"ความวุ่นวาย" และ "การแก้แค้น" ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาอยู่เสมอ เฉกเช่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ของชายหนุ่มผู้มาพร้อมกับ 'หายนะ' จากสิ่งที่เขาได้ก่อเอาไว้

Codename 5567 - - Phase 1 - [Project Nightingale] Unstable Peace (Ch.5) โดย Chaotic Voice @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

อาชญากรรม,ผู้ใหญ่,ไซไฟ,แอคชั่น,ดาร์ค,ไซไฟ + ระทึกขวัญ (Science Fiction+Thriller),สงคราม,สืบสวนสอบสวน,อนาคต,อาชญากรรม,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Codename 5567

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

อาชญากรรม,ผู้ใหญ่,ไซไฟ,แอคชั่น,ดาร์ค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ไซไฟ + ระทึกขวัญ (Science Fiction+Thriller),สงคราม,สืบสวนสอบสวน,อนาคต,อาชญากรรม

รายละเอียด

Codename 5567 โดย Chaotic Voice @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"ความวุ่นวาย" และ "การแก้แค้น" ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาอยู่เสมอ เฉกเช่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ของชายหนุ่มผู้มาพร้อมกับ 'หายนะ' จากสิ่งที่เขาได้ก่อเอาไว้

ผู้แต่ง

Chaotic Voice

เรื่องย่อ

[ Introduction ]

"ในทุกความเป็นไปได้ล้วนก่อเกิดขึ้นจากความทะเยอทะยานที่ไม่มีวันหยุดนิ่งของมนุษย์"

หากแต่ในความทะเยอทะยานนั้น กลับถูกแบ่งแยกออกไปเป็นทั้งหมดสามฝั่ง สามเส้นทาง และสามเป้าหมายของผู้ที่ถูกจองจำภายใต้อุดมการณ์ที่พวกเขาคิดว่ามันคือสิ่งที่ 'มนุษยชาติ' ควรมุ่งตรงไป

แม้ว่าหากมองภาพรวมใหญ่ ๆ ขึ้นมา สิ่งเหล่านี้มันกลับลงเอยด้วยผลกระทบอย่างรุนแรงแสนสาหัส จนเป็นการยากที่จะซ่อมแซมมันให้กลับมาเหมือนเดิมได้ก็ตาม

'อาชญากรรม' และ 'ความรุนแรง' แพร่กระจายออกไป ณ ทั่วทุกแห่งหน ความป่าเถื่อนของสัญชาตญาณดิบในตัวของมนุษย์หล่อหลอมจนเป็นสาเหตุหลักทำให้มันจำเป็นต้องมี 'ตัวแทน' สำหรับการไกล่เกลี่ยและคอยควบคุมความสมดุลเหล่านั้น แม้จะต้องใช้วิธีการที่มันขัดต่อหลักศีลธรรมและจริยธรรมไปก็ตาม

ดำดิ่งลงสู่ห้วงอเวจีของความวิปลาส ตามหาซึ่งวิวัฒนาการที่สูญหาย ก่อกำเนิด 'โครงการ (Project)' ที่มันกำลังจะนำไปสู่ความวินาศสันตะโรในทุก ๆ ก้าวเดิน...

กระบวนการของอำนาจทางกฎหมายที่ถูกลดทอนลง เป็นผลทำให้ไม่เพียงแต่มันแสดงถึงการแทรกแซงเข้ามาของผู้มีอำนาจและอิทธิพล หากแต่กระนั้นยังส่งผลทำให้มันคุกรุ่นไปด้วย 'ความขัดแย้ง' ที่ไม่อาจลงรอยได้ อุดมการณ์ของสองฝักฝ่ายที่เป้าหมายเหมือนกัน คงเป็นการยากยิ่งที่กระบวนการของพวกเขาทั้งคู่จะสามารถไปด้วยกันได้โดยลื่นไหล

อย่างไรเองก็ดี เมื่อมันขึ้นชื่อว่า 'ภารกิจ (Mission)' นั่นย่อมหมายความว่ามันจึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ในการหันมาเป็น 'พันธมิตร' ด้วยกันในเวลาชั่วคราว...

เฉกเช่นเดียวเองที่เมื่อ "สมรภูมิรบ" มันกลับไม่ได้ถูกจำกัดแต่เพียงในพื้นที่สงคราม หากแต่มันยังลุกลามและแฝงตัวอยู่ภายใต้เหตุการณ์อันสงบเงียบ หลบซ่อนอยู่ภายใต้สังคมที่ถูกฉาบด้วย 'เปลือกนอก' ที่ถูกเคลือบให้หนามากกว่าเดิมด้วยสิ่งที่เรียกว่า 'ผลประโยชน์ของประเทศ' จนเป็นสาเหตุสำคัญทำให้ตัวแทนของมหาอำนาจจำเป็นต้องจัดตั้งกลุ่มผู้คอยกำจัดเสี้ยนหนามที่เรียกว่า 'การก่อการร้าย' ให้หมดไป โดยไม่อาจล่วงรู้ได้ถึงสิ่งที่ต้องสูญเสียไปจากการเลือกเดินในเส้นทางที่มันถูกปูเอาไว้โดยเหล่าผู้มองไม่เห็นถึง 'คุณค่าของชีวิต' ที่มันกลับสั้นเสียเกินกว่าจะยุติทั้งหมดไปได้

'ปฏิบัติการ (Operation)' ที่พวกเขากำลังมุ่งไปพร้อมคำถามจำนวนนับอนันต์ พ่วงมาด้วยศัตรูผู้รายล้อมในทุกทิศทาง แบกรับซึ่งภาระอันหนักอึ้งที่เรียกว่า 'มวลมนุษยชาติ'

แด่ความวิปริตทั่วทั้งมวล
แด่ความยุติธรรมที่ยากจะเท่าเทียมได้โดยแท้จริง
แด่ทุกการสูญเสียที่ดำเนินมาสู่จุดที่ไม่อาจหันหลังกลับได้

ยิ น ดี ต้ อ น รั บ

เ ห ล่ า ผู้ ร อ ด ชี วิ ต

::: Talking with the Void (ครั้งที่ 1) :::

สวัสดีเหล่านักอ่านทุกท่าน รวมไปถึงใครก็ตามที่ผ่านเข้ามาในหน้าเว็บตรงนี้ด้วยนะครับ (และใช่... ในแอพลิเคชั่นด้วยเช่นเดียวกัน xD)

ก่อนอื่นขอแนะนำตัวสักเล็กน้อย นามของตัวผู้เขียนนั้นคือ 'Chaotic Voice'

ไม่ใช่ทั้ง 'นักเขียนหน้าใหม่' และ 'นักเขียนหน้าเก่า' แต่น่าจะเรียกว่าเป็นนักเขียนผู้หลบซ่อนอยู่ในซอกลืบแห่งหนึ่งของมิติพิศวงที่ไหนสักแห่ง (ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นที่แห่งหนใดบ้าง ไปสืบหากันเอาเองล่ะ ;p)

สำหรับสถานที่แห่งนี้ เรียกได้ว่ามันค่อนข้างเป็น 'เรื่องใหม่' มากทีเดียวในระดับหนึ่ง ส่วนตัวยอมรับตามตรงว่าอาจจะรู้สึกเกร็ง ๆ ไปบ้างเพราะด้วยความที่พอต้องขยายฐานไป ก็ล้วนหนีไม่พ้นต้องมาสร้างจุดแวะเวียนพูดคุยกับนักอ่านใหม่อยู่ดี XD

หากแต่ก่อนอื่น เพื่อที่พวกเราจะได้ทำความเข้าใจตรงกัน สำหรับใครก็ตามที่มาจากทางหน้าเว็บ Dek-D หรือ Readwrite อันนี้ไม่ต้องห่วง ส่วนของการพูดคุยนั้นจะยังเหมือน ๆ กัน เว้นแต่ส่วนของสถานที่แห่งหนใหม่ตรงนี้ ผมอยากจะขอใช้พื้นที่สำหรับการเน้น 'ประชาสัมพันธ์' ในส่วนสำคัญแบบสั้น ๆ เพื่อไม่เป็นการทำให้ผู้อ่านเสียเวลาไปมากนัก

ข้อแรก - นิยายที่มีการนำมาลงทั้งหมด ล้วนเป็นเนื้อหาแบบเดียวกับทั้งสองเว็บไซต์ที่ทางผู้เขียนได้ทยอยอัปเดตลงไปแล้ว
ข้อสอง - จำนวนตอนที่มีการอัปเดตลงไปในเว็บนี้ จะมีระยะเวลาล่าช้ากว่าในช่วงแรก ๆ แต่จะเริ่มขยับขึ้นมาเร็วเท่ากันภายหลังจากจบเรื่องราวในส่วนของ Phase 1 (ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ส่วนของ Project เป็นต้นไป)
ข้อสาม - กระบวนการเขียนแต่ละตอนของผู้เขียนนั้นจะใช้ระยะเวลานานพอสมควร หากแต่ทั้งนี้จะมีการอัปเดตออกมาเรื่อย ๆ ผ่านตัวของทั้งช่องทาง Bluesky และหน้านิยายของทางสองเว็บไซต์ที่ได้บอกไปข้างต้น

และข้อสุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด...

- เนื้อหาทั้งหมดเป็นแค่จินตนาการของผู้แต่งเท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเป็นจริงแต่อย่างใด ทั้งชื่อ ตัวละคร และเหตุการณ์ต่าง ๆ ล้วนเป็นเหตุการณ์ที่ถูกสมมุติขึ้นมาโดยนำเค้าโครงความเป็นจริงบางส่วนมาปรุงเสริม เติมแต่ง และปราศจากเจตนาอันไม่บริสุทธิ์ ดังนั้นโปรดจงเสพผลงานอย่างมีวิจารณญาณและแยกแยะ ‘โลกความเป็นจริง’ และ ‘โลกในจินตนาการ’ ออกจากกันด้วย -

สุดท้ายนี้ก็อยากจะขอฝากเรื่อง Codename 5567 ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะครับ ส่วนของการขายนั้นจะยังไม่ขอพูดถึงก่อนเพราะ ณ ตอนนี้ต้องบอกว่าทางผู้เขียนกำลังอยู่ในช่วง 'นีทเกม' และ 'เผชิญโชค' อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง (หมายรวมไปยันเรื่องของการต่อสู้ทางความคิดในหัวของตัวเองที่มันยุ่งเหยิงกัน สมกับเป็นชื่อนามปากกาตัวเอง 5555)

เอาเป็นว่าเพื่อไม่ให้เสียเวลา ขอยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งอาชญากรรม ณ บัดนี้ได้เลยครัช :DDD

สารบัญ

Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Prologue (Ch.0),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Nightingale (Ch.1),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Newcomer (Ch.2),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] A Golden Light (Ch.3),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Projectile (Ch.4),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Unstable Peace (Ch.5),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Radiance (Ch.6),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Decadence (Ch.7),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Best Foe Forever (Ch.8)

เนื้อหา

- Phase 1 - [Project Nightingale] Unstable Peace (Ch.5)

Unstable Peace (Ch.5)

มีไม่กี่ครั้งที่การมาเยือนของแขกผู้ไม่ได้รับเชิญจะทำให้เคออสต้องหัวหมุนกับความ ‘เล่นใหญ่’ ของฝั่งผู้มาเยือนที่มันพ่วงมาพร้อมกับสิ่งที่เขารู้อยู่แก่ใจดีว่าต้องการอะไร

“อา…คนพวกนี้…”

ความสงบสุขไม่เคยจะอยู่ได้นาน เฉกเช่นเวลาพักผ่อนที่ทุกวันนี้มันถูกรบกวนด้วยงานและความวุ่นวายที่ถาโถมเข้ามาเป็นจำนวนมาก ไหนจะรวมไปถึงการปรากฎตัวของกลุ่มกองกำลังปริศนาที่เมื่อเขาได้ลองตรวจสอบดูภาพจากกล้องวงจรปิดรอบเมืองร้าง ก็ได้พบว่ามันเป็นของบริษัททหารรับจ้างที่ดูแล้วมีเงินทุนหนาพอสมควร

อยากให้ดิฉันเปิดระบบป้องกันฉุกเฉินไหมคะ?

“ยังก่อน อลิส ไม่ต้อง…ดูจากสภาพการณ์แล้ว คนพวกนี้ไม่ได้ตั้งใจมาถล่มที่นี่ แต่อาจมาเพื่อเหตุผลสำคัญบางอย่าง เรื่องที่ฉันไม่เข้าใจว่าจุดประสงค์คืออะไร แต่ไม่ใช่เพื่อล่าหัวฉันแล้วหนึ่ง”

อากาศยานล้ำยุคขนาดใหญ่จำนวนสองลำ พวกมันบินขึ้นสูงอยู่บนน่านฟ้า พร้อมกันนั้นยังขนยานเกราะภาคพื้นดินมาด้วยอีกจำนวนห้าคันเป็นอย่างน้อย ซึ่งเมื่อภาพดังกล่าวถูกตรวจสอบโดยระบบปัญญาประดิษฐ์ก็พบว่าผู้ที่เป็นเจ้าของยานเกราะกับอากาศยานพวกนั้นคือหญิงสาวชาวเยอรมันที่มีชื่อว่า เฮเลน่า ฮอฟฟ์แมนน์

“เหมือนจะเคยเห็นบริษัทนี่ที่ไหนมาก่อนนะ” เคออส พึมพำขึ้น

จากการสืบค้นผ่านทางหน้าเว็บไซต์ รวมถึงฐานข้อมูล บริษัทฮอฟฟ์แมนน์ดำเนินกิจการมาเป็นเวลามากกว่า 20 ปีได้แล้วค่ะ ทั้งอาวุธและยุทโธปกรณ์ส่วนใหญ่ถูกซื้อมาจากเครือข่ายอาชญากรรมแทบทั้งสิ้น อาจมีบ้างที่มีการติดต่อเข้าซื้อโดยตรงผ่านทางตัวผู้เป็นเจ้าของ แต่โดยมากเองแล้ว มันเป็นองค์กรทหารเอกชนที่มีชื่อเสียงมากพอสมควรในระดับหนึ่งค่ะ

“ขอบใจสำหรับการนำเสนอ ถึงแม้จะไม่ได้ช่วยอะไรเลยก็ตาม”

อย่างไรเองก็ตาม เคออสยังคงยึดถือคติประจำใจของเขาอยู่เสมอ และโดยที่ไม่มีความจำเป็นที่ต้องลังเล เขาตัดสินใจกดปุ่ม ๆ หนึ่งบนแผงควบคุมรักษาความปลอดภัยไปในทันที

“มาดูกันสิว่าจะผ่านด่านแรกไปยังไง”

ผิวเผินของเมืองร้างนั้นอาจดูเหมือนไม่มีอะไร หากแต่ในความเป็นจริงแล้วมันมีสิ่งที่เรียกว่า ‘กับดัก’ ซ่อนไว้อยู่ และมันถูกตั้งค่าให้ตอบสนองต่อการเข้ามาโดยพลการของผู้บุกรุก หรือในความหมายหนึ่งคือกับดักพวกนี้มันมีอยู่และถูกทำขึ้นเพื่อรับมือกับการจู่โจมทุกรูปแบบเท่าที่เคออสสามารถป้องกันได้ ซึ่งไม่เพียงแต่มันจะทำงานตามคำสั่งของเขาโดยอัตโนมัติแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เองคือบรรดาสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่บางจำพวกนั้นมันได้โผล่มาเพื่อจู่โจมด้วยเช่นเดียวกัน

และหนึ่งในจำพวกแรกที่เขารู้จัก นั่นคือร่างสูงใหญ่คล้ายมนุษย์ ลำตัวสีดำ ดวงตาแดงก่ำ และมาพร้อมกับปีกกาคู่ที่เมื่อกางออกมาก็ทำเอามนุษย์รู้สึกได้ถึงความน่าเกรงขามและน่าหวาดกลัว

‘แบล็คเบิร์ด’ เดิมทีมันเป็นเพียงตำนานหรือเรื่องเล่าที่อยู่ในหมู่ของชาวยูเครนด้วยกัน หากแต่ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าสิ่งมีชีวิตประเภทนี้จะปรากฎตัวออกมาให้เห็น เฉกเช่นเดียวกับตำนานอย่าง ‘มอร์ธแมน’ ก็เป็นหนึ่งในนั้น ทว่าเส้นแบ่งระหว่าง ‘ความเป็นจริง’ กับ ‘เรื่องในจินตนาการ’ ทุกวันนี้มันเริ่มเลือนรางเข้าไปเสียในทุกที ไม่นับกับการมาถึงของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือวิทยาการอัจฉริยะที่สร้างขึ้นมาจากรากฐานข้อมูลเมื่อครั้งอดีต นั่นเองเลยเป็นเหตุทำให้การปรากฎตัวของสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดพวกนี้มันจะโผล่ออกมาให้ผู้คนได้เป็นที่ประจักษ์

หมู่ร่างยักษ์สีดำพวกนั้น พุ่งเข้าจู่โจมไปที่อากาศยานทั้งสองลำนั่นที่บินลอยเข้ามาถึงบริเวณเมืองร้าง ส่งผลทำให้เกิดความวุ่นวายภายในเครื่องไปโดยทันที จนต้องตอบโต้ด้วยการใช้อาวุธหนักยิงตอบโต้กลับไป แน่นอนว่านั่นนอกจากเป็นการฆ่าพวกมันไปด้วยแล้ว ยังเป็นการไล่ให้ตัวอื่น ๆ ออกไปจากที่ตรงนั้นอีกต่างหาก

ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เคออสให้ความสนใจ แต่เป็นตัวขบวนคาราวานยานเกราะที่เข้ามาในพื้นที่ต่างหาก

เคออส ประเมินสภาพของยานเกราะเท่าที่เขาเห็นโดยคร่าว ๆ พบว่าพวกมันถูกสร้างขึ้นมาเป็นอย่างดี และบางส่วนก็ติดตั้งตัวอาวุธหนักอย่างเครื่องยิงลูกระเบิด หรือแม้แต่การเสริมกันชนรอบตัวรถที่นอกจากเป็นเกราะชั้นนอกป้องกันการเจาะทะลุของกระสุนปืนใหญ่ขนาด 30 มิลลิเมตรไปแล้ว พวกมันยังวิ่งด้วยอัตราความเร็วมากกว่า 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมงด้วยอีกต่างหาก ซึ่งนับว่าเร็วมากเมื่อเทียบกับยานเกราะทั่วไปที่ใช้ในทางกองทัพ

หากแต่พวกมันกลับมี ‘จุดอ่อน’ บางอย่างอยู่ที่พวกเขาไม่รู้…

“อลิส เปิดระบบป้อมปืนให้ฉันที”

ขอทราบถึงชนิดของป้อมปืนที่ต้องการเรียกใช้ด้วยค่ะ

พลูโตเนียม 60 มิลลิเมตร หัวระเบิด

ไม่นานนักหลังจากป้อนคำสั่งไป สิ่งที่เรียกว่า ‘ป้อมปืน’ นั้นได้โผล่ออกมาในตำแหน่งจุดอับสายตาที่น้อยคนยากจะสังเกตเห็น หากแต่เมื่อดูจากบนแผนที่แสดงจุดยุทธศาสตร์สามมิติที่มันปรากฎขึ้นบนหน้าจอโฮโลแกรม ข้าง ๆ กับตัวแผงควบคุมที่ชายหนุ่มอยู่ กลับพบว่ามันแสดงให้เห็นถึงสถานะของป้อมปืนพวกนั้น และระบุข้อมูลโดยละเอียดของมันให้เขาได้รับรู้เพียงผู้เดียว

เทคโนโลยีด้านการรบของกองทัพนั้นดำเนินไปไกลโขมากกว่าที่คนทั่วไปจะเข้าใจ หลายครั้งเองสิ่งประดิษฐ์บางอย่างมันไม่ได้ถูกนำมาใช้งานในสถานการณ์จริง หรือภายในที่สาธารณะที่คนสามารถเข้าถึงได้

และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพื้นที่ในเขตเมืองร้างของสถานที่ ๆ อันขึ้นชื่อว่า ‘เชอร์โนบิล’ จึงได้เป็นทั้งสมรภูมิ ที่หลบซ่อน หรือฐานบัญชาการส่วนตัวสำหรับเคออสไปโดยปริยาย

คาราวานยานเกราะนั้นแตกกระเจิงออกไปในทันที ภายหลังจากที่หนึ่งในห้าคันถูกยิงด้วยกระสุนขนาดใหญ่จนทำให้ยานเกราะที่เหลือจำต้องแตกแถววิ่งออกไปจากทางถนน ความรุนแรงของระเบิดกับพลังทำลายล้างจากตัวป้อมปืนนั้นสูงเกินกว่าจะนำเอามาใช้งานกับยานเกราะพื้นดินพวกนี้ ทั้งที่มันควรนำไปใช้ต่อต้านอากาศยานเสียมากกว่า หากแต่เคออสกลับมองว่านี่มันเป็นเพียงแค่ระดับผิวเผินเท่านั้น

“อ่ะ–”

เวลาของการป้องกันนั้นดำเนินไปได้เพียงไม่นาน กระทั่งเมื่อฝั่งของผู้บุกรุกได้ตอบโต้กลับไป และนั่นเองทำให้ทางภาคอากาศมองเห็นจุดตำแหน่งที่อยู่ของป้อมปืนที่ถูกซ่อนเอาไว้

จุดแสดงตำแหน่งของป้อมปืนที่หนึ่งหายวับไปจากบนแผนที่ ก่อนจะแสดงสถานะว่า ถูกทำลาย เป็นภาษารัสเซีย ซึ่งคาดเดาได้ไม่ยากว่ามันน่าจะเป็นการตอบโต้ของอีกฝั่งที่ส่งขีปนาวุธมิสไซส์ลงมา และพุ่งทำลายตึกคารามบ้านช่องในบริเวณตึกร้าง ฝังมันไปพร้อมกับซากปรักหักพังและเป็นผลทำให้ภาพจากกล้องวงจรปิดบางส่วนดับวูบ ไม่มีสัญญาณ และไม่สามารถทราบได้ว่าพวกมันมีสภาพเป็นยังไง

“พวกเขาเอาจริงแฮะ” เคออส พึมพำออกมา

“อลิส ช่วยเจาะระบบสัญญาณการติดต่อให้ที”

คุณกำลังมีแผนการอะไรเหรอคะ?

“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่อยากเจรจากับพวกเขาดูว่าต้องการอะไรมากกว่า”

การตอบโต้กันด้วยความรุนแรงรังมีแต่จะทำให้เกิดความสูญเสียด้วยกันทั้งคู่ ไม่ใช่กับแค่ชีวิตและทรัพยากร หากแต่มันยังเป็นเรื่องของเวลาในการฟื้นฟูพื้นที่สมรภูมิในเมืองร้างที่เคออสต้องลงมือลงแรงไปกับมันมากขึ้น และนั่นเท่ากับว่าเงินทุนที่เขาได้จากการทำงานให้กับเครือข่ายอาชญากรรม จะถูกนำมาเพื่อใช้เป็นค่าบำรุงรักษาสิ่งประดิษฐ์ของเขาที่ไม่รู้ว่าวันใดวันหนึ่งมันจะพังเละไม่เป็นชิ้นดี หรือถูกควบคุมโดยบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ใช่ระบบปัญญาประดิษฐ์ของเขา

ชายหนุ่ม ปิดระบบป้อมปืนนั่นลงไป ก่อนที่จากนั้นเขาจะละจากแผงควบคุมระบบรักษาความปลอดภัย เดินไปที่ตัวจุดสังเกตการณ์ ก่อนหยิบไมโครโฟนตั้งโต๊ะ เปิดระบบกระจายเสียงเพื่อพูดคุยกับฝั่งผู้บุกรุกไปโดยทันที

‘โอเค นั่นนับว่าเป็นการทำความรู้จักกันดี แต่ถึงอย่างไง ดูจากการบุกเข้ามาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงแบบนี้ มันก็มีบ้างที่ต้องป้องกันตัวเองไว้อ่ะนะ’

เสียงประกาศดังลั่นจากตัวเขตเมืองร้าง ไกลไปถึงตัวนอกเขตที่แน่นอนว่ามันทำให้คนที่อยู่แถวนั้นบางส่วนได้ยินและรับทราบขึ้นมา ซึ่งส่วนใหญ่พวกเขาล้วนรู้ดีว่าไม่ควรเอาตัวเองเข้าไปในเขตหวงห้ามที่มีการแปะป้ายเตือนเอาไว้

ถ้าไม่ใช่กับพวกกลุ่มปฏิบัติการพิเศษ ก็เป็นพวกบรรดากองทัพทหารที่หวังจะเข้าจู่โจมเขาเพียงเพื่อลากคอมาลงโทษ

‘ฉันอยากเจรจากับพวกแก เดี๋ยวจะส่งพิกัดนัดพบไปให้ หวังว่าถ้าพวกแกยังเป็นคนอยู่ คงรู้นะว่าฉันไม่ได้เปิดบ้านต้อนรับพวกนอกคอกอย่างพวกแก’

ไม่มีการตอบกลับใด ๆ จากฝั่งผู้บุกรุกที่เคออสพยายามเจรจากันด้วย อย่างไรก็ตาม ท่าทีที่เขาแสดงออกมาผ่านคำพูดของตัวเอง ประกอบกับระบบรักษาความปลอดภัยที่ปิดตัวลงไป นั่นก็เพียงพอแล้วที่เขาต้องการแสดงความยินยอมให้กลุ่มทหารติดอาวุธพวกนั้นได้รับทราบ รวมถึงย้ำเตือนให้รับรู้ว่าการเข้ามาในเขตหวงห้ามโดยไม่ผ่านการยินยอมนั้น จุดจบของมันจะลงเอยด้วยวิธีการใด

มีสัญญาณตอบกลับเข้ามาแล้วค่ะ

“โอนสายมาให้ฉันได้เลย อลิส”

หน้าจอโฮโลแกรมปรากฎขึ้นเป็นสัญญาณเสียงที่ระบบปัญญาประดิษฐ์ของเคออสเจาะสัญญาณเข้าไปได้ พร้อมทั้งมันระบุถึงชื่อของผู้ที่ติดต่อเข้ามา โดยเขียนเป็นตัวย่อว่า เอช. ฮอฟฟ์แมนน์ (H.Hoffmann) รวมถึงตำแหน่ง ประธานองค์การบริษัทเอกชน ซึ่งนั่นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าคนที่เข้ามาหาเขา คือหนึ่งในคนที่เคออสรู้จักด้วยจริง ๆ

‘แกกับฉัน หนึ่งต่อหนึ่ง ไม่ใช้อาวุธ สู้แบบลูกผู้ชาย’

“ว้าว! โดนผู้หญิงท้าต่อยนี่ควรรู้สึกดีใจไหมนะ”

ระวังตัวไว้ด้วยนะคะ ดิฉันไม่ทราบว่าพวกเขาจะมีแผนการอะไรซ่อนไว้อีก

“ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่ช่วยเป็นแบ็คอัพให้ฉันไว้ด้วยแล้วกัน อลิส”

ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักที่ตัวของเคออสจะตัดสินใจเลือกออกจากสถานที่อยู่ของตัวเอง และตัดสินใจเผชิญหน้ากับใครสักคนที่เขาไม่แม้แต่จะเห็นหน้าหรือรู้จัก ถ้าไม่ใช่กับคนที่อยากฆ่าเขาจริง ๆ ก็ต้องเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่มาจากตัวของเครือข่ายอาชญากรรม ซึ่งแน่นอนว่าคนจำพวกหลังนั้นรู้จักกับตัวเขามานานพอสมควร

ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่เหตุผลอะไรที่เขาควรเปิดเผยตัวเองให้ได้รับรู้

เว้นแต่กรณีนี้ที่มันมีบางอย่างสะกิดต่อมความอยากรู้อยากเห็นเข้าให้

- 1 -

ฝั่งของเหล่าทหารรับจ้างจากบริษัทฮอฟฟ์แมนน์ ค่อย ๆ ทยอยพากันออกจากยานเกราะที่ต่างคนต่างถูกจู่โจมด้วยป้อมปืนอัตโนมัติที่เคออสใช้งาน ซึ่งบางส่วนก็โชคดีที่ไม่ได้รับผลอะไรมาก แต่บางส่วนก็ถูกแรงระเบิดอัดน่วมจนทำให้เกิดการบาดเจ็บสาหัสไปพอสมควร

อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่าเรื่องนี้มันจะไม่ได้เป็นปัญหาอะไรเท่าไหร่นัก แน่นอนว่าทางฝั่งของเฮเลน่า เธอได้จัดเตรียมทีมแพทย์ที่เอาไว้รักษาและช่วยสนับสนุนในการเก็บกู้ซากยานเกราะ รวมถึงศพของทหารในบริษัทของเธอแล้วเป็นที่เรียบร้อย โดยพวกเขาถูกแยกตัวออกไปทำหน้าที่ต่างหาก ขณะเดียวกับทางด้านของเธอกลับเลือกจะเดินทางไปยัง ‘จุดนัดพบ’ ตามที่ฝั่งเจ้าของบ้านอย่างเคออสได้ส่งถึงมา ซึ่งพิกัดของมันคือบริเวณลานกว้างที่มันเคยเป็นสวนสนุกมาก่อน

อากาศยานของเธอค่อย ๆ ลงจอด ไอพ่นจากตัวยานทำหน้าที่ขับไล่พวกสัตว์กลายพันธุ์ที่อยู่ตรงพื้นที่แถวนั้นออกไป ก่อนที่ไม่นานหลังจากนั้น ประตูโดยสารจากบริเวณด้านหลังตัวเครื่องจะเปิดออกมา พร้อมกับเหล่าจักรกลที่ถูกควบคุมโดยมนุษย์จำนวนห้าตัวลงมาจากที่นั่น และแนบมาพร้อมด้วยกองพลทหารติดอาวุธหนักและเบาอีกประมาณสี่สิบคนได้ ซึ่งพวกเขาแสดงออกถึงความน่ายำเกรงพอสมควร แม้จะมองเห็นเพียงแค่หางตาก็ตาม

“ระวังโดยรอบเอาไว้ให้ดี ที่นี่อาจไม่ได้มีแค่เรา”

เธอบอกกับหนึ่งในหัวหน้ากลุ่ม ผู้ทำหน้าที่คอยออกคำสั่งและนำเหล่าทหารพวกนั้น แน่นอนว่าในแง่ของความเป็นระบบระเบียบแล้ว ทหารรับจ้างเหล่านี้ล้วนแต่มีความเคร่งครัดในหน้าที่พอสมควร

“รับทราบครับ/ค่ะ คุณหนู!”

เฮเลน่า เดินตามหลังออกมาเป็นคนสุดท้าย แน่นอนว่าเธอไม่ได้มาเพียงตัวเปล่า หากแต่ยังสวมชุดประจำกายที่เอาไว้สำหรับรับมือในสมรภูมิรบด้วย ซึ่งถัดไปจากตัวเธอคือเหล่าบรรดาทหารองค์รักษ์ผู้คอยคุ้มกันและให้ความปลอดภัยแก่ตัวเธอเหมือนตามปกติ โดยมีจุดสังเกตง่าย ๆ คือเครื่องแบบของพวกเขาจะมีความรัดกุมมากกว่า และใช้ยุทโธปกรณ์ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง แตกต่างจากตัวทหารรับจ้างธรรมดา ๆ ที่อาวุธของพวกเขาจะออกไปในทางร่วมสมัย และมีการปรับแต่งเพื่อให้สอดคล้องกับความถนัดในด้านการใช้งานของตัวเอง

อย่างไรก็ดี เบื้องหลังของยุทโธปกรณ์พวกนี้ล้วนจะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากผู้คอยหนุนหลังอย่าง ‘เครือข่ายอาชญากรรม’ และเหล่าองค์กรเอกชนผู้ตกลงร่วมด้วยกับบริษัทฮอฟฟ์แมนน์

“เฮเลน่า”

ใครคนหนึ่งขานชื่อออกมา แทนคำเรียกนำหน้าอย่างปกติที่เธอบังคับให้ทุกคนในองค์การเรียกกัน

“ฉันสัมผัสถึงบรรยากาศไม่ค่อยดีมากนัก ตั้งแต่ลงมาที่นี่ ไหนจะเรื่องที่ไอ้ตัวบ้านั่นปรากฎออกมาอีก เธอแน่ใจแล้วเหรอว่าจะตัดสินใจสู้กับเขาไปตรง ๆ น่ะ?”

ทุกคนล้วนแยกออกไปทำหน้าที่ตามรูปแบบของทหารทั่วไป นั่นคือมีแบบแผนที่ชัดเจน และแน่นอนว่าบางส่วนนั้นเลือกที่จะมองหาจุดซุ่มกบดาน ไปจนถึงสำรวจโดยคร่าว ๆ และมีการรายงานความเคลื่อนไหวในทุก ๆ สิบนาที

“ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่เรื่องนั้นไว้ใจหน่อยเถอะ อย่าลืมสิว่าเขาก็เป็นหนึ่งในคนที่เบื้องบนให้ความไว้ใจ ถึงจะไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อนก็ตาม”

เฮเลน่า กล่าวกับเขาผู้นั้น แน่นอนว่ามันไม่มีคำตอบหรือคำพูดใด ๆ จะมอบให้กับผู้เป็นหัวหน้าตัวเอง มีก็เพียงแต่แสดงออกถึงความกังวลเล็กน้อย ก่อนจะเลือกไปทำตามที่ได้รับมอบหมาย

พิกัดที่ถูกระบุเอาไว้นั้นดูแล้วมันเป็นอะไรที่ชวนให้เกิดเรื่องขึ้นได้อยู่เสมอ หากแต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เฮเลน่าให้ความสนใจกลับไม่ใช่การปรากฎตัวของพวกสัตว์กลายพันธุ์ที่ได้รับผลพวงจากกัมมันตรังสีที่ตกค้างอยู่ หากแต่เป็นตัวของ ‘เจ้าของ’ ที่นี่ ผู้ที่ถึงขั้นยอมเจรจากับเธอเพียงเพื่อมาพบหน้ากันโดยตรง ในพื้นที่ ๆ มันเป็นดั่ง ‘ลานเชือด’ และ ‘สนามเด็กเล่น’ สำหรับเขา

เธอใช้เวลาอยู่นานสำหรับการรอคอยให้ฝั่งชายหนุ่มปรากฎตัวออกมา ขณะเดียวกันก็สังเกตสถานที่ต่าง ๆ รวมไปถึงออกคำสั่งให้ทหารรับจ้างทุกนายเตรียมตัวสำหรับการรับมือสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันได้ทุกเมื่อ แทนการที่จะให้พวกเขาเป็นฝ่ายออกไล่ล่าเพื่อตามหาเคออสด้วยตัวเอง

“สายติดต่อเข้ามาอีกแล้วสินะ”

เสียงสัญญาณแจ้งเตือนถึงผู้ที่ติดต่อเข้ามาดังขึ้น เฮเลน่า ไม่ลังเลที่จะหยิบเครื่องมือสื่อสารบางอย่างออกมา ลักษณะของมันดูเหมือนกับสมาร์ทโฟนทั่ว ๆ ไป หากเพียงแต่มีเสาขนาดเล็กคล้ายกับโทรศัพท์ในสมัยก่อนที่ใช้กัน เว้นแต่เนื้อในของตัวเครื่องนั้นจะถูกสร้างขึ้นมาด้วยจุดประสงค์ใช้ในการติดต่อทางไกลกับคนในเครือข่ายอาชญากรรม หรือกับตัวแทนของหน่วยงานสักหน่วยงานหนึ่งที่เธอเพิ่งได้รู้จักเขาเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้ พร้อมกับมอบหมายว่าจ้างให้เธอทำงานยาก ๆ ชิ้นหนึ่งที่เธอไม่คิดว่าจะได้รับจากเขา

[ ขอทราบสถานการณ์ในปัจจุบันด้วย ]

“กำลังรอการเจรจาอยู่ เหมือนว่าเขาอยากจะสงบศึกกับเรา”

เสียงที่ออกมาจากเครื่องมือสื่อสารนั้นไม่ใช่กับตัวแทนของเครือข่ายอาชญากรรมอย่างที่มันเป็น หากแต่มันกลับเป็นเสียงผู้ชายที่แน่นอนว่าบนหน้าจอปรากฎออกมาเป็นภาพไม่ระบุตัวตน หากแต่มีเพียงแค่ตัวอักษรว่า อาร์ (R.) ทั้งนี้ความเป็นไปได้ที่มันจะเป็นคนภายนอกนั้นมีสูงอยู่มาก

[ อา ผิดคาดไปนิดหน่อยที่ดูเหมือนเป็นแบบนั้น แต่ยังไง คุณเองคงรู้ว่าเราตกลงกันไว้ว่ายังไง ]

[ อย่าได้ลืมเสียไปล่ะว่าเรายอม ‘จ่ายหนัก’ เพื่อให้คุณทำงานชิ้นนี้เลย ]

“ใครมันจะลืมได้ลงกัน ไอ้การที่จู่ ๆ ก็ดันข่มขู่เราแบบนั้น”

เฮเลน่า ตอบกลับออกไปหาทางปลายสาย สีหน้าของเธอแสดงออกได้อย่างเห็นชัดเจนว่าเธอไม่ชอบและรังเกียจที่จะยินยอมทำงานชิ้นนี้ ถ้าไม่ติดเพียงว่าอีกฝ่ายดันมีข้อเสนอชิ้น ๆ หนึ่งที่มันยากจะปฏิเสธได้ลง

“เพิ่งได้คุยกับพวกคนใหญ่คนโต จากหน่วยงานที่เลื่องชื่อแบบนี้ เป็นธรรมดาที่ต้องยอมรับว่าพวกคุณสมกับเป็น ‘ไม้เบื่อไม้เมา’ กับเครือข่ายอาชญากรรมไปซะจริง ๆ”

[ ก็ไม่เชิงเท่าไหร่หรอกนะ ความจริงแล้ว ในแง่ของสถานะของเรากับทางนั้นก็ ‘ต่างคนต่างอยู่’ อยู่แล้ว ]

[ หากแต่เหมือนว่าจะมีฝั่งหนึ่งเล่นไม่ซื่อ เพราะเหตุนั้นเราเลยจำเป็นต้องมีมาตรการจัดการขั้นเด็ดขาดเป็นธรรมดา~ ]

เธอเข้าใจได้ถึงเรื่องนั้น ทว่ายังไงแล้วการที่หน่วยงานระดับโลกอย่าง ‘เอ็กซิมิวส์’ มีเอี่ยวเข้ากันด้วยกับเครือข่ายอาชญากรรม ถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับเธอมากพอสมควร และนั่นทำให้เฮเลน่ารู้สึกเหมือนกับว่าเธอกำลังเป็นส่วนหนึ่งของ ‘สงครามเย็น’ ที่ต่างฝ่ายต่างพยายามคานอำนาจกันและกัน โดยไม่มีทีท่าว่าจะจบลงเมื่อไหร่ หรือว่ามันจะปะทุขึ้นจนกลายเป็นความรุนแรงในรูปแบบที่อาจกินระยะเวลานานเป็นปี

[ แต่เดิมมาแล้ว เราได้ทำการส่งตัวแทนไปพูดคุยและเจรจากันถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ]

[ คำสั่งจากตัวผู้บัญชาการใหญ่อย่าง ‘ยอร์มุนกานดร์’ เขาได้ตกลงที่จะยอมรับสนธิสัญญาที่ทางฝั่งเครือข่ายอาชญากรรมได้เป็นคนเขียนเอาไว้ ]

[ และใช่…เราในฐานะของ ‘อัศวินผู้ขี่ม้าขาว’ ย่อมมีความจำเป็นต้องรับหน้าที่ในการเป็นผู้ควบคุมสมดุลความมั่นคงของโลกทั้งใบเอาไว้ เพื่อไม่ให้ใครหรือกลุ่มใด ๆ มีอำนาจอยู่ในมือมากจนเกินไป ถึงขั้นที่สามารถสร้างหายนะที่ทำให้โลกนั้นล่มสลายลงไปได้ ]

“และในกรณีนั้น เคออส เวนเจกซ์ ก็คือคนที่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะกลายเป็นแบบนั้น?”

[ หัวไวดีนี่ เฮเลน่า ใช่แล้ว อย่างที่คุณเข้าใจเลย ]

ชื่อเสียงของหัวหน้าผู้ก่อการร้ายชื่อก้องโลก ไม่ว่าใครล้วนต่างหวาดกลัวกับการมาของเขา วีรกรรมมากมายอันเป็นที่โจษจันแก่เหล่าอาชญากรสงครามด้วยกัน แม้จะเป็นรองเพียงอันดับสามที่ทั้งโลกต้องการตัว หากแต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เฮเลน่าได้ยินจากทางปลายสายนั้น มันก็เพียงพอที่ทำให้เธอมองเห็นแล้วว่าคนที่เธอกำลังต่อกรอยู่ด้วยไม่ใช่อาชญากรสงครามหรือผู้ก่อการร้ายทั่วไป

“ไว้คุยกันแค่นี้ก่อน ดูเหมือนว่าเขามาแล้ว”

[ โอ้~ งั้นก็ตามที่ตกลงกันไว้ล่ะ ฉันรอดูผลลัพท์อยู่ ]

หนึ่งในทหารรับจ้างของฮอฟฟ์แมนน์ รายงานถึงความเคลื่อนไหวล่าสุดที่ทางตัวของฝั่งศัตรูนั้นกำลังเข้ามายังพิกัดนัดพบ แน่นอนว่าภาพหนึ่งที่พวกเขาเห็นคือมีเพียงชายหนุ่มผู้สวมหน้ากากกันแก๊สเลนส์กระจกสีแดง มาพร้อมกับชุดเสื้อโค้ทยาวสีน้ำตาลที่ข้างในเป็นชุดคล้ายเครื่องแบบทหารสีดำปกปิดเอาไว้ โดยเขานั้นเหมือนจะเดินเท้าตรงดิ่งมายังที่สวนสนุกร้างเพียงลำพัง

“พวกแกออกไปประจำที่ของตัวเองซะ เหลือแค่ฉันกับไอ้หมอนั่นไว้”

“รับทราบครับ/ค่ะ!”

ไม่มีใครรับรู้ได้ว่าเขากำลังมีแผนการอะไรเอาไว้ในหัว ท่าทางของเคออสที่เขากำลังก้าวฝีเท้าเดินฉับไวมายังตรงจุดที่เฮเลน่ายืนอยู่ สายตากว่านับหลายคู่ และปืนกว่าหลายกระบอกต่างล้วนเล็งตรงมายังที่ตัวเขาเสมือนกับจับตามองและระแวดระวังว่าอีกฝ่ายจะใช้ลูกไม้อะไรอีกในอนาคตข้างหน้า ซึ่งดูเหมือนว่ามันกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างที่เหล่าทหารจากบริษัทฮอฟฟ์แมนน์พบนั้นมีเพียงแต่บรรยากาศเงียบสงัดและความรกร้างของพื้นที่ ๆ มันเคยเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของผู้คนมาก่อน

หากแต่บัดนี้มันกลับเปลี่ยนไปแล้ว แถมยังแฝงด้วยอันตรายมากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า

“แหม่ ๆ แค่จะนัดมาต่อยกันแท้ ๆ แต่ดันเอาผู้ชมมาด้วยแบบนี้ ทำเอาฉันรู้สึกหวั่นวิตกเป็นบ้าไปเลย”

เคออส เปิดประโยคสนทนาเป็นครั้งแรกกับหญิงสาวแปลกหน้าด้วยท่าทางเย็นเยือก และแฝงไปด้วยอารมณ์ขบขัน เขารู้ว่ามันอาจดูผิดวิสัยไปจากความเป็นจริงที่เขาควรจริงจังให้มากกว่านี้ แต่แน่นอนว่านั่นดูเหมือนมันจะทำให้บรรยากาศตึงเครียดไปมากกว่าเดิม เลยเลือกที่จะพยายามให้สถานการณ์ตรงหน้ามันผ่อนคลายลง

“แต่เอาเถอะ ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกันก่อนดีไหม?”

มือข้างหนึ่งของหญิงสาวผมขาวกำหมัดขึ้น แสดงให้เห็นถึงการสะกดกลั้นอารมณ์เดือดของตัวเองไว้ อย่างไรก็ตาม เธอกลับเลือกที่จะทำตามคำพูดของอีกฝ่ายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

แม้จะรู้อยู่แก่ใจไปดีก็ตามว่าเขานั้นรู้จักตัวตนของเธอ จากเพียงแค่การสืบค้นเข้าไปในฐานข้อมูลที่ดูแลโดย ซินดิเคด (Syndicate) 

“เลิกออกนอกเรื่อง แล้วช่วยจริงจังได้สักที!”

“เห~ ใจร้อนชะมัด เอาเถอะ ว่าไงก็ว่าตามแล้วกัน”

เป็นฝั่งของเฮเลน่าที่เธอตัดสินใจพุ่งฝีเท้าออกไป ก่อนจะง้างหมัดชกใส่ตัวของชายหนุ่ม

เคออส หลบหมัดแรกของเธอได้อย่างสบาย ๆ ฝีเท้าของเขาขยับถอยหลังไปเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจคว้าจับล็อคแขนแล้วลากผลักออกไปทางด้านหลัง จากนั้นหันควับกระโดดถอยออกไปในจังหวะที่เธอกำลังวิ่งสวนเข้ามาอีกรอบ

ตรวจพบอุณหภูมิความร้อนไม่ทราบที่มาค่ะ

สีหน้าใต้หน้ากากกันแก๊สแสดงออกถึงความแปลกใจและในเชิงสงสัยเล็ก ๆ หากแต่อย่างไรเอง ดูเหมือนว่าเขากลับไม่ได้สนใจเรื่องนั้น นอกจากเพ่งความสนใจไปยังตัวของหญิงสาวผมยาวสลวยสีขาวตรงหน้าที่เธอเป็นฝ่ายรุกเข้าจู่โจมใส่เขา

ทักษะการหลบหลีกของเคออสค่อนข้างพริ้วและว่องไว หากแต่ก็มีบ้างที่อาจเฉียดฉิวจนถึงขั้นทำให้เกิดเป็นรอยไหม้บนผิวของหน้ากากเล็ก ๆ ซึ่งนั่นมันตามมาด้วยเสียงแจ้งเตือนของปัญญาประดิษฐ์ที่วิเคราะห์ความเสียหายที่เขาได้รับ

เฮเลน่า ไม่ได้เอะใจกับท่าทีของชายหนุ่ม หากเพียงแต่เธอรู้ว่าเขาแทบไม่ได้จะตอบโต้อะไรเธอกลับไปเลย นอกจากเป็นฝ่ายตั้งรับและเหมือนจะเลี่ยงที่จะไม่ใช้ความรุนแรงกับเธอ ซึ่งนั่นมันเลยเป็นข้อได้เปรียบทำให้เธอสามารถโจมตีเขาด้วยพลังหมัด เท้า หรือแม้แต่การเล่นสกปรกอย่างการเตะอัดขาเพื่อให้เขาเสียจังหวะล้ม

หากแต่เรื่องนั้นมันกลับไม่ใช่ง่าย ๆ เธอผู้มีประสบการณ์ในการต่อสู้ระยะประชิดมาก่อน แน่นอนว่าเมื่อมาเจอกับคนที่มีประสบการณ์ในแบบเดียวกัน ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าทุกท่วงท่าการจู่โจมหรือแม้แต่การสวนกลับของอีกฝ่ายนั้นเน้นไปตรงที่ทำให้เธอบาดเจ็บด้วยแรงของตัวเอง

หรือไม่…บางทีเธออาจจะ ‘คิดผิด’ ก็ได้ที่ขอให้เขาต่อสู้กับเธอแบบตัวต่อตัว

เคออส ยังคงทำแบบเดิม หากแต่เพิ่มเติมคือครั้งนี้เขาเปลี่ยนจากการล็อคหลบหมัดของอีกฝ่าย กลายเป็นการสวนกลับด้วยพละกำลังอันน้อยนิดที่เสมือนกับเป็นการผสมผสานระหว่างการรำมวย ‘ไท่เก๊ก’ และ ‘บราซิลเลียนยิวยิตสู’ ซึ่งแน่นอนทักษะดังกล่าวเหล่านี้มันอาจไม่ได้ปรากฎออกมาให้เห็นเด่นชัดมากนัก แต่อย่างไรแล้ว มันคือสิ่งที่เขาทำกับตัวของเฮเลน่า เนื่องด้วยการจู่โจมของเธอมันเน้นความรุนแรงและหนักหน่วงเป็นหลัก ต่างกันกับเขาที่กลับใช้ความว่องไวและออกแรงเน้นไปตรงที่ทำลายตรงข้อต่อของเธอไปมากกว่า

“เอาจริงสักที!!” เฮเลน่า ตวาดออกไป พร้อมกับยกขาเตรียมเตะฟาดเข้าที่หน้าท้องในระยะใกล้

ชายหนุ่มไม่พูดอะไร นอกจากใช้มือรับลูกเตะนั้นที่เข้ามา ก่อนทำการจับล็อคแล้วดันตัวเธอให้ลงไปกับพื้นจนก้นจ่ำเบ้าไปกับพื้น เกิดเป็นความเจ็บปวดในรูปแบบที่มันแทบจะทำให้ทั่วทั้งร่างกายของเธอเหมือนถูกไฟช็อตไปโดยเฉียบพลัน

“มีใครเคยสอนหรือเปล่าว่าไม่ควรอารมณ์ร้อนเวลาที่ถูกใครหาเรื่องน่ะ?”

“อย่า-ริ-มา-สอนฉันนะเว้ย!!”

เฮเลน่า ใช้ขาอีกข้างเตะผลักตัวเคออสออกไป ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นมาในสภาพที่ขาข้างขวาของเธอแข็งเกร็ง และแน่นอนว่ามันมาพร้อมกับอาการเจ็บแปลบที่เหมือนว่ามีอะไรด้านในหักไป ซึ่งเธอคาดว่าอาจเป็น ‘ข้อต่อหัวเข่า’ ที่มันเสียหายหนักมากจนยากที่เธอจะพยายามยืนตั้งตัวตรงได้

“รู้ไหมว่าอาการบาดเจ็บจากภายในมันทรมานและรักษายากเอามาก ๆ เลยนะ”

“หุบปาก!! หุบปากของแกไป–”

ฝั่งของพวกทหารที่แน่นอนว่ากำลังซุ่มมองดูอยู่นั้น ทุกคนต่างแสดงอาการแบบเดียวกันคือโกรธและไม่สามารถปล่อยผ่านเหตุการณ์ตรงหน้าไปได้ แม้พวกเขาจะรู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่ตัวเองจะต้องทำหน้าที่ปกป้องผู้เป็นเจ้านายตามสัญชาตญาณตัวเองไปก็ตาม

เคออส ผ่อนลมหายใจเข้า - ออกอย่างช้า ๆ และบางเบาเกินกว่าจะสังเกตเห็นได้ด้วยตา ลักษณะภายนอกเขาอาจดูปกติไปก็จริง หากแต่สิ่งที่ไม่ปกติคงเป็นการที่เขารู้สึกถึงอุณหภูมิความร้อนที่มันทำให้เสื้อผ้าและผิวหนังด้านในเขาเกิดรอยไหม้ หากแต่กลับถูกปกปิดไว้ไม่เปิดเผยออกมา อย่างไรก็ดี เหนือกว่าการที่ต้องกำราบอีกฝ่ายให้อยู่หมัด คือการที่เขาต้องการรู้เหตุผลว่าคนระดับหัวหน้าเช่นเธอมาทำอะไรที่นี่

เธอมีเป้าหมายอะไร และที่สำคัญคือจุดประสงค์เบื้องหลังของสิ่งที่เขากำลังตามหาอยู่

“ใครเป็นคนบอกตำแหน่งที่นี่ให้กับเธอ เฮเลน่า”

เคออส ยิงคำถามออกไปในทันที ขณะที่ตัวเขาเองก็ตั้งท่าเตรียมตัวรับมือกับการจู่โจมของหญิงสาวเป็นรอบที่สอง

“นั่นไม่ใช่ธุระอะไรที่แกต้องรู้!!”

เธอปฏิเสธที่จะตอบคำถามเขา หนำซ้ำยังเหมือนกับว่าคราวนี้เธอจะเปลี่ยนจากการต่อสู้แบบธรรมดา ๆ กลายเป็นการต่อสู้กันโดยงัดสิ่งที่เรียกว่า ‘พลังเหนือธรรมชาติ’ ออกมาให้เห็นเด่นชัดไปด้วย

บรรยากาศรอบด้านของเฮเลน่าเริ่มมีการแผ่ไอความร้อนสูงออกมา ก่อนที่จากนั้นจะตามมาด้วยเพลิงโหมกระหน่ำที่แทบจะผลักและเผาไหม้ให้ชุดเสื้อโค้ทของเคออสถึงกับเกิดรอยไหม้ ก่อนที่มันจะปรากฎเป็นร่างของหญิงสาวผู้สวมชุดสีดำคนเดิม หากแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือมือและเท้าสองข้างนั้นกลับมีไฟลุกท่วมอยู่ด้วย ดูแล้วมันบ่งบอกได้ชัดเจนถึงความอันตรายที่เหนือความเข้าใจมากกว่าคนทั่วไปกว่าที่เขาคิด

“กล้ามากเลยนะที่ทำให้ฉันปรี๊ดแตกได้มากถึงขนาดนี้ แต่ก็ดี! งั้นคงไม่ต้องพึ่งเจ้าพวกกีกี้พวกนั้นก็ได้ ถึงมือฉันเลยน่าจะง่ายกว่า!”

การต่อสู้ที่มันควรเป็นกลับไถลไปไกลเกินกว่าที่ตัวของเคออสจะห้ามปรามหรือหยุดยั้งได้

อย่างไรเอง เขากลับยังคงแสดงท่าทีใจเย็นอยู่เหมือนเดิม…

เขาเปิดโอกาสให้เธอเป็นฝ่ายรุกโจมตีเขาไปอีกรอบ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะกำลังวิเคราะห์ความสามารถของอีกฝ่าย หากแต่เป็นเพราะต้องการเรียนรู้จังหวะการเคลื่อนไหวของเธอประกอบกับครุ่นคิดถึงที่มาของพลังเหนือธรรมชาติที่เธอแสดงออกมา ซึ่งมันค่อนข้างเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะหลบเลี่ยงหรือสวนกลับไปได้เหมือนกับครั้งก่อนหน้านี้ เนื่องจากความรุนแรงของพละกำลังที่เธอมีนั้นมันเพิ่มมากขึ้นมากกว่าเดิมเป็นหลายเท่า ไหนจะเรื่องที่เขาถูกความร้อนสูงนั่นเล่นงานจนไม่สามารถเข้าประชิดถึงตัวไปได้อีก

เคออส อาจหลบหมัดและปลายเท้าที่พุ่งเข้ามาได้ แต่การหลบเลี่ยงจากสะเก็ดเพลิงที่มันปล่อยออกมาจากตัวเธอนั้นเป็นคนละเรื่อง

และนั่นเองเป็นจุดที่เขาเสียท่าให้กับเธอเป็นครั้งแรก…

ชั่วขณะหนึ่งเองที่เขากำลังเบี่ยงตัวหลบนั้น เฮเลน่า มองเห็นช่องโหว่จากการเคลื่อนไหวของเคออส แน่นอนว่ามันเปิดโอกาสให้เธอสามารถใส่พละกำลังทั้งหมดเพื่อจู่โจมใส่เขาได้แบบโดยตรง ซึ่งเธอก็ไม่ปล่อยให้โอกาสดังกล่าวหลุดลอยไป

เธอใช้กลลวงหลอกให้เขาไปอีกทางหนึ่ง ก่อนที่จากนั้นเองจะตัดสินใจยกเท้าขึ้นถีบร่างของเขากระเด็นออกไปในทันที

“!!”

แรงจากลูกถีบของหญิงสาว ส่งผลทำให้เคออสถึงกับจุกหน้าท้อง และโดนผลักออกไป แน่นอนว่านั่นเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเหมือนกับตัวเองเสียศูนย์ไปเป็นครั้งแรก

หากแต่มันไม่ได้จบเพียงแค่ตรงนั้น เพราะนอกจากการถีบของหญิงสาวผมสีขาวแล้ว เธอยังจับลากเขาทุ่มลงกับพื้น ต่อด้วยรัวหมัดใส่ไปไม่ยั้งด้วย

ความเดือดดาลบนใบหน้าของหญิงสาว ประกอบกับความดิบเถื่อนของการปะทะกันด้วยพละกำลังเพียว ๆ ไม่มีอาวุธหรือเครื่องทุ่นแรงใด ๆ มันบีบบังคับทำให้เคออสจำต้องตัดสินใจโต้กลับไปหาเธอด้วยการยกตัวถีบขาคู่ผลักร่างของเฮเลน่ากระเด็นถอยออกไป

“หึ!”

ทั้งไฟที่มอดไหม้จนแสดงผิวกายด้านใน ไหนจะลามไปจนถึงความเสียหายบนตัวหน้ากากกันแก๊สที่มันเองเกิดร่องรอยบุบขึ้นมาจนเลนส์กระจกสีแดงนั้นเกิดรอยแตกร้าวขึ้น

เคออส ลุกขึ้นจากพื้นในสภาพที่ตัวเขาถูกอัดน่วมเข้าไป พร้อมกันนั้นเองมันก็เป็นจังหวะเดียวกันที่สายตาของเหล่าทหารของฮอฟฟ์แมนน์กว่านับหลายคู่ได้แสดงออกถึงการส่งเสียงแรงเชียร์ฝั่งหญิงสาวขึ้นมา ประหนึ่งกับว่าตอนนี้เป็นสังเวียนที่เขาและเธอกำลังต่อสู้กันอยู่เสียแบบนั้น

“ให้ตาย เธอสู้เหมือนกับพวกข้างถนนเลย เฮเลน่า”

เคออส ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนที่จากนั้นเขาจะตั้งท่าเปลี่ยนไปจากการตั้งรับเป็นรูปแบบจู่โจม

“เอาเถอะ เป็นความผิดฉันเองที่อ่อนข้อให้กับเธอมาก แต่ดูท่าแล้ว คิดว่าคงปล่อยเอาไว้ไม่ได้…”

รอยฉีกยิ้มใต้หน้ากากกันแก๊สปรากฎขึ้น ก่อนเปลี่ยนมาเป็นความจริงจังที่เคออสจำเป็นต้องแสดงออกมาให้ฝั่งหญิงสาวได้เห็น พร้อมกับบรรยากาศรอบตัวที่มันเกิดขึ้นจากการที่ตัวของชายหนุ่มได้แผ่ออกมา แน่นอนว่ามันเปรียบได้กับ ‘รังสีอาฆาตแค้น’ อย่างรุนแรงที่น้อยคนนักจะสังเกตเห็น ถ้าไม่ใช่กับผู้ที่มีประสาทสัมผัสพิเศษเหมือนกับเขา ซึ่งกรณีเรื่องนี้มันคือตัวของเฮเลน่า

“นี่…หรือว่าแกก็เป็น–”

“อ่าฮะ! ฉันไม่ใช่พวกตัวร้ายที่จะแบไต๋ตัวเองออกมาหมดเปลือกหรอก มันเปลืองน้ำลายเปล่า”

นัยน์ตาของเฮเลน่าเบิกกว้างกว่าปกติ เธอที่รู้เกี่ยวกับเรื่องราวของตัวเองแทบไม่เคยเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามาก่อน แวบหนึ่งเธอสังเกตได้ว่าท่าทีของเคออสเปลี่ยนไป ‘บางอย่าง’ คล้ายกับร่างเงาฉายขึ้นอยู่ด้านหลังของตัวชายหนุ่มตรงหน้า รูปลักษณ์ของมันไม่แน่นอน แต่รู้ว่ามันไม่ใช่มนุษย์ สัตว์ป่า หรือแม้แต่ปีศาจตามที่เธอเข้าใจ มันดูเหมือนเป็นหลุมความมืดมิดที่มีเพียงรยางค์จำนวนมากยื่นออกมา โดยที่ตรงกลางมีแววตากลมใหญ่โตจ้องมองเธออยู่

“มีอะไร ไม่บุกเข้ามาอีกล่ะ หืม?”

ความห้าวหาญของตัวหญิงสาวไม่อาจต่อกรได้กับสิ่งที่เธอไม่รู้จัก แม้มันจะไม่ได้ปรากฎกายที่แน่ชัด หากแต่การถูกแววตานั้นจับจ้องมองเข้ามา ทำเอาสะกดร่างของเธอให้แข็งทื่อเป็นหินไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่ไม่นานมันจะแวบหายไป จนทำให้ในที่สุดเธอก็กลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง

“เอาจริงได้สักทีนะแก คราวนี้ตายเป็นตายแน่!!”

“ตายเหรอ? อา ไม่หรอก ชีวิตของเธอยังอีกยาวไกล ขืนมาตายด้วยน้ำมือฉันตอนนี้มันคงจะไม่ดีต่อตัวเบื้องบนเอา รู้ใช่หรือเปล่า?”

ฟังมาถึงคำว่า ‘เบื้องบน’ เฮเลน่าก็เข้าใจได้ทันทีว่ามันหมายถึงอะไร หากแต่เธอยังคงแสดงท่าทีกังวลอยู่คล้ายกับว่ามีอะไรปิดบังเอาไว้ในใจ และไม่เปิดเผยมันออกมา

“ช่างเถอะ แบบนี้ฉันคิดว่าดีแล้ว” เฮเลน่า ขานกลับ

“ให้ตายสิ ต้องให้ฉันใช้กำลังเหรอ เธอถึงจะยอมพูดออกมา”

“ฉันไม่คิดจะเสวนากับแก ไอ้หน้าจืด”

“โอเค จะเอาแบบนั้นก็ได้ ถ้างั้นคงต้องออกแรงก่อนถึงจะสำนึกสินะ”

เพียงกะพริบตาแค่ครั้งเดียว ร่างของชายหนุ่มก็อันตรธานไปจากตรงหน้าของเธอทันที เหลือไว้เพียงแต่ความว่างเปล่าที่มันแทบไม่มีวี่แววว่าเขาจะโผล่ออกมา

กระทั่งเมื่อเธอได้ยินเสียงบางอย่างพุ่งเข้ามาทางด้านหลัง จนต้องรีบหันควับไปอย่างรวดเร็วเพื่อตอบโต้เสียงที่ใกล้เข้ามานั่น

ทว่ามันกลับสายเกินไป เพราะเจ้าของเสียงที่เข้ามาใกล้นั้นกลับเป็นตัวของชายหนุ่มเองที่เขาแวบมาโผล่ข้างตัวของเธอแบบที่ไม่รู้ตัว

เคออส เสยหมัดพุ่งใส่ปลายคางของหญิงสาวไปทันทีด้วยความรวดเร็ว ก่อนที่จากนั้นเขาจะกระโดดถอยออกมาอีกรอบหนึ่ง และแน่นอนว่าคราวนี้เขาเริ่มแสดงออกถึงการเคลื่อนไหวที่มันว่องไวในระดับเหนือกว่ามนุษย์เป็นหลายเท่า

ความเร็วของฝีเท้าบวกเข้ากับจังหวะการเข้าจู่โจมที่มันฉับไวและรุนแรง แทบจะทำให้เฮเลน่ารู้สึกตั้งตัวไม่ถูกและไม่รู้ว่าเธอต้องรับมือกับมันยังไง เนื่องด้วยการเข้าประชิดของเคออสในแต่ละครั้งมันแทบจะไม่เหมือนกันเลย เธอมองไม่เห็นว่าเขาออกท่าทางในการจู่โจมแบบไหน ไม่เห็นว่าจริง ๆ แล้วเขากำลังใช้ลูกไม้อะไรในการหลอกล่อเธอ หากแต่รู้ว่าเขานั้นเอาจริง และรู้อีกว่าถ้าหากเธอพลาดแม้แต่นิดเดียว อาจหมายถึงความตายที่เธอย้อนกลับไปไม่ได้

เฮเลน่า ตั้งสมาธิและรับมือกับสิ่งที่ถูกประเคนใส่เข้ามา กระทั่งเมื่อจับการเคลื่อนไหวของเขาและพบว่าเขากำลังใช้ทักษะ ‘มวยสากล’ และ ‘มวยไทย’ ผสมผสานกันอยู่ ซึ่งมันมีรูปแบบคล้ายกับเธออยู่มากจนในที่สุดเธอก็สามารถรับมือกับการจู่โจมนั้นได้

ลำแขนแกร่งสองข้างถูกยกขึ้นมากันท่า ‘จระเข้ฟาดหาง’ ที่ชายหนุ่มซัดเข้ามา และโต้ตอบกลับไปด้วยการที่เฮเลน่าเลือกจะเข่าอัดใส่ใต้หว่างขาของชายหนุ่มอย่างรุนแรง

เคออส ผละถอยออกมาได้ทัน แม้จะมีอาการบาดเจ็บตรงหว่างขาไป หากแต่ว่ามันก็ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเขาที่จะเปลี่ยนท่าทีในการเป็นฝ่ายเข้าจู่โจมตัวของหญิงสาว

เขาลดความเร็วฝีเท้าลง ปรากฎตัวออกมาให้เธอเห็นอีกครั้ง เปลี่ยนจากการเน้นเคลื่อนที่แบบฉับไวมาเป็นการใช้ความสามารถที่เน้นด้านพละกำลังและความเฉียบขาดแทน

เห็นได้ชัดว่าทักษะศิลปะป้องกันตัวของเขานั้นดูหลากหลายมาก และมันไม่ใช่แค่จำกัดเพียงแค่หนึ่งหรือสองอย่าง เป็นการยากยิ่งที่เธอจะคาดเดาได้ว่าผู้ก่อการร้ายหนุ่มเช่นเคออสนั้นมีความสามารถอะไรแบบไหน เว้นแต่สิ่งที่เฮเลน่ารู้มีเพียงอย่างเดียวคือเธอต้องหลีกหนีให้ห่างจากตัวเขา การประจันหน้ากับเขาโดยตรงรังมีแต่จะทำให้เธอเสียเปรียบมากกว่าเดิม และเผลอ ๆ เขาเองอาจพลั้งมือสังหารเธอไปเมื่อไหร่ก็ได้

เคออส เปลี่ยนจากการใช้หมัดมาเป็นการประเคนลูกเตะใส่เธอ ซึ่งมันทำให้การรับมือของเธอนั้นดูทุลักทุเลไปมากกว่าปกติ ท่วงท่าการโจมตีที่เขาซัดใส่มันดูเหมือนกับพวกคนที่ใช้ศิลปะการต่อสู้เพื่อเน้นเข้าสังหารมากกว่าออกลีลาท่าทางเหมือนกับในหนังบู๊แอคชั่นฮอลลีวู้ดทั่วไป

ซึ่งมันค่อนข้างหาได้ยากสำหรับสถานการณ์สู้รบที่จะมีใครมาแสดงศิลปะการต่อสู้แบบที่ใช้ได้จริงเช่นนี้ อย่างไรเองนั่นเป็นรายละเอียดปลีกย่อยที่เธอไม่ได้สนใจ หากแต่เป็นเพียงการดึงเอาสัญชาตญาณของตัวเองมาเพื่อหวังช่วงชิงความได้เปรียบในการสู้กับเขาไปมากกว่า

โดยที่ยังคงกฎเกณฑ์เช่นเดิมคือสู้กันด้วยพละกำลังกายและไม่ใช้อาวุธ

เป็นระยะเวลาอยู่นานพอสมควรที่คนทั้งสองงัดทักษะการต่อสู้ระยะประชิดเข้าใส่กัน ชนิดที่ว่าแลกเลือดกันเลยก็ไม่ปาน ขณะที่ด้านของพวกทหารของฮอฟฟ์แมนน์กลับไม่ได้ให้ความสนใจกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวไปเท่าไหร่ นอกเหนือจากที่พวกเขาจับตามองดูการเข้าปะทะกันอย่างดุเดือดและดิบเถื่อนที่ทั้งฝ่ายหญิงสาวและชายหนุ่มประเคนใส่กันโดยไม่สนใจเลยว่าสภาพของพวกเขาในตอนนี้จะบาดเจ็บหนักด้วยกันทั้งคู่ไปก็ตาม

ระดับความเสียหายอยู่ในขั้นวิกฤต อันตราย! อันตราย!

อัตราการเต้นของชีพจรของคุณ–

“ไม่ต้อง…”

เป็นครั้งแรกสำหรับเคออสที่เขาไม่เคยรู้สึกถึงความบ้าดีเดือดในตัวเองได้มากขนาดนี้ การได้ประมือสู้กับตัวของหญิงสาวผู้มาพร้อมกับเปลวเพลิงเช่นเฮเลน่า หวนให้ความรู้สึกแบบเดียวกับที่เขาได้เจอกับชายตาบอดผู้หนึ่งที่เขานั้นเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของ ‘ลัทธิงู’ ที่ไม่มีหลักแหล่งที่อยู่ในปัจจุบัน แน่นอนว่าตัวเขานั้นค่อนข้างจะให้ความรู้สึกแตกต่างอย่างชัดเจน ทั้งนี้เองกับรายของชายผู้นั้นกลับไม่ได้มีเจตนาต้องการเอาชีวิตเหมือนกับที่ตัวฝ่ายประธานองค์การบริษัทเอกชนเช่น เฮเลน่า ฮอฟฟ์แมนน์ กำลังทำอยู่ ณ เวลาตอนนี้

บรรยากาศที่อบอวลด้วยความคลุ้มคลั่งของสัตว์ร้ายทั้งสอง ต่างวาระ ต่างชนชาติ และต่างจุดประสงค์ แม้จะไม่ได้มีพละกำลังหรือความสามารถเหมือนกัน แต่สิ่งเดียวที่เห็นพ้องร่วมกันด้วย นั่นคือการที่เขาและเธอต่างสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายแบบไม่มีใครยอมใคร

“นังสวะชาติชั่วเอ้ย!!”

เคออส สบถคำหยาบคายออกมา เปลี่ยนจากภาพลักษณ์ที่ควรสงบเยือกเย็น กลายเป็นความเดือดดาลที่มาพร้อมกับอารมณ์เดือดพล่าน ไม่ต่างกันจากตัวของเฮเลน่าที่บัดนี้เธอเองแสดงสีหน้ากราดเกรี้ยวออกมาแล้ว

“ตัว ๆ ก็เข้ามาดิวะ เก่งเจ๋งนักเหรอ!!?”

ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่มีใครอาจทราบได้ ท่าทีของทหารรับจ้างของฮอฟฟ์แมนน์เริ่มที่จะลดการป้องกันของตัวเองลงไป พร้อมกันกับที่มีเสียงเครื่องมือสื่อสารติดต่อเข้ามาหาตัวเฮเลน่า

[ สวัสดีอีกครั้ง– ]

“ไม่ใช่เวลาตอนนี้!!”

เธอหยิบมันขึ้นมาแล้วพูดออกไปหาทางปลายสาย ก่อนจะโยนมันซัดออกไปไกลจนกลายเป็นว่ามันพังไม่เป็นชิ้นดี

“โว้ว! นั่นเครื่องหลายดอลล่าร์อยู่นะ แม่คุณ”

“ฉันรวยมากพอจะซื้อใหม่ได้ ขอบใจ”

อารมณ์ขบขันของเคออสแสดงออกมาแบบที่มันไม่ใช่เวลาที่เหมาะที่ควรนัก หากแต่อย่างไรก็ตาม อาการเหนื่อยล้าและเจ็บระบมไปทั้งตัวของเขา กลับเริ่มส่งสัญญาณให้เขารับรู้ตัวแล้วว่าตอนนี้เขากำลังจะสูญเสียสติสัมปชัญญะของตัวเองไป และมองเห็นภาพตรงหน้าพร่ามัวไปชั่วขณะ

“ฮ-ฮะ ๆ สมองกระทบกระเทือนหนักขนาดนี้เลยเหรอ? ใช้ได้จริง ๆ เฮเลน่า”

ชายหนุ่มแผดเสียงหัวเราะออกมาราวกับคนเสียสติ เสียงหัวเราะลั่นของเขาทำเอาเหล่าพวกบรรดาสัตว์กลายพันธุ์บางส่วนที่อยู่รอบบริเวณนั้นค่อย ๆ ปรากฎตัวออกมา ภายหลังจากหลบซ่อนจากการมาเยือนของฝั่งฮอฟฟ์แมนน์

“แต่ถึงยังไงเรื่องนี้มันควรจบลงได้แล้วล่ะนะ”

มนุษย์ทุกคนล้วนมีขีดจำกัด ไม่แม้แต่กับผู้ที่ได้รับการตัดแต่งพันธุกรรมให้มีความสามารถเหนือมนุษย์เช่นเขา จริงอยู่ว่าความพิเศษประหนึ่งกับการได้รับพรจากพระผู้เป็นเจ้ามันจะทำให้เขาได้รับสิทธิ์เหนือกว่าใคร หากแต่นั่นไม่ได้แปลว่าเขาจะต้องทุ่มเทหมดหน้าตักเพื่อละทิ้งสิ่งที่เป็นต้นกำเนิดของตัวเอง และนั่นหมายความว่าทุกทักษะที่เขาได้แสดงออกมา เว้นเพียงแต่ด้านของพลังเหนือธรรมชาติที่มันถูกสะกดกลั้นเอาไว้โดยตัวเขา

“หมายความว่ายังไงที่ว่า ‘ควรจบลง’?”

อลิส

รับทราบแล้วค่ะ

สิ้นเสียงคำพูดของเคออส สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นเองคือการที่ระบบรักษาความปลอดภัยรอบตัวเมืองร้างเริ่มทำงานโดยอัตโนมัติทันที

และแน่นอนว่าสิ่งที่มันตามมาภายหลังจากนั้นคือการที่สิ่งประดิษฐ์ทั้งหมดของเคออสได้ทยอยปรากฎออกมาและโถมจู่โจมใส่พวกเหล่าทหารของฮอฟฟ์แมนน์ อากาศยาน รวมไปถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกระบุไว้ว่าเป็น ‘ผู้บุกรุก’ ไปในทันที

เป็นเรื่องยากที่จะระบุได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น หากแต่สิ่งหนึ่งที่เฮเลน่าได้ยินและได้เห็น นั่นคือการที่เธอได้รับรู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นการเจรจาที่ว่ามันเป็นเพียง ‘แผนลวง’ ที่เขาได้หลอกล่อให้ทุกคนของเธอติดแหง็กอยู่ภายในลานเชือดแห่งนี้ และนั่นหมายถึงการที่พวกเขาถูกป้อมปืนแกทลิ่งอัตโนมัติเป็นจำนวนมาก ไหนจะเครื่องยิงลูกระเบิด หุ่นโดรนลอบสังหาร หรือแม้แต่กับสัตว์กลายพันธุ์ที่ถูกควบคุมด้วยเครื่องมืออะไรสักอย่าง แน่นอนว่าทุกสิ่งอย่างที่มันปรากฎมาให้เห็นเพียงคร่าว ๆ ยังเทียบกันไม่ได้กับที่ว่า ณ เวลานี้มันได้อบอวลไปด้วยความวุ่นวายและเสียงกรีดร้องที่ดังลั่นสนั่นไปทั่วเมืองร้างไปแล้ว

“ยินดีต้อนรับสู่โศกนาฎกรรม!!”

โดยที่เธอไม่ได้ตั้งตัวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ผ่านมามันคืออะไร เฮเลน่า ไม่ได้รู้สึกเสียใจกับการตายของคนพวกนี้ ทว่ากลับแสดงถึงอาการช็อก แปลกประหลาด สับสน และมากไปด้วยห้วงของอารมณ์ความโกลาหลในหัวที่เธอไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองได้ลงมือทำอะไรลงไป

และได้พาตัวเองมาถึงในจุดที่เธอรู้สึกแตกเป็นเสี่ยง ๆ

บางอย่างพุ่งลงมากลางวงที่เคออสและเธออยู่ ผลักให้ร่างทั้งสองกระเด็นออกไป พร้อมกับสะเก็ดระเบิดที่เจาะเข้าตามจุดต่าง ๆ ของร่างกายซึ่งมีตั้งแต่ขนาดเล็กจนไปถึงระดับเศษใหญ่เบิ้มที่มันบาดเข้าจนเป็นรอยชุ่มเลือด แน่นอนว่ามันแทบไม่ต้องหาเหตุผลอะไรเลยว่ามันมาจากไหน ถ้าไม่ใช่เพราะความเสียสติจากตัวชายหนุ่มที่เป็นคนออกคำสั่งให้โถมกระหน่ำอาวุธทุกอย่างลงมาจนพลอยโดนไปด้วย

อย่างไรก็ดี สีหน้าใต้หน้ากากกันแก๊สนั้นกลับไม่ได้แสดงถึงความโกรธหรือเจ็บปวด หากแต่รู้สึกสะใจเสียมากกว่าที่ท้ายสุดแล้วเขาก็จบทุกสิ่งทุกอย่างลงไปได้

“ยังหรอก…ไม่ใช่…เวลานี้หรอกนะ”

เสียงแหบพร่าของเคออสเปล่งออกมา พร้อมกับที่เขาตัดสินใจถอดหน้ากากของตัวเอง และนอนหงายมองดูท้องฟ้าสีเทาหม่นที่มันค่อย ๆ เริ่มมืดสนิทลง

“ไม่ใช่สำหรับตอนนี้…”

ตรวจพบอัตราการเต้นของหัวใจต่ำกว่าปกติ เริ่มคำสั่ง ‘พยุงชีพ’ โดยอัตโนมัติ

คำเตือน : กระบวนการ ‘พยุงชีพ’ จะเริ่มขึ้นภายใน 3..2..1

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เคออสรู้สึกว่าตัวเขาเองเหมือนวิญญาณหลุดออกไปจากร่าง อย่างไรเองก็ตาม เขาคุ้นเคยดีกับการทำสิ่งที่เรียกว่า ‘โกงความตาย’ มานับครั้งไม่ถ้วน

รวมถึงครั้งนี้เองก็เช่นเดียวกัน…

- 2 -

“อย่างงั้นเองเหรอ? หายไปแบบนี้แสดงว่าคงเป็นไปได้อยู่สองอย่างสินะ”

มันไม่ใช่เรื่องที่คาดเดาได้ยากเท่าไหร่ สำหรับตัวแทนจากเครือข่ายอาชญากรรมที่พวกเขาเหล่านั้นกำลังมองภาพเหตุการณ์ที่ฉายขึ้นอยู่บนหน้าจอขนาดใหญ่ ภายในสถานที่ ๆ หนึ่งซึ่งไม่ระบุที่มาที่ไปชัดเจน หากแต่พอสามารถคาดเดาได้บ้างว่าก่อนหน้านี้เหตุการณ์ในเมืองร้างเชอร์โนบิลมันเกิดอะไรขึ้น

และพวกเขา…ก็คาดเดาและรับรู้ว่าสิ่งที่ ‘ผู้ไกล่เกลี่ย’ ได้กระทำลงไปมันมีความหมายว่ายังไง

ภาพจากหน้าจอถูกตัดลงไปโดยอัตโนมัติทันที และขึ้นเป็นเพียงสัญญาณขาดหายไปแบบถาวร

“จะเอายังไงกับเขาต่อดีคะ?”

“ถามได้ดี แต่เรื่องนี้มันคงเกินกว่าเธอจะรับมือไปมาก”

กลุ่มของเหล่าตัวแทนจากเครือข่ายอาชญากรรมนั้นมีลักษณะคล้ายคลึงกับเป็นการฉายเพียงภาพหน้าจอสี่เหลี่ยม ๆ ที่ติดอยู่กับเก้าอี้ที่แสดงให้เห็นชื่อ ตำแหน่งงาน รวมไปถึงหน้าที่ของการรับผิดชอบตามที่ได้รับมอบหมายจากเบื้องบน ซึ่งในที่นี้มันคือผู้ที่พวกเขาต่างเรียกขานกันว่า ‘ผู้จัดการ (Manager)’ โดยพวกเขาคือกลุ่มคนผู้คอยรับหน้าที่สืบต่อจากตัวผู้ก่อตั้งเครือข่ายอาชญากรรมนี้ขึ้นมา

“ทีมผู้จัดการทั้งหมดจะประสานงานไปหาคนที่ใกล้ชิดกับเขา ถึงในแง่ความสามารถและประสิทธิภาพการใช้กำลังจะเทียบกันไม่ได้ อย่างไรก็ดี เขา ถือเป็นบุคลากรที่สำคัญสำหรับเครือข่ายของเราคนหนึ่ง และการหาใครมาแทนที่ก็เป็นเรื่องที่เรายังไม่ได้ทำการหารือกันด้วยได้ลงตัวดีนัก”

“อะไรนะ? เสียสติไปแล้วเหรอ? พวกเราขังไอ้ ‘อสูรร้าย’ นั่นไว้ไม่ได้นาน ๆ หรอก!!”

ไม่ได้มีแต่เพียงแค่เธอ แต่บรรดาคนอื่น ๆ ผู้มาจากทุกทั่วหนแห่ง ณ มุมใดมุมหนึ่งภายในโลกปัจจุบัน คำเรียกว่า ‘ตัวแทนของเครือข่ายอาชญากรรม’ ความหมายและนิยามของมันแตกต่างไปตามแต่ละสิ่งที่พวกเขากำหนดขึ้นมา หากแต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันนั่นคือเบื้องหลังของพวกเขาเหล่านี้คือคนที่ล้วนควบคุมความเป็นไปได้ในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสังคม ความมั่นคง กระแสความเป็นไปของโลก เศรษฐกิจ การทหาร หรืออาจหมายรวมไปถึงแทบทุกอย่างที่มันเกี่ยวพันกับการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คน

พวกเขาเหล่านี้ไม่เปิดเผยชื่อ ที่อยู่ หรือแม้แต่มีใครสักคนจดจำพวกเขาได้ เว้นเสียแต่จะมีเพียงแค่ใครบางคนเท่านั้นที่เลือกจะทำอีกแบบหนึ่ง โดยที่คงไว้ซึ่งความลึกลับซับซ้อน และไร้การระบุตัวตนที่ชัดเจนเช่นเดิม

เหมือนกับที่ผู้ก่อตั้งเครือข่ายฯ ได้บัญญัติเอาไว้มานานนม ผลัดเปลี่ยนจากยุคเก่าเข้าสู่ ‘ยุคใหม่’ อย่างเป็นทางการ…

“อย่ากังวลไป ถึงเขาจะเป็นอสูรร้าย แต่ถ้าเรายังให้อาหารและดูแลเขาดี ๆ เขาก็ยังคงเลี้ยงเชื่องไม่ต่างจากสุนัขรับใช้ของเรา”

ไม่มีใครกล่าวโต้แย้งกับฝั่งของผู้จัดการ นอกเหนือจากที่ว่าให้บรรยากาศรอบตัวที่แทบไม่มีแม้แต่ร่องรอยของผู้คนให้เห็น ประหนึ่งกับว่าเสียงที่เล็ดลอดดังออกมามันคือเสียงพูดที่คล้ายคลึงกัน ต่างกันแค่มีโทนเสียงแหลมบ้าง ต่ำบ้าง ทุ้มบ้าง และการใช้รูปประโยคที่มันแสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึกที่ยังคงเป็นมนุษย์อยู่ แม้จะไม่ได้แสดงการมีปฏิสัมพันธ์ใด ๆ ซึ่งกันและกันไปก็ตาม

ซึ่งมันเป็นธรรมดาสำหรับในโลกที่เทคโนโลยีล้ำสมัยได้เข้ามามีบทบาทสำคัญกับทุกชีวิต มันก้าวไปข้างหน้า มันพัฒนาตัวของมันเองอยู่ตลอดเวลาโดยไม่มีการหยุดก้าวกับที่ และด้วยกระแสการเปลี่ยนผ่านในระยะเวลาอันสั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกประหลาดใจ ๆ หากว่าบางสิ่งบางอย่างมัน ‘ตกยุค’ ไปจากช่วงสมัยที่ไม่มีการแพร่หลายเหมือนเช่นทุกวันนี้

“ถ้างั้น…ฉันควรจะจับตาดูเขาอยู่หรือเปล่าคะ?”

“แค่เฉพาะตอนเวลางาน นอกเหนือจากนั้นปล่อยให้เขาได้มีพื้นที่ของตัวเอง และห้ามข้องเกี่ยวหากว่าเขาได้เอาตัวพัวพันกับความต้องการของตัวเอง”

ไม่มีเสียงตอบกลับอะไรออกมาครู่หนึ่ง มีเพียงแต่ความมืดและความเงียบสงัด ในสถานที่อันยากแก่จะระบุได้

เขา จะอยู่กับเรา…ตลอดไป”

- 3 -

นานเท่าไหร่ที่เฮเลน่าจำไม่ได้ว่าตัวเธอเองถูกฝั่งของชายหนุ่มเล่นงานจนอ่วมหนักพอสมควร หากแต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ดี แทนที่เธอควรจะตายไปตั้งแต่ตอนนั้น กลับกลายเป็นว่าโดนลากมาแล้วอยู่ในห้อง ๆ หนึ่งที่มีเตียงเดี่ยวรองรับเอาไว้แทน

“บ้าเอ้ย…นี่ฉันอยู่ที่ไหนกันวะ?”

เธอไม่ได้ลุกขึ้นจากเตียง หากแต่ส่งเสียงครางระงมด้วยความเจ็บปวดออกมา ก่อนพึมพำเบา ๆ เมื่อภาพที่เห็นนั้นกลับเป็นเพียงโคมไฟแสงสลัวสีขาวในห้องแคบ ๆ ซึ่งเมื่อกวาดสายตามองออกไปโดยรอบ สังเกตว่ามันมีของอำนวยความสะดวกหลายอย่างตระเตรียมเอาไว้อย่างเสร็จสรรพ เว้นเพียงแต่ไม่มีในส่วนของโซนไว้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ไปเท่านั้นเอง

“แม่ง…เล่นเอาซะ ออกไปจากที่นี่ได้ แม่จะกระทืบให้เละเลย คอยดู”

เฮเลน่า สบถออกมาเบา ๆ ความโกรธเคืองจากเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นยังคงวนอยู่ในหัวของเธอ พอ ๆ กับที่ไฟโทสะข้างในยังคุกรุ่นอยู่ จะแตกต่างไปบ้างก็ตรงที่เธอไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘เปลวเพลิง’ ติดบนฝ่ามือหรือเท้าทั้งสองข้าง มีเพียงแต่ไอความร้อนอ่อน ๆ เพียงแค่นั้น

ใด ๆ เอง เหตุการณ์ประมือสู้กับเคออส นั่นก็พอทำให้เธอเรียนรู้ได้อย่างหนึ่งว่าไม่ควรเป็นฝ่ายเข้าถึงตัวเขาไปตั้งแต่แรก

หญิงสาวผมสีขาวสลวยลุกขึ้นจากเตียง เธอยังคงเจ็บระบมโดยเฉพาะส่วนข้อต่อขาที่มันโดนเล่นเสียชนิดที่ว่ากว่าอาการเจ็บจะหายไปคงต้องใช้เวลาประมาณสามหรือสี่วัน ซึ่งแน่นอนว่าด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูงสมัยนี้ มันเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับการฟื้นฟูบาดแผลทั้งภายนอกและภายใน หากแต่การจะทำอย่างนั้นได้ เธออาจต้องเสียเงินค่ารักษาในจำนวนที่สูงลิ่วพอเอาการ แถมยังไม่นับกับการที่ถูกบรรดาสื่อสำนักข่าวจับตามองอีกต่างหาก ซึ่งมันคือข้อเสียอย่างหนึ่งของการเป็นองค์การบริษัทเอกชนชั้นนำระดับประเทศ

“ยังดีที่ได้สติมา เฮเลน่า”

ประตูอัตโนมัติถูกเปิดออก พร้อมกับที่เสียงของหนึ่งในผู้นำตัวเธอเข้ามายังในสถานที่ ๆ ดูเหมือนห้องแล็ปทางวิทยาศาสตร์ หากแต่กลับมีเครื่องมือและจัดแบ่งโซนพื้นที่อย่างมีระบบระเบียบจนดูเหมือนไม่ใช่ห้องทดลอง ทว่ากลับดูเหมือนเป็นส่วนที่ควบคุมทุกสิ่งอย่างเอาไว้เสียมากกว่าในความคิดของเฮเลน่า

“เคออส นี่แก–”

ทั้งเสียงและร่างในชุดเสื้อโค้ทยาวสีน้ำตาลนั่น แวบแรกที่เห็นก็แทบจะทำให้เธอเกือบจะพุ่งไปหาเขา ถ้าไม่ติดเพียงว่าเมื่อเธอกลับมองเห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่หลังหน้ากากนั่นไปซะก่อน

“เป็น…ใคร?”

น้อยคนที่จะได้เห็นโฉมหน้าจริง ๆ ของชายหนุ่มผู้ที่ทั้งโลกต้องการตัว กล่าวกันว่าผู้ที่ได้เห็นนั้นเป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น และโดยมากพวกเขาจะไม่เปิดเผยว่ามันเป็นเช่นไร หากแต่สิ่งเดียวที่ทุกคนบรรยายเหมือนพ้องต้องกันนั่นคือมันไม่ใช่ ‘มนุษย์’ อย่างที่ควรเป็น

แม้ว่ามันจะคงเหลือไว้เพียง ‘เสี้ยวหนึ่ง’ ไปเองก็ตาม หากแต่นั่นกลับไม่ใช่ประเด็นที่ใครใคร่จะสนใจ

“ฉันก็คือฉัน แต่แค่เธออาจไม่เคยเห็น ‘หน้าจริง’ ในแบบที่ฉันไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน”

เคออส ในสภาพที่เขาเปิดหมวกคลุมของเสื้อโค้ทยาวสีน้ำตาลออกไป ปรากฎให้เห็นในสภาพที่ตัวเขาสวมวิกผมหยักศกสีแดงไว้ โครงหน้าคมเข้ม หากแต่ยังมีความเป็นหนุ่มอยู่พอประมาณ ซึ่งมาพร้อมกับนัยน์ตาสองสีที่ดูแปลกแยกไปจากคนปกติอย่างเห็นได้ชัด ข้างหนึ่งมันเป็นสีแดงเลือด ขณะที่อีกข้างกลับเป็นสีเขียวมรกต ดูแล้วให้ความรู้สึกชวนดูแปลกตาพอสมควร ซึ่งมันไม่ใช่เกิดจากกรรมพันธุ์ของผู้ให้กำเนิด แต่กลับเป็นความผิดปกติบางอย่างที่มันมาจากเหตุการณ์ ๆ หนึ่งที่เกี่ยวข้องกับโฉมหน้าส่วนล่างของเขา

ส่วนล่างของใบหน้านั้นมีร่องรอยของการที่ผิวหนังชั้นนอกสลายไป ปรากฎขึ้นมาให้เห็นเป็นเพียงโครงกระดูกที่ไล่ยาวไปตั้งแต่ริมฝีปากส่วนล่าง ตราบจนไปถึงใต้คางที่แน่นอนว่ามันปรากฎให้เห็นเส้นเลือดที่อยู่ใต้เชิงกรามข้างใน หรือหากให้พูดอีกอย่างหนึ่งนั่นคือผิวหน้าบางส่วนของเขาถูกละลายจนเห็นโครงกระดูก และในตอนนี้มันเองก็อยู่ในช่วงที่ค่อย ๆ ฟื้นฟูในอัตราที่ช้าเอามาก ๆ

ซึ่งก็ถือเป็นความน่าสยดสยองอย่างหนึ่งที่ชายหนุ่มจำต้องแบกรับด้วยตัวเอง…

“เหมือนผีดีใช่ไหมล่ะ? ไม่สิ…อาจต้องเรียกว่าเป็น ‘ผี’ จริง ๆ ไปเลยก็ได้…”

เฮเลน่า ไม่พูดอะไร หากแต่เธอจ้องมองใบหน้านั้นด้วยความสงสัย พลันนึกไปถึงช่วงเวลาที่ผ่านมารวมถึงปะติดปะต่อสาเหตุที่ชายหนุ่มเลือกจะปกปิดตัวตนของตัวเองผ่านทางหน้ากากกันแก๊สนั่น ซึ่งมันก็ฟังดูพอสมเหตุสมผล เมื่อได้พบว่ารูปลักษณ์ใบหน้าจริง ๆ ของเขามันกลับไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถยอมรับได้ด้วยซ้ำ

“เอาเถอะ ช่างหัวเรื่องอื่นไปก่อน ตอนนี้ฉันอยากคุยกับเธอเรื่องอะไรบางอย่างที่มัน ‘สำคัญ’ เอามาก ๆ และฉันคิดว่าเธอควรน่าจะมีคำตอบสำหรับมันนะ เฮเลน่า”

“แกอยากจะรู้เรื่องอะไรมิทราบ?!” เธอกล่าวออกมา

“สัญญาว่าจ้างเรื่องที่บริษัทฮอฟฟ์แมนน์ตัดสินใจรับงานจากหน่วยเอ็กซิมิวส์ ที่ก่อนหน้านี้เธอได้ลักลอบขโมยของบางอย่างที่พวกเขาต้องการมา”

เคออส หันหลังให้กับเธอ ก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปยังที่ ๆ เขาเอาไว้สำหรับสืบค้นข้อมูลผ่านทางหน้าจอโฮโลแกรมที่ดูแลด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ขึ้น แน่นอนว่ามันปรากฎให้เห็นไฟล์ข้อมูลต่าง ๆ ที่เขาเองได้ทำการเจาะระบบเข้าไปเพื่อสืบหามองดูต้นตอของมัน

“ฉันพยายามลองเอามาเชื่อมต่อกันดู ไม่สิ– เรียกว่าอาจพยายามหาจุดเชื่อมโยงกันเลยก็ได้ว่างานที่เธอได้มามันคืออะไร จนกระทั่งเหมือนฉันจะเริ่มเจออะไรบางอย่างที่ ‘ไม่ชอบมาพากล’ เข้า และ…”

เขาเว้นระยะไปครู่หนึ่ง

“มันดันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ฉันกำลังตามหาอยู่พอดี…”