปักเข้ากลางแผ่นหลังของตัวเอง แต่นับได้ว่ามันมีด้วยกันหลายครั้ง ทว่าครั้งนี้สิ่งที่ปักอยู่กลับไม่ใช่ลูกธนูหรือขวานมือเดียว แต่เป็นมีดต่อสู้ที่มีใบมีดยาวพอเกือบจะทะลุเข้าตัดขั้วหัวใจของเขา

“ฉันไม่ให้แกต้องตายตรงนี้หรอก”

ตลอดของการต่อสู้ การจู่โจม หรือไปจนถึงการเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วเหนือมนุษย์ธรรมดา ความสามารถของเคออสเทียบเคียงได้กับ ‘ทหารผู้ฝึกฝนมาอย่างยาวนาน’ และทนรับความเจ็บปวดในระดับที่แทบจะทำลายความเป็นมนุษย์ของเขาไปโดยอย่างสิ้นเชิง เว้นแต่ความสามารถพวกนี้กลับเป็นสิ่งที่แสดงออกมาให้เห็นยากเกินไป ทำให้ในท้ายที่สุดเขาเลยเลือกหลีกเลี่ยงการเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อแลกกับอุดมการณ์ของตัวเอง โดยหันเหไปใช้กลุ่ม ‘มือที่สาม’ ผู้รับงานต่อจากเขาไปแทน

“เฮ้ บอส ยังได้ยินอยู่ไหม?” ฮาร์เวิร์ท กล่าวผ่านวิทยุออกไปหาด้านของฝั่งแมนทัส

“ปลาตัวใหญ่ที่บอสต้องการ ดูเหมือนว่ามันน่าจะสิ้นฤทธิ์แล้วเป็นที่เรียบร้อย ยอมรับเลยว่าเขาเปลี่ยนไปมากตั้งแต่เมื่อครั้งที่คุณสั่งงานให้ผม ‘เก็บ’ เธอคนนั้น”

ไม่ใช่กับแค่ทางกายภาพ แต่ยังรวมถึงสภาพจิตใจเองก็ยับเยินไม่แพ้กัน ว่ากันว่าส่วนก้นบึ้งลึกของจิตใจผู้เติบโตมาโดยไร้ซึ่งที่พึ่งพานั้น สิ่งเดียวที่เขาสามารถยืนหยัดและยึดถือเอาไว้ได้ล้วนมาจากแรงขับเคลื่อนอย่างแรงกล้าที่มันผลักดันให้เขากระทำบางอย่างในแบบที่คนทั่วไปมองว่า ‘บ้า’ และ ‘เสียสติ’ เกินกว่ายอมรับ และสำหรับเคออสแล้ว สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือการเอาชนะหนึ่งในคู่ปรับที่ดีที่สุดตลอดกาล

เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าเขา ‘คิดถูก’ ในเส้นทางของตัวเอง…

“หืม? ครับ…รับทราบแล้ว”

แม้ร่างกายจะขยับไม่ได้ หากแต่สติสัมปชัญญะนั้นยังคงมีอยู่ และแน่นอนว่าสิ่งที่เคออสทำไม่ใช่การออกเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายของตัวเอง หากแต่เลือกที่จะเปิดช่องทางสื่อสารผ่านหน้าจออินเตอร์เฟสบนหน้ากากแก๊สของตัวเอง ติดต่อและส่งสัญญาขอความช่วยเหลือไปยังตัวของหนึ่งในผู้ใกล้ชิดกับแฟนสาวคนปัจจุบันของเขา แน่นอนว่าเธออาจไม่ได้รู้จักกับเคออสเป็นการส่วนตัว หากแต่เนื่องด้วยเพราะเธออยู่ในสายงานเครือข่ายอาชญากรรม นั่นย่อมหมายถึงการที่เขามี ‘เส้นสาย’ มากเพียงพอที่จะเรียกใช้งานได้ แม้จะอยู่ในสถานการณ์วิกฤตไปก็ตาม

// เห็นแล้ว กำลังรอจังหวะที่เหมาะสม //

ข้อความปรากฎขึ้นผ่านหน้าจอเป็นภาษายูเครน แปลได้ว่า เธอ อยู่ที่นั่นแล้ว ณ ตั้งแต่ตอนแรก

ฮาร์เวิร์ท ดึงมีดที่ปักอยู่กลางหลังของเคออส ก่อนจับเขาพลิกให้นอนหงายเพื่อมองเห็นใบหน้าภายใต้หน้ากากแก๊สนั่น แววตาที่แสดงออกจากเลนส์หน้ากากกันแก๊สไม่แสดงออกถึงความหวาดกลัวหรือกังวล ซึ่งแน่นอนว่ามันแปลได้สองความหมาย

“แล้ว…จะฆ่าฉันเมื่อไหร่?” ชายหนุ่ม กล่าวออกไป

ฮาร์เวิร์ท ไม่ตอบอะไร หากแต่เขาเลือกจะล้วงหาบางอย่างจากภายในเสื้อโค้ทสีน้ำตาลของอีกฝ่าย ก่อนจะพบกับเพียงความว่างเปล่าที่ไม่เจออะไรสักอย่างเดียว นอกจากปืนกับมีดต่อสู้ที่มันตกอยู่ข้างศีรษะของอีกฝ่ายแทน

“แกหามันไม่เจอหรอก” เคออส ตอบออกมา

“หากจะฆ่าฉันตอนนี้ก็เร่งมือเสีย ไม่อย่างงั้นแกจะไม่มีโอกาสอีก”

“แกหมายความว่า–”

ชั่วเวลาเพียงพริบตานั้นเองที่ฮาร์เวิร์ท รู้สึกเหมือนกับถูกบางอย่างพุ่งเข้าใส่ตัวของเขา พลิกโอกาสให้เคออสตัดสินใจกลิ้งตัวหลบออกทางด้านข้างพร้อมกับคว้ามีดต่อสู้ของตัวเองขึ้นมือ และหันไปสังเกตร่างของฮาร์เวิร์ทที่เขาถูก ‘มัน’ จู่โจมเข้าแบบไม่ทันตั้งตัว

“แม่ง…ไอ้ชาติ–”

เป็นครั้งแรกสำหรับฮาร์เวิร์ทที่เขารู้สึกโกรธจนเลือดขึ้นหน้า แม้ที่ผ่านมาเขาจะพยายามอย่างหนักเพื่อหวังจะชิงลงมือสังหารเคออสมาตั้งแต่แรกแล้ว ทว่าโอกาสนั้นกลับมาไม่ถึงเขา ไหนจะเรื่องที่ระหว่างช่วงเวลาที่เขาจะได้จบเรื่องทั้งหมดด้วยเงื้อมมือตนเอง กลับกลายเป็นถูกขัดจังหวะด้วยฝีมือของแมนทัส

“รู้สึกยังไง เวลาที่เป็นเป้าซ้อมยิงล่ะ?”

แขนข้างหนึ่งของฮาร์เวิร์ท หลุดวิ่นออกจากตัวของเขาชนิดที่เหมือนถูกฉีกออกอย่างรุนแรง แทบไม่ต้องพูดถึงความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสที่มันแทบจะทำให้อีกฝ่ายเกือบสิ้นชีพไปในทันที ถ้าไม่ติดว่าระหว่างนั้นเขากลับคงสติตัวเองและพยายามกัดฟันระงับความเจ็บปวดนั้น แล้วเลือกหยิบ สเต็ม (Stem) ออกมาฉีดเข้าลำคอของตัวเอง ซึ่งมันช่วยทำให้เลือดหยุดไหลลงในระยะเวลาอันสั้น และคงไว้เพียงบาดแผลเหวอะที่มันแทบจะแสดงให้เห็นเค้าโครงของอวัยวะภายในของอีกฝ่าย

“นี่…นี่ยังไม่จบ!!”

เคออส ไม่แสดงอาการทึ่งกับสิ่งที่เห็น ภาพของการฟื้นฟูบาดแผลในระยะเวลาอันรวดเร็ว ถือเป็นสิ่งที่เห็นได้บ่อยโดยเฉพาะกับกลุ่มองค์กรที่มีเทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูงที่สามารถคิดค้นยารักษาบาดแผลแบบเฉียบพลัน ซึ่งกรณีสำหรับพวก ‘ราตรีทมิฬ’ พวกเขามีส่วนคล้ายคลึงกับเขา หากแต่ด้อยกว่าในเรื่องของความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายหรืออวัยวะที่ฉีกขาดออกจากกัน

มากสุดที่พวกเขาทำได้คือการระงับความเจ็บปวด และพยายามกัดฟันเพื่อดิ้นรนให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ต่อ

เหล่าราตรีทมิฬจำนวนที่เหลือทยอยเข้ามาในพื้นที่แห่งนั้น บางส่วนที่มีชีวิตรอดหันไปมองที่ตัวของฮาร์เวิร์ทกับสมาชิกอีกสองคนที่เสียชีวิตไป แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นเลือกจะง้างอาวุธเพื่อหวังจะชิงสังหารอีกฝ่าย หากแต่กลับต้องหยุดชะงักเมื่อได้พบว่ารองหัวหน้ากลุ่มของพวกเขากลับเสียท่าให้กับเคออส ชนิดที่ว่ามันสร้างบาดแผลเป็นอย่างมาก และสิ่งที่พวกเขาทำได้ มีเพียงแค่การหันไปสนใจกับร่างไร้วิญญาณของกลุ่มพรรคพวกตัวเองแทน

“ได้เวลาถอยแล้ว”

สมาชิกคนสำคัญของกลุ่มราตรีทมิฬ เดินเข้ามาพูดกับตัวของฮาร์เวิร์ท หนึ่งในสมาชิกผู้นั้นเหลือบไปมองที่ตัวเคออสด้วยสายตาเฉยเมย เสมือนไม่ได้มีอารมณ์ร่วมกับคนอื่น ๆ หากแต่กลับมองเห็นถึงแผนการที่เขาวางเอาไว้ ซึ่งเธอเลือกจะไม่เล่นไปตามเกมที่เขาวาง

นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดกว่าใครคนอื่นในกลุ่ม แม้ว่านั่นจะสร้างความแปลกใจให้กับฝั่งของเคออสไปพักใหญ่พอสมควร

“หมายความว่าไง? ถอยเหรอ? ใครเป็นคนสั่งเธอ?”

“หัวหน้าของเรา ดูเหมือนว่าเขามีแผนการใหม่ที่ต้องการเล่นงานเขา แต่นี่…ไม่ใช่หนึ่งในสิ่งที่เขาต้องการ”

เธอหันมองไปที่ตัวเคออสสักพัก ชายหนุ่มสังเกตว่าแววตาใต้หน้ากากสีดำที่ปกปิดใบหน้านั้นกลับไม่ได้สนใจที่ตัวเขา แต่กลับทอดออกไปออกห่างจากจุดที่เขาอยู่ในระยะที่ไกลพอสมควร ไกลเกินกว่าที่คนธรรมดาทั่วไปจะสังเกตเห็น และไม่รับรู้ว่ามีอะไรจ้องมองมายังทางที่เธออยู่

ฮาร์เวิร์ท เบ้ปากแล้วชักสีหน้าหงุดหงิดออกมา ทั้งรู้สึกเจ็บปวดและไม่พอใจ โทสะอันท่วมท้นของเขามันมากพอที่เขาสามารถขัดคำสั่งของผู้เป็นนายได้ทุกเมื่อ แม้ว่าความเป็นจริง ณ ตอนนี้เขาจะสูญเสียแขนข้างหนึ่งไปก็ตาม หากแต่นั่นเป็นเรื่องเล็กมากสำหรับเขา

การสูญเสียอวัยวะไม่ใช่เรื่องใหญ่ เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่ผนวกรวมเข้ากับวิทยาการทางการแพทย์อันก้าวล้ำไปไกลเกินเอื้อม ความก้าวหน้าของมันล้วนแทนที่หลายสิ่งหลายอย่างมากมาย และในบางครั้งมันเองก็เป็นได้ทั้งเครื่องมือและสิ่งล้ำค่าอันเป็นปัจเจกที่ยากจะเลียนแบบ นอกเสียจากจะมีผู้สนับสนุนรายใหญ่ที่ยินยอมสูญเสียเงินหลักพันล้านดอลล่าร์เพื่อแลกกับการช่วยชีวิตคนได้เป็นจำนวนมาก

และผลาญชีวิตคนเป็นจำนวนมากในเวลาเดียวกัน…

กลุ่มราตรีทมิฬ ตัดสินใจที่จะหันหลังยอมถอยออกจากพื้นที่จุดนั้น พร้อมเพรียงไปกับตัวของเวรูกาที่ดูเหมือนว่าเขานั้นจะไม่ได้รวมกลุ่มเหมือนกับคนอื่น ๆ หากแต่เลือกเพียงสังเกตการณ์ผ่านสิ่งเหนือธรรมชาติที่ปรากฎออกมาในรูปแบบของเครือใยแมงมุมที่ตัวเองสร้าง ความน่าพิศวงอันชวนให้เกิดการตั้งคำถามมากมาย หากแต่ในเวลาตอนนี้มันจวนถึงเวลาสำหรับการที่เขาควร ‘ปล่อยวาง’ และให้อสรพิษทรหดเช่นเคออสมีชีวิตรอดไป แม้ในใจลึก ๆ เขาจะไม่เห็นด้วยต่อการตัดสินใจที่แมนทัสต้องการก็ตาม

‘แผนการใหม่’ คืออะไร? นั่นคือสิ่งที่เคออสไม่อาจรับรู้ได้

นอกเหนือจากเพียงแค่ตอนนี้ เวลานี้ และ ณ บัดเดี๋ยวนี้ สิ่งที่เขาตัดสินใจทำภายหลังจากมองพวกคนจากองค์กรทยอยออกจากพื้นที่เมืองร้างไป คือการที่เขาตัดสินใจเลือกจะถอดหน้ากากของตัวเองออกมาแล้ววางแนบไปบนหน้าอกของตัวเอง พร้อมกับถอนหายใจด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่นไปด้วยความโล่งใจที่มันตามมาด้วยอาการบาดเจ็บจากการต่อสู้ที่ผ่านมา

- 2 -

ช่วงเวลาของการพักฟื้นเพื่อรักษาร่างกายและบาดแผลจากการต่อสู้ ค่อนข้างกินระยะเวลาไม่นานสำหรับชายผู้มีความสามารถเหนือมนุษย์ที่เลือกจะแอบแฝงอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของโลก หากแต่มันไม่ได้มีผลต่อสภาพจิตใจที่มันยังคงอยู่อย่างเดิมและไม่มีวันจางหายไปไหน ราวกับว่านั่นคือ ‘คำสาป’ ที่เขาไม่มีวันจะได้รับการให้อภัย ไม่ว่าต่อให้สวดมนต์อ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้ามากเพียงใดก็ตาม

อย่างไรเองมันถูกมองข้ามไป เพราะ ณ เวลานี้สิ่งที่เคออสให้ความสนใจมากที่สุด นั่นคือการที่เขาได้พบกันกับตัวของเนเลส แฟนสาวคนปัจจุบัน รวมถึงตัวแทนผู้ช่วยเหลือเขาเอาไว้อย่างทันท่วงที ซึ่งเธอมีนามว่า ‘นาฟุกะ’

“ก่อนหน้านี้เหมือนฉันได้กลิ่นไหม้เหมือนมีใครสักคนย่างเนื้ออยู่บนนั้น นี่…คงไม่ได้มีใครบุกมาทำอะไรนายหรอก ใช่ไหม?”

ช่วงแรกของการได้เจอกับแฟนหนุ่ม แน่นอนว่ามันทำให้ใจของเนเลสตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เธอไม่ได้คาดหวังอยากให้อีกฝ่ายตายหรือเสียชีวิต หากแต่การได้รับรู้ว่าเขามีสภาพที่บาดเจ็บสาหัสชนิดที่แทบเข้าขั้น ‘เลวร้าย’ นั่นก็มากพอที่ทำให้เธอจำต้องตัดสินใจยกกลุ่มติดอาวุธของตัวเองเข้ามาในพื้นที่ ๆ เคออสอาศัยอยู่ ก่อนจะจัดแจงเรียกกำลังพลมาเสริม ซึ่งทั้งหมดไม่ได้มาจากคำสั่งของเขา แต่เป็นเธอที่ถือเป็นหนึ่งในคนที่เขาให้ความไว้วางใจมากเพียงพอยอมให้ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์และเทคโนโลยีที่เขาสร้างขึ้นมา

“เอ่อ…ไม่นะ? ก็แค่เผลอสร้างเรื่องอะไรนิดหน่อย แต่ขอบคุณที่อย่างน้อยก็ส่ง ‘เธอ’ คนนั้นมา เนท”

“นาฟุกะเหรอ? อ๋อ ฉันไม่ได้ส่งมาน่ะ เธอมาเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในพื้นที่ที่นายอยู่ต่างหาก”

ได้ยินแบบนั้นชายหนุ่มถึงกับแปลกใจไปสักพัก และในเวลาเดียวกันก็เป็นช่วงเวลาที่ฝั่งของเจ้าของนามผู้ถูกเรียกขาน เดินเข้ามาหาตัวของเคออสที่เขายังใช้เวลานั่งทำงานฝีมืออยู่ในโซนเวิร์คช็อปในบริเวณห้องแล็ปใต้ดินของเขา

“เงิน…” นาฟุกะ พูดออกมา

“สด”

เคออส ชักสีหน้างุนงงเล็ก ๆ ทว่าก็ไม่ได้แสดงท่าทีแปลกใจอะไร นอกเสียจากยิงคำถามออกไปเพื่อถามถึงตัวเลขที่เธอต้องการ

“เท่าไหร่?”

นาฟุกะ เงียบกริบไปอยู่นานพอควร เธอเหลือบไปมองเจ้าปืนไรเฟิลต่อต้านยุทธภัณฑ์กระบอกโตที่สะพายไว้ข้างลำตัว ก่อนจะแบกมันขึ้นไปถือวิสาสะวางบนโต๊ะที่ชายหนุ่มกำลังทำงานฝีมืออยู่ คล้ายกับว่ามองหาอะไรบางอย่าง

‘เคเอสวีเค 12.7’ หรือชื่อเต็ม ๆ ของมันคือ ‘ปืนซุ่มยิงกระสุนขนาดใหญ่ของคอฟรอฟ’ แน่นอนว่าแทบไม่ต้องเดาว่าถิ่นที่อยู่มันมาจากไหนถ้าไม่ใช่จากแผ่นดินทวีปที่เคยรุ่งโรจน์เมื่อช่วงก่อนสงครามเย็น ตราบจนกระทั่งเมื่อโซเวียตเริ่มเสื่อมอำนาจลง จนกลายมาเป็นประเทศรัสเซียในปัจจุบัน

สามแสนห้าหมื่น รูเบิล”

“เอ่อ…ได้…โอเค”

เคออส ลุกออกจากที่นั่งของตัวเอง ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้อง ๆ หนึ่งภายในห้องแล็ปที่มันมีป้ายเขียนแปะไว้ว่า ‘การคลัง’ เป็นภาษายูเครน และปรากฎตัวออกมาอีกครั้งพร้อมกับกระเป๋าเล็ก ๆ ใบหนึ่งที่ข้างในบรรจุเป็นเงินสดจำนวนเยอะพอสมควร

“รู้ใช่ไหมว่ามันเป็นเงินสกปรกน่ะ?”

นาฟุกะ รับกระเป๋าใส่เงินนั้นมาโดยไม่สนใจคำพูดของเขา หากแต่เธอเลือกที่จะสะพายมันขึ้นหลัง พร้อมทั้งคว้าเจ้าปืนกระบอกโตนั่นมาสะพายทับเอาไว้ติดกับตัวเอง ประหนึ่งกับไม่ได้สนใจน้ำหนักของมัน แน่นอนว่ามันดูเป็นภาพชวนน่าขบขันเล็ก ๆ สำหรับตัวของเนเลส

“ฉันเชื่อว่าเดี๋ยวเธอก็หาทางฟอกขาวได้เองแหละ ไม่ต้องห่วงหรอกนะ~”

เคออส หันไปมองร่างของพลซุ่มยิงหญิงที่เดินขึ้นลิฟท์ไปพร้อมกับเงินสดของเขา เหลือไว้แต่เพียงตัวของเขากับเนเลสที่อยู่ด้วยกันแบบสองต่อสอง

บรรยากาศความเงียบงันคืบคลานเข้ามาแทนที่ ทั้งคู่ต่างไม่มีใครเริ่มพูดอะไรนอกจากปล่อยให้ใช้เวลาวนเวียนอยู่ภายใต้ความคิดในหัวสมองของตัวเอง ก่อนหน้ามานี้เนเลส เธอได้ใช้เวลาอยู่กับการพักร้อนในสถานที่ห่างไกลแสนไกล ซึ่งมันช่วยทำให้สมองของเธอปลอดโปร่งและสดชื่นมากกว่าการขลุกอยู่กับเรื่องราวในมุมมืดมากเป็นไหน ๆ โดยที่ไม่ได้ตระหนักรู้ว่าด้านของฝั่งผู้เป็นแฟนหนุ่มเขากลับต้องเผชิญหน้ากับเรื่องเสี่ยงอันตรายถึงแก่ชีวิตนับจำนวนกว่าหลายครั้ง

เธอคุ้นชินแล้วกับวิถีชีวิตที่เขาเป็น หากแต่ในครั้งนี้มันกลับ ‘ใกล้ตัวเขา’ มากเสียจนอดไม่ได้ที่เธอจะแอบรู้สึกเคืองขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

“ฉันรู้ว่านายเสี่ยงอันตรายอยู่ตลอดเวลา เคออส แต่ขออย่างหนึ่งได้ไหม? เมื่อไหร่ที่นายจะล้มเลิกอุดมการณ์ของตัวเองไปสักที”

เธอกับเขามีส่วนคล้ายคลึงกัน ต่างกันตรงความยิ่งใหญ่ของเป้าหมายที่เขามีกลับเปลี่ยนแปลงไปและนับวันเริ่มเข้าใกล้ถึง ‘หายนะ’ ตามนามต้นของเขาไปจริง ๆ เนเลส เคยมีปากเสียงกับเคออสเกี่ยวกับเรื่องนี้มาได้แล้วสักระยะหนึ่ง หากแต่ผลลัพท์กลับมักจบลงด้วยคำตอบที่เธอไม่อาจทำความเข้าใจถึงความทะเยอทะยานในสิ่งที่เขาพยายามต่อสู้กับมันโดยลำพัง

“นายจะต่อสู้กับสิ่งที่พวกเขาสร้างนายขึ้นมาด้วยตัวคนเดียวไม่ได้นะ รู้ใช่ไหม? บางทีอย่างน้อยมันควรมีวิธีที่ดีกว่า–”

“จบเรื่องราว…ทั้งหมด” เคออส โพล่งออกมา

“ฉันเข้าใจที่เธอเป็นห่วงฉัน แต่สถานะความสัมพันธ์ของเราเป็นเพียง ‘หุ้นส่วนธุรกิจ’ ในแบบพิเศษใส่ไข่ มันยากสำหรับฉันที่จะยอมรับว่าเธอเป็น ‘แฟน’ เพราะอะไรเธอก็น่าจะรู้ดี…”

“เฮ้! ฟังนะ ฉันไม่ได้เหมือนกับ เธอคนนั้น–”

“เพราะไม่เหมือนยังไง ฉันถึงได้จำเป็นต้องกันเธอออกจากเรื่องนี้!!”

จากความเงียบเริ่มกลายเป็นความกดดัน แปรเปลี่ยนกลายเป็นบรรยากาศที่มันค่อนข้างชวนอึดอัดพอสมควรเมื่อครั้งที่เนเลสยกเอาเรื่องราวในอดีตที่ชายหนุ่มได้ประสบพบเจอมา

เธอไม่ได้รู้จักตัวตนหรือไม่แม้แต่จะเคยเห็นหน้าหญิงสาวคนนั้น หากแต่รู้จักเพียงชื่อว่า ลูซี่ ไวท์ อดีตแฟนสาวคนที่สองของเคออสที่เขาทุ่มเทให้ความรักกับเธอมากกว่าใครคนอื่น ซึ่งสำหรับตัวเนเลสที่เธอเองได้ตกลงปลงใจคบกับเขานั้นมันมีจุดเริ่มต้นจากการที่เธอเป็นผู้รับฟังถึงปัญหาของเขา ก่อนที่มันจะดำเนินระยะยาวจนกระทั่งเมื่อครั้งที่เขาได้เป็นฝ่ายพลอดรักเธอไปแบบข้ามวันข้ามคืน

ค่ำคืนของการบรรเลงเพลงรักนั้นช่วยเยียวยาความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนรัก พร้อมกับที่มันสร้างความทรงจำอันมีคุณค่าชนิดที่ไม่อาจแลกได้ด้วยจำนวนเงิน สำหรับเนเลสแล้ว เธอไม่เคยได้รับสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรัก’ มาก่อนเฉกเช่นคู่รักทั่วไป เนื่องด้วยความที่เธออยู่ในสายงานอาชญากรรมเช่นเดียวกับเคออส การมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งนั้นล้วนถูกมองว่าเป็น ‘สิ่งต้องห้าม’ ที่มันเปรียบเสมือนเป็นธรรมเนียมที่คนในเครือข่ายอาชญากรรมเชื่อกันเป็นทอด ๆ ต่อกันมา

การแหกขนบธรรมเนียมพวกนั้นไม่ต่างอะไรจากการที่ขาข้างหนึ่งของเขาและเธอเข้าใกล้กับการตกเป็น ‘เป้าหมาย’ จากหน่วยงานเอ็กซิมิวส์

หากแต่เหตุผลที่สำคัญมากยิ่งกว่า คือมันมีโอกาสได้ตลอดเวลาที่เขาทั้งคู่อาจถูกแอบดักฟังจากตัวของสมาชิกในเครือข่ายอาชญากรรมที่จ้องจะเล่นงานด้วยวิธีการเล่นสกปรกไปแทน

“สหายของฉันถูกฆ่าตายไปสามคน มันยากที่ฉันจะอยู่เฉยได้ เคออส”

“ความสูญเสียเป็นเรื่องปกติทั่วไป ฉันนับถือที่เธอไม่ยอมก้มหัวให้กับหน่วยงานระดับโลกอย่างเอ็กซิมิวส์ แต่เรื่องหนึ่งที่ฉันยอมให้ไม่ได้ คือการดึงตัวเธอมาร่วมหัวจมท้ายเหมือนกับที่นาฟุกะเป็น”

“ถ้างั้นก็ให้ฉันได้มีส่วนร่วมสักอย่างบ้างสิ! แค่พูดว่า ‘ช่วยด้วย’ มันยากตรงไหนกัน?!”

เคออส ไม่พูดอะไรหากแต่เลือกที่จะตอบกลับคำพูดของเนเลสด้วยตรรกะและเหตุผลที่ไร้การนำเอาอารมณ์และความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้อง

“ไม่ได้ เนเลส ฉันให้เธอมาร่วมหัวจมท้ายแบบที่นาฟุกะทำไม่ได้ คุณสมบัติในการเป็น ‘ผู้ช่วยส่วนตัว’ ยังต่ำเกินกว่ามาตรฐานที่ฉันตั้งไว้ ความเห็นของฉันคือมันควรเป็นการดีกว่าถ้าหากเธอทำงานอยู่วงนอกที่รับงานจากเหล่าผู้ว่าจ้างในเครือข่ายฯ ไปแทน”

“แบบนั้นมันจะช่วยแบ่งเบาภาระที่นายต้องแบกรับได้ไงกัน?”

“อย่าได้กังวล ฉันเอาอยู่น่า”

เป็นเรื่องธรรมดาที่ความกังวลนั้นจะก่อตัวขึ้นในจิตใจของเนเลส ในฐานะของ ‘หุ้นส่วนธุรกิจ’ ที่มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งร่วมกัน เธอไม่พูดอะไรต่อจากนั้น นอกจากเพียงเดินเข้าทางด้านหลังก่อนเข้าสวมกอดร่างของชายหนุ่มแบบหลวม ๆ และกดแรงแน่นมากขึ้น จนกระทั่งเขารู้สึกได้ถึงความนุ่มนิ่มของหน้าอกของเธอที่ดันติดเข้ากับแผ่นหลังของตนเอง

“ขออะไรอย่างหนึ่งก่อนที่ฉันจะนำกำลังออกไปจากพื้นที่ของนายได้ไหม?”

เคออส เงียบกริบเมื่อได้ยินและเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของเนเลส ตามสัญชาตญาณของความเป็นบุรุษย่อมรู้ได้ทันทีว่ามันหมายถึงอะไร หนึ่งในสิ่งแรกที่เขาทำและเป็นกิจกรรมที่ดันติดพันกับมันจนทำให้ชีวิตของเขายุ่งเหยิงมาแล้วครั้งหนึ่ง

“กี่วันล่ะ?”

“แค่วันเหรอ~~?”

เธอเลื่อนมือต่ำลงจากช่วงเอวของร่างสูงโปร่ง ก่อนมาหยุดอยู่ตรงจุดความเป็นชายที่มันถูกปลุกเร้าทำให้สีหน้าใต้หน้ากากกันแก๊สเปลี่ยนรูปจากเย็นชากลายเป็นความกระหายในกามารมณ์

“ใช่…เธอก็รู้ว่าฉันต้องพักรักษาตัว…”

เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังเบี่ยงเบนความสนใจของเขา แต่เคออสกลับยินยอมปล่อยให้ผู้เป็นแฟนสาวได้สัมผัสเรือนกายของตัวเองแทบทุกส่วนไปตามความต้องการ แน่นอนว่ามันช่วยทำให้เขาหลงลืมความเจ็บปวดพวกนั้นไปได้เพียงชั่วคราว ทว่าคำว่า ‘ชั่วคราว’ ในความหมายของมันเขากลับรู้ดีว่ามันไม่ได้จบลงแค่เพียงหนึ่งคืน

“นายพักรักษาตัวพอแล้วล่ะ ถึงเวลาที่ควรจะ ‘ทำการบ้าน’ นะ รู้ไหม?”

แต่กลับลากยาวไปนานมากกว่านั้น และมันก็มากเพียงพอที่ทำให้เขาลุ่มหลงถึงช่วงเวลาอันเต็มไปด้วยตัณหาและราคะที่ร้อนรุ่มเสียยิ่งกว่าไฟนรกไปซะอีก…

.

.

.

[Project Completed]